รีวิวเครื่องเสียง Klipsch รุ่น RP-500M II ลำโพงสองทางวางบนขาตั้ง

บางคนอาจจะมีความเข้าใจว่า ตัว ทวีตเตอร์ของลำโพง ไม่น่าจะมีผลกับเสียงโดยรวมมากเท่ากับตัวมิด/วูฟเฟอร์ ซึ่งก็จริง ถ้ามองในแง่ของ ความถี่หลัก” (fundamental) ของตัวโน๊ต เพราะลำโพงสองทางนั้น ตัวไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์จะทำหน้าที่ครอบคลุมการสร้างความถี่หลักมากกว่าตัวทวีตเตอร์ แต่จริงๆ แล้ว.. สิ่งที่ทวีตเตอร์สร้างออกมาก็คือความถี่ที่เป็นส่วนที่เป็นทั้ง “ทรานเชี้ยนต์” และ ฮาร์มอนิก” ก็คืออิมแพ็คและส่วนที่ต่อเนื่องออกมาจากความถี่หลัก ซึ่งถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้ความถี่หลักเช่นกัน ดัวยเหตุนี้ ถ้าจะพูดถึง ความสำคัญระหว่างไดเวอร์ทั้งสองตัวของลำโพงสองทางทั่วไป ก็ต้องบอกว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

หลักฐานที่ยืนยันคำกล่าวสรุปข้างต้นได้เป็นอย่างดี ให้สังเกตว่า ผู้ผลิตลำโพงทุกเจ้าล้วนให้ความสำคัญกับการออกแบบทวีตเตอร์ไม่น้อยไปกว่าตัวมิด/วูฟเฟอร์ แสดงว่าคนออกแบบลำโพงต่างก็รู้ดีกว่า ทวีตเตอร์มีความสำคัญกับเสียงไม่น้อยไปกว่าตัวมิด/วูฟเฟอร์เลย ยกตัวอย่าง ลำโพงของ Klipsch คู่นี้ คุณจะเห็นว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับทวีตเตอร์เยอะมาก ทุ่มเทเทคโนโลยีในการออกแบบลงไปมากมายเพื่อดึงประสิทธิภาพของตัวทวีตเตอร์ออกมาให้ได้มากที่สุด

Klipsch
เจ้าแห่งลำโพง Horn Loaded

Klipsch เป็นแบรนด์ผู้ผลิตลำโพงที่มีประวัติมายาวนาน พวกเขาใช้เทคนิคการออกแบบที่เรียกว่า “Horn Loadedในการจัดการกับทวีตเตอร์มาตั้งแต่เริ่มต้น และได้มีการพัฒนาปรับปรุงเทคนิคฮอร์นโหลดที่ตัวเองใช้มาโดยตลอด

อย่างในรุ่นนี้ พวกเขาเลือกใช้ปากฮอร์นที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ ที่ให้ชื่อว่า “Tractrix Hornมีลักษณะเด่นหลายประการ อย่างแรกคือ ขนาดที่ใหญ่กว่าปากฮอร์นที่เคยใช้กับตู้ลำโพงขนาดนี้ ทำให้ได้ประสิทธิภาพของเสียงแหลมที่สูงขึ้น (เมื่อเทียบกับขนาดตัวตู้) อย่างที่สองคือเป็นปากฮอร์นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ให้การกระจายเสียงที่สมมาตร และอย่างที่สามคือใช้ phase plug ที่ทำด้วยซิลิโคนที่ทำให้เสียงแหลมที่สร้างขึ้นโดยทวีตเตอร์ไตตาเนี่ยมที่ซ่อนอยู่ส่วนในของใจกลางปากแตรนี้มีความต่อเนื่อง ลื่นไหล ปราศจากเรโซแนนซ์ (ริ้งกิ้ง) ที่ส่งผลเสียต่อความถี่สูง ให้เสียงแหลมที่เป็นธรรมชาติมากกว่าปากแตรกับ phase plug ที่ทำด้วยโลหะ

เสียงแหลมที่ได้จากทวีตเตอร์ที่ออกแบบด้วยเทคนิคฮอร์นโหลดแบบนี้จะมีลักษณะที่แผ่กว้างออกไปโดยรอบ ส่งผลให้เสียงในย่านกลางและแหลมมีลักษณะเปิดเผย กระจ่างชัด ถูกจริตของคนที่ชอบเสียงแหลมที่เปิดๆ ไม่อับทึบ …

RP-500M II
น้องเล็กสุดท้องของซีรี่ย์ใหม่ ‘Reference Premiere

Reference Premiere’ (RP) เป็นอนุกรมสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทลำโพงของ Klipsch คือสูงกว่าซีรี่ย์ Reference ขึ้นมาอีกขั้น เพิ่งเปิดตัวออกมาเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งลำโพงในซีรี่ย์นี้มีทั้งลำโพงตั้งพื้นและวางขาตั้งนับรวมได้ 11 รุ่น ทั้งหมดเป็นลำโพงพาสซีฟที่รองรับทั้งการฟังเพลงและโฮมเธียเตอร์ โดยที่รุ่น RP-500M II ที่ผมกำลังจะทำรีวิวคู่นี้เป็นรุ่นเล็กสุดรองจากรุ่น RP-600M II แม้ว่าจะเป็นรุ่นเล็กสุด แต่ขนาดตัวตู้ก็ไม่ได้เล็กจิ๋ว มันใหญ่พอที่จะใช้เป็นลำโพงสองแชนเนลหลักสำหรับฟังเพลงในระบบเสียงสเตริโอก็ได้ หรือจะเอาไปใช้ประกอบเป็นชุดลำโพงเซอร์ราวนด์สำหรับดูหนังก็ได้

ขนาดตัวตู้อยู่ในเกณฑ์ กระทัดรัดสัดส่วนมาตรฐานลำโพงเล็กทั่วไป น้ำหนักต่อข้างอยู่ที่ 5.95 กิโลกรัม ตัวตู้ทำด้วยไม้ MDF และมีการดามโครงภายในเพิ่มความแข็งแรงด้วย

บนแผงหน้าที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 93 ตารางเซนติเมตร นั้น เกือบทั้งหมดใช้ติดตั้งไดเวอร์เสียงแหลมและเสียงกลางทั้งสองตัว โดยเฉพาะพื้นที่ซีกบนที่ติดตั้งไดเวอร์เสียงแหลมนั้น ขอบของปากแตรกินพื้นที่ตั้งแต่ซ้ายไปจรดขวาเต็มความกว้างของแผงหน้า ส่วนความสูงของปากแตรก็กินพื้นที่ลงมาถึงครึ่งหนึ่งของความสูงของตัวตู้ นับว่าเป็นปากแตรที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบสัดส่วนกับไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่มีขนาดแค่ 5.25 นิ้ว.!

แผงหลังของ RP-500M II มีท่อระบายอากาศที่ออกแบบให้ปากท่อมีลักษณะคล้ายปากฮอร์นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านกว้างประมาณ 3 .. และสูงประมาณ 7 .. ด้วยขนาดของช่องระบายอากาศที่ค่อนข้างใหญ่ และด้วยรูปทรงของปากท่อที่แคบด้านในแล้วค่อยๆ ผายกว้างออกมาทางปากท่อ ส่งผลให้การระบายอากาศจากภายในตัวตู้ออกมาทางปากท่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ระบายได้เร็วโดยไม่มีเสียงลมปะทะปากท่อออกมารบกวน และถ้ามองย้อนเข้าไปในท่อจะเห็นบอดี้ส่วนท้ายของตัวทวีตเตอร์อย่างชัดเจน ซึ่งส่วนท้ายของบอดี้ทวีตเตอร์ได้ถูกออกแบบให้เปิดระบายอากาศไว้ด้วย เมื่อช่องระบายอากาศที่แผงหลังอยู่ในตำแแหน่งตรงกับบอดี้ของตัวทวีตเตอร์ ก็จะยิ่งช่วยให้การระบายอากาศจากบอดี้ของตัวทวีตเตอร์ทำได้ดีขึ้น สะดวกขึ้นเพราะไม่ถูกผนังตู้กั้นไว้

ต้องขอบคุณผู้ผลิต RP-500M II ที่ติดตั้งขั้วต่อสายลำโพงมาให้แค่คู่เดียว ทำให้การจับคู่แม็ทชิ่งกับแอมปลิฟายสรุปได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องยุ่งกับการทดลองแม็ทชิ่งแอมป์กับลักษณะการเชื่อมต่อสายลำโพงกับลำโพงคู่นี้ให้วุ่นวาย และตัวขั้วต่อที่ให้มาก็มีคุณภาพดีพอสมควร ถึงแม้ว่าตัวขันยึดขั้วต่อสายลำโพงจะเป็นพลาสติก แต่ชิ้นส่วนสำคัญๆ ที่ส่งผลกับเสียง อย่างเช่นชิ้นโลหะตัวนำที่สัมผัสกับขั้วต่อของสายลำโพงได้มีการชุบทองด้วย ช่วยให้การนำสัญญาณทำได้ดีขึ้น

ที่ผนังด้านล่างของตัวตู้มีแผ่นไม้คอล์กบางๆ ลักษณะเดียวกันแปะติดไว้ทั้งสองข้าง ซึ่งทางผู้ผลิตระบุว่าทำไว้เพื่อให้ตัวตู้ยึดติดกับแพลทบนของขาตั้งได้แน่นขึ้น ซึ่งจากการทดลองวางบนขาตั้ง Atacama รุ่น XL600 (REVIEWผมพบว่ามันช่วยได้จริง วางลงไปแล้วรู้สึกได้เลยว่า ตัวตู้มันดูดติดตรึงแน่นอยู่กับแผ่นแพลทโลหะของขาตั้ง XL600 โดยไม่ต้องใช้วัสดุใดๆ เข้ามาช่วย (โยนดินน้ำมัน Blu-tack ทิ้งไปเลย!)

ไดเวอร์ที่ใช้

ด้วยดีไซน์ไดเวอร์แบบฮอร์นโหลดลักษณะนี้ส่งผลให้ได้ความไวของระบบทพุ่งสูงขึ้นไปถึง 92dB (ที่โหลด 8 โอห์ม) สำหรับการสร้างความถี่เสียงตลอดย่านตั้งแต่ 50 – 25kHz โดยที่ความถี่ตั้งแต่ 1530Hz ขึ้นไปจนถึง 25000Hz จะอยู่ในภาระรับผิดชอบของตัวทวีตเตอร์โดมไตตาเนี่ยมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ที่ฝังอยู่ในใจกลางของฮอร์น

ซึ่งโดมทวีตเตอร์ตัวนี้ถือว่าเป็นไฮไล้ท์ที่สร้างชื่อให้กับ Klipsch มาตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดตัวซีรี่ย์ Reference เจนเนอเรชั่นแรก มันเป็นทวีตเตอร์ที่ผ่านการออกแบบมาด้วยเทคนิคพิเศษที่ชื่อว่า “Linear Travel Suspension” (LTS) ที่ช่วยลดความผิดเพี้ยนจากการทำงานของโดมทวีตเตอร์ ทำให้ได้รายละเอียดของเสียงในย่านตั้งแต่กลางสูงขึ้นไปถึงเสียงแหลมที่ดีขึ้น นอกจากนั้น ตัวบอดี้ที่บรรจุโดมทวีตเตอร์, วอยซ์คอย และแม่เหล็กถูกเจาะรูระบายอากาศไว้ที่ด้านหลัง อันนี้ช่วยขจัดเรโซแนนซ์ (standing waves) ที่เกิดกับไดอะแฟรม (หรือโดมทวีตเตอร์) ที่สั่นค้างจนเป็นต้นเหตุของฮาร์มอนิกส่วนเกินออกไป ทำให้ได้ฮาร์มอนิกของเสียงกลางแหลมที่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับที่ส่งมาจากแอมป์ทุกประการ

ส่วนความถี่ในย่านกลางลงไปถึงเสียงทุ้มเป็นหน้าที่ของไดเวอร์มิดวูฟเฟอร์สีทองแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.25 นิ้ว ที่ใช้กรวยที่ทำมาจากวัสดุผสม copper cerametallic ซึ่งมีน้ำหนักเบาแต่แกร่ง ดัสแครปโค้งเข้าด้านในกลมกลืนไปกับส่วนโค้งของไดอะแฟรมเป็นเนื้อเดียวกัน แถมมีวงแหวน faraday (shorting rings) ที่ทำด้วยอะลูมิเนียมครอบอยู่รอบนอกเพื่อควบคุมการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก มีผลช่วยลดความเพี้ยนและเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับกำลังขับได้สูงขึ้นด้วย นอกจากนั้น ระบบแม่เหล็กกับวอยซ์คอยที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ช่วยเสริมความสามารถในการตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้ดีขึ้น สามารถควบคุมสปีดการตอบสนองต่อสัญญาณฉับพลันที่ดีขึ้น และให้ความแม่นยำในการตอบสนองสัญญาณที่แม่นยำและเที่ยงตรงมากขึ้นด้วย

แม็ทชิ่ง

ข้อมูลสเปคฯ ของ RP-500M II ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของ Klipsch มีตัวเลขที่นำมาใช้วิเคราะห์ในการแม็ทชิ่งแอมปลิฟายให้กับ RP-500M II อยู่ 5 ตัวด้านบนที่อยู่ในแถบสีเขียว สองตัวแรกที่นำมาพิจารณาคือ “Power Handling” (con/peak) กับ “Nominal Impedanceนั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นกำลังขับแบบต่อเนื่อง ความสามารถในการรองรับกำลังขับของลำโพงคู่นี้จะอยู่ที่ 75W ที่โหลด 8 โอห์ม โดยสามารถทนรับกับความดังสูงสุด (peak) แบบวูบขึ้นมาสั้นๆ ได้ถึง 300W ที่โหลด 8 โอห์ม เช่นเดียวกัน และเมื่อนำเอาตัวเลข “Sensitivityหรือความไวของลำโพงเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย จะเห็นว่า ข้อมูลสเปคฯ ทุกตัวเลขล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า RP-500M II เป็นลำโพงที่ขับง่ายมาก ในสภาวะทำงานปกติมันไม่ได้ต้องการกำลังขับจากแอมป์มากมายเลย ทว่า พอถึงเวลาจะอัดด้วยเพลงที่มีไดนามิกแรงๆ มันก็ทนรับสัญญาณพีค (ดังมากๆ แบบสั้นๆ) ได้สูงกว่าปกติถึง 4 เท่า.!

ขณะทดสอบ RP-500M II ในห้องฟังของผมมีแอมป์ที่มีสเปคฯ อยู่ในข่ายที่น่าจะไปกับ RP-500M II ได้ดีอยู่ 3 ตัวคือ Marantz Model 40n, LEAK Stereo 230 และ Audiolab 9000A (REVIEW) และแอมป์หลอดอีกตัวคือ Dared Saturn Signature (REVIEW) ที่ผมอยากจะเอามาทดลองจับกับลำโพงคู่นี้ รวมกับอินติเกรตแอมป์ Onkyo รุ่น A-9110 ที่ทางบริษัท Sound Republic ซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้าลำโพงคู่นี้ส่งมาให้ทดลองจับคู่กันด้วย รวมเบ็ดเสร็จแอมป์ที่ใช้ทดลองฟังกับลำโพงคู่นี้มีอยู่ทั้งหมด 5 ตัวด้วยกัน

แอมป์ 2 ตัวแรกที่ผมทดลองขับ RP-500M II คือ Onkyo A-9110 กับ Dared Saturn Signature โดยอาศัยข้อมูลทางด้าน ความไว” (Sensitivity) ของ RP-500M II ที่สูงถึง 92dB เป็นที่ตั้ง แต่ถ้าพิจารณาจากตัวเลขกำลังขับเฉลี่ยปกติที่รับได้ (Power Handlingที่ระบุไว้ที่ 75W (วัดที่โหลด 8 โอห์ม) จะเห็นว่า แอมป์ทั้งสองตัวมีกำลังขับ ต่ำกว่าpower handling แบบเฉลี่ยปกติของลำโพงคู่นี้มาก

ผลทางเสียงที่ออกมาเป็นไปตามคาด คือถ้าวิเคราะห์จากลักษณะการกำหนด Power Handling ของ RP-500M II คู่นี้ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่า ผู้ผลิตตั้งใจที่จะทำให้ RP-500M II เป็นลำโพงที่ขับง่าย นั่นคือไม่กินกำลังขับของแอมป์มากในการถ่ายทอดเสียงออกมา ในขณะเดียวกัน การทำให้ลำโพงคู่นี้สามารถรองรับพีคของเสียง (ความดังสูงสุดชั่วคราว) ได้สูงถึง 300W ก็น่าจะเดาได้ว่า ผู้ผลิตต้องการให้ลำโพงคู่นี้สามารถรองรับ ไดนามิกเร้นจ์ของเสียงที่สวิงได้กว้างๆ ด้วย

เมื่อทดลองฟัง RP-500M II ที่ขับด้วย A-9110 กับ Saturn Signature ผมพบว่า มันให้เสียงออกมาจากลำโพงในลักษณะที่ฟังได้นะ ไม่ได้แย่ ได้ความถี่ออกมาครบ ไดนามิกสวิงได้ในระดับปานกลางจึงทำให้ได้โทนเสียงออกมาติดนุ่ม ซึ่งถ้าฟังเพลงที่มีอัตราสวิงไดนามิกไม่กว้างมาก อย่างพวกเพลงร้องและเพลงบรรเลงที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น จะไปได้สบายในห้องฟังขนาดปานกลางที่มีการปรับสภาพอะคูสติกออกไปทาง live มากกว่า dead หน่อยๆ สัดส่วนประมาณสัก 70/30 อย่างห้องฟังของผม รวมถึงในห้องรับแขกโดยทั่วไปที่ไม่ได้ปรับแต่งสภาพอะคูสติกและมีสัดส่วนพื้นที่ไม่เกิน 30 ตรม. ด้วย

เพลงที่ไม่เหมาะกับ RP-500M II เมื่อขับด้วยแอมป์สองตัวนี้คือเพลงที่ต้องการระดับความดังสูงๆ ถึงจะได้อารมณ์เพลง อย่างเช่นเพลงร็อคหนักๆ ฟิวชั่นแจ๊สที่จังหวะหนักๆ กับเพลงที่สวิงไดนามิกรุนแรงในย่านความถี่ต่ำ อย่างเช่นเพลงโชว์เพอร์คัสชั่นหนักๆ ที่นักเล่นฯ ชอบเปิดกัน สรุปโดยรวมแล้ว อินติเกรตแอมป์ทั้งสองตัวข้างต้นสามารถขับลำโพง Klipsch คู่นี้ออกมาได้ดีพอสมควร ถ้าเปรียบเทียบกัน Saturn Signaturn ขับ RP-500M II ออกมาได้ค่าเฉลี่ย สูงกว่าขับด้วย A-9110 พอสมควร

แอมป์ล็อตที่สองที่ใช้ทดลองขับ RP-500M II ก็คือ Marantz Model 40n (70Wx2) กับ LEAK Stereo 230 (75Wx2) ซึ่งมีกำลังขับอยู่ในระดับเดียวกับสเปคฯ Power Handling ของ RP-500M II เป๊ะ.! ซึ่งผลทางเสียงที่ออกมาต้องบอกว่า ดีกว่าตอนจับกับ A-9110 และ Saturn Signature มากทีเดียว.! เมื่อขับกับ Marantz และ LEAK สองตัวนี้จะรีด สมรรถนะของ RP-500M II ออกมามากกว่า สิ่งที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับขับด้วย A-9110 และ Saturn Signature ก็คือคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกที่ดีขึ้นมากทั้งด้านคอนทราสน์และทรานเชี้ยนต์ และเมื่อไดนามิกดีขึ้น เพราะถูกขับด้วยกำลังของแอมป์ที่สูงกว่า เหมาะสมกับความต้องการของลำโพงมากกว่า จึงส่งผลกระทบออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่มิติเสียงที่มีโฟกัสคมชัด เวทีเสียงที่แผ่กว้างออกไปรอบด้านทั้งกว้าง, ลึก และสูง แถมแยกมิติด้านลึกออกมาได้เป็นเลเยอร์ที่ชัดเจน และอีกคุณสมบัติที่เซอร์ไพร้มาก นั่นคือ ทรานเชี้ยนต์ไดนามิกที่ให้สปีดการตอบสนองที่ฉับไว ครบตลอดย่านเสียงตั้งแต่แหลมลงไปถึงทุ้ม

อินติเกรตแอมป์ Audiolab 9000A มีตัวเลขกำลังขับ สูงกว่าModel 40n และ Stereo 230 อยู่ประมาณ 30% ซึ่งตอนแรกผมคิดว่ากำลังขับที่ต่างกันแค่ 30W ไม่น่าจะแสดงความแตกต่างของเสียงออกมาให้เห็นได้ชัด ผมเลยจัดแอมป์ทั้งสามตัวนี้ไว้ในกลุ่มเดียวกัน แต่พอถึงขั้นตอนทดลองฟังเสียงร่วมกับ RP-500M II ผมจึงพบว่าเข้าใจผิด เพราะกำลังขับ 30W ของ 9000A ที่มากกว่า Model 40n และ Stereo 230 นั้นมันมีนัยยะทางเสียงให้รับรู้ได้ชัดพอสมควร

ถ้าฟังเพลงช้าๆ ที่มีภาคดนตรีไม่ซับซ้อนมาก ไดนามิกเร้นจ์ไม่ได้สวิงกว้างมาก เสียงที่ 9000A แสดงออกมาผ่านทาง RP-500M II ก็แทบจะไม่ต่างจากตอนขับด้วย Model 40n และ Stereo 230 เลย คือถ้าพิจารณาในแง่ คุณภาพเสียงถือว่าออกมาใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าเล่นเพลงที่ดุดันขึ้นมาอีกหน่อย มีเลเยอร์ของดนตรีที่สลับซับซ้อนมากกว่า มีอัตราสวิงไดนามิกที่เปิดกว้างขึ้น มีทรานเชี้ยนต์ของหัวเสียงที่รุนแรงมากขึ้น เมื่อฟังเทียบกันแบบ A-B Test จะรู้สึกได้เลยว่า 9000A ทำคะแนนได้เหนือกว่า Model 40n และ Stereo 230 ประมาณ 10-15% คือมัน (9000A) สามารถถ่ายทอดสปีดและอิมแพ็คของหัวเสียงแรกสัมผัสออกมาได้ “คม” กว่า Model 40n และ Stereo 230 นิดหน่อย ส่งผลให้รู้สึกได้ว่า 9000A ดันเสียงออกมาจาก RP-500M II ออกไปทางสดและเปิดกระจ่างมากกว่า นับรวมๆ ก็คือ 10-15% ที่บอกนั่นเอง

เซ็ตอัพ

ความกว้างของห้องฟังของผมวัดได้ 3.6 เมตร คำนวนตามสูตร ความกว้าง x 1.5 = ความลึกได้ความลึกที่ลงตัวอยู่ที่ 5.4 เมตร ระยะห่างผนังด้านหลังของลำโพงในห้องนี้ที่คำนวนจากสูตร ความลึก /3 = 1.8 เมตรโดยมีระยะดันถอยหลังเพื่อปรับจูนโทนัลบาลานซ์อยู่ที่ ความลึก /5 = 1.08 เมตร

ผมไฟน์จูนหา โฟกัสของเสียงที่ออกมาจาก RP-500M II โดยเริ่มต้นด้วยการเซ็ตอัพลำโพงทั้งสองข้างที่ระยะห่างซ้ายขวาเท่ากับ 180 .. วางหน้าตรง และขยับลำโพงทั้งสองข้างชิดเข้า/ถ่างออกแล้วฟังจนได้จุดที่เสียงจากลำโพงซ้ายขวาซ้อนทับกันสนิทจริงๆ ที่ระยะห่างซ้าย/ขวาอยู่ที่ 160 .. จากนั้นก็ทดลองขยับตำแหน่งลำโพงเดินหน้า/ถอยหลังเพื่อปรับจูนหาโทนัลบาลานซ์ของเสียงโดยรวม ซึ่งหลังจากขยับแล้วฟังดูจนได้ความสมดุลของปริมาณความถี่ทุ้มกลางแหลมของลำโพงคู่นี้แล้ว ปรากฏว่าจุดลงตัวของโทนัลบาลานซ์ของ RP-500M II ในห้องฟังของผมอยู่ที่ระยะห่างผนังหลังเท่ากับ 180.5 .. ห่างจากระยะความลึกหารด้วยสามแค่ 0.5 .. เท่านั้น แสดงว่า ลำโพงคู่นี้ไม่ได้ต้องการให้วางชิดผนังด้านหลัง มันสามารถวางห่างผนังหลังได้เยอะโดยที่ยังให้เสียงทุ้มที่มากพอ อยู่ในระดับสมดุลย์กับเสียงในย่านกลางและแหลม ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ทำให้ลำโพงคู่นี้สามารถถ่ายทอดเลเยอร์ของความลึกของเวทีเสียงออกมาได้ดีด้วย

ระยะห่างซ้าย/ขวา และระยะห่างผนังหลังที่ได้มานี้สามารถใช้กับแอมป์ 3 ตัว คือ Marantz Model 40n, LEAK Stereo 230 และ Audiolab 9000A ซึ่งให้เสียงโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ ส่วนตอนทดลองไฟน์จูนกับ Onkyo A-9110 ผมต้องดันลำโพงทั้งสองข้างลงไปชิดผนังหลังประมาณ 10 .. (คืออยู่ที่ 170 ..) จึงได้สมดุลเสียงที่ดีและได้เบสที่ควบคุมได้ ส่วนตอนขับด้วยแอมป์หลอด Saturn Signature ได้เสียงออกมาในสไตล์ที่หลายคนชอบคืออวบอิ่ม มีเนื้อมวลนุ่มหนา แต่กับเพลงเร็วๆ ที่มีจังหวะกระชั้นๆ จะติดอืดๆ อยู่นิดหน่อย (แต่ส่วนมากคนที่ชอบแอมป์หลอดจะไม่ชอบฟังเพลงแนวนี้อยู่แล้ว.!)

เสียงของ RP-500M II

สัจจะธรรมที่มั่นคงไม่เสื่อมคลายก็คือ ไม่มีลำโพงคู่ไหนดีที่สุดในโลก แต่ถ้าจำกัดงบประมาณไว้ในระดับ ไม่เกิน 30,000 บาท/คู่บางทีนะ… หลังจากที่มีโอกาสทดลองฟังอย่างหนักหน่วงมาแล้ว ผมคิดว่า Klipsch RP-500M II คู่นี้อาจจะเป็นลำโพงที่ ดีที่สุดในงบประมาณไม่เกิน 30,000 บาทก็ได้ หรือถ้าในงบไม่เกิน 30,000 บาทจะมีลำโพงที่ดีที่สุดพอๆ กันอยู่มากกว่า 1 คู่ ผมก็ยังขอยืนยันว่า RP-500M II ของ Klipsch คู่นี้คือหนึ่งในนั้น.!!!

ดีที่สุดในงบจำกัด.? ถูกต้อง.!! ในเมื่อสัจจะธรรมคือไม่มีลำโพงคู่ไหนดีที่สุดในโลก แล้วเพราะอะไร ผมจึงยืนยันว่าลำโพงที่มีราคาไม่เกินสามหมื่นคู่นี้เป็นหนึ่งในลำโพงที่ดีที่สุดในงบประมาณที่ว่านี้ เหตุผลก็เพราะผมพบว่า Klipsch RP-500M II คู่นี้ใช้งบประมาณสำหรับค่าตัวของมันจัดการกับความถี่ในย่าน 50Hz – 25kHz ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ออกมาเป็น ความถี่เสียงที่มีคุณสมบัติของ ความเป็นดนตรีสูงมาก.! ซึ่งคำว่า เสียงที่เป็นดนตรีนี่แหละที่ผมใช้ประเมินตัดสินคุณค่าของลำโพงคู่นี้.!

อัลบั้ม : Bass Themes (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Mo Foster
สังกัด : Angel Air

อัลบั้ม : Up Close (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Benni Chawes
สังกัด : Stunt Records

ไม่เถียงครับว่า ทวีตเตอร์แบบฮอร์นโหลดคือจุดเด่นของ RP-500M II คู่นี้ แต่ถ้าผมจะบอกคุณว่า เสียงทุ้มของลำโพงคู่นี้มันคือความมหัศจรรย์ มันคือดีมาก ดีแบบนึกไม่ถึง.! คุณจะเชื่อผมมั้ย.?

ผมเชื่อว่า หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงจะเกิดความสงสัย เพราะเมื่อวกกลับไปพิจารณาที่รูปร่างของลำโพงคู่นี้แล้ว คุณคงเห็นว่า ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้ในลำโพงคู่นี้มีขนาดแค่ 5.25 นิ้ว เท่านั้น.. แต่เอาจริงๆ แล้ว ผู้ผลิตเขาวัดรวมขอบยางเข้าไปด้วย ถ้าวัดเฉพาะเส้นผ่าศูนย์กลางของกรวยไดอะแฟรมที่เป็นสีทองแดงอย่างเดียว ไม่รวมขอบยาง จะได้แค่ 4 นิ้ว เท่านั้น นั่นซิ.. กรวยมันเล็กขนาดนั้น เสียงทุ้มมันจะดีได้ยังไง.??

ถามแบบนี้ ตอบไม่ได้ เพราะผมไม่มีความรู้เรื่องออกแบบลำโพงอย่างลึกซึ้ง แต่ยึดจากผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองฟังสองอัลบั้มข้างต้น ซึ่งเป็นอัลบั้มที่บันทึกเสียงทุ้มได้โดดเด่นมากเป็นพิเศษ ถ้าลำโพงจัดการกับเสียงในย่านทุ้มได้ไม่ดีจริง คุณจะไม่มีทางได้ยินเสียงเบสในเพลง ‘Driving Venturaของ Mo Foster ที่มีมวลหนา ใหญ่ และกระชับ ดีดเด้งออกมาพร้อมกัน เป็นเสียงทุ้มที่ได้ยินแล้วบอกตรงๆ ว่า อึ้ง.! คือถ้านี่เป็นเสียงทุ้มที่ออกมาจากลำโพงตั้งพื้นวูฟเฟอร์สัก 8 หรือ 10 นิ้วจะไม่แปลกใจเลย แต่ที่วางอยูบนขาตั้ง Atacama XL600 ข้างหน้าผมตอนนี้มันคือ Klipsch RP-500M II ที่ใช้วูฟเฟอร์ที่มีขนาดแค่ห้านิ้วนิดๆ เท่านั้น.!! และแอมป์ที่ใช้ขับก็คือ LEAK Stereo 230 ที่มีกำลังขับแค่ 70W ต่อข้างเท่านั้น..

ผมไม่ได้เชียร์เว่อร์ๆ นะสาบานได้ จริงๆ แล้ว ลำโพงสองทางตัวเล็กๆ ที่ให้เบสลูกใหญ่ๆ ที่ผมเคยเจอมาก็มีอยู่หลายตัว แต่เบสที่ RP-500M II คู่นี้ให้ออกมามันไม่เหมือนกับเบสใหญ่ๆ บวมๆ ที่ลำโพงเหล่านั้นพยายามเบ่งออกมา คือเบสที่ RP-500M II ให้ออกมานี้มันมีองค์ประกอบครบ ตั้งแต่หัวเสียง ที่เกิดจากสัมผัสแรกของโน๊ต ตามมาด้วยบอดี้ที่มีมวลอวบหนา และตบท้ายด้วยหางเสียงที่แผ่กระจายตามหลังบอดี้ออกมาเป็นลำดับอย่างมีขั้นตอน แสดงว่ามันควบคุมไทมิ่งในย่านทุ้มได้ดีมาก ส่วนที่ให้ออกมาน้อยไปหน่อยก็คือส่วนที่เป็น ฐานเบสที่ยังไม่แผ่เป็นคลื่นพลังงานออกมาคลุมพื้นห้องมากเท่ากับที่ลำโพงขนาดใหญ่ทำได้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่โทษมันอยู่แล้วในแง่นี้ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าลำโพงที่ทำได้ดีกว่า RP-500M II ในแง่นี้ต้องเป็นลำโพงที่มีขนาดใหญ่กว่า หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นลำโพงที่มีราคาสูงกว่าหลายเท่า..

อัลบั้ม : 18 Famous Works (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : HQ High Quality CD

อัลบั้มชุด 18 Famous Works นี้เป็นอัลบั้มรวมเพลงเด่นๆ ที่บันทึกเสียงดีของศิลปินหลายคนอยู่ในนั้น เป็นแผ่นซีดีที่ผลิตในจีน ในนั้นมีเพลงร้องแนวโอเปอราติค พ๊อพอยู่เพลงหนึ่งชื่อเพลงว่า ‘Opera #2ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินนักร้องเพลงโอเปร่าชาวรัสเซีย ชื่อว่า Vitaliy Vladasovich Grachev ซึ่งชื่อที่เขาใช้ในนามของศิลปินก็คือ Vitas

Vitas เล่นแอคคอเดี้ยนและร้องเพลงไปด้วย จุดเด่นของเพลงนี้อยู่ที่พลังเสียงสูงระดับ falsetto ของเขา เมื่อผสมผสานกับลีลาของท่วงจังหวะเพลงที่ฉุดกระชากอย่างรุนแรง ช่วยส่งให้เอนเนอจี้ของเพลงนี้ระเบิดออกมาจนล้นทะลัก นอกจากเสียงร้องที่แหลมปรี๊ดของเขาแล้ว ยังมีเสียงดนตรีอื่นๆ อัดประสานออกมาพร้อมกันด้วย เสียงที่ระเบิดออกมาจึงมีครบทุกย่านความถี่ ตั้งแต่แหลมกลางทุ้ม ประเดประดังกันอย่างเมามันมาก ซึ่งช่วงพีคของเพลงนี้มันอลหม่านมาก บอกได้เลยว่า ถ้าลำโพงจัดการกับความถี่หลักๆ ทุ้มกลางแหลมที่พ่นพลังงานสูงๆ ออกมาพร้อมกันได้ไม่ดีพอ เสียงของเพลงนี้จะออกมาเละเทะมาก เสียงรวมๆ จะเจี๊ยวจ๊าวแสบแก้วหู รายละเอียดเสียงจะตีรวนปนกันอีลุงตุงนัง แยกแยะอะไรไม่ออก เรื่องอรรถรสของความเป็นดนตรีไม่ต้องพูดถึง แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า RP-500M II คู่นี้จะสามารถถ่ายทอดความอลหม่านของเพลงนี้ออกมาได้ดีเหลือเชื่อ.. มัน (ลำโพงคู่นี้) จัดการกับพลังเสียงของแต่ละความถี่ได้อย่างเป็นระเบียบ ทุกเสียงแผดพลังกันออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ปนกันจนทั่ว ฟังไปทึ่งไป ไม่นึกว่าลำโพงตัวเล็กๆ เท่านี้จะสามารถรับมือกับพลังอันหนักหนาสาหัสของเพลงนี้ได้ดีขนาดนี้.. สุดยอดจริงๆ !!!

อัลบั้ม : Always On My Mind (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Willie Nelson
สังกัด : CBS

โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความเห็นว่า เพลง ‘Bridge Over Troubled Waterเวอร์ชั่นที่วิลลี่ เนลสันนำมาคัฟเวอร์ไว้ในอัลบั้มนี้ เป็นหนึ่งในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเพลงนี้ ทุกองค์ประกอบมัน (ฟัง) ดูลงตัวมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของวิลลี่ เนลสันที่ติดเหน่อตามสไตล์นักร้องคันทรี่ตัวจริง ไปจนถึงภาคดนตรีที่เรียบเรียงได้สวยงาม แม้ว่าจะไม่ได้วิลิศมาหราอะไรมาก ไม่ได้อิมโพรไวด์ไปจากเดิมมาก แต่ก็ฟังดูลงตัว จะมีที่ฟังดูว่ามันออกจาก โดดออกมาจากองค์ประกอบอื่นๆ อยู่บ้างก็คือเสียงกลองที่ออกมาวาดลวดลายตอนท้ายๆ เพลง ไม่แน่ใจว่าคนมิกซ์ตั้งใจ หรือโปรดิวเซอร์สั่งให้ทำ ทั้งเสียงกระเดื่องและเสียงสแนร์มันทั้งหนักและกระแทกกระทั้นอารมณ์มาก ซึ่งตอนแรกที่เสียงกลองยังไม่มา ทุกอย่างก็ดูเหมาะสมสำหรับลำโพงสองทางขนาดเล็กที่สามารถทำได้ คือกระจายรายละเอียดเสียงให้แผ่ขยายออกไปวางตัวก่อร่างเป็นสนามเสียงบนพื้นที่อากาศที่อยู่รอบๆ ตัวลำโพง ทั้งเสียงร้อง เสียงกีต้าร์ และเสียงเบส ทั้งหมดนั้นฟังดูสมดุลย์กันดี แต่ตอนท้ายกลองเข้ามาแย่งซีนไปหมด แต่จะว่าไปแล้ว.. ลักษณะของเสียงกลองที่มิกซ์มาในเพลงนี้มันก็มีส่วนช่วยส่งให้ท่อนจบของเพลงมีมูพเม้นต์ที่มีสีสันน่าสนใจมากกว่าที่จะปล่อยให้จบลงไปแบบหงอยๆ

ทันทีที่เสียงกระเดื่องกลองในเพลงนี้ดังออกมา ผมรู้สึกสะดุ้งนิดนึง คือนึกไม่ถึงว่าลำโพงตัวแค่นี้จะให้เสียงทุ้มต่ำๆ ของกระเดื่องกลองในเพลงนี้ออกมาได้อึกกระทึกเยี่ยงนี้.! มันทั้งหนักและแน่นปึ้ก กระชับเก็บตัวดีซะด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินเสียงแบบนี้จากลำโพงสองทางตัวเล็กๆ คู่นี้

เสียงร้องของวิลลี่ เนลสันในแทรคนี้ก็ใช้เป็นประจักษ์พยานได้ดีที่สะท้อนถึงความสามารถในการถ่ายทอดเสียงในย่านกลางของ RP-500M II ที่มีคุณภาพอยู่ในระดับสูงกว่าราคาค่าตัวของมันไปไกล ตัวเสียงให้โฟกัสที่ชัดเจน มีมวลเนื้อที่อิ่มแน่น และให้คอนทราสน์ที่ดี ส่งผลกับอารมณ์ของเพลงที่ฟังแล้ว อินไปได้ตลอดทั้งเพลง

อัลบั้ม : เสือตัวที่ 11 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
สังกัด : RS

ผมไม่ควรคาดหวังอะไรมากจากลำโพงที่มีราคาคู่ละไม่ถึง 30,000 บาท ขอแค่มันให้เสียงเพลงที่ฟังแล้วรับรู้ได้ถึง “ความเป็นดนตรี” ออกมา เท่านั้นก็พอแล้ว แต่เมื่อผมทดลองฟังอัลบั้มนี้ ลำโพงคู่นี้ก็ทำให้ผมต้องประเมินมันใหม่ เพราะไม่ใช่แค่ “ความเป็นดนตรี” เท่านั้นที่มันถ่ายทอดออกมาให้ผมได้ยิน เมื่อผมทดลองฟังเพลง “ช่างมัน ฉันไม่แคร์” ลำโพงคู่นี้ได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่เหนือกว่านั้นขึ้นไปอีกขั้น นั่นคือ มันมีคุณสมบัติที่เป็น “มอนิเตอร์” อยู่ในตัวด้วย เพราะลำโพงคู่นี้สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เป็นเสียงร้องของพงษ์สิทธิ์และหงา คาราวาน ที่ถูกต้องออกมาให้ได้ยิน.!

สรุป

แทบจะไม่ต้องสรุปอะไรอีก เพราะสิ่งที่ RP-500M II แสดงออกมาให้ได้ยินมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวของมันเองแล้ว สิ่งที่มันทิ้งไว้ก็คือ ความทึ่งต่อความสามารถของลำโพงราคาไม่ถึงสามหมื่นที่ทำได้ดีเกินคาดไปมาก.!!!

สิ่งที่คุณต้องรับรู้เพิ่มเติมก็คือว่า แม้ว่าลำโพงคู่จะมีราคาไม่สูง แต่มันก็ต้องการซิสเต็มที่มีสมรรถนะสูงพอสมดวรในการที่จะสามารถ ดึงประสิทธิภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนั้น RP-500M II ยังไวต่อการเซ็ตอัพตำแหน่งอีกด้วย สาเหตุก็คงเป็นเพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นลำโพงระดับ Reference Premiere นั่นเอง ซึ่งความละเอียดพิถีพิถันในการเซ็ตอัพของคุณจะถูกตอบแทนกลับมาด้วยคุณภาพเสียงที่น่าทึ่งจากลำโพงคู่นี้..!!!

******************************
HIGHLY RECOMMENDED!
******************************
ราคา : 27,900 บาท / คู่
**********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
Sound Republic
โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6
website: sound-republic.com

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า