ความเป็นมา
CD หรือ Compact Disc เป็นสื่อกลางที่ใช้ในการจัดจำหน่ายเพลงที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งเครื่องเล่นซีดีและแผ่นซีดีถูกนำเสนอเข้ามาในอุตสาหกรรมเพลงครั้งแรกเมื่อปี 1982 ด้วยขนาดแผ่นแค่ 5 นิ้วซึ่งเล็กกว่าแผ่นเสียงถึง 7 นิ้ว มีน้ำหนักเบา ทนต่อการขูดขีด และที่สำคัญคือมีความสามารถบันทึกสัญญาณเพลงลงไปได้นานถึง 70 นาที ทำให้ CD ได้รับความนิยมจากนักนิยมฟังเพลงอย่างกว้างขวาง เข้ามาแทนที่ทั้งเทปคาสเส็ทและแผ่นเสียงได้อย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัวออกมาสู่ตลาดไม่กี่ปี
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแผ่นซีดี vs. เทปคลาสเส็ทและแผ่นเสียง
ก็คือ “รูปแบบของสัญญาณเพลง” ที่บันทึกอยู่บนตัวแผ่น
สัญญาณเพลงที่บันทึกอยู่บนแผ่นซีดีเป็น “สัญญาณดิจิตัล” ในขณะที่สัญญาณเพลงที่บันทึกอยู่บนเนื้อเทปคาสเส็ทอยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า ส่วนบนแผ่นเสียงเป็นร่องสัญญาณที่กัดเซาะขึ้นมาด้วยแรงสั่นสะเทือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แหล่งกำเนิดของสัญญาณที่ใช้เป็นมาสเตอร์ในการจัดทำเทปคาสเส็ทและแผ่นเสียงก็คือ “สัญญาณอะนาลอก“
CD จึงเป็นฟอร์แม็ตแรกสำหรับสื่อกลางที่ใช้บันทึกสัญญาณเสียงเพลงที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัล
ภาพรวมของสถานะการณ์ปัจจุบัน
CD หรือ Compact Disc เป็นดิจิตัลฟอร์แม็ตแรกที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการบันทึกสัญญาณเพลงมาตั้งแต่ต้น ส่วนประโยชน์ในการนำเอา CD ไปเก็บบันทึกข้อมูลรูปแบบอื่นๆ ถูกพัฒนาตามขึ้นมาทีหลัง เหตุผลที่ต้องคิดค้นฟอร์แม็ตนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า สมัยที่วิศวกรของ Philips กับ Sony กำลังพัฒนาระบบเสียงดิจิตัล ออดิโอที่ชื่อว่า PCM (Pulse Code Modulation) เพื่อนำมาใช้กับสัญญาณเพลงนั้น พวกเขาพบว่า ความยาวเฉลี่ยของข้อมูลเพลงในหนึ่งอัลบั้มเมื่อนำมาเข้ากระบวนการ A-to-D (Analog to Digital converter) เพื่อแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตัลแล้ว มันต้องการพื้นที่ในการเก็บข้อมูลอยู่ราวๆ 400-500MB ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่มีตัวเก็บบันทึกข้อมูลดิจิตัลแบบพกพาฟอร์แม็ตไหนที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้มากถึงขนาดนั้น* ถ้าคิดจะแปลงสัญญาณเพลงเป็นให้สัญญาณดิจิตัลแล้วบันทึกลงบนสื่อกลางเพื่อจำหน่าย จำเป็นต้องออกแบบ “สื่อตัวกลาง” ที่สามารถบันทึกข้อมูลดิจิตัลได้มากเกิน 500MB ขึ้นมาใหม่
นั่นคือที่มาของการพัฒนาสื่อกลางที่ใช้เก็บข้อมูลดิจิตัลที่ชื่อว่า Compact Disc**
*
สื่อบันทึกข้อมูลดิจิตัลแบบพกพาที่ใช้กันแพร่หลายในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงนั้นก็คือ floppy disk ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งสามารถบรรจุข้อมูลได้ไม่ถึง 2MB ต่อแผ่นเท่านั้น
**
ชื่อฟอร์แม็ตของซีดีที่ใช้บันทึกสัญญาณเพลงอย่างเป็นทางการคือ CD-DA ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาสื่อกลางประเภทนี้สำหรับบันทึกข้อมูลประเภทอื่นขึ้นมาอีกหลายฟอร์แม็ต อาทิ CD-R และ CD-RW
เมื่อข้อมูลเพลงถูกบันทึกลงบนสื่อกลางเพื่อการจำหน่ายขายขาดให้กับผู้ใช้ เครื่องเล่น CD จึงได้ถือกำเนิดตามมาเพื่อให้ใช้งานร่วมกัน ก็คือ ดึงข้อมูลเพลงในแผ่นซีดีเหล่านั้นออกมาผ่านกระบวนการแปลงกลับจากเดิมที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัลให้กลายเป็นสัญญาณอะนาลอกก่อนจะส่งออกมาจากตัวเครื่องเล่นเข้าสู่แอมปลิฟายและลำโพง เหตุผลที่ต้องแปลงกลับมาเป็นสัญญาณอะนาลอกก็เพราะว่า ประสาทการรับรู้เสียงของมนุษย์เข้าใจเฉพาะคลื่นเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณอะนาลอกเท่านั้น ไม่สามารถตีความหมายของคลื่นเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัลได้
เมื่อพัฒนาการของระบบดิจิตัลเดินทางมาถึงยุคมิลเลเนี่ยม (ปี 2000) ผนวกกับความแพร่หลายและรวดเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดรูปแบบของการจำหน่ายจ่ายแจกคอนเท็นต์ต่างๆ ทั้งที่เป็นเสียง, ภาพ และวิดีโอที่อยู่ในรูปของข้อมูลดิจิตัลไปบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว ซึ่งพฤติกรรมนี้ได้ก่อผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ distribute หรือการจัดจำหน่ายเพลงเป็นอย่างมาก
ในอดีตนั้น จากเดิมที่ผู้ขายต้องเอาข้อมูลเพลงบรรจุลงบนแผ่น CD แล้วจัดส่งจากโรงงานปั๊มแผ่นไปสต็อกไว้ที่ร้านขายแผ่นซีดี ผู้ซื้อต้องการฟังอัลบั้มไหน ผลงานของใครก็ต้องเดินทางไปหาซื้อแผ่นซีดีจากร้านจำหน่ายแผ่นซีดี และผู้ใช้ต้องหาซื้อเครื่องเล่นซีดีมาใช้เล่นแผ่นซีดีเหล่านั้นด้วยถึงจะได้ฟังเพลงที่ต้องการ
เมื่อวงการคอมพิวเตอร์หลังยุค 2000 ขยายตัวออกไปมากขึ้น คนทั่วไปสามารถหาซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (PC = Personal Computer) มาใช้ได้ง่ายขึ้นในราคาที่ต่ำลงมาก ฮาร์ดดิสที่ใช้เก็บข้อมูลดิจิตัลก็มีราคาต่ำลงมาก ทำให้เกิดแนวทางการฟังเพลงผ่านคอมพิวเตอร์ขึ้น และเมื่อโปรแกรมที่สามารถย่อขนาดของข้อมูลเพลงให้เล็กลงกว่าออริจินัลได้มากนับร้อยเท่าอย่างฟอร์แม็ต MP3 ถูกพัฒนาขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้การจำหน่ายจ่ายแจกข้อมูลเพลงบนอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะข้อมูลเพลงที่เคยบันทึกเก็บอยู่บนแผ่นซีดีที่มีความจุ 700MB เมื่อถูกย่นย่อด้วย MP3 จะทำให้มีขนาดเล็กลงอย่างมาก ยกตัวอย่างเพลงที่มีความยาวประมาณ 4 นาทีกว่า มีขนาดข้อมูลตอนเป็นสัญญาณ PCM บนแผ่นซีดีอยู่ที่เกือบ 50MB พอถูกย่นย่อเป็นฟอร์แม็ต MP3 เพลงนี้จะเหลือขนาดข้อมูลเพียงแค่ 5-6MB (เมกกะไบรท์) เท่านั้นเอง
เมื่อฮาร์ดดิสบนคอมพิวเตอร์และ external HDD แบบพกพามีราคาถูกลง และสปีดในการถ่ายโอนข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตเริ่มมีความเร็วสูงขึ้น แม้ว่าในแต่ละประเทศยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มากเกี่ยวกับความเร็วของอินเตอร์เน็ต แต่แนวโน้มในปัจจุบันนี้จนไปถึงอนาคตอันใกล้ก็สามารถพูดได้ว่าจะมีแต่เร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคำนึงถึงการถ่ายโอนข้อมูลเพลงซึ่งเป็นเฉพาะข้อมูลเสียงอย่างเดียวที่มีความละเอียดของข้อมูลตามมาตรฐานของ CD คือ 16bit/44.1kHz ก็ใช้เวลาในการอัพโหลดและดาวน์โหลดไม่มากแล้วในปัจจุบัน ทำให้คิดได้ว่า ลักษณะการบันทึกสัญญาณเพลงลงไปบนบนสื่อกลางเพื่อการจำหน่ายจ่ายแจกจึงไม่มีความจำเป็นอีก ซึ่งความเป็นจริงของแนวโน้มนี้สามารถพิสูจน์ได้จากยอดจำหน่ายของแผ่นซีดีเพลงที่ต่ำลงเรื่อยๆ
ความเป็นไปในอนาคต
ปัจจุบันนี้ “อินเตอร์เน็ต” กำลังคืบคลานเข้าไปในบ้านพักอาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ใช้บนอุปกรณ์พกพา (portable devices) ต่างๆ ก็มีราคาถูกลงในขณะที่ความเร็วและความเสถียรกลับดีขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกัน เหล่านี้ล้วนเป็นแรงส่งเสริมให้การ distribute หรือจำหน่ายจ่ายแจกเพลงผ่านทางอินเตอร์เน็ตมีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที
เมื่อข้อมูลเพลงอยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัลที่สามารถถ่ายโอนและจัดเก็บบนคอมพิวเตอร์ได้ เครื่องเล่นซีดีที่ออกแบบมาเพื่อเล่นกับสัญญาณเพลงที่อยู่บนแผ่นซีดีก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อมีคนออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงดิจิตัลที่เก็บอยู่บนฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์ออกมา นั่นคือ ถ้าคุณเอาโปรแกรมเล่นไฟล์เพลงเหล่านั้นมาติดตั้งลงบนคอมพิวเตอร์ของคุณ และถ้าคุณมีไฟล์เพลงดิจิตัลฟอร์แม็ตที่โปรแกรมเล่นไฟล์เพลงเหล่านั้นรองรับเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสที่เชื่อมต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ของคุณ แค่นี้คุณก็สามารถฟังเพลงของคุณด้วยการเล่นผ่านคอมพิวเตอร์ของคุณได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อข้อมูลเพลงถูกแปลงรูปแบบให้ไปอยู่ในรูปของไฟล์ดิจิตัลที่คอมพิวเตอร์รู้จัก คุณยังสามารถนำเอาไฟล์เพลงดิจิตัลเหล่านี้ไปเล่นผ่านระบบ home network ได้อีกด้วย ซึ่งการเล่นไฟล์เพลงดิจิตัลผ่านระบบ home network จะมีข้อดีมากกว่าการเล่นไฟล์เพลงด้วยคอมพิวเตอร์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ สามารถควบคุมการเล่นเพลงผ่านทางอุปกรณ์พกพาอย่างพวกสมาร์ทโฟนหรือ iDevices ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ iOS ของ Apple และสมาร์ทโฟน+แท๊ปเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android ได้ด้วย ซึ่งทำให้คนที่ไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถเล่นไฟล์เพลงดิจิตัลได้ง่ายขึ้น
สรุปแล้ว จะอย่างไรก็ตาม หากพิจารณาย้อนไปตั้งแต่เริ่มต้น จะพบข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า “คอนเท็นต์ คือตัวกำหนดรูปแบบการเล่น” ดังนั้น หากพิจารณาจากปัจจุบันไปถึงอนาคตข้างหน้า จะเห็นว่า วิธีการบันทึกและจัดเก็บคอนเท็นต์ที่วงการเพลงใช้กันก็คงจะถูกปรับเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานของระบบดิจิตัลอย่างแน่นอน ในขณะที่สัญญาณเพลงจะถูกจัดการให้ไปอยู่ในรูปของ “ไฟล์เพลงดิจิตัล” ฉนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แนวโน้มของการเล่นเพลงในอนาคตจึงค่อนข้างชี้ชัดว่าน่าจะไปทางคอมพิวเตอร์และเน็ทเวิร์คฯ อย่างไม่มีทางเลี่ยง. /
**********
ลิ้งค์ไปอ่านต่อ –
Hi Res Audio ตอนที่ ๒ : ทำความรู้จักกับ “ไฮ-เรโซลูชั่น ออดิโอ”
Hi Res Audio ตอนที่ ๓ : ไฟล์เพลงรูปแบบ (Format) ต่างๆ
Hi Res Audio ตอนที่ ๔ : การฟังเพลงด้วยไฟล์ผ่านคอมพิวเตอร์
Hi Res Audio ตอนที่ ๕ : โปรแกรมที่ใช้เล่นไฟล์เพลงผ่านคอมพิวเตอร์