ว่าด้วย.. “เสียงหนา” vs. “เสียงบาง” กับ “ความเป็นดนตรี”

หลังจากมีพฤติกรรมในการเล่นไฟล์เพลงเกิดขึ้นแพร่หลาย มันมาพร้อมคำจำกัดความคำหนึ่ง นั่นคือ เสียงบางซึ่งหลายๆ คนใช้คำนี้ตีความหมายของลักษณะเสียงที่ได้จากไฟล์เพลงดิจิตัล จึงทำให้บางคนเกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว สรุปไปเลยว่า เสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ดิจิตัลมีลักษณะที่บาง ไม่หนา

ก่อนจะพัฒนากลายเป็นความเชื่อผิดๆ ผมอยากจะชวนคุยเกี่ยวกับศัพท์แสงสองสามคำนี้กันสักนิด..

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า เสียงหนากับ เสียงบางกันก่อน ซึ่งศัพท์สองตัวนี้เป็นคำจำกัดความที่ใช้แจกแจงในส่วนที่เป็น ลักษณะของเสียงคล้ายคำว่า อ้วนกับ ผอมที่ใช้แจกแจงลักษณะรูปร่างของมนุษย์นั่นเอง ความแตกต่างมันอยู่ที่ว่า ถ้าเป็นคนอ้วน หรือคนผอม เราก็พอจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะร่างกายมนุษย์เป็นรูปธรรม จึงสามารถใช้ข้อมูลที่มองด้วยตามาประกอบช่วยได้ แต่พอเอาคำว่า หนากับคำว่า บางมากำหนดลักษณะของเสียงที่เป็นนามธรรม มองไม่เห็นด้วยตา แต่ใช้วิธีฟังด้วยหู เรื่องมันจึงเลยเถิด เพราะการวิเคราะห์เสียงจากการฟังมันมีตัวแปรมากมาย หากไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันในขณะที่ฟัง ก็ยากที่คนสองคนหรือมากกว่า จะสามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ตรงกัน

เสียงหนาหมายถึงเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความอวบมีเนื้อมวล ซึ่งโดยปกติแล้ว ความถี่ส่วนที่จะทำให้ฟังแล้วรู้สึกเช่นนั้นก็คือความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ (Lower midrange > upper bass) ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ความถี่ในย่านนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยไดเวอร์ของลำโพงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร บางส่วนมาจากมิดเร้นจ์ ถ้าลำโพงคู่ไหนดีไซน์เป็นลำโพงสามทาง ใช้ไดเวอร์มิดเร้นจ์ขนาด 3-4 นิ้ว ก็อาจจะมีความถี่ย่านกลางต่ำออกมานิดหน่อย ส่วนใหญ่จะออกมาจากวูฟเฟอร์ซะมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ลำโพงที่ใช้วูฟเฟอร์ใหญ่กว่า ก็ย่อมที่จะสามารถถ่ายทอดความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ ออกมาในปริมาณที่มากกว่า นี่คือเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนทำให้เสียงออกมาฟังดูหนา

โดยนัยยะแล้ว ถ้าแค่พูดกันลอยๆ ไม่ได้เปิดเสียงฟังไปด้วย คำว่า เสียงบางมักจะถูกแปรความหมายไปในทางที่ไม่ดี ไม่น่าฟัง แต่หากพิจารณาโดยยึดความหมายของคำว่า เสียงหนาตามอย่างย่อหน้าข้างบนนั้นเป็นเกณฑ์ คำว่า เสียงบางจึงน่าจะหมายถึงลักษณะของเสียงที่มีปริมาณของความถี่เสียงในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ ที่ค่อนข้างน้อย (น้อยกว่าที่ควรจะเป็น.? หรือ น้อยกว่าที่คุณชอบ.? นี่ก็เป็นประเด็นแฝงอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องเอามาวิเคราะห์ร่วมกัน) แต่เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้ อดไม่ได้ที่จะขอตั้งคำถามว่า เราจะสามารถสรุปเป็นหลักตายตัวได้หรือไม่ว่า ถ้าเสียงที่ฟังแล้วพบว่า ความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ มีปริมาณน้อย ให้ถือว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่ไม่ดี.?

แนวเพลงบางแนว อาทิ แชมเบอร์มิวสิค และบลูกลาส เป็นแนวดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีอะคูสติกประเภทที่ให้เสียงดนตรีอยู่ในย่านเสียงกลางและสูงซะเป็นส่วนใหญ่ เครื่องดนตรีประเภทที่ให้เสียงในย่านทุ้มจะมีอยู่น้อย ฉนั้น ซาวนด์เฉพาะตัวของเพลงสองแนวนี้จึงหนักไปทางความถี่ในย่านกลางและแหลมมากกว่าทุ้ม ต่อให้ลำโพงที่ใช้ฟังจะมีวูฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็อาจจะไม่มีความถี่ในย่านต่ำออกมามาก เนื่องจากตัวเพลงมันมีโทนัลบาลานซ์ของเสียงที่หนักไปทางด้านกลางแหลมมากกว่าทุ้ม ฉนั้น หากมีการเปิดเพลงแนวบลูกลาสสลับกับเพลงดีสโก้ คุณจะพบว่า เพลงบลูกลาสให้เสียงที่มาเนื้อมวลเบาบางกว่าเพลงดีสโก้ที่เปิดในซิสเต็มเดียวกัน ด้วยระดับความดังเท่าๆ กัน

นี่ก็เป็นอีกต้นเหตุที่ทำให้เสียงเพลงที่ฟังมีความหนาและบางต่างกันไป ..

สำหรับคนที่คุ้นชินกับเสียงของ analog source อย่างแผ่นเสียง หรือแม้แต่ digital source ฟอร์แม็ตซีดี เชื่อว่า เมื่อได้ฟังเสียงของไฟล์เพลงดิจิตัลที่เป็นฟอร์แม็ต High-Res Audio อย่างพวกไฟล์ 24/192 ครั้งแรกๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสียงของไฟล์ดิจิตัลไฮเรซฯ มีลักษณะที่บางกว่าเสียงจากแหล่งต้นทางอะนาลอกเดิมๆ ที่คุ้นหู ซึ่งบางคนที่ผูกติดอยู่กับ บุคลิกเสียงถึงกับเดินหนีซะตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการฟัง แต่สำหรับคนที่สามารถรับรู้ถึงข้อดีในแง่ของ ความเป็นดนตรีที่ได้จากแหล่งต้นทางดิจิตัลและทนฟังมาเรื่อยๆ มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียงจากไฟล์ดิจิตัลมี ความชัดเจนมากกว่าเสียงจากแหล่งต้นทางอะนาลอกแบบเดิม

ความเป็นดนตรีคืออะไร.? แปลตรงๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเสียงเพลงที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกถึงอรรถรสที่ซาบซึ้งกินใจไปกับแก่นสาระของเพลงที่กำลังฟังนั่นเอง เพลงเศร้าฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าตาม ส่วนเพลงสนุกฟังแล้วก็อยากจะลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขา อะไรแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่คุณเปิดเพลงฟังแล้วใจไม่ได้ถูกดึงให้ติดตามเพลงนั้นไปด้วย แค่ ได้ยินเสียงของเพลงนั้นดังมาเข้าหู ยิ่งฟังไปนานๆ ก็จะเริ่มรู้สึกถอยห่างออกมาจากเพลงที่กำลังฟังมากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ก็พูดได้ว่า (เสียง) เพลงที่กำลังฟังไม่มีความเป็นดนตรีนั่นเอง

จะสามารถสัมผัส ความเป็นดนตรีในเพลงใดๆ ได้ จำต้องอาศัย 2 อย่างประสานกัน คือ

1) คุณภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดี มีการเซ็ตอัพ+ปรับแต่งที่ถูกต้องลงตัว และ
2) ในตัวคุณจะต้องมี music appreciation หรือจิตใจที่ฝักใฝ่ใกล้ชิดกับอารมณ์ของดนตรีฝังอยู่ในสายเลือด

ซึ่งอันหลังนี้มีความจำเป็นในการเสพดนตรีบางแนว อาทิ คลาสสิก, แจ๊ส และนิวเอจ รวมถึงเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อร้องส่วนใหญ่ด้วย

ในแง่ลักษณะของเสียงที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางด้าน ความเป็นดนตรีตัวหลักๆ ก็คือ ไดนามิกทั้งที่เป็นไดนามิกคอนทราสน์ และไดนามิกทรานเชี้ยนต์

ไดนามิกคอนทราสน์คือลักษณะการไล่ระดับความดังของเสียง ซึ่งไดนามิกคอนทราสน์ที่ดีนั้น จะต้องแสดงระดับการไล่ความดังของเสียงที่มีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงติดต่อกันเป็นเส้นเดียว ไม่มีรอยต่อ หากได้ลองพิจารณาเสียงร้องของศิลปินดังๆ สักคนหนึ่ง จากเพลงที่คุณคุ้นๆ หู ตัดมาแค่นาทีเดียวก็พอ เมื่อฟังพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว คุณจะพบว่า เสียงร้องในแต่ละวินาทีที่ศิลปินผู้นั้นเปล่งออกมาจะมีระดับความดังที่ไม่เท่ากันเลย แม้ว่าความแตกต่างในแต่ละช่วงรอยต่อระหว่างคำต่อคำที่ศิลปินผู้นั้นเปล่งคำร้องออกมาจะไม่ได้มากมาย แค่เพียงนิดเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความดังของเสียงร้องที่แตกต่างกันนิดๆ หน่อยๆ เหล่านั้น เมื่อเรียงร้อยกันไปเป็นประโยคยาวๆ มันก็คือ อารมณ์ของเพลงที่ศิลปินผู้นั้นตั้งใจถ่ายทอดออกมากับคำร้องนั่นเอง ดังนั้น ถ้าคุณไม่สามารถ รับรู้ถึงความดังที่แตกต่างกันของแต่ละคำที่ศิลปินผู้นั้นถ่ายทอดผ่านคำร้องออกมา นั่นก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้สัมผัสกับ อารมณ์ของศิลปินผู้นั้นที่จงใจสอดแทรกออกมากับคำร้องส่วนนั้นนั่นเอง

เสียงเพลงที่ปราศจากไดนามิกคอนทราสน์ ก็คือเสียงเพลงที่ปราศจากนวลใยอันละมุนของ ความเป็นดนตรีนั่นแล..

สำหรับสัญญาณดิจิตัล ออดิโอนั้น จำนวน แซมปลิ้งเรตของสัญญาณดิจิตัล เทียบได้กับการซอยแบ่งลำดับขั้นระหว่างเสียงที่ดัง (เทียบได้กับ “ส่วนสว่างของภาพ”) ที่ไล่ระดับไปสู่เสียงที่เบา (เทียบได้กับ “ส่วนมืดของภาพ”) นั่นเอง ส่วน bit ของสัญญาณเสียงดิจิตัลจะแสดงถึงความละเอียดของระดับขั้นของความดัง (หน่วยเป็น decibel) คือยิ่งใช้ bit เข้าไปแทนค่าเยอะ ก็จะยิ่งสามารถซอยแบ่งความดังออกมาเป็นระดับๆ ได้มาก ซึ่งทำให้ได้ความต่อเนื่องของการไล่ระดับความดังของเสียงที่แสดงความแตกต่างของระดับความดังได้ละเอียดมากขึ้น เข้าใกล้ต้นฉบับจริงๆ มากขึ้น

ทีนี้ให้ขยับขึ้นไปมองภาพตัวอย่างด้านบนกันหน่อย ให้เริ่มต้นด้วยการตั้งใจมองภาพ A กับภาพ B เปรียบเทียบกัน โดยมองสลับไปมาเร็วๆ แล้วบอกผมทีว่า คุณรู้สึกว่า สองภาพนี้ ระหว่าง A กับ B ภาพไหนมีความ หนาเข้มมากกว่ากัน.? 

ระหว่างภาพ A กับภาพ B นั้น ภาพ B คือ original ในขณะที่ภาพ A คือการนำเอาภาพ B ไปเพิ่ม brightness ให้ภาพมีความสว่างเพิ่มขึ้นจากออริจินัลเดิม

ทีนี้ให้ลองพิจารณาภาพ C กับภาพ D ดูบ้าง.? คุณว่าภาพไหนระหว่างสองภาพนี้ที่ให้เนื้อ “หนา” กว่ากัน.? บางคนอาจจะตอบว่า ภาพ D ซึ่งภาพ C คือภาพออริจินัล (เหมือนกับภาพ B ข้างบนโน้น) ในขณะที่ภาพ D คือการนำเอาภาพ C ไปลดความสว่างลง มีผลให้ปริมาณแสงของภาพลดลงเมื่อเทียบกับภาพออริจินัล ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณมองดูแล้ว รู้สึกว่าภาพ D มีเนื้อที่หนากว่าภาพ C ก็เพราะส่วนที่เป็น “เงามืด” ของภาพจะทำให้รู้สึก “หนัก” ในแง่ของการมองด้วยตา ซึ่งเป็นผลทางด้านความรู้สึกที่เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับเสียงทุ้ม ซึ่งฟังแล้วจะทำให้รู้สึกถึงความหนาและหนักเมื่อเทียบกับเสียงแหลม 

เสียงที่ให้ความรู้สึกหนา ก็คือเสียงที่มีโทนัลบาลานซ์เอนเอียงไปทางด้านทุ้มต่ำมากกว่ากลางและสูง ซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้หมายความว่า หนาคือดี ต้องดูว่า บุคลิกเสียงโดยรวมมีลักษณะที่อับทึบหรือเปล่า.? ขาดความสดกระจ่างรึเปล่า.? ในขณะที่เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกบางกว่าเป็นเพราะมีปริมาณของเสียงกลางและแหลมที่มากพอๆ กัน หรือมากกว่าทุ้มนิดหน่อย ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว เสียงที่ฟังดูเหมือนว่าเนื้อเสียงจะบางกว่านั้น แท้จริงแล้ว อาจจะถูกต้องมากกว่าก็เป็นได้ ตัวตัดสินจึงไปตกอยู่ที่ไดนามิกของเสียงกับความสด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “ความเป็นดนตรี” นั่นเอง 

สรุป.?

เมื่ออ่านและวิเคราะห์ตามมาจนถึงจุดนี้โดยไม่สะดุด ผมเชื่อว่า คุณจะสามารถเขียนเพิ่มเติมส่วนสรุปของบทความนี้ได้ด้วยตัวของคุณเอง แต่ถ้ายังไม่สามารถเขียนบทสรุปได้ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านทั้งหมดอีกครั้ง.. และอีกครั้ง จนกว่าคุณจะค้นพบบทสรุปของบทความนี้ด้วยตัวของคุณเอง.! /

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า