ใครติดตามพัฒนาการของระบบเสียงสำหรับโรงภาพยนตร์ในบ้าน ที่เรียกว่า “โฮมเธียเตอร์” หรือ “โฮมซินีม่า” มาตลอดยี่สิบ–สามสิบปีต่อเนื่อง จะพบว่า มีอยู่อย่างหนึ่งที่ถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นมาตลอด นั่นคือ “จำนวนแชนเนล” ของระบบเสียง ซึ่งยิ่งระบบเสียงในบ้านพัฒนามากขึ้นไปแค่ไหน ดูเหมือนว่ามีแต่จะทำให้จำนวนลำโพงเพิ่มมากขึ้นไปไม่สิ้นสุด.!!
ก็จริงที่ว่า ถ้ามีลำโพงล้อมอยู่รอบตัวเรา เราก็จะได้ยินเสียงที่ห้อมล้อมตัวเราจริงๆ มากขึ้น แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนลำโพงมาก็คือ “งบประมาณ” ในการให้ได้มาซึ่งระบบเสียงที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนั้น..
ระบบเสียงเซอร์ราวนด์รูปแบบต่างๆ
ถ้านับถึงปัจจุบัน ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่คิดค้นขึ้นมาใช้กับระบบเสียงภาพยนตร์ภายในบ้าแยกออกได้เป็น 3 กลุ่ม ด้วยกัน
กลุ่มที่หนึ่ง : Channel-based audio
กลุ่มที่สอง : Object-based audio (3D sound)
กลุ่มที่สาม : Virtualization & other technology
แบบแรก Channel-based audio นั้นเป็นระบบเซอร์ราวนด์ยุคเก่าที่ใช้วิธี mapping สัญญาณเสียงเซอร์ราวนด์ลงไปตามจำนวนแชนเนล อย่างเช่น 5.1 ch หรือ 7.1 ch ซึ่งระบบแบบนี้ถ้าจะให้ได้เสียงออกมาล้อมรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ จำเป็นต้องใช้ลำโพงที่มีจำนวน “เท่ากับ” ที่ระบุไว้ในฟอร์แม็ตนั้นๆ อย่างเช่น 5.1 ch ก็ต้องใช้ลำโพงเซอร์ราวนด์รอบตัวจำนวน 5 แชนเนล บวกกับ ซับวูฟเฟอร์ อีกหนึ่งตัว ถ้าขาดแชนเนลใดไป ความเป็นเซอร์ราวนด์ก็จะออกมาไม่สมบูรณ์ ซึ่งการพัฒนาระบบเซอร์ราวนด์แบบ Channel-based audio ให้ดีขึ้นไป จำเป็นต้องใช้ลำโพงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้าพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็อาจจะไปถึงจุดจำกัดในการนำมาใช้งานจริง ฟอร์แม็ตของระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบ Channel-based audio กลุ่มนี้ก็มี Dolby Digital 5.1 ch, Dolby Digital Plus 7.1 ch, Dolby TrueHD 7.1 ch, DTS 5.1 ch และ DTS-HD Master Audio 7.1 ch
แบบที่สอง Object-based audio เป็นระบบเซอร์ราวนด์ยุคใหม่ที่ใช้วิธีควบคุมการเคลื่อนที่ของเสียงโดยให้ความสำคัญไปที่ตัวเสียงของวัตถุที่เคลื่อนที่ไปในสนามเสียงโดยไม่อ้างอิงกับจำนวนแชนเนล มีการพัฒนาซอฟท์แวร์โปรเซสเซอร์ที่ทันสมัย ประมวลผลเร็ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ลำโพงจำนวนมากอย่างที่ควรจะเป็นในการสร้างสนามเสียงล้อมรอบ 360 องศา ที่ไม่ได้มีแต่ล้อมรอบตัว แต่โอบขึ้นไปถึงด้านบนด้วย (แต่ถ้าใช้ลำโพงจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้ได้ความเป็นเซอร์ราวนด์ที่ดีขึ้น) ซึ่งฟอร์แม็ตของระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบ Object-based audio กลุ่มนี้ก็มี Dolby Atmos, DTS:X, Auro-3D และ MPEG-H 3D Audio นอกจากนั้น ก็ยังมีระบบเสียง 3D ที่ออกแบบมาสำหรับฟังเพลงรวมอยู่ด้วย อย่างเช่นฟอร์แม็ต 360 Reality Audio ของค่าย Sony
ส่วนแบบที่สาม Virtualization and other technologies กลุ่มนี้เป็นระบบเสียงที่ใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเข้ามา “จำลอง” ให้เกิดสนามเสียงที่ทำให้รู้สึกเสมือนว่าโอบล้อมทั้งด้านข้างและด้านบน ฟอร์แม็ตของระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบ Virtualization and other technologies กลุ่มนี้ก็มี Dolby Atmos Height Virtualization, DTS Virtual X, THX และ IMAX Enhanced
การที่จะทำให้ได้มาซึ่งระบบเสียงเซอร์ราวนด์ทั้งสามกลุ่มข้างต้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยทั้งส่วนของคอนเท้นต์ คือภาพยนตร์ที่บันทึกเสียงฟอร์แม็ตเหล่านั้นมา รวมไปถึงต้องมีฮาร์ดแวร์คือลำโพง, แอมป์ และโปรเซสเซอร์ที่เข้ามาใช้ในระบบด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการเซ็ตอัพระบบเสียงแบบนั้นขึ้นมา
ลำโพง Soundbar คือทางออกสำหรับคนที่มีงบจำกัด แต่ต้องการได้รับประสบการณ์ในการสัมผัสกับระบบเสียงเซอร์ราวนด์เหล่านั้น หรือแม้แต่คนที่มีงบมากพอแต่พื้นที่อยู่อาศัยในเมืองที่ค่อนข้างจำกัด อย่างเช่นอาศัยอยู่บนคอนโดในเมืองใหญ่ แต่อยากจะสัมผัสกับระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็ต้องอาศัยลำโพงซาวนด์บาร์นี่แหละ
KEF รุ่น XIO Soundbar
An all-in-one solution to cinematic sound
ลำโพงซาวนด์บาร์ “บางส่วน” ถูกทำออกมาขายคนที่มีความจำกัดทางด้านพื้นที่ให้มีโอกาสได้เอาไปใช้ แต่ไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียง มีผลให้เสียงของลำโพงซาวนด์บาร์เหล่านั้นออกมาไม่ดี..
ทำไมลำโพงซาวนด์บาร์เหล่านั้นถึงให้เสียงออกมาไม่ดี.? เพราะมันถูกจำกัดด้วยขนาดตัวตู้นั่นเอง เนื่องจากลำโพงซาวนด์บาร์ถูกจำกัดให้มีขนาดเล็ก และมีรูปทรงที่เรียวยาว เพื่อให้เหมาะสมกับการติดตั้งใช้งานภายในพื้นที่จำกัด นั่นบีบบังคับไดเวอร์ที่ใช้เพื่อสร้างความถี่เสียงจำต้องมีขนาดที่ย่อเล็กลงไปด้วย เหตุนี้เอง ถ้าไม่มีการคิดค้นเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ปล่อยให้ไดเวอร์เล็กๆ เหล่านั้นทำงานกันไปตามสภาพ ก็คงยากที่จะทำให้ลำโพงซาวนด์บาร์ตัวบางๆ แบนๆ เหล่านั้นให้เสียงที่ดีออกมาได้ แค่ให้เสียงที่มีมวลเนื้ออิ่มฉ่ำแบบลำโพงตู้ทั่วไปก็ยากแล้ว อย่าไปหวังเสียงที่มีมิติล้อมรอบตัว.. ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่.!!
KEF เป็นแบรนด์ผู้ผลิตลำโพงที่มีเทคโนโลยีสะสมอยู่มาก และอาศัยที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ มีทุนหนา พวกเขาจึงสามารถกำหนดเป้าหมายในการออกแบบลำโพงซาวนด์บาร์ให้ได้ผลลัพธ์ออกมา “สูงกว่า” เกณฑ์มาตรฐานทั่วไปได้ คือไม่ใช่แค่ให้มีรูปทรงกระทัดรัดเหมาะสมกับการใช้งานในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัดเท่านั้น แต่ต้องให้เสียงที่มีสนามเสียงโอบล้อม เป็นสามมิติ ออกมาตรงตามเป้าหมายที่ฟอร์แม็ตต่างๆ บันทึกมาให้ได้มากที่สุดด้วย
ไดเวอร์ 12 ตัว เพื่อระบบเสียงเซอร์ราวนด์ 5.1.2 แชนเนล
เนื่องจากฟอร์แม็ตเซอร์ราวนด์ 5.1 ch เป็นแพลทเทิ้น “พื้นฐาน” ของทั้งระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบ Channel-based audio และ Object-based audio ด้วยเหตุนี้ ซาวนด์บาร์รุ่น XIO ของ KEF ตัวนี้จึงถูกออกแบบมาให้สามารถถ่ายทอดเสียงในระบบเซอร์ราวนด์พื้นฐาน 5.1 ch ออกมาได้อย่างเต็มที่มากที่สุดด้วยการใช้ไดเวอร์ จำนวน 12 ตัว ที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวถังของ XIO มีผลให้ XIO สามารถตอบสนองกับระบบเสียงเซอร์ราวนด์ได้ครอบคลุมรูปแบบ (pattern) ของการกระจายคลื่นเสียงของฟอร์แม็ตต่างๆ ได้ครบทั้งแบบ Channel-based audio และ Object-based audio ในตัวเดียว
ไดเวอร์ทั้ง 12 ตัว ที่ใช้อยู่ในลำโพงซาวนด์บาร์ XIO ตัวนี้แยกออกได้เป็น 3 กลุ่ม ด้วยกัน ประกอบด้วยรุ่น Uni-Q MX จำนวน 6 ตัว, แบบ full range ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ตัว และรุ่น P185 จำนวน 4 ตัว ซึ่งภาพด้านบนนั้น แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งติดตั้งไดเวอร์ทั้ง 12 ตัวในตัว XIO ซึ่งไดเวอร์แต่ละตัวจะถูกกำหนดให้รับหน้าที่ในการถ่ายทอดคลื่นเสียงแต่ละแชนเนลของระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่เป็นฟอร์แม็ต 5.1.2 แชนเนล
ถ้าสังเกตลักษณะการติดตั้งไดเวอร์ทั้ง 12 ตัว ให้ดี จะเห็นว่า ตำแหน่งของไดเวอร์ Uni-Q ‘MX’ ทั้ง 6 ตัว จะเรียงกันเป็น 2 ชุด คือ L-C1-R กับ Lh-C2-Rh ซึ่งไดเวอร์ Uni-Q ‘MX’ ทั้ง 2 ชุดนี้จะสลับกันทำงานระหว่าง 3 แชนเนล ที่ยิงออกมาทางด้านหน้า กับ 3 แชนเนล ที่ยิงขึ้นด้านบน ขึ้นอยู่กับลักษณะการติดตั้งของคุณ ตามภาพข้างบน ถ้าคุณวางลำโพง XIO Soundbar ไว้บนโต๊ะหน้าทีวี (แบบ ‘On a shelf’ ทางซ้ายมือ)ไดเวอร์ชุด L-C1-R จะทำหน้าเป็นลำโพง 3 แชนเนลหน้า ที่ยิงเสียงเข้าหาผู้ฟัง ส่วนไดเวอร์อีกชุดคือ Lh-C2-Rh จะทำหน้าที่เป็น height channel ยิงเสียงขึ้นด้านบนตามมาตรฐานของระบบเสียง 3D audio (Dolby Atmos, DTS:X, MPEG-H Audio และ 360 Reality Audio) แต่ถ้าคุณติดตั้งลำโพง XIO Soundbar ไว้บนผนังใต้ทีวี (‘On a wall’ ทางขวามือ) ไดเวอร์ชุด Lh-C2-Rh จะถูกสลับให้ทำหน้าที่เป็นลำโพง 3 แชนเนลหน้า ที่ยิงเสียงเข้าหาผู้ฟัง ส่วนไดเวอร์อีกชุดคือ L-C1-R ก็จะถูกสลับให้ทำหน้าที่เป็น height channel ยิงเสียงขึ้นด้านบนตามมาตรฐานของระบบเสียง 3D audio (Dolby Atmos, DTS:X, MPEG-H Audio และ 360 Reality Audio) แทน..
อ๊ะ.. สลับได้ยังไง.??
Intelligent Placement Technology (IPT)
ที่ตัวลำโพง XIO Soundbar มีไมโครโฟนขนาดเล็กติดตั้งอยู่ 2 ตัว สองตำแหน่ง พร้อมระบบเซ็นเซอร์ เอาไว้รับเสียงจากภายนอก ซึ่งจะทำให้รู้ว่าขณะนั้นตัวลำโพง XIO Soundbar ถูกจัดวางอยู่ในลักษณะไหน ระหว่างวางนอนลงบนโต๊ะหน้าทีวี หรือติดบนผนังใต้ทีวีแบบตั้งขึ้น หลังจากไมโครโฟนที่ว่ารองรับลักษณะเสียงภายนอกเข้าไปแล้ว ลักษณะเสียงนั้นจะถูกส่งไปที่วงจรโปรเซสเซอร์ (DSP) ที่อยู่ด้านในเพื่อทำการสลับการทำงานของไดเวอร์ทั้ง 2 ชุด (6 ตัว) ให้ถ่ายทอดเสียงออกมาตรงกับลักษณะการติดตั้งใช้งานของคุณ ซึ่งเทคโนโลยีที่วิศวกรของ KEF คิดค้นขึ้นมาใช้เพื่อจัดการสลับแชนเนลให้ตรงกับลักษณะของการติดตั้งตัวลำโพง XIO Soundbar ที่ว่านี้มีชื่อว่า Intelligent Placement Technology (IPT)
นอกจากนั้น DSP ที่เขียนขึ้นมาใหม่นี้ ยังทำงานร่วมกับชิปอัฉริยะ MIE ที่อยู่ในตัว XIO Soundbar ในการจัดการและปรับแต่งเสียงด้วย EQ อีกด้วย โดยมุ่งไปที่ระบบเสียงมัลติแชนเนลโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการทางด้าน headroom, ควบคุมไดนามิกของเสียงทุ้ม และจัดการความชัดเจนของสัญญาณ รวมถึงอัพมิกซ์สัญญาณอินพุตโมโนและสเตริโอเพื่อสร้างให้เป็นสัญญาณเซอร์ราวนด์เทียม (Virtualisation) ขึ้นมา
ไดเวอร์รุ่น Uni-Q MX
ไดเวอร์กรวยไดนามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ตัวนี้ เป็นไดเวอร์ที่ออกแบบขึ้นมาด้วยแนวคิดเดียวกับไดเวอร์ Uni-Q ที่เป็นเอกลักษณ์ของ KEF เอง นั่นคือเอาไดเวอร์โดม “ทวีตเตอร์” ที่ใช้ขับความถี่ในย่านแหลมไปฝังไว้ในใจกลางของไดเวอร์ “มิดเร้นจ์” ที่ใช้ขับความถี่ในย่านกลาง
วิศวกรที่ KEF ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับไดเวอร์ตัวนี้ด้วยการออกแบบให้โดมทวีตเตอร์กับกรวยมิดเร้นจ์ทำงานสัมพันธ์กันไปตามระดับความถี่ที่ป้อนเข้ามาโดยใช้ระบบขับเคลื่อน (วอยซ์คอย + แม่เหล็ก) แค่ชุดเดียวเพื่อให้ความถี่ในย่านแหลมลงมาถึงกลางมีจุดกำเนิดจากจุดเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อโฟกัสของเสียงที่คมชัดตามหลักการของไดเวอร์แบบ point source นั่นเอง
พวกเขา (วิศวกรที่ KEF) ได้ออกแบบส่วนประกอบสำคัญชิ้นหนึ่ง เรียกว่า mechanical crossover ‘MX‘ ขึ้นมาติดตั้งไว้ระหว่างโดมทวีตเตอร์กับไดอะแฟรมของกรวยมิดเร้นจ์ คือตอนที่ความถี่ในย่านกลางและทุ้มผ่านเข้ามาที่ไดเวอร์ตัวนี้ ทั้งโดมทวีตเตอร์และกรวยมิดเร้นจ์จะเคลื่อนขยับตัวไปพร้อมกัน ซึ่งมูพเม้นต์นี้โดมทวีตเตอร์จะทำงานเป็น dustcap เมื่อความถี่สูงขึ้นไปอยู่ในย่านแหลม ชิ้นส่วนที่เป็น mechanical crossover ชิ้นนี้จะปล่อยให้โดมทวีตเตอร์เคลื่อนที่เพื่อสร้างความถี่สูงอย่างเดียว แผ่นไดอะแฟรมมิดเร้นจ์ไม่ขยับตัว ทำให้ได้เสียงแหลมที่ชัดเจน ถือว่าเป็นการออกแบบไดเวอร์ที่ชาญฉลาดมาก เพราะสามารถทำให้ไดเวอร์ Uni-Q มีขนาดที่เล็กลงได้ ในขณะเดียวกันก็ยังได้มรรคผลจากการทำงานของไดเวอร์ทวีตเตอร์ + มิดเร้นจ์แบบ point source อย่างเต็มที่อีกด้วย
ไดเวอร์ Uni-Q ‘MX’ จำนวน 6 ตัว ถูกใช้อยู่ภายในตัว XIO Soundbar ตรงตำแหน่งแชนเนลหลักของระบบ
ไดเวอร์ขับทุ้มรุ่น P185
เป็นไดเวอร์รูปวงรี ที่มีขนาด กxย เท่ากับ 2 นิ้ว x 7 นิ้ว ไดอะแฟรมทำด้วยอะลูมิเนียม ใช้ใน XIO Soundbar จำนวน 4 ตัว ทำหน้าที่สร้างความถี่ต่ำ ซึ่งคำนวนพื้นที่ของไดอะแฟรมของไดเวอร์ P185 แต่ละตัวแล้ว จะมีพื้นที่เท่ากับไดเวอร์ทรงกรวยกลมปกติที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว ดังนั้น เสียงทุ้มที่สร้างขึ้นด้วยไดเวอร์ P185 ทั้ง 4 ตัวในลำโพง XIO Soundbar ตัวนี้ จะสามารถสร้างมวลความถี่ต่ำออกมาได้มากเท่ากับลำโพงตู้ทั่วไปที่ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 4 นิ้ว สี่ตัวช่วยกัน.!!
ขอบยาง P-Flex ของไดเวอร์ P185 ที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่างขอบของไดอะแฟรมและโครงหลักซึ่งทำหน้าที่ยืดหยุ่นขณะที่ไดอะแฟรมขยับตัวได้ถูกออกแบบให้มีลักษณะที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทนรับกับการขยับตัวที่รุนแรงจากสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่เป็นซาวนด์เอ็ฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์แอ๊คชั่นได้มากกว่าขอบยางแบบโค้งเว้าเข้าด้านในแบบที่เห็นอยู่ทั่วไป ส่งผลให้สามารถตอบสนองความถี่ต่ำที่ลงลึกและรุนแรงหนักหน่วงได้ดี
Force-cancelling LF
ไดเวอร์ P185 ทั้ง 4 ตัว ถูกติดตั้งอยู่ใน XIO Soundbar ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Force-cancelling คือจับเอาไดเวอร์ P185 สองตัวมาหันหลังเอาด้านที่เป็นแม่เหล็กชนกัน ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่ใช้ในลำโพงซับวูฟเฟอร์รุ่นดังอย่าง KC92 ของ KEF เอง ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยให้เสียงทุ้มออกมาแน่น, ลึก, กระชับ และสะอาดกว่าการวางไดเวอร์แบบทั่วไป
ลักษณะของเซ็นเซอร์ VECO
นอกจากนั้น วิศวกรของ KEF ยังได้คิดค้นเซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจจับความคลาดเคลื่อนในการทำงานของไดเวอร์ในส่วนของวอยซ์คอยที่ตอบสนองกับสัญญาณอินพุตที่ไม่เที่ยงตรงและแม่นยำมากพอ ซึ่งเป็นพฤติกรรมโดยธรรมชาติของระบบแมคคานิคของไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิกไว้ด้วย ซึ่งวงจร DSP ที่รองรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ชื่อว่า VECO นี้จะเข้าไปช่วยชดเชยความหน่วงช้าในการตอบสนองต่อสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นบนระบบแมคคานิคของไดเวอร์ด้วยการคำนวนค่าแล้วส่งสัญญาณฟีดแบ็คกลับไปที่ภาคขยายเพื่อปรับลักษณะการตอบสนองทางด้านสปีดการขยับตัวของว้อยซ์คอยให้เร็วทันกับสัญญาณอินพุตมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ไดเวอร์ตอบสนองต่อสัญญาณอินพุตได้เร็วขึ้น เป็นผลดีต่อคุณภาพเสียงโดยรวมทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้าน Transient respone นั้นจะโดดเด่นมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ได้เสียงที่มีลักษณะสดและสมจริง ไม่น่าเบื่อ
กระทัดรัด..??
ถ้าเห็นรูปร่างลักษณะของลำโพงซาวนด์บาร์ตัวนี้แล้วสงสัยว่า “ทำไมตัวใหญ่จัง.?” แสดงว่า คุณยังไม่คุ้นเคยกับลำโพงประเภทนี้ เพราะถ้าเป็นคนที่พบเห็นลำโพงซาวนด์บาร์มาหลายตัว คงพอจะทราบว่า ถ้าเป็นลำโพงซาวนด์บาร์ที่อยู่ในระดับที่เรียกว่า “ไฮเอ็นด์” จะมีขนาดรูปร่างที่ใหญ่ประมาณนี้ทั้งนั้น ซึ่งมีเหตุผลของที่มา เพราะถ้าตัวเครื่องเล็กกว่านี้ ด้านหนึ่งคุณอาจจะมองว่ากระทัดรัดดี ไม่เทอะทะ ไม่กินที่ แต่พอตัวเครื่องเล็ก ไดเวอร์ที่ใช้ก็จะมีขนาดเล็กไปตามสัดส่วน และถ้าใช้ไดเวอร์ขนาดเล็กมากเกินไป ผลักอากาศได้น้อย จะทำให้เสียงออกมาไม่แผ่เต็มพื้นที่ ฟังแล้วจะรู้สึกบางๆ ไม่อิ่มเข้ม เพราะใช้ไดเวอร์เล็กเกินไป เสียงจึงออกมาไม่ดี
ในตลาดซาวนด์บาร์มีอยู่หลายยี่ห้อที่มีตัวเครื่องใหญ่ประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นลำโพงซาวนด์บาร์ระดับไฮเอ็นด์ทั้งนั้น และแทบทุกตัวจะใช้ไดเวอร์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับที่ใช้อยู่ในลำโพงซาวนด์บาร์ XIO ของ KEF ตัวนี้ สรุปคือ ขนาดของลำโพงซาวนด์บาร์จะสะท้อนถึง “คุณภาพเสียง” ของลำโพงซาวนด์บาร์ตัวนั้นไปด้วย
ลักษณะภายนอกของ XIO ตัวนี้มาในรูปลักษณ์เป็นแท่งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเดียว มีความยาว (หน้ากว้าง) ประมาณหนึ่งเมตร หนา 7 ซ.ม. ลึก 16.5 ซ.ม. ใกล้เคียงกับหน้ากว้างของทีวีขนาด 65 นิ้ว มีสองสีให้เลือกคือ Silver Grey กับ Slate Black น้ำหนักอยู่ที่ 10.5 กิโลกรัม
ช่องอินพุต
A : สวิทช์เปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง
B : ช่องเสียบปลั๊กไฟเอซีแบบ C7
C : ปุ่ม reset
D : ปุ่มกดเชื่อมต่อคลื่น Bluetooth
E : สวิทช์โยกสำหรับเปิด/ปิดฟังท์ชั่น Intelligent Placement Technology (IPT)
F : ช่อง USB-C สำหรับเซอร์วิส
G : ช่องอินพุต HDMI (eARC)
H : ช่อง Ethernet สำหรับเชื่อมต่อระบบ LAN ผ่านสาย
I : ช่องอินพุต Optical
J : ช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณซับวูฟเฟอร์
สำหรับการเชื่อมต่อกับทีวี XIO มีอินพุตมาให้รองรับการใช้งานอยู่ 2 อินพุต นั่นคือ HDMI (eARC) (G) ซึ่งจะใช้ได้กับทีวีรุ่นใหม่ๆ ที่มีช่องอินพุต HDMI (eARC) หรืออินพุต HDMI (ARC) แต่ถ้าเป็นทีวีรุ่นเก่าที่ไม่มีช่องอินพุต HDMI เขาก็ให้อินพุต Optical (I) มาด้วย สามารถใช้แทนอินพุต HDMI ได้
การเชื่อมต่อ XIO เข้ากับโฮมเน็ทเวิร์คสามารถทำได้ทั้งทางสายแลน Ethernet (อินพุต H) และทางระบบคลื่นไร้สาย Wi-Fi ซึ่งถ้าบริเวณที่ติดตั้งใช้งานซาวนด์บาร์ XIO ตัวนี้สามารถเชื่อมต่อเน็ทเวิร์คด้วยสายแลนได้ แนะนำให้ใช้การเชื่อมต่อผ่านทางสายแลนจะให้ผลการทำงานที่ดีกว่า รวมถึงเพอร์ฟอมานซ์ของเสียงด้วย
การควบคุมสั่งงาน
ที่ขอบด้านข้างของตัวลำโพง (ทางซ้าย – เมื่อวางลำโพงนอนลงบนโต๊ะ, ทางขวา – เมื่อติดตั้งลำโพงติดขึ้นไปบนผนัง) จะมีปุ่มควบคุมการทำงานอยู่ 5 ปุ่ม พร้อมทั้งไฟสัญลักษณ์แสดงสถานะการเชื่อมต่อกับแหล่งต้นทางต่างๆ และมีไฟ LED ที่เรียงเป็นแถวจำนวน 10 จุด ซึ่งจะสว่างขึ้นและดับลงไปเพื่อแสดงให้รู้ถึง “ระดับวอลลุ่ม” ที่ถูกใช้ในขณะนั้นๆ
คำสั่งที่อยู่บนตัวเครื่องสามารถสั่งงานผ่านรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ได้ทั้งหมด ทำให้การควบคุมใช้งาน XIO มีความง่ายและสะดวกมากขึ้นเยอะ.!
การเชื่อมต่อระบบ
คุณสามารถเชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากภายนอกเข้าไปที่ XIO ได้ทั้งแบบใช้สายและไร้สาย ซึ่งแบบใช้สายก็มี สาย LAN ระหว่าง Router กับ XIO ซึ่งใช้เป็นช่องทางสตรีมไฟล์เพลงมาฟัง
การสั่งงานผ่านแอพลิเคชั่น KEF Connect
แอพฯ KEF Connect เป็นแอพฯ ฟรี ที่ KEF พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ใช้ในการควบคุมสั่งงานผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ KEF ซึ่งมีให้เลือกใช้ทั้งเวอร์ชั่น iOS บน App Store และเวอร์ชั่น Android บน Google Play ซึ่งไอค่อนของแอพฯ ก็มีหน้าตาอย่างที่เห็นในรูปข้างบน
หน้า Home
แอพฯ ตัวนี้ได้แบ่งคำสั่งต่างๆ โดยแยกออกเป็น 4 กลุ่ม หลักๆ เมื่อเปิดแอพฯ ขึ้นมาที่หน้าแรกคือหน้า Home ซึ่งเป็นหน้าเปิดที่เก็บรวบรวม “ทางเข้า” ของกลุ่มหลักทั้งสี่กลุ่มไว้ที่ด้านล่าง (กรอบสีแดง ภาพซ้าย) โดยแทนด้วยสัญลักษณ์ที่เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา คือ Remote, Music, EQ Settings และ Settings ซึ่งบนหน้าจอ Home เมื่อเปิดเข้ามาครั้งแรกจะมีบางส่วนที่อยู่ในเมนูหลัก Remote และ Music (คือ MUSIC IN THE CLOUD, RADIO AND PODCASTS และ MUSIC ON YOUR NETWORK) ปรากฏขึ้นมาที่หน้า Home ร่วมกับหัวข้อ SOUND OF LIFE (เป็นแชนเนลที่ KEF ต้องการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ) เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้งานแบบเร่งด่วนได้ และคุณก็สามารถซ่อน (Hidden) ได้โดยจิ้มไปที่รูปดินสอที่อยู่ด้านบนขวามือของหน้าแอพฯ Home
หน้า Remote
ส่วนด้านขวาของรูปข้างบนนั้นคือลักษณะของหน้า Remote ซึ่งจะแสดงขึ้นมาเมื่อคุณจิ้มลงไปที่สัญลักษณ์ลำดับที่สองซึ่งเป็นรูปรีโมทด้านล่าง โดยที่บนหน้าเมนู Remote นี้จะมีอินพุตทั้งหมดของ XIO ขึ้นมาให้เลือก ถ้าต้องการเปลี่ยนอินพุตสามารถเลือกได้จากหน้านี้เลย พร้อมทั้งมีรายละเอียดแจ้งขึ้นมาให้รู้ว่าคุณกำลังใช้งานอินพุตไหนอยู่ อย่างในภาพนั้น คือกำลังใช้อินพุต TV อยู่ โดยใช้ระดับวอลลุ่มอยู่ที่สเกล 38 ส่วนสัญญาณที่รับมาจากทีวีเป็นฟอร์แม็ต Dolby Surround กับ PCM
หน้า Music
บนหน้าเมนูหลัก Music จะมีแหล่งต้นทางที่เก็บไฟล์เพลงรวบรวมอยู่ในนั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นแหล่งที่ XIO สามารถโหลดมาฟังได้ (บางแหล่งต้องสมัครใช้งาน) โดยแยกรวมไว้เป็นกลุ่ม จำนวน 3 กลุ่ม หลักๆ โดยที่กลุ่มแรกอยู่ด้านบนสุดคือ IN THE CLOUD เป็นกลุ่มของผู้ให้บริการเช่าฟังแบบจ่ายรายเดือน ประกอบด้วย TIDAL, Spotify, Amazon Music, Qobuz ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่สองเป็นแหล่งที่เลือกฟังจากสถานีถ่ายทอดสด อย่างเช่น สถานีวิทยุบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกกันว่า อินเตอร์เน็ต เรดิโอ และรวมแหล่งถ่ายทอดเสียง Podcasts ด้วย กลุ่มที่สามด้านล่างสุดนั้นคือ ON YOUR NETWORK ซึ่งเป็นแหล่งที่เก็บไฟล์เพลงของคุณเอง โดยมากก็คือไฟล์เพลงที่อยู่ใน NAS หรือในฮาร์ดดิสบนคอมพิวเตอร์ที่เปิดแชร์ไว้
หน้า EQ Settings
เป็นพื้นที่รวบรวมฟังท์ชั่นการปรับแต่งเสียง ซึ่งในนั้นมีทั้งรูปแบบเสียงที่มีการปรับแต่งไว้สำเร็จรูปให้เลือกใช้ อาทิ Music, Movie, Night, Dialogue, Direct และ Default ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกรวบรวมอยู่ในหัวข้อย่อยที่ชื่อว่า ‘Sound profile’
นอกจากนั้นที่หน้านี้ เขายังมีฟังท์ชั่น Room Correction แบบง่ายๆ ที่ชื่อว่า ‘Calibrate with IPT’ มาให้ใช้ในการปรับจูนเสียงของ XIO ให้เข้ากับสภาพห้องรับแขกของคุณด้วย ซึ่งการปรับจูนเสียงนี้จะใช้ได้ทั้งการติดตั้งลำโพง XIO บนชั้นวางหน้าทีวี และติดตั้งบนผนังใต้ทีวี ซึ่งคุณต้องทำการใส่ข้อมูลที่โปรแกรมต้องการเพื่อให้ผลการปรับจูนเสียงมีคุณภาพที่ตรงกับลักษณะการใช้งานจริงมากที่สุด อาทิเช่น ความสูงของลำโพงซาวนด์บาร์เมื่อวัดจากพื้นห้องขึ้นมาถึงตัว XIO, ขนาดความใหญ่ของห้อง ซึ่งเขามีให้เลือกสามขนาดคือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 ตรม., ระหว่าง 20- 40 ตรม. และ มากกว่า 40 ตรม. ขึ้นไป นอกนั้นก็เป็นการปรับตั้งกรณีที่คุณมีลำโพงซับวูฟเฟอร์เชื่อมต่ออยู่กับช่อง Sub-Out ของ XIO (ถ้าไม่มีซับวูฟเฟอร์เชื่อมต่ออยู่ก็เลือกคำตอบที่หัวข้อคำถาม Do you have a subwoofer connected? ไปที่ No) จากนั้นก็ไปกดที่ปุ่ม CALIBRATE AGAIN แล้วปล่อยให้เครื่องทำการปรับตั้งค่าไปเองอัตโนมัติ
ต้องบอกว่า การปรับตั้งค่าที่หน้าเมนู EQ Settings นี้มีผลกับเสียงของ XIO อย่างมาก.! ถ้าไม่ปรับตั้ง หรือปรับตั้งไม่ถูก เสียงโดยรวมอาจจะออกมาแย่กว่าที่ควรจะเป็น ผมทดลองวางตัว XIO ไว้บนโต๊ะหน้าทีวี ห่างจากระนาบทีวีออกมาประมาณหนึ่งคืบและต่ำกว่าทีวีลงมาประมาณหนึ่งฟุต หลังจากทำการปรับตั้ง Calibrate ตามขั้นตอนอย่างถูกต้องแล้ว เสียงออกมาดีมาก เปิดลอยและแผ่สูงขึ้นมาอยู่ระนาบเดียวกับจอทีวี ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเสียงมันออกมาจากจอ กลมกลืนกันมาก..
หน้า Settings
หน้าเมนูนี้ได้รวบรวมการปรับตั้งค่าอื่นๆ บนตัว XIO เอาไว้ทั้งหมด โดยแยกออกเป็นกลุ่มๆ ที่เกี่ยวข้องกัน อย่างในหัวข้อ Speaker preferences อันนี้จะรวบรวมการปรับตั้งการทำงานของตัวลำโพง อย่างเช่น เงื่อนไขในการเปิดเครื่องอัตโนมัติ (power on options), หัวข้อ Volume ให้ปรับตั้งเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับวอลลุ่ม, การกำหนดเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ และตั้งปลุกที่หัวข้อ Schedule, หัวข้อ Speaker update มีไว้ให้เข้าไปเช็คเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นและปรับตั้งเมื่อมีการอัพเดต เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเสียง
ทดลองฟังเสียงของ XIO ด้วยอินพุต TV
ผมใช้อินพุต HDMI (eARC) เชื่อมต่อระหว่างทีวีกับ XIO สำหรับรับชมข่าวจากสถานีโทรทัศน์ดิจิตัล ซึ่งเสียงที่ออกมามันลอยและแผ่กว้างออกมาจากหน้าจอ ไม่จมอยู่ในจอเหมือนเสียงลำโพงของทีวี จึงทำให้ฟังจับรายละเอียดเสียงพูดได้ชัดขึ้นมาก และรู้สึกได้ว่าเสียงมีน้ำหนักมากขึ้น ย้ำเน้นมากขึ้น และที่สำคัญคือ เปิดได้ดังมากขึ้นโดยไม่รู้สึกหนวกหู แต่ฟังชัดขึ้น..
ไฮไล้ท์ของ XIO มาปรากฏชัดตอนลองดูหนังจาก Netflix นี่แหละ..!! ซาวนด์บาร์ตัวนี้มันฟ้องให้เห็นชัดเลยว่า เสียงซาวนด์แทรคของหนังมีคุณภาพสูงกว่าเสียงจากช่องทีวีเยอะมาก ความถี่แผ่กว้าง ไดนามิกสวิงกว้าง ทำให้ดูหนังแล้วได้อรรถรสมากขึ้นเยอะเลย ยิ่งได้เพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาเสริม ยิ่งได้ความอิ่มแน่นของมวลเสียงมากขึ้น ได้ฟิลลิ่งของความเป็น “โฮมเธียเตอร์” มากขึ้นไปอีก
เชื่อว่าคนที่ไม่เคยใช้ลำโพงซาวนด์บาร์แบบนี้มาก่อนคงจะอดสงสัยไม่ได้ว่า แม้ว่าจะมีไดเวอร์อยู่มากถึง 12 ตัว แต่ไดเวอร์ทั้งหมดนั้นฝังอยู่ในตัวลำโพงทั้งหมด ไม่มีตัวไหนแยกออกไปจากตัวตู้เลย แบบนี้จะให้ความเป็นเซอร์ราวนด์ได้ดีแค่ไหน.?
ระบบเสียงของหนังใน Netflix เกือบทั้งหมดจะเป็นฟอร์แม็ต 5.1 ch ซึ่งตรงกับฟอร์แม็ตพื้นฐานที่ลำโพงซาวนด์บาร์ของ KEF ตัวนี้ถูกออกแบบมา แม้ว่าไดเวอร์ทั้ง 12 ตัว จะถูกติดตั้งอยู่ในตัวลำโพงทั้งหมด แต่ด้วยประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ DSP ที่อยู่ด้านใน จึงสามารถสร้างสนามเสียงเซอร์ราวนด์ขึ้นมาได้ ซึ่งจากการทดลองฟังพบว่า แม้ว่าความเป็นเซอร์ราวนด์ของเสียงในภาพยนตร์จะไม่โอบล้อมแผ่คลุมพื้นที่อย่างชัดเจนเหมือนชุดเครื่องเสียงแบบแยกชิ้นที่มีลำโพงวางอยู่รอบตัวก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดเยอะ โดยเฉพาะสนามเสียงด้านหน้าที่แผ่ออกไปทางด้านซ้ายและขวาที่ฉีกออกไปได้ไกลตัวทีวีพอสมควร ถ้ามีการเคลื่อนที่ของวัตถุในฉากจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง อย่างเช่น จากซ้ายไปขวา จะได้ยินชัดว่ามีการวิ่งของเสียงนั้นจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เป็นทิศทางการเคลื่อนที่ที่สอดคล้องกับภาพบนจอ และที่น่าทึ่งคือ ผมวางลำโพง XIO ไว้บนโต๊ะหน้าทีวี ห่างจากทีวีออกมาประมาณหนึ่งคืบ และอยู่ต่ำกว่าขอบจอด้านล่างของทีวีลงมาประมาณหนึ่งฟุต แต่เสียงที่ออกมากลับลอยขึ้นไปตรงกับระดับของภาพบนจอได้อย่างแนบเนียนมาก คือฟังจากเสียงพูดแล้ว พบว่ามันเหมือนลอยออกมาจากปากของตัวละครที่อยู่บนจอเป๊ะเลย.! น่าทึ่งมาก..!!
ทดลองฟังเพลงจาก NAS ผ่านเน็ทเวิร์ค / Wi-Fi
คุณสามารถเข้าไปเลือกเพลงที่เก็บอยู่ใน NAS หรือฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเน็ทเวิร์ค / Wi-Fi เดียวกันได้ 2 ช่องทาง ทางแรก (ทางซ้าย ภาพข้างบน) ด้วยการเข้าไปที่หน้าเมนู Home > MUSIC ON YOUR NETWORK > UPnP > MusicServer (NAS ของคุณ) แล้วเข้าไปเลือกไฟล์เพลงที่จะฟัง หรือวิธีที่สอง (ทางขวา ภาพข้างบน) เข้าไปที่หน้าเมนู MUSIC > Media servers > MusicServer (NAS ของคุณ) แล้วกดเลือกไฟล์เพลงจากในนั้นมาฟังได้เหมือนกัน
ภาพด้านบนคือหน้าจอแอพฯ เมื่อผมคลิ๊กเข้าไปที่ NAS ของผม ซึ่งอัลบั้มใน NAS จะถูกนำออกมาเรียงไว้ในแนวตั้งตามที่เห็นในภาพข้างบนนั้น เวลาค้นหาอัลบั้มก็ใช้ปลายนิ้วรูดสไลด์ขึ้น–ลง สมมุติว่าผมต้องการทดลองฟังอัลบั้มชุด 60’s Guitar ของศิลปิน Lex Van Dyke (ศรชี้) ก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปเลย..
แอพฯ KEF Connect จะเอาเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนั้นมาเรียงไว้ให้เลือกฟังในแนวตั้งตามภาพ ต้องการฟังเพลงไหนก็จิ้มลงไปที่เพลงนั้นเลย.. ในภาพผมเลือกแทรคแรกคือเพลง Apache แอพฯ จะดึงไฟล์เพลงนั้นมาเล่น และจะแสดงสถานะการเล่นไว้ที่กรอบด้านล่าง ถ้าต้องการดึงสถานะการเล่นขึ้นมาโชว์ชัดๆ ก็จิ้มลงไปที่กรอบเล็กๆ ด้านล่างนั้น..
กรอบเล็กๆ นั้นจะยืดขึ้นมาเต็มหน้าตามภาพข้างบน ซึ่งนอกจากจะโชว์ภาพปกอัลบั้ม, รายละเอียดชื่อเเพลง–อัลบั้ม และศิลปินแล้ว ที่ด้านล่างของหน้าจอแอพฯ นี้จะมีเครื่องมือในการควบคุมการเล่นไฟล์เพลง และสไลเดอร์ปรับวอลลุ่ม (ศรชี้) มาให้ด้วย
นอกจากนั้น ซาวนด์บาร์ XIO ของ KEF ตัวนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณสตรีมไฟล์เพลงจากผู้ให้บริการบนอิเตอร์เน็ตมาฟังได้ด้วย ไม่ว่าจะสตรีมจาก TIDAL, Spotify ไปจนถึงอินเตอร์เน็ต เรดิโอและ Podcasts จากทั่วโลกได้ด้วย และยังรวมถึงความสามารถในการรองรับการสตรีมไฟล์เพลงผ่านทางคลื่น Bluetooh ได้อีกช่องทางหนึ่ง
เสียงเพลงที่สตรีมมาฟังผ่านซาวนด์บาร์ XIO ตัวนี้ให้คุณภาพเสียงที่ดีไม่แพ้ลำโพงแอ๊คทีฟรุ่น LSX ของ KEF เอง เสียงแผ่ใหญ่ไม่แพ้กัน สมดุลเสียงก็ออกมาอิ่มเข้ม ที่ต่างกันชัดเจนที่สุดก็คือระดับ “ความคมชัด” ของตัวเสียง คือถ้าคุณนั่งฟังอยู่หน้าลำโพงแอ๊คทีฟรุ่น LSX คุณจะได้ยินตัวเสียงที่มีความคมชัดมากกว่าออกไปฟังบริเวณด้านข้างของตัวลำโพง ในขณะที่ซาวนด์บาร์ XIO จะให้ความคมชัดที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าคุณจะนั่งฟังอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านหน้าลำโพง หรือฟังอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ตรงกับด้านหน้าของลำโพง ซึ่งสรุปได้ว่า XIO ให้ประสบการณ์ฟังเพลงในลักษณะที่เป็น background music ที่แผ่กระจายเสียงเพลงได้ครอบคลุมพื้นที่ดีกว่า ส่วนการถ่ายทอด “รายละเอียด” ของเสียงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ให้ความเป็นดนตรีสูง ฟังเพลิน
สรุป
หลังจากทดลองใช้งานอยู่นานครึ่งเดือน ผมยอมรับว่า ซาวนด์บาร์รุ่น XIO ของ KEF ตัวนี้ได้สร้างความพึงพอใจให้กับผมมาก ทั้งในแง่ของฟังท์ชั่นใช้งานที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกด้าน ทั้งดูหนังและฟังเพลง ซึ่งถ้าเทียบกับลำโพงแอ๊คทีฟแบบ stereo 2 ch ที่มีราคาใกล้เคียงกันแล้ว ในการฟังเพลงอาจจะเป็นรองลำโพงแอ๊คทีฟอยู่นิดหน่อย (สำหรับคนที่ซีเรียสในการฟังคุณภาพเสียงจริงๆ จังๆ) แต่ในการใช้เป็นระบบเสียงสำหรับดูหนัง และคอนเสิร์ตจาก Netflix แล้ว XIO ตัวนี้ทำผลงานออกมาได้ “ดีกว่า” ลำโพงแอ๊คทีฟเยอะ..!!
ถ้าคุณต้องการอัพเกรดคุณภาพเสียงของทีวีให้ได้อรรถรสในการดูหนัง, ดูคอนเสิร์ต และฟังข่าวที่ดีขึ้น แนะนำให้ไปทดลองฟังประสิทธิภาพของลำโพงซาวนด์บาร์ของ KEF ตัวนี้ดูสักหน่อย อาจจะถูกใจคุณ.. และได้แถมคุณภาพเสียงในการฟังเพลงให้ด้วย..!!!
***********************
ราคา : 79,900 บาท / ตัว
***********************
ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อที่
บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โทร. 02-692-5216
Line ID: @kefthailand