การ “ประเมินผล” ของอุปกรณ์เสริมที่มีต่อเสียงของซิสเต็มโดยรวมนั้น เป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก แม้ว่าการทดสอบภาคปฏิบัติในการค้นหาคุณสมบัติที่เป็น “คุณภาพเสียง” และ “บุคลิกเสียง” ของสายไฟเอซีจะทำได้ไม่ยาก แต่จุดที่ยากกว่าอยู่ที่การประเมินผลลัพธ์ของมันนี่แหละ..!
ในทางปฏิบัติ ผมเริ่มด้วยการจัดซิสเต็มทดสอบให้มีความเรียบง่ายมากที่สุด อย่างเช่นใช้แค่ เครื่องเล่นซีดี (source) + อินติเกรตแอมป์ (amp) + ลำโพง (speaker) สามชิ้นแค่นี้ ทั้งนี้ก็เพื่อตัดตัวแปรที่เข้ามามีส่วนต่อผลทางเสียงของซิสเต็มออกไปให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เรา “มองเห็น” คุณภาพและบุคลิกของอุปกรณ์เสริมตัวนั้นๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น
ยกตัวอย่างในการทดสอบสายไฟเอซี ผมก็เริ่มด้วยการจัดชุดทดสอบแค่สามชิ้นตามที่กล่าวมาข้างต้น โดยคัดเอาจากสเปคฯ ที่แม็ทชิ่งกันมากที่สุดในแง่ “สมรรถนะ” มาเข้าชุดกัน โดยใช้สายไฟเอซีที่แถมมากับเครื่องเป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ต้องใช้ไฟเลี้ยงนั่นคือเครื่องเล่นซีดีและแอมป์ จากนั้นก็ทำการสลับฟังเปรียบเทียบระหว่างสายไฟแถมกับสายไฟที่จะทดสอบ แค่นี้เอง แต่ถ้าจะให้ผลการประเมินมีความแม่นยำมากที่สุด คุณต้องมีตัวอย่างของซิสเต็มที่ใช้ทดลองฟังกับสายไฟเส้นที่ทดสอบให้มากหน่อย ยิ่งมากผลก็จะยิ่งแม่น
“Signature 1”
สายไฟเอซีระดับไฮเอ็นด์.. ที่เป็นตัวตนของ Life Audio
ระดับไฮเอ็นด์ฯ ? คุณสมบัติที่ใช้อ้างอิงในการจัดระดับอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ดูเมคเซ้นต์มากที่สุดก็เห็นจะเป็น “ราคาขาย” นี่แหละ เพราะจะให้ดูที่รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีมาตรฐานแน่นอน เพราะรูปร่างหน้าตาที่สวยงามบางทีก็ไม่ได้บ่งบอกให้รู้ถึงคุณภาพข้างใน โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่มีความพยายามทำเครื่องเสียงให้เป็นเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น ส่วน “ราคาขาย” นั้น แม้ว่าจะไม่มีมาตรฐานตายตัวเหมือนกันว่าของแพงจะต้องดีกว่าของถูกเสมอไป แต่ด้วยคอมมอนเซ้นต์ของการทำธุรกิจ การใช้ “ราคาขาย” มากำหนดระดับชั้นของผลิตภัณฑ์ก็ดูมีเหตุมีผลอยู่ เพราะการที่ผู้ผลิตกล้าตั้งราคาขายสูงๆ นั้น มีเหตุผลรองรับอยู่ 2 ประการ เหตุผลแรกคือ ต้องตั้งราคาขายสูง เพราะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงรวมถึงใช้กระบวนการออกแบบและผลิตที่พิถีพิถัน ทำให้มีต้นทุนสูง กับอีกเหตุผลคือ กะซื้อหวย ฟันกำไรเยอะๆ ไปเลย.!
ตอนที่คุณหน่อย แห่งสำนัก Life Audio หิ้วสายไฟเอซีเส้นนี้มาให้ผมทดสอบนั้น ชื่อแบรนด์ Life Audio อยู่ในสถานะที่ได้รับความเชื่อถือและยอมรับจากนักเล่นฯ ทั่วไปแล้ว ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ที่จะหวังตีหัวเข้าบ้าน ผมเชื่อว่าพวกเขาคงไม่ได้คิดที่จะซื้อหวยหวังรวยด้วยการตั้งราคาสูงๆ แล้วขายแค่ไม่กี่เส้น แต่ข้อมูลที่คุณหน่อยบอกกับผมหลังจากยื่นสายไฟเส้นนี้มาให้ก็คือ สายไฟเอซีรุ่นนี้เป็นผลิตผลที่เกิดจากความมั่นใจของทีมออกแบบของ Life Audio หลังจากที่พวกเขาออกแบบและผลิตสายไฟเอซีออกมาให้บริการกับนักเล่นมาแล้วระยะหนึ่ง โดยทำออกมาหลายต่อหลายรุ่น ทั้งถูกและแพง จากฟีดแบ็คบวกกับประสบการณ์จริงที่ได้รับจากการนำสายไฟเอซีที่ออกแบบกันขึ้นมาไปเซ็ตอัพและปรับจูนให้กับลูกค้าด้วยตัวของคุณหน่อยเอง ได้พบเจอกับซิสเต็มที่หลากหลายรูปแบบและแตกต่างหลายระดับราคา ข้อมูลที่ได้รับมาจากประสบการณ์เหล่านั้นได้ถูกสะสมบ่มเพาะมาจนถึงขั้นที่ทีมงาน Life Audio มีความอยากจะสร้างมาตรฐานในการออกแบบสายไฟเอซีของพวกเขาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น.. นั่นคือที่มาของสายไฟเอซีรุ่น Signature 1 ที่ทีมงานของ Life Audio ต้องการแสดงความเป็นตัวตนที่ชัดเจนของพวกเขาออกมาผ่านสายไฟเอซีรุ่นนี้นี่เอง
รูปลักษณ์, วัสดุ กับเนื้องานระดับสากล
ผมคงไม่ต้องเสียเวลาเกริ่นอะไรมากอีกแล้วกับแบรนด์ Life Audio ของไทยเจ้านี้ เชื่อว่าจนถึงตอนนี้น่าจะเหลือนักเล่นจำนวนไม่มากนักที่ยังไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ของ Life Audio มาก่อน สำหรับคนที่เคยสัมผัสผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Life Audio มาแล้วคงจะทราบดีว่า จุดเด่นอันดับแรกๆ ของแบรนด์นี้คือรูปลักษณ์ที่ดูดีเกินล้ำคำว่า “ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย” ไปมาก สายไฟเอซีรุ่น Signature 1 ตัวนี้ก็เช่นเดียวกัน
หัวปลั๊กตัวผู้ฝั่งที่ใช้เสียบเข้าปลั๊กผนัง (บน) และปลั๊กตัวเมียที่ใช้เสียบเข้าที่บั้นท้ายของเครื่องเสียง (ล่าง) ของสายไฟเส้นนี้ดูแล้วน่าประทับใจมาก บอดี้มันใหญ่กว่าหัวปลั๊กธรรมดา ดูแข็งแรงแถมสวยด้วย จากข้อมูลของผู้ผลิตแจ้งว่า ชุดหัวปลั๊กตัวผู้+ตัวเมียเป็นของ Wattgate แต่ทาง Life Audio นำมาชุบแพลทตินั่มและชุบโรเดี้ยมใหม่ จากนั้นก็ทำปลอกขึ้นมาสวมทับของเดิม ซึ่งตัวปลอกที่ว่านี้ทำมาจากแท่งทองเหลืองตันๆ ที่กัดด้วย CNC ออกมาเป็นทรงกระบอก จึงไม่มีรอยต่อ จากนั้นก็เอาไปชุบนิเกิ้ลดำจนวาววับ
ส่วนที่เป็นบอดี้ของตัวปลั๊กทั้งสองด้านมีลักษณะเป็นทรงกระบอกที่มีความยาวถึง 7 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 4 ซ.ม. ประกอบติดอยู่กับตัวสายไฟอย่างแน่นหนา โลโก้และชื่อรุ่นที่อยู่บนบอดี้ทรงกระบอกทั้งสองข้างก็ใช้วิธียิงด้วยเลเซอร์กัดลงไปบนผิวแบบถาวร ไม่มีลอก
ส่วนตัวสายก็มีขนาดใหญ่มากเช่นกัน วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ 2 ซ.ม. ผิวนอกหุ้มด้วย PVC หนังงูสีดำ ช่วยป้องกันตัวนำทั้งหมดที่ถูกผนึกอยู่ด้านใน จากคำบอกเล่าของผู้ผลิต ตัวนำของสายไฟเอซีตัวนี้ก็ออกแบบด้วยแนวคิดที่ใช้เส้นโลหะตัวนำที่มีขนาดต่างกันหลายเส้น คือตัวนำทองแดงที่ใช้กับขั้ว L กับขั้ว N มีอยู่ 5 ขนาด + 2 รูปแบบตัวนำ ประกอบด้วย
ทองแดง OFC แกนเดี่ยวชุบทองคำ 24 K คิดเป็นปริมาณประมาณ 40%
ทองแดง OFC แกนฝอยเคลือบเงินคิดเป็นปริมาณประมาณ 10%
ทองแดง OCC แกนเดี่ยวคิดเป็นปริมาณประมาณ 15%
ทองแดง OCC แกนฝอยคิดเป็นปริมาณประมาณ 15%
ทองแดง OCC แกนเดี่ยวชุบเงินคิดเป็นปริมาณประมาณ 20%
หน้าตัดตัวนำของขา L = 9 sq.mm.
หน้าตัดตัวนำของขา N = 9 sq.mm.
หน้าตัดตัวนำของขา G = 6 sq.mm.
ส่วนตัวนำที่ใช้กับขั้ว G มีแค่ขนาดเดียวจำนวน 7 เส้น ซึ่งทางผู้ผลิตยังมีอ๊อปชั่นพิเศษ คือถ้าคุณนำสายไฟเส้นนี้ไปใช้กับซิสเต็มของคุณแล้ว รู้สึกยังไม่ชอบ “โทนเสียง” ที่ออกมาจากซิสเต็มของคุณ อย่างเช่น แหลมมากไป/น้อยไป หรือทุ้มมากไป/น้อยไป คุณสามารถแจ้งผู้ผลิตให้ปรับเปลี่ยนปริมาณตัวนำให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ด้วย… (* สำหรับบริการพิเศษนี้ โทรฯ สอบถามเพิ่มเติมที่คุณหน่อย เบอร์ 084-596-6262)
การใช้งาน
Signature 1 นอนขดมาในกล่องหนังสีดำดูเข้มขรึม วัดจากปลายทั้งสองข้างเข้าหากันได้ความยาวอยู่ที่ 2 เมตร ตัวสายแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็อ่อนตัว หักงอได้พอสมควร ถ้านำไปใช้งานในที่แคบ อย่างเช่นชั้นวางเครื่องเสียงที่ติดกับผนังห้อง ควรมีระยะห่างระหว่างด้านหลังเครื่องที่จะใช้กับสายไฟเส้นนี้กับผนังห้องอย่างต่ำ 20 ซ.ม. ขึ้นไป เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดตรงหัวปลั๊กที่เชื่อมต่อกับท้ายเครื่องเสียง
ฝั่งหัวปลั๊กตัวผู้ที่เสียบกับปลั๊กผนัง ถ้าได้เต้ารับที่มีคุณภาพสูงๆ อย่างที่ผมใช้อยู่ตัวเต้ารับเป็นของ Oyaide ส่วนเบ้ายึดเป็นของ Life Audio จะยึดแน่นดีมาก กรณีนี้สายไฟและเต้ารับแม็ทชิ่งกันมาก
ตัวอย่างตอนทดลองใช้งานร่วมกับอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase รุ่น E-4000 จะเห็นว่า ด้วยความยาวและความอ่อนตัวของสายไฟเส้นนี้ทำให้สามารถดัดตัวเข้ากับพื้นที่ได้ง่าย ไม่แข็งขืนมากและไม่ทำให้หัวปลั๊กที่เสียบอยู่ทั้งสองฝั่งคลอนหลวม ประเด็นนี้ผมพอใจมาก เพราะสายที่มีขนาดใหญ่โดยมากจะมีปัญหาการปรับตัวเข้ากับพื้นที่จำกัด
ฝั่งปลั๊กตัวเมียที่เสียบเข้ากับเครื่องเสียงก็ให้การจับยึดที่แนบแน่นดี ในภาพบนทดลองใช้กับอินติเกรตแอมป์ Sugden รุ่น IA4
ทดสอบฟังเสียง
ผมได้รับสายไฟรุ่นนี้มานานหลายเดือนแล้ว ได้มาแค่เส้นเดียว หลังจากเสียบทดลองฟังไปเรื่อยในช่วงเบิร์นฯ จนมั่นใจว่าพ้นระยะเบิร์นฯ แล้ว ผมก็เริ่มทำการทดสอบคุณภาพเสียงและบุคลิกของสายไฟเส้นนี้ โดยจัดชุดที่เรียบง่ายที่สุด หลีกเลี่ยงความซับซ้อนเพื่อให้ได้เห็น (ได้ยิน) ลักษณะตัวตนของสายไฟเส้นนี้ชัดๆ ซึ่งซิสเต็มที่ผมใช้ทดสอบประกอบด้วยเครื่องเล่นซีดี, อินติเกรตแอมป์ และลำโพง โดยสลับปรับเปลี่ยนไปหลายชุดในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา (หลายๆ เครื่องเป็นเครื่องเสียงที่ผู้นำเข้าส่งมาให้ทำการทดสอบ)
ทดลองใช้กับอินติเกรตแอมป์ Boulder รุ่น 866 (REVIEW)
หน้าที่ของสายไฟเอซี “ทุกเส้น” คือทำตัวเป็น “สะพานไฟ” ที่เชื่อมโยงไฟฟ้าจากปลั๊กผนังหรือเครื่องกรองไฟไปให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นสายไฟเอซีที่แถมมากับเครื่อง หรือสายไฟเอซีอัพเกรดที่แบรนด์ต่างๆ ทำกันออกมา ทุกเส้นล้วนมีหน้าที่พื้นฐานเหมือนๆ กัน คือนำไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟต่างๆ ไปที่อุปกรณ์เครื่องเสียง ส่วนคำถามที่ว่า สายไฟเอซีที่แบรนด์ต่างๆ ทำออกมา มันทำอะไรมากกว่าสายไฟธรรมดาหรือไม่.? อันนี้เป็นความลับจักรวาลที่ไม่มีใครตอบได้ชัดๆ
จากประสบการณ์ของผม ผมพบว่า ระหว่าง “สายไฟแถมมากับเครื่อง” กับ “สายไฟอัพเกรด” ที่แบรนด์ต่างๆ ทำออกมามักจะให้ผลลัพธ์กับเสียงต่างกันอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ “เพิ่มพลังให้กับเสียง” ซึ่งสายอัพเกรด (ที่ดี) จะให้เสียงที่มีพลังดีดตัว พลังความกระแทกกระทั้น และพลังอัดฉีดของไดนามิกที่เหนือกว่าสายไฟแถมมากับเครื่อง ซึ่งประเด็นนี้ฟังไม่ยาก แค่ถอดสลับฟังเทียบกันสอง–สามครั้งก็พอฟังออกแล้ว อย่างที่สองที่สายไฟอัพเกรด (มักจะ) ทำได้ดีกว่าสายไฟแถมก็คือ “ให้ความสะอาดกับเสียง” ประเด็นนี้อาจจะฟังยากหน่อย ต้องลองสลับฟังเทียบด้วยชุดเครื่องเสียงที่มีคุณภาพสูงหน่อยและเซ็ตอัพลงตัวจริงๆ ถึงจะ “รับรู้” ได้ชัด ผมตั้งใจใช้คำว่า “รับรู้” แทนคำว่า “ได้ยิน” เพราะความสะอาดของเสียงมันไม่ได้มีตัวตนของมันออกมาให้เราได้ยิน แต่ผลของมันจะทำให้เรา “รับรู้” ถึงการมีอยู่ของ “รายละเอียด” เสียงได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะรายละเอียดของเสียงที่ระดับความดังต่ำๆ (Low Level Resolution) ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการป้องกัน noise จากภายนอกแทรกซึมเข้ามาในตัวสายนั่นเอง ซึ่งสังเกตได้ว่า สายไฟอัพเกรดจะมีโครงสร้างของระบบชีลด์ที่แน่นหนากว่าสายไฟแถมมาก
ทดลองใช้กับอินติเกรตแอมป์หลอด Dared รุ่น Saturn Signature (REVIEW)
สายไฟรุ่น Signature 1 ของ Life Audio ตัวนี้ก็ให้พลังของเสียงที่โดดเด่นกว่าสายแถมเส้นสีดำที่ผมเอามาฟังเทียบกันอย่างชัดเจน ทว่า เมื่อเทียบกับสายไฟอัพเกรดตัวอื่นผมพบว่า พลังเสียงที่สายไฟเส้นนี้ให้ออกมามันมีแง่มุมที่ต่างไปจากสายไฟอัพเกรดบางตัวที่ผมเคยฟังมา คือส่วนใหญ่แล้ว สายไฟตัวอื่นๆ มักจะให้พลังของเสียงที่เน้นไปทางด้านความถี่ย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มตอนกลางๆ มากเป็นพิเศษ เหมือนจะไปดันตรงย่านเสียงแถบนั้นให้โด่งขึ้นมามากกว่าความถี่ย่านอื่น ในขณะที่สายไฟอัพเกรดบางตัวไปดันความถี่ย่านแหลมให้โด่งขึ้นมาก็มี
คนส่วนใหญ่ชอบสายไฟอัพเกรดที่ช่วยดันความถี่ย่านกลางต่ำขึ้นมา เพราะมันทำให้โทนเสียงออกไปทางนุ่มนวล อิ่มหนา แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบสายไฟอัพเกรดที่เสริมพลังให้กับเสียงที่ “ราบเรียบเสมอกัน” ตลอดทั้งย่านมากกว่า คือฟังเทียบกับสายไฟแถมแล้วไม่ควรจะรู้สึกว่า สายไฟอัพเกรดไปเปลี่ยนแปลง “โทนัลบาลานซ์” ของซิสเต็มเดิมที่แม็ทชิ่งด้วยสายไฟแถมจนลงตัวแล้ว คือถ้าสายไฟอัพเกรดจะมีคุณสมบัติเหมือน EQ ที่ยกเกนของความถี่เสียงให้เพิ่มขึ้นมาจากเดิม ผมก็จะชอบให้เป็น EQ ที่ยกเกนขึ้นมาเท่ากันทุกความถี่มากกว่าที่จะยกบางย่านให้โด่งเหนือย่านอื่นขึ้นมา
อัลบั้ม : Tchaikovsky: The Complete Chamber Music (PCM 16/44.1)
ศิลปิน : Hamburg Symphony, The Copenhagen String Quartet & The Eastman Trio
สังกัด : VOX Music Group
เพลงคลาสสิกเป็นแนวเพลงที่เหมาะมากกับการใช้อ้างอิงในการทดลองฟังคุณภาพของสายไฟเอซี เพราะเพลงคลาสสิกมีทั้งช่วงที่บรรเลงแบบแผ่วๆ และช่วงพีคที่โหมไดนามิกขึ้นมาแบบสุดกำลัง ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองนั้นจะทำให้รู้เลยว่า สายไฟเอซีตัวนั้นให้พลังเสียงได้ดีหรือแย่ หรือให้ความสะอาดของเสียงได้ดีหรือแย่ แต่ถ้าจะตรวจวัดความสามารถในการสกัดกั้น noise จากภายนอกไม่ให้แทรกซึมเข้ามาสร้างมลพิษให้กับสัญญาณต้องฟังรายละเอียดของเสียงทั้งในแง่ macro detail คือการแยกแยะแต่ละชิ้นดนตรีออกจากกัน และในแง่ micro detail คือการแจกแจงรายละเอียดของแต่ละชิ้นดนตรีออกมาให้รับรู้
ในซีดีชุดนี้เป็นอัลบั้มรวมงานเพลงแนว Chamber Music ทั้งหมดที่ประพันธ์โดย Pyotr Ilyich Tchaikovsky โดยรวมมาจากการบรรเลงของวงแชมเบอร์จำนวน 3 วงมาไว้ในอัลบั้มเดียวกัน ได้แก่วง Copenhagen String Quartet, วง Hamburg Symphony และวง The Eastman Trio จากการลองฟังงาน String Quartet in E Major, Op.30 ที่บรรเลงโดยวง Copenhagen String Quartet ซึ่งเป็นวงแชมเบอร์ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 ชิ้น คือ ไวโอลิน สองตัว (Eugene Tichindelanu กับ John Bak Dinitzen), วิโอล่า หนึ่งตัว (E. Christensen) และเชลโล่ หนึ่งตัว (I. Geisler) ผ่านซิสเต็มที่ประกอบด้วยอินติเกรตแอมป์ Sugden IA4 + ลำโพง Audio Physic Classic 8
ผมชอบท่วงทำนองของงานประพันธ์ชิ้นนี้ และชอบการเรียบเรียงเสียงประสานที่มีการสอดแทรกเทคนิคในการบรรเลงให้กับเครื่องดนตรีทั้งสี่ชิ้นสอดประสานออกมาพร้อมกัน ลีลาคล้ายแจ๊ส ซึ่งตอนที่ผมเปลี่ยนเอาสายไฟ Signature 1 เข้าไปแทนสายไฟแถม ผมพบว่า Signature 1 ทำให้เวทีเสียงมีความโล่งโปร่งมากขึ้น ม่านหมอกมัวๆ ถูกกวาดออกไปหมด ทำให้ผมมองเห็น (ด้วยหู) ลีลาการบรรเลงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ชัดเจนมากขึ้น อาการเบลอๆ มัวๆ ที่ห่อคลุมโน๊ตวิโอล่าและเชลโล่หายไปเกือบหมด ทำให้เสียงวิโอล่าและเชลโล่ลอยเด่นขึ้นมามากขึ้น ฟังออกชัดขึ้นว่าเครื่องดนตรีทั้งสองที่มีโทนเสียงใกล้เคียงกันมีลักษณะแยกตัวออกจากกัน ไม่ผสมรวมกันเหมือนตอนที่ผมฟังโดยใช้สายไฟแถมเสียบเข้าที่อินติเกรตแอมป์
นอกจากนั้น พอเวทีเสียงสะอาดและเปิดโล่งมากขึ้น ทำให้ผมรับรู้ถึงลักษณะการวางตำแหน่งของเครื่องดนตรีทั้งสี่ชิ้นได้ชัดขึ้น ผมได้ยินไวโอลินอยู่ทางซ้ายและเยื้องมาตรงกลาง ส่วนวิโอล่ากับเชลโล่เยื้องมาทางลำโพงขวา และชิ้นดนตรีทั้งหมดมีเลเยอร์ความลึกที่ลดหลั่นกันด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ห่างกันมากแต่ก็รู้สึกได้ว่าทั้งสี่ชิ้นไม่ได้นั่งเรียงเป็นหน้ากระดาน ยิ่งไปกว่านั้น ความสะอาดและโปร่งใสของพื้นเสียงยังทำให้รับรู้ถึง “ลักษณะการบรรเลง” ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้ชัดขึ้นด้วย ชิ้นไหนสีเบา–สีดัง ชิ้นไหนใช้นิ้วกระตุกสาย, ชิ้นไหนใช้คันชักตบสาย ฯลฯ รับรู้ได้ชัดขึ้นทั้งหมด พอเปลี่ยนเอาสายไฟแถมกลับเข้าไปแทนที่ Signature 1 พบว่า เสียงโดยรวมค่อยๆ เบลอลง การรับรู้รายละเอียดที่พูดถึงข้างต้นลดความเน้นชัดลงไป ความเข้มของตัวเสียงจางลง ไดนามิกการสวิงหนัก–เบาของเสียงก็หดแคบลงด้วย สุดท้ายคืออารมณ์ของเพลงลดน้อยลงไปเยอะ ซึ่งเพลงคลาสสิกประเภทนี้ถ้าไดนามิกเร้นจ์ไม่กว้างพอจะเสียอรรถรสในการฟังไปมาก ไม่ชวนให้ติดตาม ฟังไปๆ แล้วจะรู้สึกเบื่อ..
อัลบั้ม : 12 Greatest Hits Vol.II (PCM 16/44.1)
ศิลปิน : Neil Diamond
สังกัด : Columbia Records (CK 38068)
มีเพื่อนยกแผ่นซีดีกองใหญ่มาให้ช่วยริปให้ ผมทดลองฟังอัลบั้มนี้ครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจกับเสียงร้องของนีล ไดมอนด์ในแทรคแรกเพลง ‘Beautiful Noise’ ที่มันออกมามัวๆ เหมือนมีเอคโค่ก้องๆ ปนอยู่กับเสียงร้อง เลยทดลองเอามาลองฟังเทียบในการทดสอบสายไฟเอซี Signature 1 ครั้งนี้ด้วย
ผมเริ่มฟังรอบแรกด้วยการใช้สายไฟแถมก่อน พบว่าเสียงออกมามัวๆ และไม่ค่อยเข้มเหมือนมีม่านหมอกบางๆ คลุมเสียงร้องอยู่ เสียงอื่นๆ โดยรวมก็ออกมานัวๆ ไม่ค่อยมีการย้ำเน้น การแยกแยะก็ไม่เด็ดขาด พอผมเอาสายไฟ Signature 1 ลงไปเปลี่ยนแทนสายแถมที่ใช้กับอินติเกรตแแอมป์ สิ่งแแรกที่พบคือ เวทีเสียงเปิดกระจ่างมากขึ้น คล้ายกับว่าทุกเสียงมีพลังดีดเด้งมากขึ้น จึงลอยตัวออกมาเหนือม่านหมอกได้มากขึ้น แต่อาการที่มีม่านหมอกก็ยังคงอยู่แต่บางลงเยอะ และเมื่อฟังจากเนื้อหาของเพลงก็พบว่า เป็นเจตนาของซาวนด์เอนจิเนียร์ที่ทำให้เสียงร้องของนีล ไดมอนด์มีลักษณะเหมือนอยู่ในม่านหมอกแบบนั้น เพราะตั้งแต่เริ่มต้นแทรคตอนอินโทรผมได้ยินว่ามีการมิกซ์เสียงแอมเบี้ยนต์ของสถานที่แห่งหนึ่งเข้าไปในหัวเพลง เป็นเสียงแอมเบี้ยนต์เบาๆ ซึ่งตอนใช้สายไฟอัพเกรดจะฟังแอมเบี้ยนต์ที่ว่าได้ชัดกว่า น่าจะเป็นสถานีเดินรถสักแห่ง.? พอถึงจังหวะที่นีลร้อง ซาวนด์เอนจิเนียร์คงใส่เอ็ฟเฟ็กต์เข้าไปผสมกับเสียงร้องเพื่อให้ฟังดูเหมือนกับว่าตัวของนีลเข้าไปร้องอยู่ในบรรยากาศเดียวกัน โดยมีม่านหมอกของความจอแจของบรรยากาศผสมอยู่กับเสียงร้องและเสียงดนตรีของเพลงนี้ด้วย นี่คือมรรคผลที่ได้จากการที่พื้นเสียงมีความสะอาด ปราศจาก “ขยะ” (noise) รบกวน ทำให้รับรู้สภาพที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในเพลงที่ฟังได้ชัดขึ้น อย่างกรณีนี้ สายไฟ Signature 1 เข้าไปทำให้พื้นของเวทีเสียงมีความสะอาดมากขึ้นเพราะมันสามารถป้องกัน noise จากภายนอกไม่ให้แทรกซึมเข้าไปถึงตัวนำในสาย โดยเฉพาะสัญญาณรบกวนที่ระดับความถี่ 50Hz ที่ตรงกับความถี่ของไฟ AC ที่วิ่งไปบนสายไฟเส้นนี้ ทำให้เบสสะอาด ไม่อื้อขึ้นไปรบกวนความถี่ในย่านกลางและแหลม ผลจึงทำให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทั้งย่านมีความโดดเด่นชัดเจนมากขึ้น ฟังง่ายขึ้น
หลังจากลองฟังเพลงมาอย่างหลากหลาย ผมพบว่า สายไฟรุ่น Signature 1 ของ Life Audio ตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษในตัวอยู่อย่างหนึ่ง คือมันทำให้โครงสร้างของเวทีเสียงปรากฏออกมาได้ตามรูปแบบการมิกซ์ของแต่ละเพลง คือพอเสียบสายไฟเส้นนี้เข้าไปกับแอมปลิฟายแทนสายแถม ความรู้สึกที่ได้ยินจะเหมือนกับคุณอัดลมเข้าไปในลูกโป่ง เวทีเสียงจะพองตัวแผ่ออกมามากขึ้นทันที มาก–น้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานคุณภาพการบันทึกเสียงของเพลงนั้นๆ ผมลองฟังกับบางเพลงที่บันทึกเวทีเสียงมากว้างๆ พอเจอกับสายไฟเส้นนี้ รู้สึกได้ทันทีว่าสนามเสียงของเพลงนั้นมันฉีกตัวเด้งปึ๋งออกไปรอบด้าน ชิ้นดนตรีแยกตัวออกห่างอย่างเป็นอิสระซึ่งกันและกัน เห็นลีลาการเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงได้ชัดขึ้นมาก ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าซิสเต็มที่ฟังอยู่มันให้เวทีเสียงไม่ฉีกกว้างอย่างที่ต้องการ ชิ้นดนตรีมันกองรวมอัดแน่นกันอยู่ ลองโทรฯ หาคุณหน่อย ให้หิ้วสายไฟเส้นนี้ไปลองเปลี่ยนแทนเส้นเดิมแล้วฟังดู อาจจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้
สรุป
จากการทดลองฟังเทียบผลของสายไฟ Signature 1 ตัวนี้กับ amp (อินติเกรตแอมป์) vs. source (เครื่องเล่นซีดี) ผมพบว่า ใช้เสียบกับแอมปลิฟายจะให้ผลทางด้าน “พลังเสียง” ออกมาชัดเจนมากกว่าเสียบกับเครื่องเล่นซีดี ส่วนประเภทของแอมป์มันไม่เกี่ยง ผมลองทั้งแอมป์หลอดและแอมป์โซลิดสเตท ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ออกมาทางเดียวกัน
ในตอนท้ายผมได้ลองฟังสายไฟ Signature 1 ที่ใช้เสียบเข้าเพาเวอร์แอมป์ด้วย (* ใช้ปรีแอมป์ Denafrips รุ่น Athena จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ Usher รุ่น Reference 1.5) ผลลัพธ์ก็ไปทางเดียวกัน สรุปว่า สายไฟเอซี Life Audio รุ่น Signature 1 ตัวนี้ชอบแอมปลิฟายมากกว่าแหล่งต้นทาง (* แสดงว่าสายไฟเอซีตัวนี้ให้อัตราการไหลผ่านของไฟฟ้าได้ดี) /
********************
ราคา : 60,000 บาท / เส้น (ความยาว 2.0 เมตร)
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Life Audio
โทร. 084-596-6262