ปัจจุบันนี้ เห็นทีต้องนับ “ชั้นวางเครื่องเสียง” เข้ามาเป็นสมาชิกหลักตัวหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ในชุดเครื่องเสียงซะแล้ว เพราะนับวัน “ชั้นวางเครื่องเสียง” ยุคใหม่ๆ ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงขึ้นมามากกว่าสมัยก่อนเยอะ ซึ่งไม่ใช่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะในแง่ดีไซน์ความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นพัฒนาการที่มีผลกับคุณภาพเสียงด้วย
Hybrid Standard Hi-Fi Rack
ชั้นวางเครื่องเสียงที่ให้อิสระในการสร้างสรร

แบรนด์ Solid-Tech เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มนักเล่นฯ บ้านเรา ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไม่ได้มีแค่ชั้นวางเครื่องเสียงอย่างเดียว แต่ยังมีอุปกรณ์เสริมประเภทที่ใช้ “รองรับ” (support) ให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงรูปแบบต่างๆ อีกหลายชนิด อาทิเช่น จานรองเดือยแหลม, ชั้นล็อคสายสัญญาณและสายไฟเอซี รวมถึงแท่นสปริงรองเครื่อง ที่ผมเคยทดสอบไปแล้ว (https://www.allabout.in.th/special-review-3-accessories-part-1/)
ชั้นวางเครื่องเสียงรุ่น Hybrid Standard ที่ผมกำลังจะพูดถึงในรีวิวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีดีไซน์น่าสนใจ มันถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย สามารถประกอบขึ้นมาได้หลายรูปแบบ และมีกลไกที่เอื้อต่อการปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย
ส่วนประกอบหลักๆ

พื้นฐานของชั้นวางตัวนี้เป็นแบบน็อตดาวน์ ส่วนประกอบต่างๆ คือ ชั้นวาง (A), ก้านรับน้ำหนัก (B) และ เสามุม (C) เหล่านี้จะถูกผลิตแยกมาเป็นชิ้นส่วน เพื่อให้ทางร้านผู้จำหน่ายสามารถประกอบให้ตามความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้าเองก็สามารถเลือกสั่งทั้งรูปแบบและจำนวนชั้นที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงของแต่ละคนได้ นับว่าเป็นรูปแบบของชั้นวางที่ให้ความยืดหยุ่นสูงมาก

คุณก็สามารถสั่งประกอบชั้นวางที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณเองได้ โดยเริ่มจาก “ระบุจำนวนชั้น” ที่ต้องการวาง ซึ่งจะสัมพันธ์กับ “จำนวนอุปกรณ์เครื่องเสียง” ที่ใช้อยู่ในซิสเต็มของคุณ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า ในซิสเต็มของคุณมีเครื่องเสียงแค่ 3 ชิ้น คือ เครื่องเล่นแผ่นเสียง 1 ตัว, เครื่องเล่นแผ่นซีดี 1 ตัว, อินติเกรตแอมป์ 1 ตัว ซึ่งคุณต้องการวางอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ในชั้นวางเดียวกัน โดยเรียงขึ้นไปในแนวตั้งเพราะต้องการประหยัดพื้นที่ กรณีนี้ จำนวนชั้นวางที่คุณต้องการก็คือ 3 ชั้น ส่วนความสูงของแต่ละชั้น คุณก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เพราะทางผู้ผลิตเขามี “เสา” (เรียกว่า corner pillars) ที่เอามาทำเป็นส่วนขาทั้งสี่ขาของชั้น ซึ่งเสาที่ว่านี้ทำด้วยอะลูมิเนียมทรงกลมที่มีความสูงให้เลือกทั้งหมด 3 ระดับ สำหรับเวอร์ชั่น Hybrid Standard นั่นคือ 20, 27.5 และ 35 ซ.ม. ส่วนเสาที่สูง 67 และ 90 ซ.ม. อีกสองขนาดที่ใช้ในเวอร์ชั่น Hybrid Full Range ซึ่งแต่ละเสาทั้งสี่มุมจะใช้เสายาวต้นเดียวไม่มีรอยต่อเหมือนของเวอร์ชั่น Hybrid Standard ที่แยกแต่ละชั้นออกจากกันเด็ดขาด ซึ่งผมมองว่า Hybrid Standard ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า เพราะคุณสามารถแยกใช้เป็นชั้นเดี่ยวๆ ได้ อีกอย่างคือ สามารถค่อยๆ แยกซื้อทีละชั้นได้ด้วย

คุณสามารถเลือกกำหนดความสูงของชั้นวางแต่ละชั้นได้ตามระดับความสูงของเสาที่มีให้เลือกทั้ง 3 ระดับ ตามที่ให้ข้อมูลไว้ข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า อินติเกรตแอมป์ที่คุณใช้เป็นแอมป์หลอดและคุณต้องการวางแอมป์ไว้ชั้นล่างสุด ซึ่งโดยปกติแล้ว แอมป์หลอดจะต้องการพื้นที่ว่างด้านบนของตัวเครื่องมากหน่อย เพื่อระบายความร้อน ดังนั้น ระหว่างความสูงของตัวแอมป์กับชั้นวางที่อยู่เหนือขึ้นไปควรจะมีระยะห่างทิ้งไว้มากหน่อย สมมุตว่าแอมป์หลอดของคุณมีความสูงอยู่ที่ 20 ซ.ม. วัดจากฐานล่างสุดขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุด ชั้นที่วางแอมป์หลอดก็ควรจะใช้เสาสูง 35 ซ.ม. เพื่อให้ช่วงความสูงของชั้นที่วางแอมป์มีระยะห่างจากชั้นด้านบนลงมามากหน่อย ไว้ระบายความร้อนของแอมป์ ในขณะที่ชั้นที่วางเครื่องเล่นซีดีก็อาจจะใช้เสาที่สูงสัก 20 ซ.ม. ก็พอ เพราะเครื่องเล่นซีดีส่วนใหญ่จะมีความสูงไม่เกิน 15 ซ.ม. เท่านั้น หรือถ้าแอมป์หลอดของคุณตัวไม่ใหญ่มาก น้ำหนักไม่เกิน 80 กิโลกรัม คุณสามารถออกแบบโดยวางแอมป์หลอดไว้ด้านบนสุดก็ได้ ถ้าในชุดของคุณไม่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียง

นอกจากนั้น ที่ด้านข้างของเสามุม (corner pillars) ทุกต้น จะมีร่องในแนวตั้งที่ยาวตลอดจากบนลงล่าง ไว้ให้ยึด “ก้านรับน้ำหนัก” (extrusion) ที่ใช้รองรับชั้นวาง (shelves) ซึ่งร่องที่ข้างๆ เสาที่ว่านั้นเขาทำไว้ให้ใช้ปรับระดับความสูงของชั้นด้วยการเลื่อนตัวก้านรับน้ำหนักขึ้น–ลงไปตามร่องของเสานั่นเอง นอกจากนั้น ตรงจุดต่อระหว่างเสาแต่ละต้นที่วางซ้อนเป็นชั้นขึ้นไป เขาจะมีเดือยแหลมกับจานรองเดือยแหลมมาให้ด้วย เพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างชั้น
วัสดุ

ส่วนประกอบที่เป็น เสามุม (corner pillars) และตัว ก้านรับน้ำหนัก (extrusion) ที่ใช้ยึดใต้แผ่นชั้นไม้ทำมาจากอะลูมิเนียมที่มีลักษณะโครงสร้างกลวง จึงมีน้ำหนักเบา ไม่สะสมพลังงาน ส่วนแผ่นไม้ที่ทำเป็นชั้นวางใช้รองรับเครื่องเสียงทำมาจากไม้ MDF ที่มีผิวนอกให้เลือก 3 แบบ คือพ่นสีดำหรือขาว, ติดวีเนียร์ลายไม้ และพ่นผิวคอนกรีต ซึ่งแบบเบสิคที่สุดก็คือไม้ MDF พ่นสี (ตัวอย่างที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นไม้ MDF พ่นสีดำ)
เนื้องานของชิ้นส่วนต่างๆ มีความปราณีตเรียบร้อย และแข็งแรงตามมาตรฐานสแกนดิเนเวี้ยน ทางร้านตัวแทนนำเข้าในประเทศไทยคือ High-End Audio ประกอบมาให้ผมทดสอบคุณภาพ 3 ตัว ซึ่งทั้ง 3 ตัวใช้แผ่นไม้ MDF สีดำขนาดกว้าง 49 ซ.ม. x ลึก 43.5 ซ.ม. หนา 1.9 ซ.ม. เป็นส่วนของชั้นที่รองรับตัวเครื่องเหมือนกันทั้งหมด ส่วนความสูง มีอยู่สองตัวที่ใช้เสาสูง 27.5 ซ.ม. ส่วนอีกตัวใช้เสาสูง 20 ซ.ม.
การใช้งาน + คุณภาพเสียง


ช่วงแรกของการทดสอบผมจัดชั้นวาง Hybrid Standard ทั้งสามตัวไว้ด้านข้างขวามือของตำแหน่งที่ผมนั่งฟัง โดยวางทั้ง 3 ชั้นซ้อนกันขี้นไปในแนวตั้ง ซึ่งตรงนั้นผมใช้วางอุปกรณ์เครื่องเสียงที่เป็นแหล่งต้นทางกับปรีแอมป์เป็นหลัก อาทิเช่น เครื่องเล่นแผ่น CD/SACD, external DAC และ ปรีแอมป์ ส่วนเพาเวอร์แอมป์ผมจะแยกไปวางไว้ระหว่างลำโพงซ้าย–ขวาที่ด้านหน้า โดยลากสายสัญญาณยาว 7 เมตร จากปรีแอมป์ที่อยู่ด้านข้างขวาไปที่เพาเวอร์แอมป์ บางครั้งที่เปลี่ยนมาใช้อินติเกรตแอมป์ ผมก็จะเอาอินติเกรตแอมป์ไปวางไว้ด้านหน้าระหว่างลำโพงซ้าย–ขวา แล้วลากสายสัญญาณยาว 7 เมตรจาก external DAC ไปที่อินติเกรตแอมป์


บางช่วงผมก็ทดลองแยกชั้นวางแค่ชั้นเดียวไปวางไว้ที่ด้านหน้า ระหว่างลำโพงซ้าย–ขวาด้วย เพื่อทดสอบใช้งานกรณีของคนที่วางเครื่องเสียงไว้ในพื้นที่ระหว่างลำโพงซ้าย–ขวา ส่วนอีกสองชั้นที่เหลือผมก็วางไว้ด้านข้างขวาของจุดนั่งฟังเหมือนเดิม

กรณีที่คุณจำเป็นต้องวางเครื่องเสียงไว้บนพื้นที่ระหว่างลำโพงซ้าย–ขวา แนะนำให้ใช้ชั้นวางเตี้ยๆ ถ้าคุณมีเครื่องเสียงหลายชิ้น แนะนำให้ใช้ชั้นวางที่ต่อพ่วงออกไปทางด้านข้าง เช่นตัวละ 2 ชั้น ติดกัน 2 ตัว เป็นต้น ไม่แนะนำให้ต่อพ่วงขึ้นไปทางแนวสูง ซึ่งชั้นวางรุ่น Hybrid Standard ของ Solid-Tech สามารถประกอบตามนั้นได้โดยใช้เสาตรงกลางร่วมกัน หรือจะต่อแบบภาพตัวอย่างด้านบนนี้ก็ได้ ถ้าคุณมีเครื่องเสียงไม่ถึง 5 ชิ้น แค่สามหรือสี่ชิ้นก็สามารถลดความสูงของชั้นลงมาได้อีก ในอนาคตเมื่อมีการเพิ่มเติมขยับขยายอุปกรณ์ในระบบก็สามารถเพิ่มเติมชั้นวางเข้าไปได้ นี่คือความยืดหยุ่นของชั้นวางตัวนี้ที่ผมชอบมาก.!
ลักษณะเสียงของชั้นวาง Hybrid Standard ตัวนี้
คงไม่ต้องถกกันให้เมื่อยตุ้มอีกแล้วว่า ชั้นวางมีผลกับเสียงหรือไม่.? แม้ว่าจะยังมีคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่คิดว่าใครที่เคยมีประสบการณ์กับการใช้ชั้นวางเครื่องเสียงมาแล้วคงจะรู้ซึ้งอยู่แก่ใจ โดยส่วนตัวแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่า ชั้นวางที่มีลักษณะโครงสร้างแบบ high mass คือ “หนาๆ หนักๆ” มักจะให้แนวเสียงไปทางหนักและแน่นตามลักษณะของโครงสร้าง เบสจะตึ้บๆ หน่อย ในขณะเดียวกัน ชั้นวางที่มีโครงสร้างแบบ low mass หรือ “โปร่งๆ เบาๆ” ก็มักจะให้เสียงออกไปทางโปร่งโล่ง แนวทางเดียวกับโครงสร้างของมัน เบสจะลอยแต่มีรายละเอียดหัวเบส–บอดี้–หางเบสให้เห็น
ถ้ามองในเชิงโครงสร้าง ชั้นวางรุ่น Hybrid Standard ของ Solid-Tech ตัวนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่ม “โปร่งๆ เบาๆ” แต่ละชั้นมีน้ำหนักไม่เยอะเลย คนเดียวยกได้สบาย ส่วนเสียงนั้น จากการทดลองฟังผมพบว่า พื้นฐานเสียงของขาตั้งตัวนี้จะออกไปทางโปร่ง เวทีเสียงลอย เปิดกระจ่าง รายละเอียดหยุมหยิมออกมาหมด เสียงไม่อม เหมาะกับเครื่องเสียงที่มีน้ำหนักระดับปานกลาง ความสามารถตามสเปคฯ ที่รองรับได้ ไม่เกิน 80 กิโลกรัม นั้นไม่น้อยเลยนะครับ เพราะเป็นน้ำหนักที่ครอบคลุมเครื่องเสียงส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดได้เกือบทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะแหล่งต้นทางอย่างพวก ออล–อิน–วัน, external DAC, เครื่องเล่นซีดี, โฟโนปรีแอมป์ รวมถึงกลุ่มของแอมป์ที่มีขนาดกลางๆ อย่างอินติเกรตแอมป์, ปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ขนาดกลาง พวกนี้ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเครื่อง ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ทั้งนั้น วางได้หมด จริงๆ แล้ว เครื่องเสียงที่มีน้ำหนัก เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป มีอยู่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องตัวยักษ์ๆ ระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ขึ้นไปถึงระดับอัลตร้าไฮเอ็นด์เท่านั้น
แต่ประเด็นหลักๆ แล้ว เรื่องน้ำหนักเครื่องที่ระบุไว้ว่า “ไม่เกิน 80 กิโลกรัม” สำหรับผู้ผลิตเขามองที่ความมั่นคงแข็งแรงของตัวชั้นวางมากกว่าผลทางด้านเสียง ซึ่งจากการทดลองวางอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีน้ำหนักต่างกัน 2-3 ขนาด พบว่า เมื่อน้ำหนักของเครื่องที่วางมากขึ้น ลักษณะของเสียงจะมีเนื้อที่แน่นมากขึ้น เนื้อเบสจะมากขึ้นในขณะที่ความโปร่งใสของเวทีเสียงจะลดลงสวนทางกัน ผมชอบเสียงตอนวางเครื่องที่มีน้ำหนัก ไม่เกิน 20 กิโลกรัม เพราะชั้นวาง Hybrid Standard ตัวนี้มันให้ค่าเฉลี่ยระหว่าง “ความโปร่งใสของเวทีเสียง” กับ “น้ำหนักของเสียง” ออกมากำลังดี เวทีเสียงจะโปร่ง, เปิดลอย และแผ่กว้าง ภายในเวทีเสียงจะมีช่องไฟระหว่างตัวโน๊ตของเครื่องดนตรี ทำให้ฟังแล้วไม่รู้สึกอึดอัด แยกแยะรายละเอียดได้ง่าย และหางเสียงความกังวานจะถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างอิสระ


อีกอย่างที่ผมชอบชั้นวางรุ่น Hybrid Standard ของ Solid-Tech ตัวนี้ คือมันให้ไมโครไดนามิกที่ดีมาก.!! มันปลดปล่อยรายละเอียดในระดับ Low Level ที่เป็นเสียงเบาๆ ที่ประกอบอยู่ในเพลงออกมาให้ได้ยินด้วย ไม่ดูดอมรายละเอียดเหล่านั้นเอาไว้ เพราะส่วนประกอบแต่ละชิ้นของชั้นวางตัวนี้มันไม่มีคุณสมบัติสะสมพลังงานเลย
เนื้อเสียงบางมั้ย.? ผมเชื่อเลยว่า พอพูดว่าเสียงโปร่งลอย บางคนจะคิดเลยเถิดไปว่า มันความหมายเดียวกับลักษณะเสียงที่บาง ไม่อิ่ม เนื้อไม่แน่นรึเปล่า.? หามิได้ครับ.!! เนื้อเสียงจะอิ่มจะแน่นแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับระดับคุณภาพของซิสเต็มเป็นหลัก โดยเฉพาะประสิทธิภาพของแอมป์+ลำโพงเป็นอันดับแรก ถ้าแอมป์+ลำโพงให้เสียงออกมาบางอยู่แล้ว ชั้นวางช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าแอมป์+ลำโพงให้เสียงที่มีมวลหนา ถ้าชั้นวางมีลักษณะที่ดูดกลืนพลังงานเสียง (absorb) ไว้กับตัวมัน จะมีผลให้เสียงของซิสเต็มนั้นมีลักษณะทึบ ด้าน ไม่โปร่งลอย และไม่พลิ้ว หางเสียงไม่กังวาน ฟังแล้วเนื้อหนาจริงแต่ทึบๆ ด้านๆ ไม่มีชีวิตชีวา ซึ่งไม่ใช่สไตล์ของชั้นวาง Solid-Tech ตัวนี้ ตอนใช้ทดสอบโดยรองแอมป์ขับลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่อย่าง Usher Audio รุ่น ML-801 ซึ่งดูแล้วน่าจะเบสล้นห้อง แต่พอใช้ชั้นวาง Solid-Tech ตัวนี้แล้วผมไม่ได้ยินอาการเบสบวม เบสอื้อ หรืออับทึบแต่อย่างใด สุดยอดมาก..!!!
สรุป


ตัวโครงของชั้นวาง Solid Tech รุ่น Hybrid Standard นี้มี 2-3 สี ให้เลือก อาทิ ดำ, ทอง และสีพิ้งค์โกล ส่วนแผ่นไม้ก็เช่นกัน มีสีสันให้เลือกหลายสี ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นสีดำ ส่วนสีอื่นๆ ไม่แน่ใจว่าจะนำเข้ามาทั้งหมดหรือเปล่า.? รบกวนให้โทรฯ สอบถามทางบริษัท Hi-End Audio โทร. 02-101-1988 ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้อีกทีเพื่อความชัวร์
ใครที่ไม่เคยทดลองใช้ชั้นวางเครื่องเสียงที่ดีๆ มาก่อน ซึ่งอาจจะมาจากความไม่เชื่อถือว่ามันจะมีผลกับเสียงจริง ผมแนะนำให้ไปที่ร้าน Hi-End Audio แล้วขอให้ คุณปุ้ย หรือ คุณฉัตร ช่วยจัดให้ทดลองฟังดูก่อน จะซื้อใช้หรือไม่ก็อีกเรื่องนึง แต่อยากให้ไปทดลองฟังเป็นประสบการณ์ไว้ก่อน /
********************
ราคา : ตั้งแต่ 27,000 – 110,000 บาท
(ขึ้นอยู่กับจำนวนชั้น, ความสูงของชั้น)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. HI-END AUDIO
โทร. 02-101-1988
facebook: @hiendaudiothailand



