ทำความเข้าใจกับ “Layer”
หรือ ระนาบชั้นทางมิติด้านลึกของเวทีเสียง
สำหรับเพลงที่บันทึกเสียงเครื่องดนตรีกับเสียงร้องแยกจากกันเด็ดขาดแล้วเอามามิกซ์เข้าด้วยกันในขั้นตอน mixdown เพื่อทำมาสเตอร์ stereo 2 ch ถือว่าเป็นขั้นตอนปกติสามัญสำหรับมาตรฐานการบันทึกเสียงแบบ multi-track
สมมุติว่าในเพลงหนึ่งมีเสียงเครื่องดนตรีอยู่ 3 ชิ้น คือ กีต้าร์, แซ็กโซโฟน และกลอง + เสียงร้องนำอีกหนึ่ง รวมทั้งหมดเป็น 4 เสียง ซึ่งมิกดาวน์เอนจิเนียร์จะได้รับเบสิคแทรคจากเรคคอร์ดดิ้งเอนจิเนียร์มา 4 แทรคหรือมากกว่า (บางชิ้นอาจจะใช้แทรคบันทึกเสียงมามากกว่า 1 แทรค อย่างเช่นเสียงกลองเป็นต้น)
มิกซ์ดาวน์
คือกรรมวิธีในการสร้างเลเยอร์
ขั้นตอนต่อมาซึ่งเป็นหน้าที่ของมิกดาวน์เอนจิเนียร์ก็คือนำเอาเสียงทั้ง 4 แทรคนั้นมาทำการจัดวางตำแหน่งเสียงทั้งหมดลงไปในเวทีเสียง, จัดเกลี่ยความดัง, ปรับแต่งอะไรอีกนิดๆ หน่อยๆ เมื่อลงตัวตามต้องการแล้วก็จัดการ merge เสียงทั้งหมดนั้นออกมาเป็นสัญญาณเสียง stereo 2 ch ก่อนจะจัดส่งให้มาสเตอริ่งเอนจิเนียร์รับช่วงไปทำมาสเตอร์เพื่อตัดออกมาบนสื่อกลางรูปแบบต่างๆ เช่น CD หรือ LP เป็นต้น
ในส่วนของการ “จัดวางตำแหน่ง” ของเสียงก็คือขั้นตอนการสร้างสรร “เวทีเสียง” (ซาวนด์สเตจ) ของเพลงนั่นเอง เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คล้ายกับจิตรกรที่ร่างภาพขึ้นมาบนผืนผ้าใบเปล่าๆ ซึ่งมิกซ์ดาวนด์เอนจิเนียร์กับโปรดิวเซอร์ที่เก่งๆ มีจินตนาการสูงจะสร้างสรรเวทีเสียงออกมาได้อย่างมีเรื่องราวน่าสนใจ ส่งเสริมให้บทเพลงฟังดูมีเสน่ห์ น่าติดตาม เทคนิคการมิกซ์เสียงแบบหนึ่งที่นิยมกันมากและมีผลทำให้บทเพลงฟังแล้วคล้ายกับการรับชมการแสดงสดๆ หน้าเวทีแสดงดนตรีในคอนเสิร์ต นั่นคือทำให้เวทีเสียงมีลักษณะเป็นสามมิติ คือมีกว้าง–แคบ, ตื้น–ลึก และสูง–ต่ำ

เทคนิคการมิกซ์เสียงให้เกิดมิติในแนวกว้าง คือวัดจากซ้ายไปขวาหรือจากขวาไปซ้ายเมื่อนั่งฟังอยู่ในตำแหน่ง sweet spot สามารถทำได้โดยการปล่อยสัญญาณเสียงที่ต้องการมิกซ์ที่มีคุณสมบัติ “เหมือนกันทุกประการ” ทั้งความดัง (level) และเฟส (phase) เข้าไปที่ลำโพงทั้งสองข้าง สมมุติว่าเป็นเสียงกีต้าร์ จากนั้น ถ้ามิกซดาวน์เอนจิเนียร์ต้องการให้เสียงกีต้าร์ตัวนั้นมีตำแหน่งเยื้องไปทางด้านซ้ายมือของผู้ฟัง คือตอนเปิดฟังจะได้ยินเสียงกีต้าร์ตัวนั้นดังขึ้นในตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับลำโพงข้างซ้ายมือของผู้ฟัง ซาวนด์เอนจิเนียร์คนนั้นก็จะทำการลดความดังของเสียงกีต้าร์ที่ไปออกทางลำโพงขวาให้เบากว่าเสียงกีต้าร์ที่ไปออกทางลำโพงข้างซ้าย
ส่วนความตื้น–ลึกในเวทีเสียงสามารถทำได้ด้วยการปรับใช้ “ระดับความดัง” (Level) ของเสียงแต่ละเสียงให้ต่างกัน เสียงที่มีระดับความดัง “ต่ำกว่า” ชิ้นอื่นๆ ก็จะมีตำแหน่งที่ลึกลงไปด้านหลังของเวทีเสียง คือถ้ามองจากตำแหน่งนั่งฟังที่จุด sweet spot เข้าไปหาลำโพง เสียงที่ยิ่งเบาก็จะยิ่งมีตำแหน่งลึกเลยระนาบของลำโพงลงไปมากกว่าเสียงที่มีความดังมากกว่า ถ้าดูจากภาพประกอบ เสียงแซ็กโซโฟนกับเสียงกลองในแทรคนี้ “เบากว่า” เสียงกีต้าร์กับเสียงร้อง อย่างนี้เป็นต้น
“ความดังของเสียง” หน่วยเป็น dB (decibel) ถ้าเสียงของเครื่องดนตรีสองชิ้นมีความดังต่างกัน ตำแหน่งในเวทีเสียงของเครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นก็จะอยู่ในระนาบตื้น–ลึกที่ต่างกัน ยิ่งความดังต่างกันมาก ระยะตื้น–ลึกของเสียงเครื่องเสียงดนตรีทั้งสองชิ้นนี้ก็จะยิ่งถอยห่างลงไปจากกันมากขึ้น ถ้าจะดูจากภาพตัวอย่าง สามารถอธิบายได้ว่า เสียงกีต้าร์มีความลึกอยู่ในระนาบที่ 2 เพราะมีความดังต่ำกว่าเสียงร้องแต่ดังกว่าเสียงแซ็กโซโฟนซึ่งอยู่ในระนาบที่ 3 และเสียงกลองซึ่งอยู่ในระนาบที่ 4 ในขณะที่เสียงกลองมีความดังต่ำที่สุดในแทรคนี้จึงมีตำแหน่งอยู่ในระนาบที่ลึกที่สุดของเวทีเสียงสำหรับแทรคนี้นั่นคือระนาบที่ 4 ตามภาพ
ลำโพงบ้าน
vs. หูฟัง
ในแง่ Layer หรือระดับความลึกที่แตกต่างกันของเวทีเสียงจะรับรู้ได้ง่ายกว่าเมื่อฟังผ่านเครื่องเสียงบ้าน ส่วนการฟังผ่านหูฟังกับเครื่องเสียงรถยนต์จะจับความแตกต่างได้ยาก. /



