รีวิวเครื่องเสียง Astell&Kern รุ่น A&futura SE180 เครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพา + โมดูล SEM2

Astell&Kern ป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการเครื่องเล่นไฟล์เพลงไฮเรซฯ ระดับไฮเอ็นด์ฯ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาเป็นผู้ผลิตสัญชาติเกาหลีที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 2012 ปัจจุบัน Astell&Kern มีผลิตภัณฑ์ออกมาหลายชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์หลักคือเครื่องเล่นไฟล์เพลงนี้ พวกเขามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดและถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของนวัตกรรมที่แบรนด์ Astell&Kern นำเสนอ นั่นคือ เครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาที่สามารถเปลี่ยนโมดูลของภาค DAC ได้ (Interchangeable All-in-One Modules) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกแม็ทชิ่งเสียงของ SE180 เข้ากับหูฟังแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อเพื่อให้ได้ลักษณะเสียงที่ผู้ฟังชอบมากที่สุดได้ตลอดเวลา

Astell&Kern แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของพวกเขาออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

1) A&ultima = ประมาณว่า Astell&Kern Ultimate อะไรแบบนั้น เป็นกลุ่มของเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาระดับสูงสุดของแบรนด์นี้ มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 4 รุ่น คือ SP2000, SP1000, SP1000M และรุ่น SP1000M Gold เป็นกลุ่มที่ จัดเต็มทุกแง่มุมของการออกแบบ รวมทั้งทางด้านคุณภาพเสียง เป็นกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่มีสปคฯ สูงมากๆ

2) A&futura = เป็นกลุ่มที่รองลงมาจาก A&ultima ขั้นหนึ่ง เป็นกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรมใหม่ๆ ฟังท์ชั่นแปลกๆ เทรนด์ล้ำๆ ที่น่าตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มนี้ก็ยังคงเน้นคุณภาพเสียงอยู่ แต่ย่อหย่อนลงมาจากกลุ่ม A&ultima นิดหนึ่ง ในกลุ่มนี้มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 4 รุ่น คือ SE180, SE200, SE100 และ SE100 M.Chat

3) A&norma = กลุ่มนี้ออกแบบมาเพื่อนักฟังเพลงที่เริ่มจะก้าวเข้าสู่ยุทธจักรนักฟังระดับซีเรียส มิวสิค เลิฟเวอร์ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้อยู่ 2 ตัว คือ SR25 กับรุ่น SR15

4) KANN = เป็นกลุ่มของเครื่องเล่นไฟล์เพลงที่เน้นเอ๊าต์พุตแรงๆ รวมถึงมาในรูปแบบของ all-in-one ที่มีฟีเจอร์ครบๆ มีทั้งดิจิตัล เอ๊าต์พุตและอะนาลอก เอ๊าต์พุท ซึ่งในกลุ่มนี้มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 3 รุ่น คือ KANN ALPHA, KANN CUBE และ KANN

5) Others = รวบรวมผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าๆ ในอดีตทั้งที่ยังมีจำหนายและเลิกผลิตไปแล้ว

ตัว SE180 ที่ผมได้รับมาทดสอบครั้งนี้จัดอยู่ในกลุ่ม A&futura ซึ่งเป็นรุ่นที่รวมจุดเด่นสองประการไว้ด้วยกัน นั่นคือ คุณภาพเสียงกับ ฟังท์ชั่นใช้งานก่อนจะไปทดสอบลงลึกเกี่ยวกับสองคุณสมบัตินั้น เราไปพิจารณารูปร่างหน้าของ Astell&Kern รุ่น A&futura SE180 กันก่อนดีกว่า

A&futura SE-180
รูปร่างหน้าตา

Astell&Kern แปลงโฉมจากรูปแบบเก่าที่มีหน้าจอแค่ครึ่งเดียวตั้งแต่รุ่น AK100 มาเป็นรูปแบบใหม่ที่ขยายจอใหญ่เป็น 75% ของพื้นที่บนแผงหน้า และปรับการสั่งงานเป็นแบบทัชสกรีนเกือบร้อยเปอร์เซ็ฯต์ตั้งแต่รุ่น AK70 เป็นต้นมา และเริ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของบอดี้ภายนอกให้มีขนาดใหญ่ และเล่นขอบเอียงปาดเฉียงมาตั้งแต่รุ่น AK240 ก่อนจะถูกจับแยกออกเป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างในปัจจุบัน

SE180 เป็น DAP รุ่นใหม่ล่าสุดในจำนวน 3 รุ่นที่มีอยู่ในกลุ่ม A&futura ซึ่งมีรูปร่างภายนอกที่ยังคงเล่นลวดลายปาดเฉียงขอบอยู่บ้าง แต่ไม่หนักเท่ากับรุ่นที่อยู่ในกลุ่ม A&norma อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงขนาดของตัวถัง ก็ต้องยอมรับว่า SE180 มีบอดี้ที่ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานโดยเฉลี่ยของเครื่องเล่นไฟล์เพลงทั่วไป ฝ่ามือของคนทั่วไปกำไม่มิด ถ้าจะพกพาออกไปใช้งานนอกสถานที่ขณะเดินทาง แนะนำให้ใส่ไว้ในเป้หรือกระเป๋าสะพายบ่าจะสะดวกกว่า เพราะไม่เพียงแต่ขนาดที่ใหญ่เท่านั้น แต่น้ำหนักก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะตัวบอดี้มันทำจากอะลูมิเนียมสกัดขึ้นรูปทั้งแท่ง.!

หน้าจอของรุ่น SE180 ตัวนี้มีขนาดประมาณ 90% ของพื้นที่บนแผงหน้า และด้วยระบบสั่งงานที่ใช้วิธีสัมผัสบนหน้าจอเกือบทั้งหมด นั่นจึงทำให้ไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ อยู่บนแผงหน้าเลย ที่แผงด้านข้างขวาของตัวเครื่อง (หันหน้าจอเข้าหาตัว) จะมีปุ่มกดเล็กๆ อยู่ 2 ปุ่ม (A, C) และมีปุ่มหมุน (B) อีกหนึ่งปุ่มเท่านั้น ปุ่มกดตรงตำแหน่ง A นั้นใช้สำหรับกดเพื่อปลดล็อคโมดูลที่ติดตั้งอยู่ในตัวเครื่อง เอาไว้กดเพื่อถอดเปลี่ยนโมดูล ซึ่งต้องกดพร้อมกับอีกปุ่มที่อยู่บนแผงข้างด้านซ้าย (ศรชี้ภาพล่าง) ส่วนปุ่มหมุนที่ตำแหน่ง B คือปุ่มวอลลุ่มสำหรับปรับระดับความดังของเสียง ถัดลงไปเป็นปุ่มกดตรงตำแหน่ง C เป็นปุ่มฟังท์ชั่นที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง ในขณะที่เพลงกำลังเล่น ถ้ากดปุ่มนี้หนึ่งครั้งจะเป็นการหยุดเล่นชั่วคราว (pause) และกดซ้ำเพื่อให้เล่นต่อ ถ้ากดปุ่มนี้สั้นๆ 2 ครั้ง เป็นการสั่งเลื่อนไปเล่นเพลงต่อไป ถ้ากดสั้นๆ ซ้ำกัน 3 ครั้งเป็นการสั่งให้ย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า หรือกลับไปเริ่นต้นเล่นใหม่กรณีที่เพิ่งเล่นแทรคแรก

ขณะเล่นไฟล์เพลง ที่ส่วนฐานของปุ่มวอลลุ่มจะมีไฟ LED เปล่งแสงเป็นสีเพื่อแสดง ประเภทและ ระดับความละเอียดของสัญญาณที่กำลังเล่นให้เรารู้ด้วยแสง 4 สี คือ สีแดง (PCM 16-bit), สีเขียว (PCM 24-bit), สีฟ้า (PCM 32-bit) และ สีม่วง (DSD) ถ้าไม่ต้องการให้แสดงสีเพื่อประหยัดพลังงานก็สามารถตั้งปิดไฟนี้ได้

เอ๊าต์พุต

ด้านบนของตัวบอดี้เป็นที่ติดตั้งปุ่ม Power (D) ใช้กดเพื่อเปิด/ปิดเครื่อง และกดสั้นๆ เพื่อเปิด/ปิดหน้าจอ และในกรณีที่เครื่องมีอาการค้าง ก็ให้กดปุม Power นี้ค้างไว้ประมาณ 7 วินาทีเพื่อบังคับปิด, ช่องเสียบแจ็คหูฟังบาลานซ์ 2.5mm (E), ช่องเสียบแจ๊คหูฟังบาลานซ์ 4.4mm (F) และช่องเสียบแจ๊คหูฟังซิงเกิ้ลเอ็นด์ขนาด 3.5mm (G) ซึ่งช่องบาลานซ์ 2.5mm และ 4.4mm ไม่ควรใช้งานพร้อมกันเนื่องจากเอ๊าต์พุตทั้งสองช่องนี้พ่วงออกมาจากภาคขยายของแอมป์ชุดเดียวกัน ในขณะที่ช่องเอ๊าต์พุตซิงเกิ้ลเอ็นด์ 3.5mm นั้นแยกออกมาจากแอมป์อีกชุดหนึ่ง ส่วนด้านหลังของ SE180 เป็นกระจกเรียบ ไม่มีปุ่มหรือกลไกควบคุมใดๆ

ชาร์จไฟ + โหลดไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ + ช่องเสียบการ์ด microSD

ที่ใต้ฐานด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องอยู่ 2 ช่อง ช่องแรกเป็นขั้วต่อ USB-C (H) ซึ่งมีหน้าที่ 2 อย่าง อย่างแรกคือชาร์จไฟให้กับเบตเตอรี่ในตัวเครื่อง ซึ่งรองรับไฟ 9V 1.67A (9 โวลต์/1.67แอมป์) แต่ในกล่องไม่มีอะแด๊ปเตอร์มาให้ มีแต่สาย USB type C > type A เส้นเดียว ในคู่มือบอกว่า ถ้าปิดเครื่องแล้วชาร์จด้วยอะแด๊ปเตอร์ 9V/1.67A จะใช้เวลา 3 ชั่วโมงจึงเต็ม แต่ถ้าใช้อะแด๊ปเตอร์ 5V/2A ก็ชาร์จได้แต่จะใช้เวลาชาร์จนานกว่าคือ 5 ชั่วโมงจึงเต็ม ส่วนอะแด๊ปเตอร์ที่มีโวลต์เอ๊าต์พุตสูงกว่าเก้าโวลต์ อย่างเช่น 12V จะชาร์จไม่เข้า ไม่แนะนำให้ลองเพราะนอกจากจะชาร์จไม่ได้แล้วอาจจะทำให้เครื่องพังได้

วิธีชาร์จที่ง่ายที่สุดก็คือเสียบชาร์ตกับคอมพิวเตอร์ ผมใช้สาย USB type C > type C เชื่อมต่อ SE180 กับ MacBook Pro เพื่อชาร์จไฟและลงโปรแกรม Android File Transfer เพื่อใช้โหลดไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสที่เชื่อมต่อกับแมคบุ๊ค โปรฯ ไปที่ SE180 ซึ่งเป็นอีกหน้าที่ของช่อง USB-C ของ SE180 ที่ให้มา ส่วนอีกช่องที่อยู่ข้างๆ คือช่องเสียบการ์ด microSD (Iที่เก็บไฟล์เพลง ซึ่งรองรับได้สูงสุดถึง 1TB เมื่อรวมกับหน่วยความจำในตัวที่ให้มามากถึง 256GB ทำให้ SE180 มีพื้นที่เก็บเพลงเยอะมากเกินพอ

Interchangeable All-in-One
นี่คือ Transport + DAC นั่นเอง!!

เครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพาที่มีอยู่ในตลาดเกือบทั้งหมดจะเป็นเครื่องเล่นแบบ All-in-One คือรวมการทำงานหลักๆ 3 ส่วน อยู่ด้วยกัน นั่นคือ 1) การเล่นไฟล์เพลง, 2) ภาคแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอก หรือภาค DAC และ 3) แอมป์ขับหูฟัง ซึ่งวงจรอิเล็กทรอนิคที่ควบคุมการทำงานทั้ง 3 ส่วนนี้จะถูกเชื่อมโยงถึงกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้

เมื่อปี 2020 Astell&Kern ปล่อยตัวเครื่องเล่นรุ่น SE200 ออกมา ซึ่งเป็นรุ่นที่มีนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ ในตัว SE200 มีชิป DAC อยู่ถึง 3 ตัว กับภาคขยายหูฟัง 2 ชุด แยกกันทำงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือชิป AKM เบอร์ AK4499 + แอมป์ที่ออกแบบมาสำหรับชิป AK4499 โดยเฉพาะ กับอีกกลุ่มคือชิป ESS Technology เบอร์ ES9068AS x 2 ตัว บวกกับแอมป์อีกชุดที่ออกแบบมาสำหรับชิป ES9068AS โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการออกแบบที่แหวกแนวกว่าแบรนด์อื่น เป็นเพลเยอร์ตัวแรกของโลกที่มีภาค DAC ให้เลือกถึง 2 รูปแบบอยู่ในตัวถังเดียวกัน.!!

ส่วน SE180 ที่ออกตาม SE200 มาตัวนี้ก็ได้ถูกออกแบบให้มีความพิเศษเช่นกัน คือเป็นเครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพารุ่นแรกของ Astell&Kern ที่สามารถถอดเปลี่ยนภาค DAC + Amp ได้..!!!

ไฮไล้ท์ของ SE180 ก็คือการแยก ฮาร์ดแวร์ที่ใช้เล่นไฟล์เพลง (Transport)กับ ฮาร์ดแวร์ของภาค DAC + แอมป์ขับหูฟังออกจากกันเป็น 2 ส่วนแบบ เด็ดขาดแต่ด้วยการออกแบบที่แยบยล พวกเขาสามารถซ่อนฮาร์ดแวร์ทั้งสองส่วนนั้นเข้าไปอยู่ในตัวถังเดียวกันได้อย่างแนบเนียน

ในภาพด้านบนคือโมดูล SEM1 ที่มาจากโรงงานกับโมดูล SEM2 ที่เป็นอ๊อปชั่น ทั้งสองโมดูลมีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง

ขนาดของโมดูลที่บรรจุในตัวถัง SE180

เอ๊าต์พุตทั้งสาม กับปุ่มเพาเวอร์ที่ใช้เปิด/ปิดเครื่อง

ขั้วต่อ USB-C (ศรชี้) ที่ใช้เชื่อมต่อสัญญาณระหว่างภาคทรานสปอร์ตกับภาค DAC/Amp

เมื่อกดปุ่มด้านข้างทั้งสองปุ่มพร้อมกันและออกแรงดึงที่ส่วนบนของตัวเครื่อง โมดูลหรือชิ้นส่วนที่เป็นตัวถังของภาค DAC บวกกับแอมปลิฟายจะหลุดออกมา ส่วนที่เหลืออยู่ในตัวถังก็เป็นภาคทรานสปอร์ตที่ใช้ในการเล่นไฟล์เพลงเท่านั้น เหตุผลที่ออกแบบลักษณะนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโมดูลของภาค DAC+Amp ได้นั่นเอง (และแน่นอนว่าทาง Astell&Kern ก็คงจะทำออกมาขายอัพเกรดไปได้เรื่อยๆ เช่นกัน)

โมดูล DAC+Amp ที่ติดตั้งในตัว SE180 มาจากโรงงานชื่อรุ่นว่า SEM1 ซึ่งใช้ชิปของ ESS Technology เบอร์ ES9038PRO บวกกับภาคขยายหูฟังที่ออกแบบมาให้แม็ทฯ กัน ส่วนโมดูล DAC+Amp ที่มีให้อัพเกรดได้ตอนนี้มีชื่อรุ่นว่า SEM2 ซึ่งใช้ชิปของ AKM เบอร์ AK4497EQ จำนวน 2 ตัว (เป็น dual DAC) พร้อมภาคขยายหูฟังที่ออกแบบมาแม็ทฯ กัน

หน้าจอสัมผัส

การสั่งงานเกือบทั้งหมดใช้วิธีสัมผัสหน้าจอโดยตรง ซึ่งหน้าจอของรุ่น SE180 มีความละเอียดสูงถึง 1920 x 1080 พิกเซล บนหน้า Home ของเครื่องมีจุดแสดงข้อมูลต่างๆ ตามมาตรฐานทั่วไป อาทิ แสดงบิตและแซมปลิ้งเรตของไฟล์เพลงที่กำลังเล่น, แสดงภาพปกอัลบั้ม ฯลฯ รวมถึงมีไอค่อนของฟังท์ชั่นต่างๆ อาทิ ไอค่อนเข้าไปดู playlist ของเพลงที่กำลังเล่น, ไอค่อนทางเข้าสำหรับปรับเมนู, ไอค่อนสำหรับโหมดเล่นซ้ำ (repeat mode) และโหมดสุ่มเล่น (shuffle mode), ไอค่อนคำสั่งที่ใช้ควบคุมการเล่น (play / pause) และเลือกเล่นเพลง (next / fast forward)

แต่ที่เด่นและแตกต่างไปจากหน้า Home ของเครื่องเล่นไฟล์เพลงทั่วไปก็คือปุ่มกดเพื่อสตรีมไฟล์เพลงที่กำลังเล่นไปที่อุปกรณ์ภายนอก ซึ่งแสดงเป็นแถบเล็กๆ อยู่บนกลางจอ (ศรชี้ภาพด้านบน) ซึ่งแถบนี้จะปรากฏขึ้นมาเมื่อ SE180 ค้นพบว่ามีอุปกรณ์อื่นๆ ในเน็ทเวิร์คเดียวกันที่มันสามารถส่งสัญญาณเสียงไปให้ได้ เมื่อจิ้มลงไปที่แถบนี้ จะปรากฏหน้าต่างสี่เหลี่ยมขึ้นมาบนหน้าจอ แสดงรายชื่อของอุปกรณ์ที่คุณสามารถสตรีมไฟล์เพลงจาก SE180 ไปที่อุปกรณ์เหล่านั้นขึ้นมาให้เลือก ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่รองรับการสตรีมและเชื่อมต่ออยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกับ SE180 นั่นเอง

นอกจากนั้น วิศวกรซอฟท์แวร์ของ Astell&Kern ยังได้ทำการปรับปรุงการแสดงผลของหน้าจอ SE180 ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกขั้น โดยซ่อนหน้าจอแสดงผลซ้อนไว้อีก 4 หน้าจอ ซึ่งคุณสามารถเปิดดูหน้าจอเหล่านั้นได้ด้วยการใช้ปลายนิ้วรูดบนหน้าจอ

1. รูดจากบนลงล่าง = จะแสดงไอค่อนคำสั่งเกี่ยวกับการเชื่อมต่อต่างๆ และเมนู Settings
2. รูดจากล่างขึ้นบน = แสดงรายชื่อเพลงที่เล่นมาแล้ว
3. รูดจากซ้ายไปขวา = แสดงข้อมูลและทางเข้าไปสู่ฟังท์ชั่น AK Connect และ Settings
4. รูดจากขวาไปซ้าย = แสดง playlist ที่กำลังเล่น

นอกจากนั้น บนหน้าจอจะมีแถบควบคุมเล็กๆ คาดอยู่ที่ด้านล่างสุดของจอ ซึ่งเป็นจุดที่คุณสามารถกลับมาที่หน้า Home ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในหน้าไหนของเมนูเครื่อง ช่วยเพิ่มความสะดวก ไม่ต้องกดปุ่ม back (<) ซ้ำๆ หลายที

AK CONNECT
ความสามารถในการเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมของ SE180

ถ้าได้ลองใช้งาน SE180 จนครบทุกความสามารถของมันแล้ว คุณต้องยอมรับในความ รอบจัดของมัน เพราะ SE180 ไม่ได้เป็นแค่เครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาในความหมายเดิมๆ อีกแล้ว แต่มันได้กลายเป็นศูนย์กลาง หรือ Hub ของการเล่นไฟล์เพลงที่มีทั้งความสามารถในการ ดึงไฟล์เพลงจากแหล่งเก็บไฟล์เพลงบนเน็ทเวิร์คเอามาเล่นบนตัวมัน และมีความสามารถในการ กระจายสัญญาณเพลงออกไปได้ทุกช่องทาง ทั้งทางระบบไร้สาย (WiFi & Bluetooth) รวมถึงระบบใช้สายที่เป็นพื้นฐานด้วย..!!!

มาดูความสามารถในการเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเิร์คกันก่อน ฟังท์ชั่น “AK Connect” (J ในภาพด้านบน) เป็นช่องทางที่ SE180 ซึ่งรับบทบาทเป็น player ใช้ในการเชื่อมต่อกับ server (K = Library คือที่เก็บเพลง) ต่างๆ ที่อยู่บนเน็ทเวิร์คเพื่อดึงมาเล่นแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลเอ๊าต์พุตไปที่อุปกรณ์ปลายทาง (L = Speaker) ที่อยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกัน ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อและส่งผ่านสัญญาณด้วยวิธีไร้สายสมบูรณ์แบบโดยคลื่น WiFi ตามมาตรฐาน UPnP ดังนั้นอุปกรณ์ทุกตัวทั้งที่ทำหน้าที่เป็น Server (Library) และทำหน้าที่เป็น Renderer (Speaker) จะต้องรองรับการเชื่อมต่อบนเน็ทเวิร์คด้วยมาตรฐาน UPnP ด้วยจึงจะเข้ามาปรากฏอยู่ในรายชื่อ Library หรือ Speaker ของฟังท์ชั่น AK Connect ได้ ซึ่งคุณก็แค่จิ้มเลือกได้เลยว่าจะดึงไฟล์เพลงจากที่ไหน (Library) มาเล่น และจะส่งสัญญาณเสียงของเพลงนั้นให้ไปดังออกทางเอ๊าต์พุต (Speaker) ไหน

ตั้งให้ดูใกล้ๆ จะเห็นว่า SE180 สตรีมสัญญาณมาที่ EVO 75 แบบครบๆ คือมาทั้งตัวสัญญาณเสียงและข้อมูลของเพลง (metadata) ครบหมด ทั้งรายชื่อเพลง, ชื่อศิลปิน, ชื่ออัลบั้ม, เวลาในการเล่น, เวลาทั้งหมดของเพลง, ข้อมูลของไฟล์เพลง รวมทั้งภาพปกอัลบั้มด้วย.. เจ๋งมาก.!!

ขณะดาวน์สตรีมสัญญาณเสียงจาก SE180 มาที่ EVO 75 ผมยังสามารถควบคุมความดังของเพลงผ่านทางปุ่มวอลลุ่มของ SE180 ได้ด้วย ซึ่งมันจะ link กับวอลลุ่มของ EVO 75

ผมทดลองอัพสตรีม (ดึง) ไฟล์เพลงจาก NAS ของผมลงมาเล่นบน SE180 แล้วดาวน์สตรีม (ส่งสัญญาณเพลงที่เล่นจาก SE180) ลงไปที่ Cambridge Audio รุ่น EVO 75 ซึ่งเป็นเน็ทเวิร์ค เพลเยอร์แบบ All-in-One ที่มีทั้งภาค DAC และแอมป์ในตัว โดยขับออกลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One และทดลองสตรีมสัญญาณเสียงไปที่ลำโพงไร้สาย KEF รุ่น LSX (REVIEWและสุดท้ายคือลองส่งสัญญาณผ่าน Bluetooth ไปที่หูฟังไร้สาย Apple : AirPods Max (REVIEWก็พบว่า SE180 สามารถดาวน์สตรีมสัญญาณเสียงจากตัวมันไปที่เอ๊าต์พุตเป้าหมายทั้งหมดนั้นได้อย่างราบลื่น เสียงที่ออกมาก็อยู่ในระดับที่ดีน่าพอใจ เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก.! โดยเฉพาะการสตรีมหรือดึงไฟล์เพลงจาก NAS ผ่านเข้ามาที่ SE180 ทางคลื่น WiFi ซึ่งเป็นการดึงไฟล์เพลงจาก NAS มาที่เพลเยอร์แบบไร้สาย และ SE180 ก็ทำได้อย่างน่าชื่นชม มันสามารถดึงไฟล์ DSF64 จาก NAS ของผมมาเล่นบนตัวมันได้เฉยเลย.!!! (* ผมพบว่าการดึงไฟล์เพลงจาก NAS มีหลุดและสะดุดบ้างเล็กน้อย เพราะว่าผมใช้งาน SE180 ในห้องฟังที่ปิดประตูมิดชิด ในขณะที่ router อยู่นอกห้อง ห่างออกไปเกือบสิบเมตร – ใช้ WiFi 2.4GHz)

การใช้งาน SE180 ในโหมด external DAC

ช่อง USB-C หนึ่งเดียวของ SE180 ถูกกำหนดให้ทำงานที่แตกต่างกัน 3 โหมด นั่นคือ โหมด external DAC, โหมด USB DISK และโหมด USB DAC ซึ่งแต่ละโหมดมีลักษณะการใช้งานต่างกัน

วิธีเปิดใช้ฟังท์ชั่นเลือกโหมดการทำงานของช่อง USB-C ก็คือรูดหน้าจอจากบนลงล่าง จะเจอหน้าจอซ้อนแบบนี้ไหลลงมา.. ไอค่อนสองตัวทางขวามือนั่นแหละคือปุ่มเลือกโหมดการทำงานของช่อง USB-C (ศรชี้) ตัวขวามือสุดในภาพนั้นคือไอค่อนกดเปิดใช้งาน external USB เพื่อสั่งให้ SE180 ส่งสัญญาณเสียงออกไปทางช่อง USB-C ในรูปของสัญญาณดิจิตัล

ลักษณะการเล่นไฟล์เพลง (จากฮาร์ดดิสในตัว, สตรีมจาก NAS & TIDAL) แล้วส่งสัญญาณไปยัง external DAC ภายนอกผ่านทางเอ๊าต์พุต USB ด้วยฟังท์ชั่น External USB ซึ่งจะรองรับการส่งสัญญาณได้ครบทุกฟอร์แม็ต PCM, DSD และ MQA ในกรณีที่ external DAC ที่เอามาต่อกับเอ๊าต์พุตของ SE180 ไม่รองรับ DSD เนทีฟ ก็ให้เข้าไปใน Settings แล้วปรับตั้งฟอร์แม็ตของ DSD ให้เป็น DoP หรือ Convert to PCM แล้วแต่ว่า ext.DAC ของคุณรองรับสัญญาณ DSD ด้วยฟอร์แม็ตไหน

ส่วนไฟล์ MQA ก็เช่นเดียวกัน ถ้า ext.DAC มี MQA Decoder คุณก็ไม่ต้องทำอะไร เล่นไฟล์นั้นไปตรงๆ สัญญาณเอ๊าต์พุตที่ส่งให้ ext.DAC ก็จะออกมาเป็น PCM 16/44.1 + MQA signal แต่ถ้า ext.DAC ของคุณไม่มีดีโค๊ดเดอร์ MQA ก็ให้เข้าไปตั้งใน Settings ให้ซอฟท์แวร์เล่นไฟล์ของ SE180 ทำการคลี่ MQA ให้หนึ่งชั้น ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ก่อนจะส่งออกไปให้ ext.DAC

ผมทดลองเล่นไฟล์ WAV 16/44.1 ซึ่งเป็นไฟล์ MQA ที่ผมริปมาจากแผ่น MQA-CD ที่เข้ารหัสมาด้วยสัญญาณ 24/352.8 จากสตูดิโอ แล้วส่งผ่านสาย USB type C > type B ของ Nordost รุ่น Heimdall 2 เส้นสีแดง ไปเข้าที่อินพุต USB-B ของ MyTek รุ่น Liberty DAC ที่มีดีโค๊ดเดอร์ MQA ในตัว โดยที่ผมเข้าไปตั้งอ๊อปชั่นที่ให้โปรแกรมเพลเยอร์ของ SE180 คลี่ MQA ไว้ที่ตำแหน่ง Off คือไม่เปิดใช้งานอ๊อปชั่นนี้ ให้ SE180 ส่งสัญญาณ PCM 16/44.1 + MQA signal ไปที่ Liberty DAC ปรากฏว่า Liberty DAC สามารถคลี่สัญญาณนั้นออกมาเป็น 24/352.8 เต็มพิกัดตามมาตรฐานที่มาจากสตูดิโอซึ่งเป็นสัญญาณมาสเตอร์ก่อนเข้ารหัสด้วย MQA ซึ่งวิธีนี้ก็ใช้กับการเล่นไฟล์ Master จาก TIDAL ที่เข้ารหัสด้วย MQA ได้เหมือนกัน… นี่ก็เจ๋งมาก! ใครที่เป็นติ่ง MQA ได้เฮกันเลยล่ะ เพราะ SE180 สามารถเล่นและถอดรหัส MQA บนตัวของมันตรงๆ ก็ได้ และส่งออกไปถอดรหัสกับ ext.DAC ภายนอกก็ได้.. สุดจริง!!

นอกจากนั้น ขั้วต่อ USB-C ของ SE180 ยังมี USB Mode อีก 2 โหมดให้เลือกใช้งาน นั่นคือโหมด USB DISK กับ USB DAC ซึ่งออกแบบมาให้ใช้ต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการ ถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์เข้าไปในฮาร์ดดิสของ SE180 (เลือกไปที่ USB DISK) หรือจะสั่งให้ภาค DAC ในตัว SE180 ทำหน้าที่เป็น USB-DAC เพื่อรองรับการเล่นไฟล์เพลงบนคอมพิวเตอร์แล้วส่งไปแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกผ่านภาค DAC ในตัว SE180 นั่นเอง

ยังไม่หมดครับ..!!! ความสามารถของ SE180 ยังมีอีกเยอะ อย่างเช่น สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ประเภท CD ripper เข้ากับช่อง USB-C ของ SE180 เพื่อริปสัญญาณจากแผ่นซีดีออกมาเป็นไฟล์เพลงเข้าไปเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสในตัวของ SE180 ได้ด้วย ริปเสร็จก็ดึงไฟล์นั้นออกมาเล่นได้เลย นอกจากนั้น SE180 ยังมีโหมด Car Mode ที่ใช้งานร่วมกับระบบเพลเยอร์ของรถที่รองรับ Car Mode ได้อีกด้วย นั่นทำให้การฟังเพลงบนรถมีความสะดวกมากขึ้น สามารถควบคุมการเล่นเพลงผ่านสวิทช์สัมผัสบนพวงมาลัยได้ (ผมใช้ฮอนด้า CRV เวอร์ชั่นล่าสุดอยู่… สวรรค์เลย.!)

เสียงของ SE180

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ลักษณะเสียงและ คุณภาพเสียงของ SE180 มีอยู่ 2-3 ปัจจัย อย่างเช่น กรณีของการ ส่งสัญญาณออกไปนอกตัวเครื่องมีผลทำให้เสียงของ SE180 แปรเปลี่ยนไปตามคุณภาพของภาค DAC ที่เอามาต่อเชื่อมกับ SE180 ตัวนี้ รวมทั้งคุณภาพของคลื่น Bluetooth กับคลื่น WiFi ก็ส่งผลกับคุณภาพเสียงที่ได้ในกรณีที่ส่งออกไปทางระบบไร้สาย และคุณภาพของสายสัญญาณดิจิตัลกรณีที่ส่งออกไปทางช่องต่อ USB ก็ส่งผลกับคุณภาพเสียงเช่นกัน

อีกปัจจัยที่ผมทดลองฟังเทียบกันแล้วรับรู้ได้ถึงคุณภาพเสียงที่ต่างกัน นั่นคือ โมดูล SEM1 กับโมดูล SEM2 ที่เป็นอ๊อปชั่นอัพเกรดของ SE180 ซึ่งโมดูล SEM1 ที่มากับตัวเครื่องจะให้เสียงเด่นไปทางโฟกัสที่ชัดเจน ไดนามิกแรง พละกำลังดี ให้เสียงที่มีลักษณะดีดตัว ฟังสนุกมีชีวิตชีวา ส่วนโมดูล SEM2 นั้นทางด้านพละกำลังไม่ได้ด้อยลง โฟกัสก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่ในแง่ของ รายละเอียดโมดูล SEM2 ทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะในส่วนของ micro resolution ที่แสดงออกมากับคุณสมบัติทางด้านไมโครไดนามิกซึ่งส่งให้รายละเอียดยิบย่อยถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น พร่างพรายและเปิดประกายระยิบระยับออกมามากกว่า อีกคุณสมบัติของโมดูล SEM2 ที่ผมชอบมากๆ คือมันให้ ความต่อเนื่องของเสียงที่ดีกว่าโมดูล SEM1 ฟังเพลงร้องและเพลงบรรเลงของเครื่องดนตรีประเภทที่ใช้วิธีสีและวิธีเป่าจะได้อรรถรสออกมาดีกว่า อ่อนโยนและพลิ้วหวานมากกว่า ผมพอใจเสียงของ SE180 จับคู่กับโมดูล SEM2 มาก และขอสรุปเสียงของ SE180 ที่อัพเกรดด้วยโมดูล SEM2 ไว้ในรีวิวนี้ (* ถ้าไม่พร้อมอัพเกรด แนะนำให้ฟังกับโมดูล SEM1 ไปก่อน เพราะเสียงของ SE180+SEM1 ก็อยู่ในระดับที่ดีมากแล้ว ไว้พร้อมค่อยอัพเกรดโมดูล SEM2 ทีหลังก็ได้)

เพื่อวิเคราะห์เสียงของ SE180 + SEM2 ที่ตรงกับตัวตนของ SE180 มากที่สุด ผมจึงใช้วิธีฟังจากหูฟังที่ต่อออกมาจากเอ๊าต์พุตช่องอะนาลอกของ SE180+SEM2 เป็นหลัก รวมถึงฟังจากเอ๊าต์พุต Bluetooth ของ SE180 ประกอบด้วยนิดหน่อย ซึ่งหูฟังที่ผมใช้ทดลองฟังกับ SE180 + SEM2 ครั้งนี้มีอยู่หลายตัว แบบฟูลไซร์ที่ใช้ฟังจากเอ๊าต์พุตรูเสียบหูฟังก็มีของ beyerdynamic รุ่น T1 Gen.3, HiFiman รุ่น Sundara, Sony รุ่น MDR-Z7M2, Sennheiser รุ่น HD650 และ AKG รุ่น K702/65th ส่วนหูฟังแบบอินเอียร์ไร้สายที่ใช้ทดสอบครั้งนี้ก็มี Apple รุ่น AirPods Max (full size), Devialet รุ่น Gemini (IEM) และ Sony รุ่น WF-1000XM3 (IEM)

ตารางข้างบนนี้แสดงสเปคฯ สำคัญๆ ของหูฟังแต่ละตัวที่นำมาทดสอบร่วมกับ SE180 + SEM2 โดยที่ช่องขวาสุดของตารางคือปริมาณวอลลุ่มของ SE180 + SEM2 ที่ใช้ในการทดลองฟังโดยเลือก gain ที่ใช้ขยายเอ๊าต์พุตของแอมป์ไว้ที่ระดับ High (ระดับวอลลุ่มสูงสุดของ SE180 + SEM2 อยู่ที่สเกล 150)

ความโดดเด่นอันดับแรกของ SE180 + SEM2 ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจก็คือ กำลังขับซึ่งไม่ได้แจ้งในสเปคฯ ไว้เป็นตัวเลขปริมาณทางไฟฟ้า แต่พิจารณาจากผลการทดลองฟังกับหูฟังทั้งหมด ผมพบว่า SE180 + SEM2 เซ็ตนี้สามารถขับหูฟังฟูลไซร้ทุกตัวให้ผลออกมาน่าพอใจ แม้ว่าตัวที่โหดที่สุดในกลุ่มคือ HD650 (อิมพีแดนซ์ 300 โอห์ม) จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมายังไม่ถึงจุดสูงสุดของหูฟังตัวนี้เมื่อเทียบกับตอนขับด้วย DAC/Amp ตัวใหญ่แบบตั้งโต๊ะ แต่เสียงที่ได้ออกมาก็ถือว่าอยู่ในข่ายที่พูดได้ว่า ขับออกหากไม่ใช่เพลงที่เน้นพลังกระแทกกระทั้นในย่านความถี่ต่ำเยอะๆ เสียงที่ออกมาก็มีลักษณะที่น่าฟัง เสียงกลางเด่นมาก วรรณะเป็นกลางไม่เปิดสว่างหรือทึบหม่นจนเกินไป (ปกติเสียงกลางของ HD650 ถ้าแอมป์ขับไม่ออกจะมาในลักษณะที่อับทึบ ไม่สดใส ที่เรียกกันว่า dark tone นั่นแหละ)

ส่วนหูฟังที่เหลืออีก 4 ตัวมีอิมพีแดนซ์ไม่เกิน 100 โอห์มทั้งหมด ซึ่งกำลังขับ SE180 + SEM2 สามารถกระทุ้งรายละเอียด, ความถี่ และไดนามิกออกมาจากหูฟังเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ ณ ตำแหน่งของระดับวอลลุ่มที่ให้ความดังมากพอต่อการรับฟังขอหูฟังแต่ละตัว ผมพบว่า เสียงกลางที่ได้จาก SE180 + SEM2 ขับหูฟังเหล่านั้นมันชี้ไปในทิศทางเดียวกันในแง่ของ contrast dynamic ที่ซอยได้ละเอียดมาก สำแดงผลออกมาเป็นความต่อเนื่อง ลื่นไหลของเสียงที่เยี่ยมยอด ใครที่มีความพิศมัยชอบฟังเสียงร้องจะถูกใจเสียงร้องที่ SE180 + SEM2 นำเสนอออกมาอย่างแน่นอน

ลักษณะเสียงโดยรวมของ SE180 + SEM2 ตอนขับ HD650 กับ Sundara ออกมาคล้ายกัน โทนรวมจะไปทาง dark นิดๆ แต่ Sundara ให้รายละเอียดออกมาดีกว่าโดยเฉพาะในย่านกลางแหลมที่ไปได้ไกลกว่า เปิดเผยหางเสียงที่เป็นฮาร์มอนิกออกมาได้มากกว่า ทำให้เสียงโดยรวมที่ได้จาก SE180 + SEM2 + Sudara น่าฟังกว่า

ส่วนหูฟังโซนี่ MDR-Z7M2 กับเบเยอร์ไดนามิก T1 Gen.3 กินกำลังขับจาก SE180 + SEM2 พอๆ กัน เป็นหูฟังสองตัวที่ไวที่สุดในกลุ่ม แต่ลักษณะเสียงที่ออกมามีความแตกต่างกัน MDR-Z7M2 นั้นให้เสียงกลางไปถึงแหลมที่เปิดกระจ่างมากที่สุดในจำนวนหูฟังทั้งหมดที่นำมาทดลองฟังกับ SE180 + SEM2 ครั้งนี้ ด้วยลักษณะการปรับจูนแบบนี้ มีผลดีตรงที่ทำให้รายละเอียดของเสียงในย่านกลางถูกเปิดเผยออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน จะแจ้ง ไม่มีความอึมครึมใดๆ ซึ่งใครที่ชอบฟังเสียงร้องที่บันทึกโดยค่ายไฮเอ็นด์ฯ จะตกหลุมรัก SE180 + SEM2 + MDR-Z7M2 ได้ไม่ยาก เพราะมันเปิดเผยรายละเอียดของเพลงเหล่านั้นออกมาให้ได้ยินแบบไม่มีเหนียม ให้บรรยากาศเหมือนฟังสด แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าฟังเพลงตลาดทั่วไปที่บันทึกไม่ได้คุณภาพมันก็จะฟ้องอาการที่ไม่สมบูรณ์ของการบันทึกออกมาให้รู้แบบไม่อมพะนำเช่นกัน ถ้าคุณเป็นคนที่ตั้งใจสะสมเพลงที่บันทึกดีๆ เท่านั้น ไม่ดีไม่เอามาฟัง แนะนำให้ไปลองฟัง SE180 + SEM2 + MDR-Z7M2 เลย น่าจะถูกใจในความสามารถในการ ชำแหละรายละเอียดที่ดีเยี่ยมของเซ็ตนี้ ซึ่งเป็นเซ็ตที่ให้เสียงถูกใจผมมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ (Sony MDR-Z7M2 เป็นหูฟังตัวเดียวในการทดสบครั้งนี้ที่ใช้ขั้วต่อ balanced 4.4mm)

ในขณะที่เซ็ต SE180 + SEM2 + T1 Gen.3 ให้โทนเสียงออกมาในลักษณะที่ เก็บตัวมากกว่า คือโดยรวมจะไม่ได้เปิดกระจ่างเท่ากับตอนขับ MDR-Z7M2 รายละเอียดเสียงถูกปลดปล่อยออกมาครบทั้งย่านทุ้มกลางแหลม โทนัลบาลานซ์ดี แต่มีลักษณะที่ควบคุมไม่สะบัดปลายให้แยงหู ผมชอบโทนเสียงที่ออกมาจากชุด SE180 + SEM2 + T1 Gen.3 ชุดนี้ในแง่ของความสมดุลและฟังสบาย ฟังได้หลายแนว เสียงโดยรวมไม่จัดไม่จ้าเพราะหูฟังเบเยอร์ฯ ตัวนี้กินกำลังของแอมป์น้อยมาก

หูฟังที่ลองฟังกับชุด SE180 + SEM2 แล้วให้พึงพอใจออกมาต่ำที่สุดก็คือ AKG K702/65th เสียงโดยรวมที่ออกมาฟังดูธรรมดามาก จืดๆ ไม่มีอะไรเด่น..

คุณสมบัติอีกข้อของ SE180 + SEM2 ที่ทำให้ผมแฮ้ปปี้มากๆ คือมันเล่นไฟล์ DSF ออกมาได้ดีมาก.! ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะประสิทธิภาพที่สูงลิบของชิป AKM เบอร์ AK4497EQ ที่ใช้ในโมดูล SEM2 ซึ่งรองรับสัญญาณได้สูงถึง 768kHz สำหรับฟอร์แม็ต PCM และสามารถรองรับได้ถึงระดับ DSD512 สำหรับฟอร์แม็ต DSD ซึ่งเป็นการแปลงสัญญาณ DSD แบบ native ซะด้วย..!!

อัลบั้มชุด OPUS 3 DSD Showcase No. 3 / เป็นไฟล์ DSD128

เมื่อผมทดลองเล่นไฟล์ DSF64, DSD128 และไฟล์ DSD256 กับ SE180 + SEM2 พบว่า มันให้เสียงของไฟล์เสียง DSD ทั้งหมดนี้ออกมาได้ดีมาก พื้นเสียงออกมาสะอาด รายละเอียดสุดยอดเหมือนดูภาพวิดีโอ 8K คือไฟล์เพลงระดับ DSD128 กับ DSD256 มันเป็นระดับของไฟล์ที่สามารถให้คุณสมบัติทางด้านไมโคร ไดนามิกออกมาได้อย่างละเอียดยิบ ซึ่ง SE180 + SEM2 คู่นี้ก็สามารถถ่ายทอดรายละอียดระดับนั้นออกมาให้ได้ยิน แสดงให้เห็นว่าภาค DAC ในตัวโมดูล SEM2 มันมีประสิทธิภาพสูงมากจริงๆ และวงจรโปรเซสเซอร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับชิป DAC AK4497EQ จะต้องทรงพลังมาก จึงสามารถประมวลผลสัญญาณ DSD ที่สูงถึง DSD128 และ DSD256 ออกมาได้อย่างถูกต้องเยี่ยงนั้น.!!

อัลบั้มชุด The Royal Ballet – Gala Performance (RCA) / เป็นไฟล์ DSD256

บอกเลยว่า ในปฐพีนี้มี DAP ที่สามารถ เล่น DSD ได้อยู่เยอะ แต่ DAP ที่ เล่น DSD ออกมาได้ดีจริงๆนั้นมีอยู่ไม่มาก ซึ่งเซ็ต SE180 + SEM2 ของ Astell&Kern ชุดนี้คือหนึ่งในนั้น

ส่วนคุณภาพเสียงของคลื่น Bluetooth ที่ SE180 ให้ออกมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี เมื่อจับคู่กับ Devialet รุ่น Gemini ผมพบว่ามันให้เสียงดีกว่าตอนฟังกับเครื่องเล่นไฟล์เพลงของ Sony รุ่น NW-A100TPS และฟังกับ iPhone 7 อยู่พอสมควร ชุด SE180 + Gemini ให้เสียงที่มีโฟกัสที่คมชัดกว่า บอดี้เข้มกว่า พื้นเสียงสะอาดกว่า มิติเปิดกว้างกว่า ไดนามิกสวิงได้เต็มกว่า เสียงที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงสัญญาณเสียงที่ modulate มากับคลื่น Bluetooth ของ SE180 ที่มีคุณภาพสูง และ SE180 ยังสามารถเข้ารหัสสัญญาณด้วยฟอร์แม็ตที่มีคุณภาพสูงอย่าง aptX และ aptX HD ของ Qualcomm และ LDAC ของโซนี่ได้ด้วย (ตอนเชื่อมต่อกับ Gemini ตัว SE180 มันเลือกฟอร์แม็ต aptX ขึ้นมาให้ใช้กับ Gemini โดยอัตโนมัติ เสียงก็ออกมาดีด้วย และตอนเชื่อมต่อกับ WF-1000XM3 มันก็เลือกฟอร์แม็ต LDAC ขึ้นมาให้)

สรุป

มี ข้อจำกัดอยู่ 3 อย่างที่ DAP ที่ได้ชื่อว่า ดีจะต้องข้ามไปให้ได้ ข้อแรกคือ 1) ความจำกัดทางด้าน contents ทั้งความสามารถในการเข้าถึงและความสามารถในการเล่น นั่นคือ DAP ที่ดีจะต้องมีความสามารถในการเข้าถึงคอนเท็นต์ (เพลง) ที่ไร้ข้อจำกัด ต้องมีพื้นที่เก็บไฟล์เพลงในตัวเองที่มากพอสำหรับการพกพา และต้องมีความสามารถในการเข้าถึงไฟล์เพลงที่อยู่ในเน็ทเวิร์คและสตรีมมาจากอินเตอร์เน็ต และต้องรองรับการเล่นไฟล์เพลงได้ทุกฟอร์แม็ต… ซึ่ง SE180 สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปได้อย่างหมดจด

ข้อจำกัดข้อที่ 2) ความจำกัดทางการกระจายสัญญาณเสียงไปที่อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งโดยพื้นฐานของเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบดั้งเดิมจะสามารถส่งสัญญาณเสียงจากตัวมันออกไปให้กับอุปกรณ์ตัวอื่นได้เฉพาะผ่านทางสายสัญญาณอะนาลอกเท่านั้น ทว่า ในปัจจุบัน เครื่องเล่นไฟล์เพลงที่จะได้ชื่อว่า ดีจริงๆ นั้นจะต้องสามารถส่งสัญญาณไปที่อุปกรณ์ตัวอื่นผ่านทั้งระบบไร้สายได้ด้วย ไม่ว่าจะทาง Bluetooth หรือ WiFiซึ่ง SE180 ก็สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของเครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพาแบบดั้งเดิมมาจนถึงจุดที่สามารถส่งผ่านสัญญาณเสียงไปที่อุปกรณ์ตัวอื่นได้ ครบทุกช่องทางแล้ว ทั้งแบบใช้สายและแบบไร้สาย

ข้อจำกัดข้อที่ 3) ก็คือข้อจำกัดทางด้าน พลังในการขับดันสัญญาณเสียงที่ DAP ส่วนใหญ่จะมีอยู่ไม่มากพอสำหรับขับหูฟังที่มีความต้านทานสูงๆ (อิมพีแดนซ์สูงๆ) และมักจะขับหูฟังแบบฟูลไซร้ไม่ออก ซึ่ง SE180 ผ่านการทดสอบในประเด็นนี้ไปแล้ว มันสามารถขับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ตั้งแต่ 16 โอห์มขึ้นไปจนถึง 300 โอห์มออกมาได้อย่างน่าพอใจ รวมถึงยังให้สัญญาณ Bluetooth ที่แรงมากพอที่สามารถขับหูฟังไร้สายดีๆ ที่ผมมีอยู่ออกมาได้น่าพอใจ ทั้งหูฟังแบบ IEM (Devialet รุ่น Gemini กับ Sony รุ่น WF-1000MK3) และแบบ Full Size (Apple รุ่น AirPods Max)

Astell&Kern : SE180 คือเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาที่ ดีที่สุดในจำนวนเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาที่ผมเคยทดสอบมา ด้วยราคาค่าตัวเฉียด 60K ของมัน ต้องนับว่ามันมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามอุดมคติที่ผมต้องการทุกอย่าง มันมีความเยี่ยมยอดมากทั้งทางด้านสมรรถนะ, ฟังท์ชั่นในการใช้งาน รวมถึงคุณภาพเสียง บวกกับอีกหนึ่งคุณสมบัติที่เพิ่งได้มาครั้งแรกสำหรับ Astell&Kern นั่นคือ ความสามารถในการอัพเกรดเปลี่ยนภาค DAC/Amp ได้ง่ายๆ ด้วยการถอดเปลี่ยนโมดูล ซึ่งจะทำให้ SE180 สามารถก้าวตามพัฒนาการของเทคโนโลยีที่จะมีขึ้นในอนาคตไปได้ตลอด.!

นี่คือเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาที่คุณต้องทดลองสัมผัสให้ได้ ถ้าคุณกำลังตามหาเครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพาที่ดีครบเครื่องสักตัวที่เป็น ตัวจบ” จริงๆ.!!! /

**********************
ราคา :
SE180 = 59,900 บาท (พร้อมโมดูล SEM1)
โมดูล SEM2 = 13,900 บาท
**********************
สนใจสั่งซื้อได้ที่
munkonggadget.com

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า