ประมวลข้อมูล Dolby Atmos สำหรับโฮมเธียเตอร์

ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby Atmos กำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2012 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของการปฏิวัติวงการโฮมเธียเตอร์อย่างแท้จริง เพราะระบบเสียง Dolby Atmos ได้เข้ามาเพิ่ม มิติของเสียงที่ครอบคลุมผู้ชมครบทั้ง 360 องศาเป็นครั้งแรก จึงให้ประสบการณ์ของเสียงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานะการณ์จริงมากกว่าระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบเดิมๆ ที่เคยมีมา

เคล็ดลับที่ทำให้ระบบเสียง Dolby Atmos สามารถสร้างประสบการณ์สุดแสนพิเศษแบบนั้นขึ้นมาได้ก็คือการ เพิ่มจำนวนแชนเนล” (channel) ของเสียงเข้าไปให้มากขึ้น จากเจนเนอเรชั่นแรกของระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่เริ่มต้นด้วย Dolby Digital (AC-3) ซึ่งใช้จำนวนแชนเนลของสัญญาณเสียงที่แยกกันเด็ดขาด (discrete) จำนวน 5.1 ch คือ หน้าซ้าย (FL) – เซ็นเตอร์ (C) – หน้าขวา (FR) – ด้านข้างขวา (SR) – ด้านข้างซ้าย (SL) และซับวูฟเฟอร์ (LFE) มาเป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby True HD ในเจนเนอเรชั่นที่สองด้วยจำนวนแชนเนลที่เพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ch โดยเพิ่มแชนเนลเซอร์ราวนด์ด้านหลัง (Surround back) คือ SBR และ SBL เข้ามาอีก 2 แชนเนล

จาก Channel-Based สู่ Object-Based

ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ทั้งเจนเนอเรชั่นแรก 5.1 ch และเจนเนอเรชั่นที่สอง 7.1 ch ใช้กรรมวิธีในการสร้างสนามเสียง (soundfield) รอบตัวด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “channel-basedคือหลังจากถอดรหัสผ่านดีโค๊ดเดอร์แล้ว สัญญาณเสียงอะนาลอกจะถูกส่งจากแอมป์พุ่งตรงไปที่ลำโพงแต่ละแชนเนลที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบ ซึ่งลำโพงแต่ละแชนเนลจะต้องติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับแพลทเทิ้นมาตรฐานที่ Dolby Labs. กำหนดไว้จึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นข้อจำกัด เพราะถ้าติดตั้งลำโพงแต่ละแชนเนลไว้ไม่ครบตามจำนวน หรือไม่ตรงกับตำแหน่งองศาตามแพลทเทิ้นที่ Dolby Labs. กำหนดไว้ คุณภาพเสียงและความเป็นเซอร์ราวนด์ที่ได้ก็จะด้อยลง แม้ว่าจะสามารถใช้การปรับแต่งด้วยซอฟท์แวร์เข้ามาช่วยได้บ้าง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายของเสียงก็ออกมาไม่สมบูรณ์อยู่ดี

อีกทั้งสนามเสียงที่ระบบเซอร์ราวนด์ 5.1 ch และ 7.1 ch สร้างขึ้นมาจะมีลักษณะ วนรอบตัวเราเป็นวงกลม คือเป็นรูปแบบของเสียงเซอร์ราวนด์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในแนวระนาบ (horizontal) เท่านั้น

ระบบเสียง Dolby Atmos เปลี่ยนกรรมวิธีในการสร้างสนามเสียงเซอร์ราวนด์จากเทคโนโลยี channel-based มาเป็น “object-based

เทคโนโลยี object-based ต่างจาก channel-based ตรงที่ไม่ได้ใช้ จำนวนลำโพง + ตำแหน่งที่ติดตั้งลำโพงเป็นเป้าหมายในการสร้างสนามเสียง แต่ใช้วิธีใส่ข้อมูล (metadata) ที่แสดง พิกัดของ ตำแหน่ง + ทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียงแต่ละเสียงลงไปกำกับอยู่ในสัญญาณเสียงนั้นๆ โดยตรง เมื่อสัญญาณเสียงที่มีข้อมูล metadata กำกับอยู่ ถูกถอดรหัสด้วยดีโค๊ดเดอร์ Dolby Atmos ทั้งตำแหน่งและทิศทางของสัญญาณเสียงนั้นๆ จะถูกส่งไป map ลงกับลำโพงที่คุณติดตั้งอยู่จริงๆ โดยพยายามรักษา ตำแหน่ง + ทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียงนั้นให้ออกมาตามพิกัดที่ถูกกำหนดด้วย metadata มาจากสตูดิโอ ไม่ว่าลำโพงจริงที่ติดตั้งอยู่จะมีจำนวนกี่ตัวและติดตั้งผิดไปจากตำแหน่งในแพลทเทิ้นของโดลบี้ แล็ปฯ บ้างก็ตาม

ดังนั้น คุณภาพเสียงที่ได้จากระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby Atmos จะให้ ตำแหน่ง + ทิศทางการเคลื่อนที่ที่ตรงตามที่ซาวนด์เอนจิเนียร์บันทึกมาในสตูดิโอ

รองรับแชนเนลได้มากถึง 64 แชนเนล!

Dolby Atmos เป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์เจนเนอเรชั่นที่สามที่กระโดดจาก 7.1 ch ในเจนเนอเรชั่นที่สองขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งเวอร์ชั่นที่ใช้ในโรงภาพยนตร์สามารถรองรับกับจำนวนแชนเนลได้มากสุดถึง 64 ch และสามารถ จัดวาง(render) เสียงลงไปในตำแหน่งต่างๆ บนพื้นที่อากาศภายในโรงภาพยนตร์ได้มากถึง 128 จุด ด้วยความแม่นยำ.!

แต่จริงๆ แล้ว จำนวนแชนเนลที่เพิ่มมากขึ้นจำนวนมหาศาลเหล่านั้นเป็นแค่องค์ประกอบย่อยองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นสำหรับระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby Atmos ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญมากๆ อยู่อีก 3 ประการที่ฝังมากับระบบเสียง Dolby Atmos นั่นคือ

1. Bed Audio :

เป็นคุณสมบัติที่ทำให้ Dolby Atmos มีความสามารถในการใช้งานร่วมกับลำโพงที่ติดตั้งตามมาตรฐานเดิมๆ ได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานของระบบเสียงนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น stereo 2 ch, 5.1 ch หรือ 7.1 ch (ศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า backward compactible)

2. Object Audio :

เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้ใน Dolby Atmos เป็นครั้งแรก ประกอบด้วยส่วนของ สัญญาณเสียงโมโนหรือสเตริโอที่แยกออกมาจาก Bed Audio อีกชุดหนึ่ง และมี ข้อมูล” (metadata) ที่กำกับมาพร้อมสัญญาณ object audio ในการกำหนดรูปแบบการเคลื่อนที่ของเสียง เมื่อสัญญาณ object audio ทำงานร่วมกับสัญญาณ bed audio จะได้ออกมาเป็นสนามเสียงรอบทิศ 360 องศา คือ ซ้ายขวา, หน้าหลัง และบนล่าง

3. Metadata :

เป็น ข้อมูลที่ใช้กำกับคุณสมบัติ 2 อย่างของสัญญาณ object audio อย่างแรกคือ ตำแหน่งและทิศทางการเคลื่อนที่นั่นคือ ซ้ายขวา, หน้าหลัง และบนล่าง กับ ขนาดของสัญญาณ object audio แต่ละเสียงขณะเคลื่อนที่อยู่ในสนามเสียงนั้น อย่างเช่น เข้าใกล้ตำแหน่งนั่งฟังจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ถอยห่างจากตำแหน่งนั่งฟังออกไปขนาดจะเล็กลง เป็นต้น

Dolby Atmos @ Home

เมื่อเทคโนโลยี object audio ที่ใช้กับระบบเสียง Dolby Atmos ถูกนำมาใช้ในระบบเสียงเซอร์ราวนด์สำหรับ Home Theater ในบ้านพักอาศัยที่ติดตั้งลำโพง 5.1 ch หรือ 7.1 ch มันก็สามารถสร้างสนามเสียงเซอร์ราวนด์ที่เป็น 3 มิติขึ้นมาได้เหมือนในโรงภาพยนตร์ เมื่อมีการเพิ่มเติมลำโพงด้านบน (height channels) ขึ้นไปบนฝ้าเพดานอีกหนึ่งชุด เพื่อสร้างการเคลื่อนที่ของเสียงในแนวตั้ง (vertical surround) ขึ้นมาเสริมกับสนามเสียงที่เคลื่อนที่ในแนวระนาบ (horizontal surround) ซึ่งจะทำให้เสียงเครื่องบินสามารถเคลื่อนผ่านไปด้านบนของศีรษะผู้ชมได้เหมือนจริงมากขึ้น ได้ยินเสียงฝนที่ตกลงมาจากฟ้าลงสู่พื้นห้องเหมือนที่ได้ยินในธรรมชาติจริงมากขึ้น ได้ยินเสียงจั๊กจั่นเรไรกรีดร้องและรับรู้ถึงลักษณะการบินที่ฉวัดเฉวียนไปในอากาศของสัตว์ปีกตัวจ้อยเหล่านั้นได้ชัดเจนมากขึ้น

จะเอาระบบเสียง Dolby Atmos
เข้ามาใช้ในบ้านได้อย่างไร.?

ระบบเสียง Dolby Atmos ถูกออกแบบมาให้ปรับตัวใช้งานกับระบบโฮมเธียเตอร์ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับอุปกรณ์เครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ฯ ตัวเดิมของคุณ โดยที่ข้อมูลส่วนที่เป็น metadata ของ Dolby Atmos ได้ถูกแพ็คมากับสัญญาณ Dolby TrueHD และ Dolby Digital Plus ในลักษณะของ ส่วนขยาย” (extension) และถูกกำหนดให้ ส่งผ่านจากเครื่องเล่นบลูเรย์ฯ 4K UHD Player ไปที่ decoder บน AVR หรือ Surround Processor Preamp ผ่านทางอินเตอร์เฟซ HDMI เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ สัญญาณ Dolby Atmos จะไม่ถูกถอดรหัสบนตัวเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ 4K UHD Player จึงไม่จำเป็นต้องมี decoder อยู่บนตัวเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ 4K UHD Player คุณจึงไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องเล่นบลูเรย์ 4K UHD Player ตัวใหม่ เพื่อตอบรับประสบการณ์เซอร์ราวนด์ 3 มิติจากระบบเสียง Dolby Atmos เต็มรูปแบบ แค่ต้องใช้ AV Reciever หรือ Surround Processor Preamp ที่มีดีโค๊ดเดอร์ Dolby Atmos กับเพิ่มลำโพงที่เป็น height channel ด้านบนขึ้นมาเท่านั้น

ต้องติดตั้งลำโพงจำนวนกี่แชนเนล.?
สำหรับ Home Theater เพื่อรองรับ Dolby Atmos

อย่างที่ได้เกริ่นมาตั้งแต่ต้นว่า ระบบเสียง Dolby Atmos ถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงการใช้งานร่วมกับระบบเสียงเซอร์ราวนด์เดิมมากเป็นพิเศษ นั่นทำให้การอัพเกรดจากระบบเสียงเซอร์ราวนด์ 5.1 ch และ 7.1 ch แบบเดิมขึ้นมาเป็นระบบเสียง Dolby Atmos จึงทำได้ง่ายมาก

ในเบื้องต้นนั้น Dolby Labs. ได้กำหนดให้ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ใช้ในบ้านสามารถรองรับ ลำโพงได้สูงสุดที่ 24 ตัว สำหรับการสร้างสนามเสียงเซอร์ราวนด์ในแนวราบ และรองรับลำโพงได้สูงสุดที่ 10 ตัว สำหรับการสร้างสนามเสียงเซอร์ราวนด์ในแนวดิ่ง รวมลำโพงที่รองรับทั้งระบบเท่ากับ 34 ตัว ซึ่งปัจจุบัน ได้เริ่มมี AV Receiver ที่สามารถให้เอ๊าต์พุตของระบบเสียง Dolby Atmos ได้มากถึง 32 แชนเนล ออกมาสองสามยี่ห้อแล้ว ซึ่งแอมป์เซอร์ราวนด์เหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใช้ลำโพงจำนวนมากมายขนาดนั้นก็สามารถสัมผัสกับคุณภาพเสียงของความเป็นเซอร์ราวนด์จากระบบ Dolby Atmos ที่ดีกว่าระบบเซอร์ราวนด์ 5.1 ch และ 7.1 ch แบบเดิมๆ ไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณไม่ได้ใหญ่โตมากยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้ลำโพงจำนวนมาก

สำหรับ AV Receiver ระดับกลางลงมาถึงระดับล่างในปัจจุบัน มักจะตอบสนองกับระบบเสียง Dolby Atmos ได้ไม่เกิน 11.1 แชนเนล เท่านั้นเอง..

ความหมายของตัวเลขต่างๆ ของ Dolby Atmos

มีลักษณะการติดตั้งลำโพงเพื่อรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ให้เลือกใช้อยู่หลายรูปแบบ ดังนี้

5.1.2 ch

เป็นการอัพเกรดจากมาตรฐานของระบบเสียง 5.1 ch เดิม ด้วยการเพิ่มลำโพง height channel ด้านบนขึ้นมาอีก 2 แชนเนล

5.1.4 ch

เป็นการอัพเกรดจากมาตรฐานของระบบเสียง 5.1 ch เดิม ด้วยการเพิ่มลำโพง height channel ด้านบนขึ้นมาอีก 4 แชนเนล

7.1.2 ch

เป็นการอัพเกรดจากมาตรฐานของระบบเสียง 7.1 ch เดิม ด้วยการเพิ่มลำโพง height channel ด้านบนขึ้นมาอีก 2 แชนเนล

7.1.4 ch

เป็นการอัพเกรดจากมาตรฐานของระบบเสียง 7.1 ch เดิม ด้วยการเพิ่มลำโพง height channel ด้านบนขึ้นมาอีก 4 แชนเนล

9.1.2 ch

เป็นรูปแบบการเซ็ตอัพ 9.1 ch ที่อัพเกรดมาจากระบบ 7.1 ch โดยเพิ่มลำโพง front wide channel ที่ด้านหน้าขึ้นมาอีก 2 แชนเนล และเพิ่มลำโพง height channel ด้านบนขึ้นมาอีก 2 แชนเนล


สำหรับหลักการเลือกจำนวนลำโพง และรูปแบบการติดตั้งลำโพงตามตัวอย่างที่ 5 รูปแบบข้างต้นนั้น ให้คำนึงถึง ระดับของประสบการณ์ที่ได้จากระบบเสียง Dolby Atmos กับ ขนาดของห้องเป็นสำคัญ

แนวติดตั้งลำโพง Height Channel บนฝ้าเพดาน


การติดตั้งลำโพงจำนวนมากในห้องที่มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ได้ช่วยให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งลำโพง 7.1.2 ch ในห้องที่มีสัดส่วนแค่ 3 x 5 x 2.5 ... อาจจะได้เสียงออกมา “แย่กว่า” การติดตั้งลำโพง 5.1.4 ch ก็เป็นได้ ให้สังเกตว่า การเลือกใช้ลำโพง height channel จำนวน 4 ตัว จะให้ผลรวมของเสียงจากระบบ Dolby Atmos ออกมาดีกว่าใช้แค่ 2 ตัว

ฉนั้น วิธีเลือกที่ดีที่สุด แนะนำให้เริ่มจากการเพิ่มลำโพง height channel เข้าไปรวมกับระบบเซอร์ราวนด์เดิมของคุณก่อน อาทิเช่น เดิมคุณใช้ระบบเสียง 5.1 ch ก็ให้เลือกเป็น 5.1.2 ch หรือ 5.1.4 ch แล้วดูว่า คุณภาพเสียงออกมาดีกว่าเดิมแค่ไหน คุณพอใจกับประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาแค่ไหน ซึ่งขอให้จำหลักคิดไว้ว่า การเพิ่มจำนวนลำโพงด้านบนที่เป็น height channel เข้าไปให้เต็ม x.x.4 มักจะให้ผลรวมของคุณภาพเสียงจากระบบ Dolby Atmos ออกมาดีกว่าการเพิ่มจำนวนลำโพงในส่วนที่เป็นเซอร์ราวนด์แนวระนาบ

A) ลำโพง height channel แบบฝังบนฝ้า
B) ลำโพง height channel แบบยิงสะท้อนฝ้าลงมา
C) ลำโพง ซาวนด์บาร์ ที่รองรับ Dolby Atmos*

มีทางเลือกอยู่ 3 วิธี ในการติดตั้งลำโพง height channel

แบบ A จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ดีที่สุด แต่มีความยุ่งยากในการติดตั้งลำโพงขึ้นไปบนฝ้าเพดาน

ส่วน แบบ B นั้น ใช้ลำโพงประเภท “Atmos Enabled Speakersที่ด้านบนมีลำโพงยิงเฉียงขึ้นไปบนฝ้าจำนวนสองตัว หรือลำโพง “Atmos Enabled Moduleจำนวนสองตัว วางบนหลังลำโพงคู่หน้า จัดตำแหน่งให้ยิงเสียงขึ้นไปสะท้อนจากฝ้าเพดานลงมาที่ตำแหน่งนั่งชม วิธีนี้เหมาะกับห้องที่ฝ้าเพดานมีลักษณะแข็งและไม่สูงมาก ซึ่งทาง Dolby Labs แนะนำระยะหวังผลไว้ว่า ความสูงของฝ้าเพดานที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 7.5 ฟุต (2.25 เมตร) ถึง 12 ฟุต (3.60 เมตร) สูงสุด ไม่เกิน 14 ฟุต (4.20 เมตร)

ส่วน แบบ C นั้นเหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก และไม่สามารถติดตั้งลำโพง height channel ขึ้นไปบนฝ้าเพดานได้ เป็นวิธีที่ประหยัดและใช้งานง่ายที่สุด ซึ่งในตลาดลำโพง Soundbar มีรูปแบบที่รองรับระบบเสียง Dolby Atmos อยู่ 2 รูปแบบ คือ 1) แบบที่มีลำโพงจริงๆ ยิงขึ้นไปบนฝ้าติดตั้งอยู่ในตัวซาวนด์บาร์ กับแบบที่ 2) เป็นลำโพงซาวนด์บาร์ที่ใช้ DSP ประมวลผลจากสัญญาณเสียง Dolby Atmos แล้วสร้างสนามเสียงด้านบน Vertical Surround ขึ้นมาให้โดยไม่ต้องมีดอกลำโพงยิงขึ้นไปบนฝ้าจริงๆ /

* ลำโพง Soundbar ที่รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
Sony รุ่น HT-Z9F  |  REVIEW
Sony รุ่น HT-X9000F  |  REVIEW

***************

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า