ต้องยอมรับกันล่ะว่า ยุคนี้เป็น “ยุคดิจิตัลเต็มตัว” แล้วจริงๆ สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของผู้ผลิตหลายๆ แบรนด์ที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์ไปจากเดิม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ “เครื่องเล่นแผ่นซีดี” เพราะได้ถูกแทนที่โดยเครื่องเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คที่เรียกว่า “สตรีมเมอร์” มาได้สักระยะแล้ว ส่วนผลิตภัณฑ์อีกประเภทที่กำลังถูกคุกคามจากกองทัพ digital อย่างหนักเป็นรายต่อไปก็คือ “ปรีแอมป์อะนาลอก” นั่นเอง.!!
เมื่อแหล่งต้นทางสัญญาณเคลื่อนย้ายเข้าสู่ยุคดิจิตัลเต็มตัวแล้ว ปรีแอมป์อะนาลอกก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย แต่เหตุการณ์จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตราบเท่าที่หูของเรายังต้องฟังเฉพาะสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณอะนาลอก และเรายังคงให้ความเชื่อมั่นใน “เพาเวอร์แอมป์อะนาลอก” ที่ใช้ภาคขยาย class-A กับ class-AB กันอยู่ ปรีแอมป์อะนาลอกก็ยังมีที่ยืนเสมอ แต่ถ้าจะทำให้ “ที่ยืน” นั้นมีความมั่นคงมากหน่อย ผู้ออกแบบปรีแอมป์อะนาลอกยุคใหม่ก็ต้องมองหาอะไรมาทำ value added ให้กับปรีแอมป์ของพวกเขาด้วย ซึ่งเทคนิคที่หลายๆ เจ้านิยมทำกันก็คือ เอาภาค DAC เข้าไปฝังไว้ในตัวปรีแอมป์อะนาลอกนั่นเอง
Naim NSC 222 เป็นมากกว่าแค่ Pre + DAC
Naim Audio คร่ำหวอดอยู่ในวงการไฮไฟฯ มานานมากแล้ว เพราะคุณ Julian Vereker ผู้ก่อตั้งแบรนด์แกเริ่มต้นธุรกิจนี้มาตั้งแต่ ปี 1973 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบบเสียงอะนาลอกกำลังเฟื่องฟู และผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของพวกเขาก็คือแอมปลิฟาย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าความชำนาญในการออกแบบและผลิตแอมป์อะนาลอกของแบรนด์นี้จะแน่นปึ๊กขนาดไหน
สินค้าของ Naim Audio ในปัจจุบันแยกออกได้เป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ด้วยกัน เริ่มจากกลุ่มแรก “แหล่งต้นทาง” ได้แก่ Streaming & Multiroom Audio, Turntables, CD Player และ Digital to Analogue Converters กลุ่มที่สองคือ Amplifiers, กลุ่มที่สามคือ Power Supplies และกลุ่มที่สี่ก็คือ Accessories จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีมากที่สุดก็คือ “แหล่งต้นทาง” หรือ source ซึ่งพวกเขามีทำออกมาทั้งอะนาลอกและดิจิตัล ในส่วนของแหล่งต้นทางดิจิตัลนั้น พวกเขามีอยู่ครบถ้วนมาก คือมีทั้งเครื่องเล่นซีดี, มิวสิค สตรีมเมอร์ และ external DAC

NSC 222 มีสถานะเป็นปรีแอมป์อะนาลอกที่ผนึกเอาภาค DAC กับภาคขยายหัวเข็ม MM และภาคขยายเสียงสำหรับหูฟังมารวมอยู่ในตัวถังเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากอุปกรณ์ประเภท external DAC ที่มีฟังท์ชั่นวอลลุ่มปรับระดับความดังในตัว เพราะกรณีที่เป็น “ปรีแอมป์อะนาลอก” จะมีภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตแบบ discrete ที่ออกแบบมาเต็มยศ คือมีทั้งภาคขยายและภาคเพาเวอร์ซัพพลายครบถ้วน ส่วนวอลลุ่มที่ให้มากับ external DAC จะไม่มีภาคอะนาลอกเอ๊าต์พุตแบบเต็มยศ อย่างมากก็แค่ op-amp ตัวเล็กๆ กับแอทเท็นนูเอตวอลลุ่มแบบธรรมดา ซึ่งจุดสังเกตก็คือ ถ้าเป็นอุปกรณ์ประเภท external DAC ที่มีวอลลุ่มปรับความดัง มักจะไม่มีอินพุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกมาให้ หรือบางตัวที่มีอินพุตอะนาลอกก็ต้องไปดูว่า มีฟังท์ชั่น analog bypass หรือไม่.? ถ้าเป็นปรีแอมป์อะนาลอกแท้ๆ จะต้องมีไลน์วงจรสำหรับสัญญาณอะนาลอก อินพุตที่ “ไม่ผ่าน” การทำงานในส่วนของวงจรดิจิตัลเลย ถ้าตัวไหนมีอะนาลอก อินพุตมาให้ แต่การทำงานภายในนั้นมีขั้นตอนที่เอาสัญญาณอะนาลอกไปผ่านการแปลงเป็นสัญญาณดิจิตัล (ผ่าน A-to-D converter) เพื่อจุดประสงค์ใดก็ตาม ก็ถือว่าภาคปรีแอมป์ตัวนั้น “ไม่ได้” มีคุณสมบัติเป็นอะนาลอกแท้ๆ
ดีไซน์คมเข้ม..

Naim Audio นิยมใช้อะลูมิเนียมหนาๆ ทำเป็นบอดี้ของแอมป์มาตั้งแต่ยุคแรก เพราะว่า Julian Vereker ผู้ก่อตั้งแบรนด์ค้นพบว่า การใช้อะลูมิเนียมทำเป็นตัวถังเครื่องจะให้เสียงออกมา “ดีกว่า” ที่จะใช้แผ่นโลหะบางๆ มาทำเป็นตัวถังเครื่องอย่างที่แบรนด์อื่นๆ ทำกันในยุคนั้น เหตุผลสนับสนุนก็เป็นเรื่องของการป้องกันคลื่นรบกวนจากภายนอก อย่างเช่น EMI และยังช่วยรักษาอุณหภูมิภายในตัวเครื่องให้มีความสม่ำเสมอ ซึ่งมีผลกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ที่ใช้อยู่ในภาคขยาย อีกทั้งด้วยความแน่นของมวลเนื้อกับน้ำหนักของแผ่นอะลูมิเนียมยังช่วยลดปัญหาเรโซแนนซ์บนตัวถังเครื่องลงไปได้ด้วย
แผงหน้าที่เรียบง่าย!

1. ปุ่มหมุนสำหรับปรับวอลลุ่ม
2. ช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 6.3 mm.
3. ช่องเสียบ USB-A สำหรับอุปกรณ์เก็บไฟล์เพลงแบบพกพา
4. โลโก้ของแบรนด์ มีไฟเรืองแสงอยู่ด้านหลัง สามารถปรับความสว่างได้
5. จอแสดงผล
6. ปุ่มกดสำหรับสั่งงานหน้าที่ต่างๆ
บอดี้ของ NSC 222 ทำเป็นสีดำทั้งตัว ดูเคร่งขรึมแต่ซ่อนความเฉียบคมอยู่ในที แผงหน้าทำจากแผ่นอะลูมิเนียมที่หนาถึง 20 ม.ม. ซึ่งเป็นความหนาที่ทำให้ปลอดจากปัญหาไมโครโฟนิคและหนาพอที่จะช่วยเก็บรักษาอุณหภูมิภายในตัวเครื่องให้คงที่ไปด้วยในตัว

เมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง จากซ้ายมือสุดบนแผงหน้าจะมีปุ่มกลมๆ ขนาดใหญ่อยู่ปุ่มหนึ่ง (1) เวลาเปิดใช้งานตรงขอบของปุ่มนี้จะเรืองแสงสีขาวขึ้นมาเป็นเส้นรอบวง ดูเก๋ดี ปุ่มนี้มีหน้าที่ในการปรับระดับความดังของเสียง ถัดเข้ามาทางขวาจะเป็นรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาดมาตรฐาน 6.3 ม.ม. (2) ซึ่งมีกำลังขับขนาด 1.5W ที่ 16 โอห์ม ของดีสครีตแอมป์ class-A/AB รองรับอยู่ในตัวเครื่อง โดยที่ช่องหูฟังจะมีวอลลุ่มแยกจากวอลลุ่มของช่องปรี–เอ๊าต์ เมื่อคุณเสียบแจ๊คหูฟังเข้าไปที่รูเสียบบนแผงหน้าของ NSC 222 วอลลุ่มจะเปลี่ยนสลับไปเป็นระดับความดังล่าสุดที่ใช้กับหูฟังทันที ถัดจากรูเสียบแจ๊คหูฟังมาทางขวาอีกหน่อยจะเป็นรูเสียบ USB-A (3) ซึ่งจ่ายไฟเลี้ยง 1.6A ให้กับฮาร์ดดิสพกพาหรือแฟรชไดร้ที่ใช้ขั้วต่อ USB-A นี้ ซึ่งถ้าเป็นแฟรชไดร้ จะรองรับความจุได้เต็มที่เท่ากับ 128GB (ที่แผงหลังก็มี USB-A อีกหนึ่งช่อง รองรับสเปคฯ เดียวกัน) แต่ถ้าเป็น ext.HDD แบบพกพาจะรองรับความจุได้สูงถึง 1TB

ถัดไปทางขวา บริเวณตรงกลางของแผงหน้าจะมีโลโก้ naim (4) ที่มีแสงแบ็คไล้ท์สีขาวติดตั้งอยู่ตรงนั้น ซึ่งคุณสามารถปรับตั้งระดับความสว่างได้จากแอพลิเคชั่น ถัดไปทางขวามืออีกหน่อย จะเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ (5) ให้ไว้โชว์รายละเอียดต่างๆ ในขณะเล่นเพลงและตอนปรับตั้งค่าในเมนู

ทางขวามือสุดของหน้าปัด มีปุ่มกดอยู่ 4 ปุ่ม ติดตั้งจับกลุ่มกันเป็นแถวเรียงหนึ่งจากบนลงล่าง (6) โดยที่ปุ่มบนสุดเป็นปุ่ม standby เอาไว้กดเพื่อเปิด/ปิดเครื่อง, ถัดลงมาเป็นปุ่ม Play/Pause ซึ่งใช้กดเพื่อควบคุมการเล่นไฟล์เพลงให้หยุดตรงจุดนั้นและกดซ้ำเพื่อให้เล่นต่อไป, ถัดลงไปเป็นปุ่ม Inputs ไว้กดเลือกแหล่งต้นทางสัญญาณที่ต้องการใช้งาน ปุ่มล่างสุดคือปุ่ม Preset ใช้กดเพื่อล้างค่าที่ปรับตั้งไว้ทั้งหมดกลับไปเป็นค่าเริ่มต้นที่ตั้งมาจากโรงงาน
แผงหลังที่อัดแน่น.!

7. เต้ารับปลั๊กไฟเอซีพร้อมฟิวซ์
8. ช่องเสียบสายแลนที่เข้าหัวแจ๊ค RJ45
9. ช่องเสียบ ext.HDD ที่ใช้ขั้วต่อ USB-A
10. ช่องส่งออกสัญญาณรีโมทขนาด 3.5mm และ Mini-Toslink optical
11. ช่องเสียบสายแพร์สำหรับเซอร์วิส
12. ขั้วต่อ BNC coaxial สำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุต ฟอร์แม็ต S/PDIF
13. ขั้วต่อ RCA coaxial สำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุต ฟอร์แม็ต S/PDIF
14. ขั้วต่อ TosLink optical สำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุต ฟอร์แม็ต S/PDIF
15. ขั้วต่อ RCA สำหรับอินพุตของภาคขยายหัวเข็ม MM
16. จุดเชื่อมต่อสายกราวนด์ของเครื่องเล่นแผ่นเสียง
17. ขั้วต่อ DIN สำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอก อินพุตระดับ Line Level
18. ขั้วต่อ RCA สำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอก อินพุตระดับ Line Level
19. ขั้วต่อ XLR สำหรับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตแบบบาลานซ์ของ Pre-out
20. ขั้วต่อ RCA สำหรับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ของ Pre-out
21. สวิทช์โยกสำหรับระบบกราวนด์ของสัญญาณเอ๊าต์พุตของ Pre-out
22. ช่องเสียบสำหรับอัพเกรดภาคเพาเวอร์ซัพพลาย

เมื่อหันเข้าหาแผงหลังของตัวเครื่อง ทางซ้ายมือสุดจะเป็นจุดเสียบขั้วต่อสายไฟเอซี (7) ก่อนจะเป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตและเอ๊าต์พุตที่ถูกถัดไปทางขวามือ ซึ่ง Pre/DAC ตัวนี้ติดตั้งขั้วต่อ I/O สำหรับสัญญาณดิจิตัลกับสัญญาณอะนาลอกแยกออกจากกันไปคนละฝั่งเลย
อินพุตดิจิตัล

อินพุตของสัญญาณดิจิตัลทั้งหมดจะถูกจัดไว้ทางซีกซ้ายของแผงหลัง เริ่มตั้งแต่ช่องอินพุต Network (8) ที่ให้ไว้รองรับการเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์คผ่านสายแลน ซึ่งฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้งอยู่ข้างในเป็น streaming card รุ่นล่าสุดคือ NP800 ของ Naim เอง ที่มาพร้อมเทคโนโลยี LVDS balanced digital signals เพื่อให้การส่งสัญญาณมีความเพี้ยนต่ำ สามารถสตรีมไฟล์เพลงได้จากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น internat radio, จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเจ้าดังๆ อย่าง Spotify Connect, Apple Music, Tidal และ Tidal Connect, Qobuz หรือสตรีมไฟล์เพลงจากภายนอกผ่านข้ามาทาง AirPlay 2, Chromecast และสตรีมไฟล์เพลงจาก UPnP server เช่นไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ใน Naim Uniti Core, ที่เก็บอยู่ใน NAS หรือที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสบนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่บนเน็ทเวิร์คเดียวกับ NSC 222 รวมถึงใช้เป็นช่องทางดึงไฟล์เพลงจาก ext.HDD ที่เสียบอยู่ที่ช่อง USB-A ที่ด้านหน้าและด้านหลังเข้ามาเล่นก็ได้
ช่องอินพุต Network ของ NSC 222 ตัวนี้มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ด้วย สำหรับคนที่ใช้ซอฟท์แวร์เล่นไฟล์เพลงของ Roon อยู่แล้วก็สามารถใช้ภาค DAC ในตัว NSC 222 ให้ทำหน้าที่เป็น endpoint หรือเอ๊าต์พุตสำหรับการเล่นไฟล์เพลงด้วยโปรแกรม Roon ได้ ซึ่งภาค DAC ในตัว NSC 222 จะได้ประโยชน์จากฟังท์ชั่นต่างๆ ของ Roon รวมถึงอินเตอร์เฟซที่น่าใช้ของ Roon ด้วย
นอกจากนั้นอินพุต Network ของ NSC 222 ยังรองรับการใช้งานฟังท์ชั่น Multiroom ร่วมกับแอพฯ เล่นไฟล์เพลงที่รองรับฟังท์ชั่นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอพฯ Focal&Naim, แอพฯ Roon โดยผ่านช่องทาง Apple AirPlay 2 และ Chromecast
ส่วนอินพุตดิจิตัลที่เหลือที่ให้มาด้วยกันเป็นอินพุตที่รองรับสัญญาณดิจิตลมาตรฐาน S/PDIF ทั้งหมด ผ่านขั้วต่อ 3 รูปแบบเพื่อให้คุณเลือกใช้ให้เหมาะกับขั้วต่อดิจิตัลเอ๊าต์พุตของแหล่งต้นทาง นั่นคือขั้วต่อ BNC (12), RCA (13) อย่างละหนึ่งช่อง และขั้วต่อ Optical TosLink อีก 2 ช่อง (14) ซึ่งทางผู้ผลิตได้ให้ความสำคัญกับช่องอินพุต S/PDIF เหล่านี้มากเป็นพิเศษ โดยจัดให้มี RAM ที่ควบคุมด้วย DSP เข้ามาทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์จัดการระบบการรับ/ส่งข้อมูลสัญญาณของช่องอินพุต S/PDIF ทั้ง 4 ช่องด้วย ดูจากความใส่ใจตรงนี้แล้ว ก็น่าจะพูดได้ว่า ใครที่ฟังเพลงโดยอาศัยการเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตจากเครื่องเล่นซีดี/ซีดี ทรานสปอร์ตผ่านเข้ามาที่ NSC 222 ทางช่องดิจิตัล อินพุต S/PDIF ช่องใดช่องหนึ่งในจำนวนสี่ช่องที่ให้มาก็พอจะเชื่อใจคุณภาพเสียงได้ระดับหนึ่งว่าไม่แย่อย่างแน่นอน ตอนทดสอบ ผมทดลองใช้เครื่องเล่นซีดี Arcam รุ่น Radia CD5 เล่นแผ่นซีดีแล้วต่อสัญญาณดิจิตัลจาก CD5 ไปที่อินพุต coaxial ของ NSC 222 ได้เสียงออกมาดีมาก.. ที่เด่นมากๆ คือมวลเสียงที่แผ่ใหญ่ สะอาดอิ่มและติดนุ่ม ฟังเพลงร้องได้อารมณ์มากเป็นพิเศษเพราะเสียงกลางออกมาดีมากๆ .!!
ส่วนใครที่ชื่นชอบการฟังเพลงผ่านการสตรีมไฟล์เพลงจากอุปกรณ์พกพาผ่านทางคลื่น Bluetooth ก็สามารถสตรีมมาใช้ภาค DAC ในตัว NSC 222 ได้ เพราะภาคดีโค๊ดเดอร์ Bluetooth ในตัว NSC 222 เป็นแบบ aptX Adaptive ซึ่งจะปรับเปลี่ยนบิตเรตของสัญญาณไปตามสภาพความแรงของสัญญาณเพื่อรักษาคุณภาพเสียงให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุดตลอดเวลา
อินพุตอะนาลอก

ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณขาเข้าที่อยู่ในรูปของสัญญาณอะนาลอกบนแผงหลังของ NSC 222 มีมาให้ใช้อยู่ 2 ชุด ชุดแรกผ่านขั้วต่อ DIN (17) ซึ่งต้องใช้สายสัญญาณอะแด๊ปเตอร์ที่ด้านหนึ่งเป็นขั้วต่อ DIN ส่วนอีกด้านเป็นขั้วต่อแบบเดียวกับขั้วต่อทางด้านเอ๊าต์พุตของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ด้วยกัน (RCA หรือ XLR) แต่ถ้าคุณจะใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เครื่องเสียงของ Naim เองที่มีขั้วต่อเอ๊าต์พุต DIN แบบนี้ก็สามารถใช้สาย DIN > DIN ของ Naim เชื่อมต่อได้เลย ส่วนอินพุตอีกช่องใช้เป็นขั้วต่อ RCA (18)
ซึ่งอย่างที่เกริ่นมาข้างต้นว่า ทาง Naim ตั้งใจทำ NSC 222 ตัวนี้ออกมาให้มีส่วนของ analog pre-amp เป็นเมนหลัก โดยมีภาค DAC กับอินพุตสตรีมมิ่งเป็นส่วนที่เสริมเข้ามา ดูได้จากความพิเศษในการออกแบบวงจรบัฟเฟอร์ที่ใช้รองรับสัญญาณอินพุตอะนาลอกที่ช่องอะนาลอก อินพุตทั้งหมดนั้น เขาเลือกใช้การออกแบบวงจรเป็นแบบดีสครีต คือใช้คอมโพเน้นต์แยกชิ้น ไม่ได้ใช้แค่อ๊อปแอมป์ไอซีตัวเล็กๆ และดีไซน์ภาคขยายที่ใช้ขับทรานซิสเตอร์ของสเตจนี้เป็นวงจรขยายแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ class-A จึงมั่นใจได้ว่าสัญญาณเอ๊าต์พุตมี “กระแสเต็มสเปคฯ” แน่นอน

NSC 222 มีภาคขยายสัญญาณจากหัวเข็ม MM ของเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาให้ในตัว โดยติดตั้งขั้วต่อ RCA (15) มาให้หนึ่งชุดสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องล่นแผ่นเสียงของคุณกับ Pre/DAC ตัวนี้ และมีขั้วต่อสำหรับขันยึดสายกราวนด์โทนอาร์มของเครื่องเล่นแผ่นเสียง (16) มาให้พร้อมสรรพ
เอ๊าต์พุต

ใครที่เคยสัมผัสกับแอมป์ของแบรนด์ Naim มาก่อนจะรู้ดีว่า ในยุคแรกของแอมป์แบรนด์นี้เขาจะไม่ค่อยเปิดรับกับการใช้งานร่วมกับแบรนด์อื่น คือแทนที่จะใช้ระบบการเชื่อมต่อสัญญาณมาตรฐานสากลที่แบรนด์อื่นๆ เขาทำกันอย่างเช่นขั้วต่อ RCA หรือ XLR แต่กลับยึดมั่นอยู่กับการเชื่อมต่อผ่านทางขั้วต่อมาตรฐาน DIN ซึ่งแทบจะไม่มีใครเขาใช้ักัน มาเห็นขั้วต่อเอ๊าต์พุตของ NSC 222 ตัวนี้แล้วบอกเลยว่าโล่งอก.! เพราะตอนนี้เขาเปิดเข้าหาแบรนด์อื่นมากขึ้นแล้ว เพราะใน Pre/DAC รุ่นนี้เขาได้ติดตั้งขั้วต่อสัญญาณแบบ RCA (20) และ XLR (18) ไว้ให้เลือกใช้ครบทั้งสองรูปแบบ แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถแม็ทชิ่งระบบกราวนด์ของ NSC 222 ตัวนี้ให้เข้ากับระบบกราวนด์ของซิสเต็มได้โดยให้สวิทช์โยกเล็กๆ (21) ไว้สำหรับการปรับเปลี่ยนระหว่าง ‘Floating’ คือไม่ต่อกราวนด์ของสัญญาณเข้ากับกราวนด์ของตัวถัง กับ ‘Default’ คือเชื่อมต่อกราวนด์ของสัญญาณเข้ากับตัวถัง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ปรับตั้งมาจากโรงงาน ในการใช้งานจริงสำหรับสวิทช์โยกอันนี้ ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดก็คือ ทดลองโยกแล้วฟังเสียงดู แบบไหนให้เสียงที่สะอาดกว่า หลุดลอยมากกว่า เป็นอิสระมากกว่า ก็เลือกปรับตั้งไว้ที่ตำแหน่งนั้น
อัพเกรดภาคจ่ายไฟ.!!


ที่ข้างๆ ขั้วต่อสัญญาณเอ๊าต์พุต RCA จะมีแท่งสีดำๆ อยู่ 2 แท่ง ซึ่งตรงจุดนั้นเป็นตำแหน่งของขั้วต่อที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับภาคจ่ายไฟจากภายนอก (22) เป็นของ Naim เอง ชื่อรุ่นว่า NPX 300 ซึ่งเป็นภาคจ่ายไฟที่ออกแบบมาให้ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์ของ Naim ซีรี่ย์ 200 กับรุ่น NDX2 และรุ่น NAC-N 272 (ต่างกันที่สายเชื่อมต่อ) กรณีที่เชื่อมต่อกับ NSC 222 ต้องใช้สาย DIN Type 3/12pin connector (ใช้ขาเชื่อมต่อทั้งหมด 8 ขา กับสาย DIN Type 4/23pin connector (ใช้ขาต่อเชื่อมทั้งหมด 9 ขา) เสียบพร้อมกันทั้งสองเส้น


ในตัว MPX 300 จะเห็นหม้อแปลงเทอรอยด์ขนาดยักษ์.!!
จุดเด่นของภาคจ่ายไฟอัพเกรดรุ่น NPX 300 อยู่ที่หม้อแปลงขนาดใหญ่กับภาคเรกูเลเตอร์ที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยี DR Technology ที่ใช้คอมโพเน้นต์แบบดีสครีต ซึ่งถูกแยกออกไปจ่ายไฟเลี้ยงให้กับวงจรที่ทำงานแยกกันจำนวน 6 วงจร ทำให้ได้ไฟเลี้ยงที่สะอาด ปราศจาก noise ที่เข้ามารบกวนการทำงานของวงจรหลักๆ เหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า พอไฟเลี้ยงดีขึ้น สะอาดขึ้น เสียงที่ได้ออกมาก็จะดีขึ้น ซึ่งจากการทดลองฟังของผมพบว่า พอเสริมภาคจ่ายไฟ NPX 300 เข้าไปกับ NSC 222 แล้ว รับรู้ได้ทันทีว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่เข้มขึ้น ตัวเสียงมีโฟกัสที่คมชัดมากขึ้น มีพลังดีดตัวมากขึ้น ไดนามิกแรงขึ้น เสียงเด้งมากขึ้น และที่ผมชอบมากคือ “รายละเอียด” เล็กๆ น้อยๆ มันได้ยินชัดขึ้นมามาก มีหลายๆ เสียงที่ได้ยินแค่จางๆ แต่หลังจากเสริมด้วยภาคจ่ายไฟ NPX 300 เข้าไปแล้วมันเด่นชัดขึ้นมามากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ไปดันให้เสียงนั้นพุ่งล้ำขึ้นมานะครับ แต่เป็นการทำให้พื้นสียงใสขึ้น, noise floor ต่ำลงจนทำให้รายละเอียดเบาๆ เหล่านั้นปรากฏตัวเด่นชัดมากขึ้นนั่นเอง
ภาค DAC ในตัว NSC 222

ในกรอบนั้นคือภาค DAC ในตัว NSC 222
เคยได้ยินประโยคนี้มั้ย.. “พ่อครัวชั้นยอด จะเข้าใจวัตถุดิบได้ดี และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม” ซึ่งคนออกแบบเครื่องเสียงก็ไม่ต่างจากพ่อครัว ประสบการณ์จะเป็นตัวบอกให้เขารู้ว่าควรจะเลือกวัตถุดิบประเภทไหนมาปรุง เพื่อให้ได้อาหารเลิศรส นักออกแบบเครื่องเสียงก็จะมี “วัตถุดิบ” ที่เป็นเคล็ดลับที่เขาเลือกมาใช้ในการออกแบบโดยอิงกับประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในสายการออกแบบมานาน
ทุกครั้งที่ได้รับเครื่องเสียงมาทดสอบ ผมจะใช้วิธีทดลอง “แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูน” เครื่องเสียงตัวนั้นจนพอใจ (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถือโอกาสเบิร์นฯ ไปในตัว) จดบันทึกสิ่งที่พบในขั้นตอนเหล่านั้นเอาไว้ ก่อนจะเริ่มต้นทดลองฟังเสียงเพื่อเก็บข้อมูลมาเขียนรีวิว ซึ่งในช่วงของการทดลองกระบวนการ “แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูน” กับ Pre/DAC ของ Naim ตัวนี้ ผมพบว่า มันให้ “โทนเสียง” ที่ออกมาในสไตล์เสียงของ Naim ดั้งเดิมชัดเจนมาก.! ใครที่คุ้นเคยกับโทนเสียงของแบรนด์นี้ ไม่ว่าจะเป็นแอมป์หรือเพลเยอร์ เชื่อเลยว่า พอได้ยินเสียงของ NSC 222 ในสภาวะที่ “แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูน” ลงตัวแล้วจะอุทานออกมาเหมือนๆ กันว่า เฮ้ยย.. นี่แหละ Naim ตัวจริง เสียงจริง..!!! (จะเพิ่มเติมเรื่องเสียงอีกทีในหัวข้อ “เสียงของ NSC 222”)
กรอบสีแดงในรูปข้างบนนั้นคือแผงวงจรของภาค DAC ในตัว NSC 222 ซึ่งการที่เอาภาค DAC เข้ามาทำงานรวมอยู่กับภาคปรีแอมป์ของ NSC 222 ตัวนี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถจูนเสียงของภาค DAC ให้กลมกลืนเป็นโทนดียวกันกับเสียงของภาคปรีแอมป์ของเขาได้อย่างแนบเนียน

หลังจากได้ลองฟังเสียงภาค DAC ของ NSC 222 แล้ว ยอมรับเลยว่า สิ่งแรกที่สดุดหูมากที่สุดก็คือ “โทนเสียง” ที่มันออกมาทางหนา แน่น เนื้อเสียงข้น ไม่ได้ออกมาในแนวบางๆ ใสๆ เหมือนเสียงของภาค DAC ยุคใหม่ๆ ส่วนใหญ่ นั่งฟังไปสักพัก เปลี่ยนเพลงไปหลายชุดพบว่า แม้โทนเสียงของมันจะเปลี่ยนไปบ้างตามคุณภาพการบันทึกของแต่ละอัลบั้ม แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่คงอยู่ตลอด นั่นคือ “เนื้อเสียง” ที่ยังคงหนา แน่น และให้มวลเข้มข้นอยู่แบบนั้น แสดงว่าเป็นบุคลิกเฉพาะของภาค DAC ในตัว NSC 222 ตัวนี้

ผมลุกไปเปิดดูสเปคฯ ของ NSC 222 พบว่าในภาค DAC ของ NSC 222 ตัวนี้ใช้ชิป DAC เบอร์ PCM1791A ของ TI (BurrBrown เดิม) ซึ่งชิป DAC ของแบรนด์ BB นี้ขึ้นชื่อว่าให้เสียงที่หนาและแน่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเป็นชิป DAC ที่ให้โทนเสียง “ไปทางเดียวกัน” กับโทนเสียงของแอมป์ Niam มากกว่าชิป DAC แบรนด์อื่นๆ คิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ผู้ผลิต NSC 222 เลือกใช้ชิปของ BB ตัวนี้
นอกจากโทนเสียงแล้ว ชิป PCM1791A ตัวนี้ยังมีความสามารถรองรับ sampling rate ได้สูงมาก คือตั้งแต่ 10kHz ขึ้นไปถึง 200kHz มี และมีอินเตอร์เฟซที่รองรับกับภาคดิจิตัล ฟิลเตอร์จากภายนอก หรือจาก DSP ภายนอกได้ ซึ่งทาง Naim ได้ออกแบบวงจรโอเว่อร์แซมปลิ้ง ฟิลเตอร์ขึ้นมาใช้กับชิป PCM1791A ตัวนี้โดยอัพสัญญาณอินพุตขึ้นไปที่ระดับ 705.6kHz สำหรับอินพุตที่ใช้ฐาน clock 44.1kHz กับอัพขึ้นไปเป็น 768kHz สำหรับอินพุตที่ใช้ฐาน clock 48kHz คือถ้าเล่นไฟล์ที่เป็นแซมปลิ้ง 44.1kHz เข้าไป วงจรอัพแซมปลิ้งในตัว NSC 222 จะทำการอัพฯ สัญญาณนั้นขึ้นไปเป็น 705.6kHz คืออัพฯ ขึ้นไป 16 เท่า หรือกรณีที่เล่นไฟล์ไฮเรซฯ ที่ระดับ 192kHz เข้าไป ก็จะถูกอัพฯ แซมปลิ้งขึ้นไปเป็น 768kHz (อัพฯ ขึ้นไป 4 เท่า) ก่อนส่งให้ภาค digital filter ที่ Naim เขียนขึ้นมาเองบรรจุอยู่ใน DSP เพื่อทำการกรองสัญญาณดิจิตัลส่วนเกินออกไปก่อนจะป้อนเข้าไปที่ชิป PCM1791A เพื่อให้แปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก
ในทางทฤษฎีแล้ว การอัพฯ แซมปลิ้งของสัญญาณอินพุตขึ้นไปสูงๆ ก่อนจะผ่านดิจิตัลฟิลเตอร์และชิป DAC จะทำให้กระบวนการดีทูเอฯ แปลงสัญญาณดิจิตัลออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่มีความเป็นเชิงเส้นสูงกว่าการแปลงตรงๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการโอเว่อร์แซมปลิ้ง (แบบที่เรียกว่า NOS หรือ Non-Oversampling) เพียงแต่ว่า กระบวนการทำโอเว่อร์แซมปลิ้งต้องดีพอถึงจะไม่ทำให้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับเสียง สังเกตจากข้อความข้างบนที่ระบุว่า “..Custom polystyrene ultralow dielectric absorption Post DAC filter components” นั่นก็คือเทคนิคส่วนหนึ่งที่วิศวกรของ Naim นำมาใช้เพื่อช่วยจัดการกับสัญญาณดิจิตัลให้อยู่ในคอนดิชั่นที่ดีที่สุดก่อนส่งเข้าสู่ชิป DAC PCM1791A นั่นเอง
คุณสมบัติอีกข้อที่ผมพบว่าเป็นจุดเด่นมากๆ ของ NSC 222 ตัวนี้ นั่นคือเสียงที่ได้จากการเล่นด้วยสัญญาณ DSD ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก.! น้ำเสียงที่ออกมาไม่มีลักษณะเฉื่อยและอับทึบอย่างที่มักจะเกิดกับภาค DAC ที่ออกแบบมาไม่ดี ซึ่งจากประสบการณ์ของผมสามารถพูดได้เลยว่า ในจำนวน DAC ที่มีราคาไม่เกิน 500,000 บาท จะหาตัวที่แปลงสัญญาณ DSD ออกมาแล้วทำให้ได้ “คุณสมบัติเด่น” เฉพาะตัวของฟอร์แม็ต DSD ออกมาได้ชัดๆ อยู่ไม่กี่ตัว ใครที่ชื่นชอบเสียงของฟอร์แม็ต DSD แนะนำให้ไปลองฟังสียงของ NSC 222 ตัวนี้เลย รับรองว่าจะต้องถูกใจ.! เพราะน้ำเสียงที่ผมได้ยินจากการเล่นไฟล์ DSF ผ่านเข้าไปที่ภาค DAC ของ NSC 222 ตัวนี้มันมีทั้งความลื่นไหล ความฉ่ำ เนื้อเนียน โดยที่สปีดไดนามิกไม่เฉื่อย ปลายเสียงก็ไม่ทึบด้วย ฟังดีมาก.!!!
การเชื่อมต่อ

จะว่าไปแล้ว ความสามารถของ NSC 222 ในมุมของ “ปรีแอมป์” นับได้ว่าครบเครื่อง ทั้งทางด้าน “อินพุต” ที่รองรับได้ครบทั้งแหล่งต้นทางอะนาลอกและแหล่งต้นทางดิจิตัล ไม่ว่าคุณมีแหล่งต้นทางแบบไหนก็สามารถใช้งานร่วมกับ Pre/DAC รุ่น NSC 222 ของ Naim ตัวนี้ได้ครบทุกชนิด ส่วนทางด้าน “เอ๊าต์พุต” ก็ถือว่ามีความเพรียบพร้อมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขามีมาให้ใช้ครบหมด ทั้งเอ๊าต์พุต RCA และ XLR จะเสียบต่อใช้งานกับเพาเวอร์แอมป์ตัวไหนก็คล่องตัวไปหมด ไม่มีติดขัด

ในการทดสอบครั้งนี้ ผมมีโอกาสจับคู่ NSC 222 เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ 2-3 ชุด เริ่มจาก QUAD รุ่น Artera Stereo Poweramp ซึ่งให้กำลังขับ 140W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม, QUAD รุ่น Artera Mono ที่กำลังขับ 300W ที่โหลด 8 โอห์ม และเพาเวอร์แอมป์หลอด โมโน บล็อกยี่ห้อ NAT รุ่น Transmitter HPS ที่ให้กำลังขับ 40W/80W ต่อข้างที่โหลด 8/4 โอห์ม พบว่า เกนเอ๊าต์พุตที่ระดับ 7Vrms ของ NSC 222 ทั้งทางช่อง RCA และ XLR มันมากพอที่จะขับดันอินพุตอิมพีแดนซ์ของเพาเวอร์แอมป์ทั้ง 3 ชุด ที่ผมนำมาทดสอบร่วมกันได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหาเรื่อง gain matching แต่อย่างใด
แอพลิเคชั่น Focal&Naim
อินพุต Network ที่ใช้สตรีมไฟล์เพลงผ่านทางระบบเน็ทเวิร์ค ซึ่งถือว่าเป็นไฮไล้ท์ของ NSC 222 ตัวนี้ ทางผู้ผลิตเขามีแอพลิเคชั่นมาให้ เพื่อใช้ในการเลือกเพลงและควบคุมการเล่นเพลง ชื่อแอพฯ ‘Focal&Naim’ ซึ่งนอกจากจะใช้เลือกเพลงและควบคุมการเล่นเพลงแล้ว ภายในแอพฯ ตัวนี้ยังมีฟีเจอร์การทำงานฟังท์ชั่นต่างๆ ของ NSC 222 ไว้ให้ปรับตั้งอีกหลายตัว

ซอฟท์แวร์ตัวนี้เป็นแอพฯ ฟรีที่ทาง Naim Audio ทำขึ้นมาให้ใช้ในการปรับตั้งค่าการทำงานของตัวผลิตภัณฑ์ของ Naim Audio และ Focal (สามารถเลือกสลับไป–มาได้) โดยเฉพาะ หน้าตาของแอพฯ ก็ดูเรียบง่าย ที่หน้าโฮมของแอพฯ ตามภาพข้างบน เขาจะเอาส่วนของ “อินพุต” ทั้งหมดมาโชว์ไว้ด้านบน (ในกรอบสีเขียว) โดยแบ่งอยู่ในหน้าย่อย 3 หน้า (สไลด์ปลายนิ้วไปทางซ้ายสำหรับเปิดไปหน้าที่สองและสาม) ซึ่งคุณสามารถกดเลือกใช้งานอินพุตได้จากหน้านี้โดยตรง

ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการฟังเพลงจากการสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL ก็จิ้มลงไปที่ไอค่อน TIDAL บนหน้าจอของแอพฯ ก็จะแสดงงานเพลงใหม่ๆ นำเสนอขึ้นมาให้เลือกฟัง โดยแยกเป็น 3 หัวข้อ คือ Playlists (วงรีสีเขียว), Albums และ Traks เรียงลงไป

เมื่อเลือกเพลงฟังเสร็จ บนหน้าจอของแอพฯ จะขึ้นมาตามลักษณะของรูปด้านบน โดยมี ปกอัลบั้ม, ชื่อเพลง + ชื่อศิลปิน + ชื่ออัลบั้ม และ ฟอร์แม็ตไฟล์ พร้อมสเปคฯ ของสัญญาณ (ในกรอบสีเหลือง) และที่ด้านล่างของจอจะมีฟังท์ชั่นสำหรับปรับเพิ่ม/ลดความดัง (ในกรอบสีเขียว) มาให้ใช้สั่งงานด้วย

หรือถ้าต้องการฟังเพลงของเราเองที่เก็บอยู่ใน NAS ก็กลับไปที่ “อินพุต” แล้วจิ้มลงไปตรงตำแหน่งที่เรียกว่า ‘Servers’ จะปรากฏลิ้งค์ของ NAS ขึ้นมาให้เลือก (*กรณีที่ติดตั้ง server ครั้งแรก แนะนำให้ลงซอฟท์แวร์ MinimServer บน NAS ของคุณ เพราะโปรแกรม server ตัวนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับสตรีมเมอร์ทุกเจ้า) หลังจากเข้าไปเลือกเพลงใน NAS ได้แล้ว และสั่งเล่นเพลงเสร็จ ขณะเล่นเพลงบนหน้าจอของแอพจะแสดงรายละเอียดต่างๆ ออกมาคล้ายกับตอนเล่นเพลงจาก TIDAL จะมีความแตกต่างกันบ้างก็อยู่ที่รายละเอียดของเพลงที่กำลังเล่น (ในกรอบสีเหลือง) ซึ่งตรงบรรทัดสุดท้ายจะแสดงเป็นไอค่อน network UPnP แล้วตามด้วยฟอร์แม็ตของสัญญาณเพลงที่กำลังเล่น (ในภาพคือกำลังเล่น DSD64)
จากการใช้งานพบว่า การออกแบบแอพ Focal&Naim ทำได้ดี ตัวโปรแกรมเบา ไม่กินทรัพยากรเครื่องมาก การทำงานก็มีความเสถียรดี เสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ ทั้งจากการลองเล่นฟอร์แม็ต PCM และ DSD

ส่วนการปรับตั้งค่าของฟังท์ชั่นการทำงานของตัวเครื่องถูกบรรจุรวมกันอยู่ในเมนูหลักที่ชื่อว่า ‘Settings’ ซึ่งมีทางเข้าอยู่ที่รูปเฟืองจักรที่อยู่ตรงมุมขวาบนของหน้าแอพฯ จากรูปด้านบน จะเห็นว่าในนั้นมีหัวข้อการปรับตั้งอยู่ทั้งหมดสิบกว่าหัวข้อ ซึ่งหัวข้อที่ควรจะใช้บ่อยๆ ก็คือ Check For Updates (กรอบสีเขียว) ส่วนหัวข้อที่จำเป็นในการปรับตั้งค่าเพราะเกี่ยวข้องกับเสียงของ NSC 222 ก็มี Output settings เป็นการเปิด/ปิดการทำงาน (Enable/Disable) ของช่องอะนาลอกเอ๊าต์พุต RCA และ XLR, Input Settings เป็นการเปิด/ปิดการทำงาน (Enable/Disable) ของช่องอินพุตต่างๆ รวมถึงการปรับตั้งค่าที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของบางอินพุตด้วย ยกตัวอย่างเช่น ช่องอินพุต Analogue 1 มีอ๊อปชั่นให้ตั้งชื่อได้, ปรับตั้งเกนดัง/เบาของอินพุตได้ และตั้งเปิด/ปิดการทำงาน (Enable/Disable) ฟังท์ชั่น AV fixed volume เพื่อกำหนดให้ช่องอินพุตอะนาลอกช่องนั้นมีคุณสมบัติเป็นช่องอินพุต bypass เมื่อใช้งานร่วมกับปรีโปรเซสเซอร์ของระบบเสียงโฮมเธียเตอร์ หรือที่อินพุต TIDAL จะมีฟังท์ชั่น Log in และเลือกระดับคุณภาพของการสตรีม นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหัวข้อที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียง นั่นคือ Audio Settings ที่ให้ปรับตั้งขีดจำกัดของระดับวอลลุ่มของปรีแอมป์กับเฮดโฟน

กรณีที่คุณมี Roon Core ใช้งานอยู่ก่อนแล้ว คุณสามารถใช้งาน NSC 222 ทำหน้าที่เป็น endpoint ของระบบเพลย์แบ็คของ Roon ได้ด้วยเพราะ Pre/DAC ของ Naim ตัวนี้มีสถานะเป็น Roon Ready นั่นเอง เวลาเล่นไฟล์เพลงด้วย Roon โดยมี NSC 222 ทำหน้าที่เป็นโซนเอ๊าต์พุต ที่มุมล่างขวาของหน้าแอพ Roon จะมีไอค่อนรูป NSC 222 ปรากฏขึ้นมาแสดงถึงคุณสมบัติความเป็น Roon Ready จริง (ในวงกลมสีเขียว)
ในการทดสอบครั้งนี้ ผมพบว่า การเล่นไฟล์โดยใช้ Roon Core ที่ติดตั้งใน Pachanko Labs รุ่น Constellation Mini SE ทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต แล้วส่งสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตไปที่อินพุต Network ของ NSC 222 ผ่านทางสายแลน Link CAT8 ให้เสียงออกมาดีกว่าเล่นด้วยแอพฯ Focal&Naim ประมาณ 10-15% (เสียงโดยรวมจะเปิดโปร่งมากกว่า คลี่คลายกว่า และผ่อนกว่า) ในการทดสอบและรายงานเสียงของ NSC 222 ครั้งนี้ผมอาศัยเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์เพลงด้วย Roon Core บน Pachanko Labs Constellation Mini SE ซึ่งทำหน้าที่เป็นทรานสปอร์ตเป็นหลัก
เสียงของ NSC 222
จุดเด่นของเสียงลำดับแรกที่ได้ยินจาก NSC 222 ก็คือ “ความเข้มข้น” ของมวลเสียง ซึ่งผมถือว่าเป็นความโดดเด่นมากๆ ของ Pre/DAC ตัวนี้.!!

อัลบั้ม : It Was A Very Good Year (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Toshio Oida
สังกัด : Three Blind Mice (xrcd)
ปกติแล้ว ผมจัดอัลบั้มนี้ไว้ในกลุ่ม “เสียงเข้มข้น” อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของค่ายเพลงของญี่ปุ่นค่ายนี้ ใครที่เคยฟังงานเพลงของค่าย Three Blind Mice มาก่อนคงทราบดีว่า แนวทางการบันทึกเสียงของค่ายนี้จะเน้นการบันทึกแบบ close-miking คือเน้นเก็บเสียงจากแหล่งต้นทางมาเป็นเต็มๆ โดยไม่สนใจเสียงแอมเบี้ยนต์ ลักษณะเสียงที่บันทึกมาแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง และเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นจึงมีมวลเนื้อที่อัดแน่นมากเป็นพิเศษ
ผมชอบที่จะใช้เพลง ‘Basin Street Blues’ ในอัลบั้มนี้ทดสอบความสามารถในการถ่ายทอดความหนาแน่นของมวลเนื้อของเสียง ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่นำมาทดสอบ โดยเฉพาะในย่านกลาง (mid-range) อย่างเช่นเสียงร้อง ซึ่ง NSC 222 ตัวนี้ทำคะแนนในประเด็นทดสอบนี้ออกมาได้สูงมาก ในการทดสอบแต่ละหัวข้อ ผมจะตั้งคะแนนเต็มไว้ที่ 10 คะแนน เฉพาะหัวข้อความแน่นของมวลเสียงกลางของแทรคนี้ NSC 222 ทำคะแนนออกมาได้มากถึง 9.5 คะแนน ถือว่าสูงมาก.!
Pre/DAC ของ Naim ตัวนี้ให้เสียงร้องของ Toshio Oida ในเพลงนี้ออกมาหนาและแน่นสมใจอยากจริงๆ ความข้นของมวลเนื้อมันทำให้รู้สึกเหมือนเสียงร้องของเขามันผุดขึ้นมาในอากาศและเคลื่อนไหวไป–มาอยู่อย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนมีคนยืนร้องอยู่จริงๆ ตรงนั้น เพราะนอกจากความหนาเข้มของมวลเนื้อแล้ว มันยังให้รายละเอียดปลีกย่อยของเสียงร้องออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเน้นย้ำคำร้องในแต่ละประโยคกับลักษณะเสียงขึ้นจมูกที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้ยินครบหมด นอกจากนั้น เสียงเครื่องคลาริเน็ต, กีต้าร์ไฟฟ้า และแซ็กโซโฟน ก็มีความหนาแน่นของมวลไม่แพ้เสียงร้องเหมือนกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นมีส่วนทำให้เสียงโดยรวมของ NSC 222 มีลักษณะที่เข้มข้น สะอาด และมีตัวตนที่เด่นชัด

อัลบั้ม : The Nat King Cole Story (DSF64)
ศิลปิน : Nat King Cole
สังกัด : Analogue Productions / Columbia
ค่าย Analogue Productions รีมาสเตอร์อัลบั้มนี้ออกมาเป็นระบบเสียง DSD64 (DSD2.8MHz) แล้วบันทึกลงในแผ่น SACD โดยแยกเป็นแผ่นคู่ ซึ่งหากภาค DAC ไม่ได้ถูกปรับจูนมาให้รองรับกับการแปลงสัญญาณ DSD ที่ดีมากพอ เมื่อฟังไฟล์เพลง DSD แล้วมักจะได้เสียงออกมาไม่ดี
แต่ที่ได้ยินจาก NSC 222 ตัวนี้ทำเอาผมหูผึ่ง เพราะมันไม่มีอาการแย่ๆ แบบที่กล่าวมาข้างต้นหลุดออกมาให้ได้ยินเลย โดยเฉพาะผลลัพธ์ทางด้าน “ไทมิ่ง” ของเพลงที่ผมตั้งใจจับผิดเป็นพิเศษก็ไม่ปรากฏความผิดปกติออกมาให้ได้ยิน ทุกเสียงที่ออกมาเคลื่อนดำเนินไปตามจังหวะเท็มโป้ของเพลงได้อย่างลื่นไหล ถูกต้อง และแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าก็ไม่ได้รู้สึกเฉื่อย ส่วนเพลงเร็วก็ไม่ได้รู้สึกเบลอ แสดงว่าภาคดิจิตัลอินพุตที่อยู่ก่อนหน้าชิป DAC ทำหน้าที่ในการ format conversion + oversampling + digital filter ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก.! ทุกอย่างออกมาเนียนและลื่นไหลเแป็นพิเศษ สามารถรักษา “อรรถรสของเพลง” เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น..

อัลบั้ม : Jazz At The Pawnshop (DSF128)
ศิลปิน : Arne Domnerus
สังกัด : Naxos (2xHD Mastering)

อัลบั้ม : Now The Green Blade Riseth (DSF128)
ศิลปิน : The Stockholm Catheldral Choir, Gustaf Sjokvist
สังกัด : Naxos (2xHD Mastering)
ไม่ใช่เพียงแค่ไฟล์เพลง DSD64 แต่ NSC 222 รองรับการเล่นไฟล์ DSD128 ออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน.!! ว้าวว.. เสียงที่ได้ยินจากไฟล์เพลง DSF128 ที่ผมโหลดซื้อมาจากเว็บไซต์ nativeDSD ทั้งสองอัลบั้มข้างบนนั้นมันออกมายอดเยี่ยมมาก.! เพราะเป็นอัลบั้มเก่าแก่ของวงการที่ผมฟังมาติดต่อกันเกือบสามสิบปี บางเพลงอย่างเช่นเพลง ‘High Life‘ ในอัลบั้มชุด Jazz At The Pawnshop นั้น ผมจำได้ทุกจังหวะลีลา จำได้แทบจะทุกเสียงในเพลงนี้ จึงบอกได้เลยว่า ภาค DAC ในตัว NSC 222 จัดการกับสัญญาณ DSD128 ออกมาได้ดีมาก สปีดของจังหวะเพลงเป็นหัวใจสำคัญที่ชี้วัดให้เห็นถึงความสามารถในการแปลงสัญญาณของภาค DAC ใครอยากรู้ว่า DAC ที่ใช้อยู่มีขีดความสามารถในการรองรับสัญญาณได้ดีแค่ไหน แนะนำให้ลองเล่นไฟล์ DSD ที่มีสเปคฯ สูงๆ อย่าง DSD128 หรือ DSD256 ดูเลย ถ้าเป็น DAC ที่ประสิทธิภาพต่ำมากๆ จะเล่นไม่ได้ คือไม่มีเสียงออกมาเลย ส่วน DAC ที่พอใช้ได้ มันจะพยายามถ่ายทอดเสียงเพลงออกมาให้คุณฟัง แต่แนะนำให้จับผิดที่สปีดของจังหวะเพลง ถ้ารู้สึกว่ามีลักษณะเฉื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ฟังแล้วเนือยๆ โหยๆ เหมือนอ่อนแรง ก็ถือว่า DAC ตัวนั้นเล่นได้ แต่เสียงไม่ผ่าน


ผมเล่นไฟล์ DSF128 ด้วยโปรแกรม Roon กับ NSC 222 ซึ่งมันไปด้วยกันได้ดี เพราะ NSC 222 มีสถานะเป็น Roon Ready ตอนกำลังเล่นนั้น บนหน้าจอของ Roon จะโชว์ให้เห็นว่า หลังจากแกะเอาสัญญาณ DSD128 ออกมาจากแพ็คเกจไฟล์ DSF128 เสร็จแล้ว โปรแกรม Roon จัดส่งสัญญาณ DSD128 ไปให้กับ NSC 222 โดย “ไม่แตะต้อง” สัญญาณนั้นเลย ส่งไปเพียวๆ แบบ bit perfect นั่นแสดงว่า ภาคดิจิตัล อินพุตของ NSC 222 รับสัญญาณ DSD128 เข้าไปจัดการด้วยกระบวนการทางซอฟท์แวร์ที่วิศวกรของ Naim เขียนขึ้นมาแล้วบรรจุไว้ใน DSP ก่อนจะจัดส่งสัญญาณที่ผ่านกระบวนการ format conversion + oversampling + digital filter แล้วไปให้กับชิปภาค PCM1791A ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกออกมาให้เราฟัง ซึ่งเสียงที่ออกมาจะดี–เลวแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอน digital processing ที่อยู่ในภาค DAC นั่นเอง
เสียงของไฟล์ DSF128 ทั้งสองอัลบั้มข้างต้นที่ผมได้ยินออกมาจาก Pre/DAC ของ Naim ตัวนี้ช่วยการันตีได้ว่า ภาค Digital Processing + ภาค DAC + ภาคอะนาลอกปรีแอมป์ ของ NSC 222 ตัวนี้ทำหน้าที่ของพวกมันได้อย่างดีเยี่ยมในการจัดการกับสัญญาณต้นทางให้ได้ออกมาเป็นเสียงเพลงที่มีอรรถรสเต็มอารมณ์ ตรงตามต้นฉบับได้อย่างสมบูรณ์แบบ.! สุดยอดจริงๆ ฟังแล้วต้องขอคารวะทีมออกแบบของ Naim สักจอก.!!!

เมื่อคืนกำลังนั่งเขียนรีวิวนี้อยู่.. กำลังจะปิดจบอยู่แล้ว นึกขึ้นมาได้ว่า NSC 222 ให้รูเสียบหูฟังมาด้วย ซึ่งที่ผ่านๆ มาผมมักจะใช้เสียงจากรูเสียบหูฟังของเครื่องเสียงที่ทดสอบในการเช็คเสียงที่เครื่องเสียงตัวนั้นๆ ให้ออกมาแล้วนำไปเทียบกับเสียงจากภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุต ซึ่งเสียงจากช่องหูฟังของ NSC 222 มีความเป็นมอนิเตอร์พอสมควร มันให้รายละเอียดในแง่ต่างๆ ออกมาได้ครบถ้วน เริ่มตั้งแต่สปีด, โฟกัส ไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อยที่แอบซ่อนอยู่ในแต่ละเพลงได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้ยินครบหมด ซึ่งส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะได้ใช้การฟังจากหูฟังเพื่อความบันเทิง เนื่องจากผมมีห้องฟังเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว สามารถเปิดได้ดังโดยไม่รบกวนคนอื่น แต่ผมจะเก็บสิ่งที่ได้ยินจากเอ๊าต์พุตหูฟังของเครื่องเสียงนั้นๆ ไปใช้ในการเซ็ตอัพและไฟน์จูนซิสเต็มและลำโพงให้ได้ “รายละเอียดของเสียง” ออกมาใกล้เคียงกับที่ได้ยินจากเอ๊าต์พุตหูฟังของเครื่องเสียงตัวนั้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งเอ๊าต์พุตหูฟังของ NSC 222 ช่วยทำให้ผมค้นพบรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติมจากหลายๆ เพลงที่ผมเคยฟังมาก่อน..
สรุป
นี่คืออุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีความ “สมบูรณ์แบบ” ในการทำหน้าที่ของมันมากที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่ผมเคยทดสอบมา แม้ว่ามันจะมีหน้าที่สำคัญถึง 3 อย่างอยู่ในตัว ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ส่งผลกับเสียงโดยรวมของซิสเต็มมาก นั่นคือ เป็นทั้ง Streamer, เป็นทั้ง DAC และเป็นทั้งปรีแอมป์อะนาลอก แต่จากการทดสอบผ่านไป ผมพบว่า NSC 222 ตัวนี้ทำหน้าที่ทั้งสามส่วนของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก.!
NSC 222 ให้เสียงโดยรวมออกมาดีมากตามมาตรฐานของทุกอินพุต เสียงของมันดีมากจนผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะให้จัดชุดแยกชิ้นที่มี streamer + ext.DAC + ปรีแอมป์อะนาลอก ที่มีราคารวมกันพอๆ กับ NSC 222 ตัวนี้ขึ้นมาชนกัน ผมก็ไม่แน่ว่าจะหาชุดแยกชิ้นที่ให้เสียง “ดีกว่า” NSC 222 ตัวนี้ได้มั้ย.? แต่จะว่าไปแล้ว ในงบประมาณสามแสนปลายๆ จะหาชุดแยกชิ้นที่มีทั้ง streamer + ext.DAC + ปรีแอมป์อะนาลอก ที่ทำงานประสานกันได้อย่างลงตัวมากขนาดนี้ก็ยากอยู่นะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว กับชุดแยกชิ้นก็ต้องตัดงบส่วนหนึ่งไปให้กับสายสัญญาณ+สายไฟของแต่ละเครื่องด้วย โอ้วว.. จะเหลืองบสักเท่าไร่สำหรับเครื่องเสียงแยกชิ้น 3 ตัวที่มีคุณภาพดีๆ อือมม.. ยากจริงๆ ครับ.!!!
********************
HIGHLY RECOMMENDED!
********************
ราคา : 370,000 บาท / ตัว
********************
สอบถามเพิ่มเติมที่
CH Home Media Audio
โทร. 085-559-9225
facebook : CHHomeMediaAudio



