รีวิว Codas รุ่น Codas 3.0 Ethernet Cable

วงการเครื่องเสียงก้าวผ่านเรื่องปรากฏการณ์ของสายแลนที่มีผลต่อ “เสียง” ของชุดเครื่องเสียงมานานแล้ว จนถึงที่สุดแล้ว นักออกแบบสาย audio cable ทั้งหลายก็ได้ข้อสรุปไปในแนวทางเดียวกันว่า ตัวนำ, โครงสร้าง, กราวนด์ และฉนวน ล้วนส่งผลกับ “เสียง” ของสายแลนด์ไม่ต่างกับผลที่เกิดกับ “เสียง” ของสายสัญญาณที่ใช้ในส่วนอื่นๆ ของซิสเต็มนั่นเอง

และแล้วก็ถึงเวลาของการ.. เล่นแร่แปรธาตุ

หลังจากความลับจักรวาลถูกเปิดเผย นักออกแบบสายออดิโอ เคเบิ้ลทั้งหลายก็เริ่มออกแบบและจูนเสียงของสาย LAN สำหรับงานออดิโอออกมา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็เข้าอีหรอบเดียวกันกับสายเชื่อมสัญญาณเสียงประเภทอื่นๆ นั่นคือ มีผลกับเสียงของซิสเต็ม “ทุกเส้น” แค่ต่างกันที่ลักษณะเสียงที่เปลี่ยนไป คือสาย LAN บางเส้นเปลี่ยนเข้าไปแล้ว มันทำให้เสียงของซิสเต็มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีน่าพอใจ ในขณะที่บางเส้นเปลี่ยนเข้าไปแล้วมีผลให้เสียงของซิสเต็มนั้นออกมาแย่กว่าเดิมก็มี.!!!

Codas 3.0 Ethernet Cable
สายแลน เส้นลายเหลือง/ดำ

แบรนด์ Codas เป็นแบรนด์ของคนไทย ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ชื่อคุณเพิ่มพูน นอกจากสาย LAN แล้ว ผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณเพิ่มพูนสร้างสรรออกมาภายใต้ชื่อแบรนด์ Codas Audio ก็ยังมีชั้นวางเครื่องเสียงอีกอย่างหนึ่งซึ่งผมเคยทดสอบไปแล้ว (REVIEW) จริงๆ แล้ว คุณเพิ่มพูนทำสาย LAN ออกมาทั้งหมด 3 รุ่น คือ Codas 1.0 (เส้นละ 7,900 บาท), Codas 2.0 (เส้นละ 12,900 บาท) และ Codas 3.0 (เส้นละ 15,900 บาท) เรียงลำดับจากเล็กมาใหญ่ ซึ่งผมทดลองฟังคร่าวๆ แล้วพบว่า แต่ละเส้นให้บุคลิกเสียงต่างกัน ตรงกับที่คุณเพิ่มพูนแจ้งเอาไว้ว่าเขาตั้งใจจูนให้เสียงมันออกมาต่างกันเพื่อให้ผู้ใช้เอาไปแม็ทชิ่งกับโทนเสียงของซิสเต็มให้ได้โทนเสียงออกมาอย่างที่อยากได้ ผมได้มีโอกาสทดลองฟังทั้ง 3 รุ่นแล้ว พบว่า รุ่น Codas 1.0 กับรุ่น Codas 2.0 ให้เสียงที่มีบุคลิกเฉพาะตัวที่ค่อนข้างชัดเจน จะเรียกว่าถูกจูนมาให้มี สีสันเฉพาะตัวก็ว่าได้ ผมลองแล้วสรุปเอารุ่น Codas 3.0 มาทำรีวิวก่อน เพราะมันเป็นรุ่นที่ให้โทนเสียงที่มีความเป็นกลางมากที่สุดในจำนวน 3 รุ่นนี้

ทำไมต้องจูนมาให้มีสีสัน.? เพราะเครื่องเสียงระดับมิดเอ็นด์ไม่มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว กลุ่มนี้เน้นสีสันไปทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งสาย LAN (รวมทั้งสายเชื่อมต่ออื่นๆ) ที่มีความเป็นกลางสูงๆ จะเข้ามาฟ้องความไม่สมบูรณ์ของเครื่องเสียงระดับมิดเอ็นด์ออกมามากเกินไป รอมชอมน้อยไป สาย LAN (รวมถึงสายเชื่อมต่ออื่นๆ) ที่มีสีสันไปทางใดทางหนึ่ง (เน้นแหลม/อ่อนเบส หรือเน้นเบส/อ่อนแหลม) จะช่วย เกลี่ยโทนเสียงของซิสเต็มระดับกลางๆ ให้ออกมาถูกหูคนทั่วไปมากกว่า

สาย LAN (รวมถึงสายเชื่อมต่ออื่นๆ) ที่มีความเป็นกลางสูง จะเหมาะกับซิสเต็มที่มีคุณภาพสูงๆ มากกว่า..

ดูทรงกันก่อน..

สาย LAN รุ่น Codas 3.0 ที่คุณเพิ่มพูนส่งมาให้ทดสอบนี้มีความยาวตลอดทั้งเส้นอยู่ที่ 2 เมตร บนตัวสายมีกระเปาะประกบอยู่บนตัวสายหนึ่งกระเปาะ ขั้วต่อ RJ45 ที่ติดตั้งอยู่ที่ปลายสายทั้งสองข้างเป็นขั้วต่อคุณภาพสูงระดับพรีเมี่ยมของแบรนด์ Telegartner จากประเทศเยอรมนี รุ่น MFP8 ซึ่งมีโครงสร้างที่ดูแข็งแรงมาก เฮ้าซิ่งด้านนอกเป็นโลหะ ส่วนตัวสายภายนอกมีลักษณะแข็ง เส้นผ่าศูนย์กลางของตัวสายรวมเปลือกหุ้มและฉนวนอยู่ที่ 1.0 .. ในสเปคฯ แจ้งว่าเส้นตัวนำด้านในมีอยู่ทั้งหมด 8 เส้น โดยมีชีลด์ที่ทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบางๆ ห่อหุ้มตัวสายไว้เพื่อป้องกัน noise จากภายนอกเข้าไปรบกวน และยังมีชีลก์ร่างแหที่ทำจากเส้นทองแดงเคลือบดีบุกทับอยู่อีกชั้น

กระเปาะที่ติดตั้งอยู่บนตัวสายเป็นแบบ fixed อยู่กับที่ จากที่เห็นภายนอก เข้าใจว่าภายในตัวสายน่าจะมีเทคนิคอะไรสักอย่างที่ผู้ผลิตนำมาต่อคล่อมอยู่บนเส้นตัวนำ แล้วใช้กระเปาะที่ทำด้วยอะลูมิเนียมประกบปิดทับเอาไว้ ส่วนเหตุผลก็น่าเพื่อปรับจูนเสียงของสาย LAN ตัวนี้นั่นเอง

ตัวกระเปาะไม่ได้อยู่ตรงกลางของความยาวสาย แต่อยู่เยื้องไปทางด้านหนึ่ง ห่างออกมาจากขั้วต่อ RJ45 ด้านที่อยู่ใกล้ประมาณ 25 .. คิดเป็นความยาวประมาณ 1 ใน 8 ของความยาวของสายทั้งเส้นคือ 2 เมตร ซึ่งแน่นอนว่า การสลับเสียบสาย LAN ตัวนี้ให้กระเปาะไปอยู่ชิดทางด้าน ต้นทางกับอยู่ชิดไปทางด้าน ปลายทางควรจะให้ผลทางเสียงต่างกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำการค้นหาคำตอบจากการทดลองในขั้นตอนของการทดสอบ

โดยรวมของสาย LAN ตัวนี้มันดูดีทีเดียว ลุคดูเป็นสาย LAN มีระดับ โดยเฉพาะขั้วต่อ Telegartner ที่ใช้นั้นมันดูไฮเอ็นด์ฯ มาก.!!!

ทดลองฟังเสียง

เนื่องจากกระเปาะไม่ได้ติดตั้งอยู่ “ตรงกลาง” ของตัวสาย คุณเพิ่มพูนแจ้งว่า การเสียบใช้งานสายแลน Codas 3.0 เส้นนี้สามารถใช้จูนเสียงของซิสเต็มได้ 2 ลักษณะ คือให้กระเปาะอยู่ใกล้ปลายทางจะได้เสียงออกมาแบบหนึ่ง กับสลับให้กระเปาะไปอยู่ใกล้กับต้นทางก็จะได้เสียงออกมาอีกแบบหนึ่ง

ขณะทดลองใช้เชื่อมต่อระหว่าง network switch รุ่น StreamBRIDGE-X ของ Clef Audio (ต้นทาง)(REVIEWกับปลายทางคือสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตรุ่น STREAM1 ของ Innuos (REVIEW)

ผมทดสอบทฤษฎีนี้ด้วยการทดลองเสียบ Codas 3.0 ระหว่าง network switch ของ Clef AudioStreamBRIDGE-Xกับตัวสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต InnuosSTREAM1โดยทดลองสลับสายทั้งสองแบบ ผมชอบเสียงตอนเสียบให้กระเปาะอยู่ชิดไปทางปลายทางคือใกล้ตัว STREAM1 มากกว่า ผมว่าเสียงโดยรวมมันมีลักษณะที่อิ่มนุ่มมากกว่า ในขณะที่เสียบแบบเอากระเปาะไปชิดทาง StreamBRIDGE-X เสียงจะออกไปทางสด กระฉับกระเฉงกว่า แต่ผมว่าเสียบแบบแรกที่ผมชอบให้ “ไทมิ่ง” ดีกว่า..

ในการทดลองฟังเสียงของสาย LAN ของ Codas ตัวนี้ ผมมีโอกาสทดลองจัดมันเข้าไปทำงานกับซิสเต็ม 2 -3 ชุดด้วยกัน ในภาพข้างบนนั้น เป็นตอนที่เอา Codas 3.0 เข้าไปเชื่อมต่ออยู่ระหว่าง network switch (ต้นทาง ศรสีฟ้า) กับปลายทาง (ศรสีแดง) คืออินพุต Ethernet ของออลอินวันของ Arcam รุ่น SA45 (REVIEW) โดยทดลองขับลำโพง 3 คู่ด้วยกัน (Audio PhysicClassic 8’ / MagnepanMG1.7i’ / Wilson AudioSabrina V’)

สองภาพข้างบนนั้นคือตอนที่ผมใช้ Codas 3.0 เข้าไปเชื่อมต่ออยู่ระหว่างต้นทาง (ศรสีฟ้า) คือเน็ทเวิร์ค สวิทช์ Clef AudioStreamBRIDGE-Xกับปลายทาง (ศรสีแดง) คืออินพุต Ethernet ของบอร์ด HD DAC ของอินติเกรตแอมป์รุ่น I1 ของ CH Precision

สรุปเสียงของสาย LAN รุ่น Codas 3.0

จากประสบการณ์ที่ได้จากการ “ฟังทดสอบ” ที่ผ่านมา ผมพบว่า ผลลัพธ์ที่สาย LAN หรือสาย Ethernet เข้าไป “กระทำ” กับซิสเต็มเครื่องเสียงจะแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะ ด้วยกัน

ลักษณะแรกคือผลที่ไปเกิดกับบุคลิกทางด้าน “โทนัลบาลานซ์” ของเสียงโดยรวม ซึ่งถ้าวิเคราะห์กันในเชิงเทคนิคก็คือผลที่ไปเกิดกับคุณสมบัติทางด้าน frequency response ของซิสเต็มนั่นเอง กับอีกลักษณะคือผลที่ไปเกิดกับส่วนของ timing ของเสียง

สำหรับคุณภาพเสียงโดยรวมนั้น ผลของสาย LAN ที่ไปทำให้เกิดผลกระทบกับคุณสมบัติทางด้าน ”ความถี่ตอบสนอง(frequency response) นั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะถ้าความกว้าง/แคบของแบนด์วิธ หรือความถี่ตอบสนองของสาย LAN เส้นนั้นมันไปแม็ทชิ่ง “ลงตัว” กับแบนด์วิธของลำโพงและแบนด์วิธของแอมป์ในซิสเต็มนั้นพอดี ก็จะทำให้ได้ทั้ง “โฟกัส” และ “ไดนามิก” ของเสียงที่ได้จากซิสเต็มนั้นออกมาดีก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ผมถือว่า คุณสมบัติทางด้าน frequency Response ของสาย LAN จะกว้างหรือแคบจึงยังไม่ใช่ประเด็นตัดสินความดีเลวของสาย LAN เส้นนั้น แต่เป็นข้อมูลเฉพาะตัวที่นำไปใช้พิจารณาในการแม็ทชิ่งกับซิสเต็ม คือถ้าปลายทางคือแอมป์+ลำโพงตอบสนองความถี่ได้กว้าง สาย LAN ที่ใช้กับอุปกรณ์ต้นทางสัญญาณที่ตอบสนองความถี่ได้กว้างๆ ก็จะทำให้ได้รายละเอียดเสียงดีขึ้นด้วย

ผลกระทบที่สาย LAN เข้าไปทำใก้เกิดกับคุณสมบัติทางด้าน “ไทมิ่ง” ของเสียงนี่แหละที่ผมใช้เป็นคุณสมบัติในการตัดสิน “ชี้เป็นชี้ตาย” และใช้ “แยกแยะ” สาย LAN ที่ “ดี” กับสาย LAN ที่ “ไม่ดี” ออกจากกัน

วิธีการตรวจวัดก็คือ “ทดลองฟัง” กับชุดเครื่องหลายๆ ซิสเต็ม แล้วเพ่งเล็งไปที่คุณสมบัติทางด้าน “ไทมิ่ง” เป็นอันดับแรก โดยลองฟังที่ “โฟกัส” ของเสียง เพราะคุณสมบัติทางด้านไทมิ่งจะเกี่ยวข้องกับ “เฟส” ของคลื่นเสียง ถ้าสายแลนไม่ทำให้เฟสของสัญญาณเคลื่อน โฟกัสของเสียงก็จะออกมาคม ไทมิ่งก็จะ flow ไปแบบนิ่งๆ ตามลีลาของเพลงโดยไม่มีอาการ “เร่ง” หรือ “หน่วง” นั่นคือพิจารณาที่ความคมชัดของอิมเมจ หรือชิ้นดนตรีหรือเสียงร้องก่อน โดยฟังดูว่าสาย LAN เส้นนั้นทำให้เราแยกแยะเสียงร้อง, เสียงของเครื่องดนตรี และเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ ที่ประกอบอยู่ในเพลงนั้นๆ ออกมาได้หมดจดชัดเจนแค่ไหน ซึ่งถ้า timing response ที่สาย LAN เส้นนั้นตอบสนองออกมามันตรงกับ timing response ของซิสเต็ม ก็จะทำให้เพลงที่ฟังมันมีลักษณะของไทมิ่งที่ flow ไปตามจังหวะของเพลงโดยไม่มีอาการเร่งรนหรือหน่วงช้า ทำให้ “การดำเนินไป(movement) ของเพลงมีความต่อเนื่อง ลื่นไหล ทั้งช่วงที่ช้า > เร็ว, และช่วงที่เร็ว > ช้า ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึง dynamic range ของเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้องที่ถูก ”คลี่คลาย“ ออกมาได้ครบทุกเสี้ยววินาทีที่เสียงเหล่านั้นดำเนินไป แน่นอนว่า เพื่อความแม่นยำในการวิเคราะห์ เพลงที่ใช้ทดสอบก็ควรจะต้องเป็นเพลงที่คุณคุ้นเคยจนจดจำรายละเอียดในเพลงนั้นได้มากที่สุดด้วย

เหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกสาย LAN เส้นลายสีเหลือง/ดำ รุ่น Codas 3.0 ของคุณเพิ่มพูนมาเขียนทดสอบเพื่อแนะนำครั้งนี้เพราะหลังจากได้ลองฟังแล้วพบว่ามัน “สอบผ่าน” คุณสมบัติทางด้าน “ไทมิ่ง” ในระดับที่ผมพอใจ

เพลง : Volver, volver
อัลบั้ม : Nina de Fuego
ศิลปิน : Buika

music appreciation หรือ “ความรู้สึกซาบซึ้ง” ที่เกิดขึ้นกับเพลงที่ฟัง อันนี้เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเข้ากับ “ความเป็นดนตรี” ที่มีอยู่ในเพลงที่ฟัง และเจ้าความเป็นดนตรีที่ว่านี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อชุดเครื่องเสียงที่ใช้เล่นเพลงนั้นมันสามารถถ่ายทอด “ไทมิ่ง” ของเพลงนั้นออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำเท่านั้น

แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมาย แต่เมื่อได้ฟังเพลง Volver, volver นี้แล้วเชื่อว่าทุกคนที่ได้ฟังจะรับรู้ถึง “อารมณ์” ของเพลงที่ถ่ายทอดผ่านเสียงร้องที่ออกแนวรันทดของนักร้องคนนี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งถ้าได้มีโอกาสทดลองฟังเพลงนี้กับสาย LAN หลายๆ เส้น คุณจะรู้สึกได้ว่า ลักษณะและอารมณ์ของเสียงร้องในเพลงนี้จะออกมาต่างกัน

ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่บันทึก+มิกซ์เสียงร้องของ Buika ในเพลงนี้เขาเก็บไดนามิกมาได้ดีมาก ให้อัตราสวิงของไดนามิกที่มีเร้นจ์กว้าง มีตั้งแต่เบาสุดไปจนถึงดังสุด ซึ่งสาย LAN ของ Codas รุ่น 3.0 เส้นนี้สามารถถ่ายทอดระดับไดนามิกของเสียงร้องเพลงนี้ออกมาได้ “เกือบเต็มสเกล” เมื่อเทียบกับที่ผมเคยฟังเพลงนี้มา คือถ้าแบ่งสเกลของอัตราสวิงไดนามิกออกเป็น 10 ระดับ ตั้งแต่ 0 – 10 โดยมีระดับ 5 เป็นความดังเฉลี่ยที่อยู่ตรงกลาง จาก 5 ลงมาถึง 0 คือ “เบาลง” ส่วน 5 ขึ้นไปถึง 10 คือ “ดังขึ้น” ผมพบว่าสายแลน Codas 3.0 เส้นนี้ให้อัตราสวิงไดนามิกที่ครอบคลุมอยู่ระหว่าง 3 ขึ้นไปถึง 9 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากแล้วสำหรับสาย LAN ที่มีราคาไม่เกินสองหมื่นบาท (*ขณะทดสอบควบคุมวอลลุ่มไว้ในระดับที่ไม่ให้เสียงพุ่งออกมาขณะพีค และไม่ให้จมหายลงไปขณะแผ่วเบา)

ความสามารถในการตอบสนองไดนามิกที่เบาลงไปถึง ระดับ 3 ทำให้สามารถถ่ายทอดรายละเอียดที่เจาะลึกลงไปถึง “เสียงสูดลมหายใจ” ของนักร้องก่อนจะเปล่งพลังเสียงออกมาให้ได้ยิน ส่วนที่ลงไปไม่ถึงก้นบึ้งก็คือ “แอมเบี้ยนต์” ที่แตกตัวเป็นละอองบางๆ แผ่คลุมห้อมล้อมอยู่รอบๆ เสียงร้องเท่านั้น ซึ่งเทียบกับราคาของสาย LAN ตัวนี้ก็ต้องถือว่าทำได้ดีมากแล้ว เพราะจากที่เคยฟังสาย LAN ที่สามารถถ่ายทอดรายละเอียดระดับแอมเบี้ยนต์ของเพลงนี้ออกมาได้ล้วนมีราคาสูงกว่านี้สองสามเท่าขึ้นไปทั้งนั้น หรือบางสายก็ต้องมีเสริมด้วยอุปกรณ์ประเภท Ethernet Noise Reduction ราคาหลักหมื่นเข้ามาช่วยทั้งนั้น

สาย LAN ของ Codas ตัวนี้คุมไดนามิกช่วงพีคได้ดี เสียงร้องท่อนท้ายๆ ของเพลงนี้ที่เธอตะเบ็งออกมาด้วยความอัดอั้นมันฟังแล้วปรี๊ดได้ถึงอารมณ์มาก.!! ไดนามิกของเสียงร้องที่พุ่งสูงขึ้นมาอย่างฉับพลันถูกควบคุมไว้ได้ดี ทำให้ไม่มีอาการ overshoot (แตกปลาย) และไม่พุ่งล้ำออกมาจากตำแหน่งเดิมจึงไม่เสียดหู ใครชอบฟังเพลงที่สวิงไดนามิกกว้างๆ อย่างพวกคลาสสิกแนวโหมโรง (Overture) กับเพลงยุคใหม่ๆ ที่บันทึก gain มาสูงๆ สวิงไดนามิกหนักๆ น่าจะชอบสไตล์สาย LAN เส้นนี้

เพลง : Pillar I
อัลบั้ม : Seven Pillar
ศิลปิน : Andy Akiho & Sandbox Percussion

น้ำหนักเสียง” เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ถือว่าโดดเด่นสำหรับสาย LAN ของ Codas เส้นนี้ ซึ่งปกติแล้ว สาย LAN ที่ไม่ได้ปรับจูนมาใช้กับงานออดิโอส่วนใหญ่มักจะให้เสียงออกมาบาง ไม่เข้มข้น แต่ Codas 3.0 ตัวนี้ให้เสียงโดยรวมที่มีเนื้อมวล ตั้งแต่ย่านแหลมลงมาถึงทุ้มมีลักษณะที่มีความเข้มและหนาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

จากการทดลองฟังเพลง Pillar I นี้พบว่า Codas 3.0 ให้เสียงเพอร์คัสชั่นในเพลงนี้ออกมาด้วยมวลที่หนาเข้มตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม โดยเฉพาะในย่านแหลมนั้นถือว่าน่าประทับใจมาก เพราะสาย LAN ที่ไม่ได้จูนมาสำหรับงานออดิโอร้อยทั้งร้อยมักจะให้เสียงแหลมที่มีลักษณะบอบบาง ยิ่งเป็นเสียงแหลมที่มีไดนามิกสวิงรุนแรง จะออกมาทั้งบางและพุ่งเฟี๊ยวมาเข้าหูด้วย ซึ่งสายแลน Codas 3.0 เส้นนี้สอบผ่านตรงจุดนี้ด้วยคะแนนค่อนข้างสูง แสดงว่าคนจูนมีความเข้าใจถึงจุดอ่อนของสาย LAN ที่ใช้กับงาน IT โดยทั่วไปเป็นอย่างดี

กับเสียงทุ้มก็ทำออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจมากกับเพลงนี้ เมื่อพิจารณาในแง่ของ “เนื้อมวล” ของเสียงในย่านทุ้มที่มันปลดปล่อยออกมาก็ต้องบอกว่าเพียงพอ ไม่รู้สึกว่าขาดหรือบางแต่อย่างใด ส่วนในแง่ของ “ความกระชับ” ก็รับรู้ได้ถึงความฉับพลันที่มาพร้อมแรงกระแทกที่บ่งบอกถึง “น้ำหนัก” ที่ชัดเจน..

เสียงทุ้มไม่มีอะไรติเลยเหรอ.? เมื่อเทียบกับเสียงทุ้มที่ดีที่สุดที่เคยฟังมา สิ่งที่ Codas 3.0 ยังเป็นรองสาย LAN ราคาหลายหมื่นก็คือปลายเสียงทุ้มที่ลงไปได้ลึกกว่าและให้น้ำหนักที่ “รับรู้” ได้มากกว่า (เลยความสามารถของการ “ได้ยิน” ลงไปอีก.!) ซึ่งก็เป็นการติที่ไร้น้ำหนัก เมื่อเอาเงื่อนไขของ ราคามาร่วมพิจารณา.!!

อัลบั้ม : Espana (FLAC 24/176.4)
ศิลปิน : Ataulfo Argenta & The London Symphony Orchestra
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/album/82695147/u)

ผลจากการทดลองฟังอัลบั้ม Espana ชุดนี้ทำให้เห็นถึงความสามารถของสาย LAN ของ Codas เส้นนี้ในการรับมือกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ในระดับที่เรียกว่าอัดแน่นและพรั่งพรูของเพลงคลาสสิกแนวโหมโรงแบบนี้ โดยเฉพาะแทรค Capriccio Espagnol, Op. 34 ของ Rimsky-Korsakov กับแทรค Espana ของ Chabrier ซึ่งวง The London Symphony Orchestra บรรเลงทั้งสองแทรคนี้ออกมาได้จัดจ้าน และทรงพลังอย่างยิ่ง ไดนามิกสวิงได้กว้างสุดๆ พีคเลเวลฉีดปรี๊ดๆ เกือบตลอด ถ้าสาย LAN ควบคุมอัตราสวิงไดนามิกไม่อยู่ ฟังสองแทรคนี้แล้วจะมีอาการปลายเสียงแตกซ่านแสบรูหูอย่างแน่นอน แต่ถ้าฟังสองแทรคนี้โดยไม่อัดวอลลุ่มขึ้นไปสูงๆ เพื่อเรียกพลังก็ถือว่าเสียของ ไปไม่ถึงจุดสูงสุดของอรรถรสของทั้งสองแทรคนี้อย่างแท้จริง.. ซึ่งสาย LAN ของ Codas รุ่น 3.0 เส้นนี้พาผมไปถึงจุดนั้นได้..!!!

สรุป

ผมเคยสงสัยเสมอว่า การตั้ง “ราคา” ของอุปกรณ์เครื่องเสียงนั้น ทางผู้ผลิตใช้เกณฑ์อะไรกันบ้าง? เฉพาะที่มองเห็นก็มีค่าต้นทุนของวัตถุดิบที่ชัดสุด นอกนั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตกับค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่พอจะเอามาใช้ประเมินต้นทุนได้บ้าง แต่สิ่งที่ไม่แน่ใจว่าผู้ผลิตได้เก็บมาคำนวนคิดเป็นต้นทุนด้วยหรือเปล่าก็คือ “ผลลัพธ์” ทางเสียง ประมาณว่า ถ้าเสียงดีก็บวกกำไรเยอะหน่อย ประมาณนั้น ซึ่งในมุมของผมมองว่ามันก็เหมาะสมที่จะเอามาคิดบวกกำไร เพราะถ้าผู้ออกแบบมีความเข้าใจว่า “เสียงดี” มีคุณลักษณะเป็นแบบไหน เราก็ต้องยอมจ่ายสำหรับต้นทุนในการ “จูน” เสียงของผู้ออกแบบจนได้มาซึ่งเสียงที่ดีนั้น ซึ่งคนที่เคยปรับจูนอุปกรณ์เครื่องเสียงมาก่อนจะทราบดีว่า กว่าจะได้เสียงที่ออกมาดีจริงๆ มันไม่ง่ายเลย..

ความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ต้องเขียนบทสรุปตบท้ายรีวิวสาย LAN ของ Codas ตัวนี้ คือหลังจากทดสอบฟังเสียงของมันแล้ว ผมมานั่งมองสาย LAN เส้นนี้แล้วความคิดข้างต้นมันก็แวบขึ้นมาในสมอง คือผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า คนออกแบบสาย LAN เส้นนี้เขาให้ราคากับการ “จูน” เสียงของสาย LAN ตัวนี้หรือเปล่า.?? หรือว่าเขาคิดราคาขายโดย base เอาจากต้นทุนของวัตถุดิบ บวกค่าแรงและการตลาดเท่านั้น..?? คืออยากจะบอกว่า ลักษณะของเสียงที่สาย LAN ของ Codas รุ่น Codas 3.0 เส้นนี้ถ่ายทอดออกมามันมี คุณค่าเกินระดับ ราคาไปมากนั่นเอง..!!!

********************
ราคา : 15,900 บาท ที่ความยาว 2 เมตร
(*เพิ่มความยาว = 3,000 บาท ทุก 50 ..)
********************
ออกแบบและผลิตโดย
Codas Audio
********************
จัดจำหน่ายโดย :
Alpha Audio Thailand
โทร. 065-449-2655

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า