สินค้าเครื่องเสียงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแอมป์, ลำโพง หรือแหล่งต้นทางสัญญาณ พอ “ระดับราคา” สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จะเหลือแบรนด์ให้เลือกน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ลำโพงหลักหมื่นจะมีให้เลือกเยอะกว่าลำโพงหลักแสน และลำโพงหลักแสนก็มีจำนวนให้เลือกเยอะกว่าลำโพงหลักล้าน เมื่อเอาจำนวนรุ่นทั้งหมดที่แต่ละแบรนด์ทำออกมาเทียบกัน
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น.? บางคนมองว่าเป็นเหตุผลทางการขาย ของถูกมีคนซื้อเยอะ เป็นแมส ทำออกมาแล้วขายง่าย เลยมีคนทำเยอะ ในขณะที่ของแพงมีน้อยคนที่จะซื้อไหว ขายได้น้อย แบรนด์ต่างๆ เลยไม่นิยมทำกัน เหตุผลนี้ก็มีส่วนถูก แต่ไม่ทั้งหมด เพราะการทำเครื่องเสียงเพื่อเจาะตลาดของผู้ซื้อที่มีความสามารถในการจ่ายสูงๆ ต้องมองให้ทะลุผ่านคำว่า “ราคา” ไป เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้สามารถจ่ายได้อยู่แล้ว เรื่องราคาสูงหรือต่ำจึงไม่ใช่ประเด็นในการออกแบบเครื่องเสียงเพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสามารถในการจ่ายสูงๆ แต่โจทย์ที่ผู้ผลิตต้องตีให้แตกก็คือ สำหรับคนกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสินค้าเครื่องเสียงสักชิ้น อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ.?
ถ้าสังเกต คุณจะพบว่า อุปกรณ์ประเภท DAC เมื่อมีระดับราคาสูงขึ้นไป จะมีแบรนด์ให้เลืิอกน้อยลง และมีรุ่นให้เลือกน้อยกว่าระดับล่างๆ ลงมา ต่างกันหลายเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะของแพงคนซื้อน้อยอย่างเดียว แต่สาเหตุที่มีคนทำน้อยก็เพราะว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท DAC นี้ต้องใช้ความรู้+ความเข้าใจทางด้านดิจิตัล เทคโนโลยีค่อนข้างสูง ยิ่งถ้าตั้งใจที่จะทำ DAC ราคาแพงมากๆ ออกมาขาย คนออกแบบก็ยิ่งต้องมีพื้นฐานทางด้านนี้หนาแน่นมากกว่าปกติถึงจะทำออกมาได้ดี ซึ่งแม้ว่าในโลกนี้จะมีคนที่มีพื้นฐานทางด้านดิจิตัล เทคโนโลยีระดับสูงอยู่มากมาย กระจายกันอยู่ในสาขาอาชีพต่างๆ แต่เมื่อต้องนำความรู้เหล่านั้นมาออกแบบ DAC ซึ่งทำงานกับสัญญาณเสียงที่เป็นเพลงแล้ว ลำพังความรู้ที่มีอาจจะไม่พอ ต้องมีความเข้าใจ “เชิงความสัมพันธ์” ระหว่าง “ดิจิตัล เทคโนโลยี” กับ “คุณภาพเสียง + ความเป็นดนตรี” ที่ลึกซึ้งมากพอด้วย ถึงจะสามารถ “ปรับจูนเสียง” ออกมาได้ถูกทาง.!!
จากธุรกิจเรด้าร์ & ซิกเนล คอนเวิร์สชั่น
สู่มาตรฐานใหม่ของดิจิตัล ออดิโอ..
ก่อนให้กำเนิด DAC สำหรับวงการเครื่องเสียง dCS หรือ Data Conversion System เป็นบริษัทที่ให้บริการเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบิน และมามีความเช่ียวชาญเกี่ยวกับการแปลงสัญญาณดิจิตัลเมื่อไปทำงานให้กับกระทรวงกลาโหม หลังจากนั้น dCS ก็ก้าวเข้าสู่วงการออดิโอเมื่อปี 1987 ด้วยการสร้าง A-to-D converter รุ่น dCS 900 ซึ่งเป็นเครื่องแปลงสัญญาณอะนาลอกให้เป็นดิจิตัล “เครื่องแรกของโลก” ที่มีเรโซลูชั่นในการแปลงสัญญาณได้สูงถึง 24-bit
Mike Story คือผู้ก่อตั้ง dCS เขากับทีมออกแบบสร้างสรร ‘dCS 900’ ขึ้นมาจากคำแนะนำของเพื่อนที่อยู่ในวงการโปรเฟสชั่นแนล ออดิโอ ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่วงการเครื่องเสียงกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค Hi-Res Audio หลังจาก dCS 900 ถูกส่งไปถึงมือของซาวนด์ เอ็นจิเนียร์ในวงการโปรเฟสชั่นแนล ออดิโอไม่นาน A2D คอนเวิร์เตอร์ตัวนี้ก็ได้รับคำชมจากซาวนด์ เอ็นจิเนียร์ชื่อดังของวงการหลายคน ในจำนวนนั้นก็มี Bob Ludwig, Tony Faulkner และ Bert van der Wolf
dCS Elgar
หลังจากเข้ามาในวงการดิจิตัล ออดิโอ เกือบสิบปีที่ dCS วุ่ยวายอยู่กับวงการโปรเฟสชั่นแนลมาตลอด จนล่วงเข้าสู่ปี 1996 พวกเขาจึงเริ่มออกแบบ DAC ตัวแรกสำหรับตลาดผู้บริโภคออกมา ให้ชื่อรุ่นว่า ‘Elgar’ (ร่วมมือกับอินดัสเชี่ยล ดีไซน์มือฉมังของวงการ Allen Boothroyd) ซึ่ง dCS ‘Elgar’ ตัวนี้ก็เป็น DAC “ตัวแรก” สำหรับตลาดผู้บริโภคที่มีสเปคฯ ในการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกที่สูงถึงระดับ 24-bit
dCS P8i
ในปี 2005 หลังจาก Mike Story จากไป ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นขนานใหญ่ใน dCS เอ็มดีคนใหม่คือ David M Steven ขึ้นมารับหน้าที่บริหารต่อ และได้ปรับองค์กรใหม่โดยให้ Andy McHarg ดูแลการออกแบบทางเทคนิคในตำแหน่ง Technicial Director และตั้งให้ Chris Hales มาดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในตำแหน่ง Product Development Director ซึ่ง dCS ในยุคที่บริหารโดยเดวิด เอ็ม สตีเวน ได้หันมาให้ความสำคัญกับวงการเครื่องเสียงมากขึ้น เริ่มออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อป้อนให้กับตลาดนักเล่นเครื่องเสียงมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่ออกมาในยุคที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเดวิด สตีเวนก็คือ เครื่องเล่นซีดีที่มีวงจรอัพแซมปลิ้งในตัวที่มีชื่อรุ่นว่า P8i
dCS Scarlatti System
หลังจากนั้น ในปี 2007 ผลิตภัณฑ์เซ็ตใหญ่ระดับ ‘State-of-the-Art’ และ ‘Cost-no-Object’ ก็ถูกปล่อยตัวออกมา ชื่อรุ่นว่า ‘Scarlatti’ เป็นชุดดิจิตัล เพลย์แบ็คที่แยกส่วนการทำงานของภาคซีดี ทรานสปอร์ต, ภาค Clock และภาค DAC ออกจากกัน ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเข้าสู่ยุคของ digital playback ระดับอัลตร้าไฮเอ็นด์อย่างแท้จริง แต่เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางบริษัท dCS เนื่องจากการสูญเสียผู้นำคือ David M. Steven อย่างกระทันหัน แต่ก่อนที่เรือจะล่ม สถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อ David J. Steven ลูกชายของ David M. Steven ลุกขึ้นมารับหน้าที่คุมบังเหียนต่อจากผู้พ่อที่จากไป และด้วยพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่ผู้เป็นพ่อก่อร่างเอาไว้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปสำหรับการที่ David J. Steven เอ็มดีคนปัจจุบันจะนำพา dCS ให้สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในวงการดิจิตัล ออดิโอที่คนเล่นเครื่องเสียงระดับสุดขอบไฮเอ็นด์ให้การยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้…
dCS LINA Network DAC + LINA CLOCK
‘ภูติจิ๋ว‘ แห่งวันเดอร์แลนด์.!
ตั้งแต่เริ่มต้นมาในปี 1987 dCS ก็ดำรงตำแหน่ง ‘The BEST’ ในโลกของดิจิตัล ออดิโอมาตลอด พวกเขามีผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาเกาะติดกับพัฒนาการของวงการดิจิตัล ออดิโอมาเป็นระยะ โดยเฉพาะในวงการโฮมยูส โดยที่ dCS กำหนดเป้าหมายของพวกเขาไว้ตรงกับกลุ่มของนักเล่นเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่มุ่งเน้นไปที่ “คุณภาพเสียง + ความเป็นดนตรี” อย่างถึงที่สุดโดยไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่าย เป็นกลุ่มนักเล่นฯ ที่แสวงหา “ความเป็นที่สุด เท่าที่เงินจะสามารถซื้อหามาได้“
ผลิตภัณฑ์ของ dCS ในปัจจุบันจะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม เริ่มจากระดับสูงสุดคือ ‘Vivaldi APEX’ รองลงมาอันดับสองก็คือ ‘Rossini APEX’ อันดับสามคือ ‘Bartok APEX’ และน้องสุดท้องที่เพิ่งคลอดออกมาล่าสุดก็คือ ‘LINA’ ที่ผมนำมาทดสอบครั้งนี้
LINA เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Digital Audio Playback + Headphone Amp ที่ถูกออกแบบมาเป็นเซ็ต 3 ชิ้น แยกเป็น
– LINA Netwok DAC (ตัวบน)
– LINA Master Clock (ตัวกลาง)
– LINA Headphone Amplifier (ตัวล่าง)
ซึ่งถ้าเข้าไปพิจารณาอุปกรณ์ทั้ง 3 ชิ้นใกล้ๆ จะพบว่า ผู้ออกแบบได้วางแผนการออกแบบเอาไว้ได้อย่างแยบยล เพราะคุณสามารถที่จะเลือกใช้งานผลิตภัณฑ์ dCS ทั้งสามชิ้นนี้ได้หลายอ๊อปชั่น จะแยกใช้เฉพาะชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการนำไปแม็ทชิ่งในซิสเต็มของคุณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการอัพเกรดเฉพาะส่วนของภาค DAC อย่างเดียวเพราะมีทรานสปอร์ตอยู่แล้ว มีแอมป์อยู่แล้ว คุณก็สามารถซื้อเฉพาะตัว LINA Network DAC ไปใช้ได้เลย และหากต้องการอัพเกรดประสิทธิภาพของภาค DAC ขึ้นไปอีกขั้น ถ้า DAC ของคุณรองรับสัญญาณ Clock จากภายนอกได้ คุณก็สามารถซื้อเฉพาะตัว LINA Master Clock ไปใช้ได้ *** แต่ก็ต้องพิจารณาดูก่อนว่า DAC ของคุณรองรับ Clock ที่ตรงกับเอ๊าต์พุตของ LINA Master Clock หรือเปล่า.? แต่ถ้า DAC เดิมของคุณเป็นของ dCS อยู่แล้วก็ใช้ด้วยกันได้เลย
สำหรับคนที่เล่นหูฟัง ชุดคอมโบ้ 3 ชิ้นของ LINA คือซิสเต็มระดับอ้างอิงสำหรับขับหูฟังที่หลายสื่อยอมรับกันว่าดีที่สุดในขณะนี้ แต่กรณีของนักเล่นเครื่องเสียงบ้าน ตัวที่น่าสนใจมากก็คือตัว ‘Network DAC’ กับตัว ‘Master Clock’ ซึ่งเป็นคู่ที่ผมนำมาทดสอบครั้งนี้นี่แหละ.!
แผงหน้าเรียบๆ ง่ายๆ
LINA Network DAC มาในรูปทรงตัวถังสี่เหลี่ยมขนาด half-size คือมีหน้ากว้างแค่ประมาณครึ่งเดียวของเครื่องเสียงมาตรฐานทั่วไป ตัวถังทำด้วยโลหะอะลูมิเนียม ทำสีดำทั้งตัว ทุกอย่างดูเรียบง่ายมาก มองเผินๆ ก็แค่กล่องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้มีเหลี่ยมมุมของดีไซน์หรูๆ เหมือนที่ปรากฏอยู่ในซีรี่ย์ใหญ่ๆ โผล่มาให้เห็นแม้แต่น้อย.!
แผงหน้าของ LINA Network DAC ถูกปูทับด้วยกระจกเต็มพื้นที่ ตรงกึ่งกลางของแผงหน้ามีจอ LED (LCD ที่ใช้ backlight LED) (1) ขนาด กว้าง x สูง = 5.5 x 7 ซ.ม. ติดตั้งอยู่เพื่อใช้แสดงรายละเอียดต่างๆ ของเมนูขณะที่คุณทำการปรับตั้งค่าในเมนูเครื่อง และแสดงรายละเอียดของเพลงที่กำลังเล่น คุณสามารถสั่งปิดจอได้ผ่านแอพลิเคชั่นของ dCS เองที่ชื่อว่า ‘Mosaic’ โดยสั่งงานผ่านเข้ามาทางเน็ทเวิร์ค
นอกจากนั้น ขณะเปิดเครื่องใช้งาน ที่ใต้จอแสดงผลจะมีไฟ LED สว่างเป็นสีขาวอยู่ 4 จุด (2, 3, 5, 6) ซึ่งออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นปุ่มทางลัดกรณีที่คุณต้องการเข้าไปทำการปรับตั้งพารามิเตอร์ต่างๆ ที่อยู่ในเมนูของเครื่อง ส่วนตำแหน่งที่ 4 ในภาพข้างบนนั้น เป็นปุ่มกดเพื่อเปิด/ปิดการทำงานของเครื่องซึ่งซ่อนอยู่ด้านล่างของแผงหน้าปัด ต้องสอดปลายนิ้วเข้าไปกดดันขึ้น
อินเตอร์เฟซด้านหลังเครื่อง
1. ช่องเสียบลั๊กไฟเอซีแบบสามขาแยกกราวนด์ กับสวิทช์กดเปิด/ปิด
2. ช่องอินพุต Network
3. ช่องอินพุต USB (type B)
4. ช่องอินพุต AES 1 & AES 2
5. ช่องอินพุต coaxial สำหรับสัญญาณฟอร์แม็ต S/PDIF
6. ช่องอินพุต BNC สำหรับสัญญาณฟอร์แม็ต S/PDIF
7. ช่องอินพุต optical สำหรับสัญญาณฟอร์แม็ต S/PDIF
8. ช่องเสียบทรัมไดร้ หรือฮาร์ดดิสพกพาที่เก็บเพลง สำหรับเล่นกับแอพ Mosaic
9. ช่อง BNC สำหรับสัญญาณ wordclock 1 & 2
10. ช่อง powerlink สำหรับสัญญาณ trigger switch
11. ช่องเอ๊าต์พุต RCA (R/L) สำหรับสัญญาณ analog แบบอันบาลานซ์
12. ช่องเอ๊าต์พุต XLR (R/L) สำหรับสัญญาณ analog แบบบาลานซ์
แผงหลังของ LINA Network DAC มีพื้นที่อยู่ประมาณ 220 ตร.ซ.ม. จึงอัดแน่นไปด้วยขั้วต่อสารพัดรูปแบบรวมทั้งหมด 12 ชุด แยกออกได้เป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตจำนวน 6 ชุด (2, 3, 4, 5, 6, 7) และเป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณเอ๊าต์พุตอีก 2 ชุด (11, 12) นอกจากนั้นก็เป็นขั้วต่อสำหรับการเชื่อมต่อลักษณะอื่น อาทิเช่น เต้ารับสำหรับปลั๊กไฟเอซีและสวิทช์เปิด/ปิด (1), ขั้วต่อสำหรับสัญญาณ wordclock จากตัว LINA Master Clock (9), ขั้วต่อสำหรับออกไปกระตุ้นเปิด/ปิดเครื่องเสียงตัวอื่นอย่างเช่น LINA Master Clock (10) และขั้วต่อ USB-A (8) สำหรับเสียบแฟลทไดร้ USB (ไม่เกิน 32GB) หรือ USB ฮาร์ดดิสแบบพกพาที่เก็บไฟล์เพลง (ฟอร์แม็ตเป็น FAT32 หรือ NTFS) เพื่อเล่นกับ LINA Network DAC ด้วยแอพลิเคชั่น Mosaic
ความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตของ LINA DAC
ช่องดิจิตัลอินพุตของ LINA Network DAC มีความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัลไม่เท่ากัน
ช่องอินพุตที่มีสเปคฯ รองรับสัญญาณได้ต่ำสุดก็คือช่องอินพุตอ๊อปติคัล Toslink ซึ่งสามารถรองรับสัญญาณจากทีวีได้ แต่คุณต้องเข้าไปปรับตั้งเอ๊าต์พุตของทีวีให้ปล่อยสัญญาณออกมาเป็นฟอร์แม็ต PCM เท่านั้น
ส่วนช่องอินพุตที่มีความสามารถรองรับสัญญาณขาเข้าได้สูงสุดก็คือช่องอินพุต Network ที่ออกแบบมาให้รองรับสัญญาณจากสตรีมเมอร์โดยตรง กับช่องอินพุต USB-B ที่ออกแบบมาให้รองรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ หรือจากอุปกรณ์ประเภท DDC (Digital-to-Digital coverter) หรืออุปกรณ์ประเภท Network Bridge ที่มีเอ๊าต์พุต USB
อินพุต AES/EBU ของ LINA Network DAC ตัวนี้ให้มา 2 ช่อง กำกับว่าเป็น AES 1 กับ AES 2 กรณีที่คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต้นทาง อย่างเช่น CD Transport ทั่วไปที่มีเอ๊าต์พุต AES/EBU แค่ช่องเดียว คุณสามารถเลือกเชื่อมต่อเข้าที่ช่อง AES 1 หรือ 2 ช่องใดช่องหนึ่งก็ได้ ซึ่งสามารถรองรับสัญญาณ PCM ได้สูงสุดถึงระดับ 192kHz แต่ถ้าคุณใช้ร่วมกับดิจิตัล ทรานสปอร์ต หรือตัว Upsampler ของ dCS ที่มีเอ๊าต์พุต AES สองช่องที่พวกเขาเรียกว่า Dual AES คุณสามารถเชื่อมต่อสัญญาณจากดิจิตัล ทรานสปอร์ต หรือตัว Upsampler ของ dCS มาที่อินพุต AES 1 และ AES 2 ของ LINA Network DAC ได้พร้อมกันทั้งสองช่อง แล้วเลือกอินพุตของ LINA Network DAC ไปที่ ‘DUAL AES’ แล้วสั่ง ‘ON‘ จะทำให้อินพุต AES ทั้งสองช่องของ LINA Network DAC รองรับสัญญาณ PCM ได้ตั้งแต่ 24/88.2 ถึง 24/384, รองรับสัญญาณ DSD ที่เข้ารหัสโดย dCS จากทรานสปอร์ตของ dCS เอง และรองรับสัญญาณ DSD ด้วยฟอร์แม็ต DoP ได้ถึงระดับ DSD128
ดีไซน์
หัวใจของ LINA Network DAC ก็คือภาค DAC ที่ทาง dCS ทำการออกแบบขึ้นมาเอง มีชื่อเรียกว่า ‘Ring DAC’ ซึ่งเป็นภาค DAC ที่ใช้ discrete reistor เป็นพื้นฐานในส่วนของฮาร์ดแวร์ ร่วมกับซอฟท์แวร์โปรเซสเซอร์ พวกเขาพัฒนาการทำงานของภาค DAC แบบดีสครีตลักษณะนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรกที่เริ่มต้นเข้ามาในวงการดิจิตัล ออดิโอเมื่อปี 1987 และ Ring DAC นี้ก็ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
เพราะใช้ Resistor จำนวนมากมาเชื่อมต่อกันเพื่อการทำงานในส่วนฮาร์ดแวร์ของภาค DAC จึงทำให้มองด้วยสายตาผิวเผินอาจจะทำให้เข้าใจว่าภาค DAC ของ dCS เป็นแบบ Ladder DAC เหมือนที่ใช้อยู่ใน R-2R DAC ทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว ส่วนที่คล้ายกันคือ “โครงสร้าง” ที่เป็น discrete เท่านั้น แต่ส่วนที่ต่างกันอย่างมากไปอยู่ที่ “ค่าของ Resistor ที่ใช้” กับ “กระบวนการทำงาน”
ลักษณะโครงสร้างของ ‘R-2R Ladder DAC’
ลักษณะโครงสร้างของ ‘Binary Weighted DAC’
อย่างแรกที่ R-2R Ladder DAC กับภาค DAC ของ dCS ต่างกันอยู่ที่ส่วนของฮาร์ดแวร์ นั่นคือ Resistor ที่ใช้ ซึ่งโครงสร้าง Ladder DAC แบบ R-2R จะใช้ Resistor จำนวน 2 ค่า คือ R กับ 2R (ภาพบน) ในการแปลงค่าจากสัญญาณอินพุต (current source) แต่ละค่าออกมาเป็นโวลเตจของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต ในขณะที่ภาค DAC ของ dCS จะเป็นอีกแบบที่เรียกว่า ‘Binary Weighted DAC’ หรือ ‘Unitary weighted‘ หรือถ้าเรียกในเชิงสถาปัตยากรรมดิจิตัลก็คือ ‘Thermometer Coded’ ซึ่งค่าของ Resistor ที่ใช้เชื่อมโยงในส่วนของ DAC จะไม่ได้ใช้ค่า R กับ 2R แต่ Resistor ที่เชื่อมโยงกันในวงจรนั้นจะมีค่าทดลงไปเป็นลำดับจาก R > 2R > 4R > 8R > 16R > 32R > 64R > 128R (ภาพล่าง)
ความแตกต่างส่วนที่สอง ระหว่าง R-2R Ladder DAC โดยทั่วไปกับ ‘Binary Weighted DAC’ ของ dCS จะไปอยู่ในส่วนของซอฟท์แวร์อัลกอรึธึ่มที่ทำงานอยู่ส่วนหน้าก่อนจะถึงฮาร์ดแวร์ DAC จากภาพชาร์ตการทำงานของภาค DAC ของ dCS ด้านบน จะเห็นว่า สัญญาณอินพุต PCM “ทุกระดับ” จะถูกอัพแซมปลิ้งขึ้นอยู่ที่ระดับ 706.8kHz หรือ 768kHz (A) ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้ามาเป็นฐาน 44.1kHz หรือฐาน 48kHz จากนั้น สัญญาณที่ผ่านการอัพฯ แล้วจะถูกมอดูเลตเข้ากับมอดูเลเตอร์ที่ระดับเรโซลูชั่น 5-bit ด้วยอัตราแซมปลิ้งเรตระหว่าง 2.8224MHz (44.1kHz x 64) ถึง 6.144MHz (96kHz x 64) (B) (ขึ้นอยู่กับรุ่นของ DAC, การปรับตั้งค่า และแซมปลิ้งเรตที่เลือกใช้ขณะนั้น) จากนั้น สัญญาณที่ผ่านมอดูเลเตอร์ก็ถูกส่งต่อไปที่ส่วนของการทำงานที่ทาง dCS เรียกกระบวนการนี้ว่า ‘Mapper’ (C) ควบคุมด้วยซอฟท์แวร์ ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ที่มีหน้าที่ในการนำสัญญาณเหล่านั้นไปจับคู่กับสัญญาณอินพุต (current source) ในภาค DAC (กรอบสีฟ้า) เพื่อทำการแปลงสัญญาณดิจิตัลอินพุตนั้นให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วส่งต่อไปที่ภาคเอ๊าต์พุต
หมายเหตุ: แม้ว่า ทางผู้ผลิตคือ dCS จะได้จัดทำเอกสารที่พยายามอธิบายให้เข้าใจถึงหลักการทำงานของ Ring DAC ไว้ค่อนข้างละเอียด () แต่ก็ต้องยอมรับว่า การทำความเข้าใจให้ละเอียดลงไปทุกจุดยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านดิจิตัล ออดิโอที่ลึกซึ้งอย่างผม ถ้าพบว่าการอธิบายในจุดใดมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นอกจาก Ring DAC แล้ว ยังมีองค์ประกอบอีก 2 ส่วน ที่ dCS ให้ความสำคัญในการออกแบบ เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาค DAC ซึ่งองค์ประกอบทั้งสองส่วนที่ว่าก็คือ ภาค ‘Digital Processing’ กับภาค ‘Clock’ นั่นเอง
การควบคุมสั่งงาน
ความพิเศษของ LINA Network DAC ตัวนี้ก็คือมันมีฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการสตรีมไฟล์เพลงจากเน็ทเวิร์คอยู่ในตัว (โมดูลรุ่น Stream Unlimited S800) และทาง dCS ยังได้ออกแบบแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘Mosaic’ มาให้ใช้ในการควบคุมสั่งงานการสตรีมไฟล์เพลงและเล่นไฟล์เพลง และแอพฯ ตัวนี้ยังทำหน้าที่เป็นแอพฯ รีโมทที่ใช้ในการปรับตั้งค่าการทำงานของตัว LINA Network DAC ได้ด้วย (ไม่ต้องไปจิ้มที่หน้าจอ)
แอพลิเคชั่น Mosaic มีให้โหลดฟรีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android เมื่อคุณดาวน์โหลดมาติดตั้งบนอุปกรณ์พกพาที่อยู่ในเน็ทเวิร์ควงเดียวกันกับ LINA Network DAC ที่เปิดเครื่องไว้ พอเปิดแอพฯ ขึ้นมามันจะกวาดหา LINA Network DAC โดยอัตโนมัติ ถ้าปรากฏชื่อของ LINA Network DAC ขึ้นมาบนหน้าจอแอพฯ ตามภาพด้านบน (ใช้ iPad) แสดงว่าพร้อมใช้งานแล้ว คุณสามารถจิ้มลงไปที่ภาพกราฟฟิก LINA Network DAC ที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าแอพฯ เพื่อเข้าไปควบคุมสั่งงาน หรือเลือกเล่นไฟล์เพลงได้เลย
หน้าแรกของของแอพฯ Mosaic ค่อนข้างเรียบง่าย มีรายละเอียดเท่าที่จำเป็น หลักๆ ก็มีอินพุตให้เลือกสำหรับการเล่นไฟล์เพลงจากแหล่งต่างๆ (ในกรอบสีแดง) ซึ่งตรงนี้จะรวมทั้ง Local ไฟล์ที่อยู่ในเน็ทเวิร์ค (NAS) และที่อยู่ในฮาร์ดดิสพกพา (USB) และไฟล์เพลงจากแหล่งต่างๆ ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ทั้งของฟรีจากสถานีวิทยุอินเตอร์เน็ต เรดิโอและจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการที่ต้องเสียค่าบริการอย่างเช่น TIDAL, Qobuz และกึ่งฟรีอย่าง Spotify และ Deezer
ในกรอบสีเหลืองทางขวามือนั้นเป็นพื้นที่แสดงรายละเอียดของเพลงที่กำลังเล่น ซึ่งจะแสดงภาพปก, แสดงแหล่งอินพุต ให้รู้ว่าเพลงนี้เล่นมาจากอินพุตแหล่งไหน, ชื่อเพลง–ชื่อศิลปิน–ชื่ออัลบั้ม และคำสั่งในการควบคุมการเล่นเพลงคือเล่น–หยุด–ข้ามเพลงไปข้างหน้า–และย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้า แต่ถ้าคุณเลือกใช้อินพุต Optical, Coaxial หรือ analog พื้นที่ตรงส่วนนี้จะแสดงเป็นภาพกราฟฟิกของอินพุตนั้น
เจอ Server: MinimServer บน NAS
โชว์ปกของเพลงที่ผมมีอยู่ใน NAS ออกมาบนจอแอพฯ
รายละเอียดที่โชว์บนหน้าแอพฯ ขณะเล่นไฟล์เพลงจาก NAS
ทดลองเลือกฟังเพลงที่ผมเก็บอยู่ใน NAS โดยเลือกไปที่อินพุต UPnP ของ dCS ที่อยู่บนสุดหน้าแรกของแอพฯ ซึ่งข้อมูลในการพัฒนาแอพฯ Mosaic ของ dCS มีระบุไว้ว่า อินพุต Network ของ LINA Network DAC รองรับการดึงไฟล์เพลงจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน UPnP ซึ่งพวกเขาแนะนำให้ติดตั้งโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ที่ชื่อว่า ‘MinimServer’ ลงบน NAS เพราะช่วงที่พัฒนาแอพฯ Mosaic พวกเขาก็ใช้โปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ตัวนี้แหละ เผอิญว่าผมเองก็ลงโปรแกรม MinimServer บน NAS ของผมเช่นกัน เมื่อนำ NAS ของผมมาเล่นกับแอพฯ ตัวนี้ทุกอย่างจึงไหลลื่นไม่มีสะดุด ตั้งแต่ค้นหาอัลบั้มไปจนถึงสั่งเล่นเพลง.. ตามภาพที่เห็นด้านบน
Roon Ready
ในขณะที่ Roon ครองความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ของแอพลิเคชั่นใช้เล่นเพลงแทบจะเรียกว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในขณะนี้ ถ้า LINA Network DAC ตัวนี้จะไม่มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ก็คงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบไม่ได้ซะแล้ว.!!!
สำหรับคนที่ใช้งาน Roon ทำหน้าที่เป็นทรานสปอร์ตสำหรับเล่นไฟล์เพลงอยู่แล้ว เมื่อนำ dCS LINA Network DAC ตัวนี้เข้าไปเสริมในซิสเต็มของคุณ คุณก็สามารถใช้ LINA Network DAC ร่วมกับระบบของ Roon ของคุณได้ทันที เพราะ LINA Network DAC ผ่านกระบวนการปรับจูนและรับรองจาก Roonlabs ว่ามีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ทุกประการ แค่นำ LINA Network DAC เข้าไปเชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์ควงเดียวกับระบบ Roon คุณก็สามารถเข้าไปตั้งใน LINA Network DAC เป็น endpoint หรือจุดหมายปลายทางของเอ๊าต์พุตที่จะจัดส่งสัญญาณดิจิตัลจากการเพลย์แบ็คของโปรแกรม Roon บนฮาร์ดแวร์ที่ Roon Core ฝังอยู่ (คอมพิวเตอร์, Roon nucleus) ไปให้เพื่อแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกออกมา..
หลังจากเชื่อมต่อ LINA Network DAC เข้ากับเน็ทเวิร์ควงเดียวกับ Roon nucleus+ ที่ผมใช้อยู่แล้ว เมื่อเข้าไปเช็คในเมนู Audio ของ Roon nucleus+ ก็พบว่ามี LINA Network DAC เข้ามาอยู่ในกลุ่มเอ๊าต์พุตที่เป็น Roon Ready (ศรชี้สีแดง) โดยมีรูปกราฟฟิกสัญลักษณ์ของเครื่องมาด้วย แสดงว่าเป็น Roon Ready เต็มขั้นจริงๆ.!
ลองเข้าไปเช็คสถานะ ‘Device Setup’ ของ dCS LINA Network DAC พบว่า สามารถถอดรหัส MQA ได้ทั้งสองขั้นคือ ‘Decoder and renderer’ (ศรชี้ภาพบน) แสดงว่า LINA Network DAC ถอด MQA ได้สุดซอย.! ส่วนความสามารถในการรองรับสัญญาณ PCM ไปได้ไกลถึง 24/384 (ในกรอบสี่เหลี่ยม ภาพล่าง) กับรองรับสัญญาณ DSD ได้สูงถึงระดับ DSD128 (ในวงรี รูปล่าง) * มีจุดน่าสังเกตอยู่จุดหนึ่งที่ฟังท์ชั่น ‘Enable MQA core decoder’ (ศรชี้ภาพล่าง) ซึ่งเป็นฟังท์ช่นที่สั่งให้โปรแกรม Roon ทำการถอดรหัส MQA ให้ครึ่งหนึ่ง ก่อนส่งไปให้ LINA Network DAC ถอดอีกครึ่งที่เหลือ ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าปลายทางคือ DAC สามารถถอด MQA ได้สุดซอยแล้ว ควรจะปล่อยไปให้ DAC ปลายทางทำหน้าที่ถอดให้จะดีกว่า.. แต่น่าแปลกที่ Roon ตั้งค่าฟังท์ชั่นนี้ไว้ที่ ‘Yes’ หลังจากผมทดลอง “ปิด” และ “เปิด” ฟังท์ชั่นนี้แล้วลองฟังดูปรากฏว่า เสียงออกมาเหมือนกัน เมื่อเช็คเข้าไปดูเส้นทางดำเนินของสัญญาณตั้งแต่อินพุตไปจนถึงเอ๊าต์พุตใน ‘Signal Path’ ก็พบว่าออกมาเหมือนกัน ไม่ว่าผมจะเลือกอ๊อปชั่นของฟังท์ชั่น ‘Enable MQA core decoder’ ไปที่ตำแหน่ง ‘Yes’ หรือ ‘No’ .? ไม่แน่ใจว่าจะเป็น bug ของโปรแกรมหรือเปล่า.? หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิดไป.?
ทดลองฟังเสียงของ dCS LINA Network DAC
ขั้นตอนการทดลองฟังเสียงของ LINA Network DAC ตัวนี้ใช้เวลานานมาก..! สาเหตุเพราะก่อนทดลองฟัง DAC ตัวนี้ ผมทำช็อตโน๊ตตั้งเป็นคำถามเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องทำการฟังเพื่อวิเคราะห์ผลเอาไว้ตามนี้คือ
– เสียงของอินพุตแต่ละรูปแบบ
– ระหว่างเล่นไฟล์เพลงด้วยแอพฯ Mosaic กับเล่นด้วยแอพ Roon เสียงดี–ด้อยกว่ากันอย่างไร.?
– เสียงของฟอร์แม็ต PCM, DSD และ MQA แตกต่างกันอย่างไร.?
– ระหว่างอัพฯ เป็น DXD กับ DSD ให้เสียงต่างกันอย่างไร.? ชอบแบบไหน.?
– ฟิลเตอร์แต่ละรูปแบบให้เสียงต่างกันอย่างไร.?
– ความแรงของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC แต่ละค่าให้ผลลัพธ์ทางเสียงต่างกันอย่างไร.?
ซึ่งแน่นอนว่าการทดลองฟังในแต่ละประเด็นคำถามเหล่านั้นต้องใช้เวลาเยอะทั้งในขั้นตอนของการ “เซ็ตอัพ” และ “ทดลองฟัง” ซึ่งในบางประเด็นข้างต้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยซิสเต็มที่มีคุณสมบัติมากพอถึงจะสรุปผลได้ แต่… ในขณะที่ผมกำลังทดลองฟังอยู่นั้น มีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งผ่านเข้ามากลางคันทำให้ผมต้องทำการ revise รีวิวตัวนี้ใหม่ โดยเฉพาะผลของการทดลองฟัง สิ่งนั้นก็คือ “เฟิรมแวร์” ตัวใหม่ของ LINA เวอร์ชั่น 2.0 ที่ทาง dCS ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2023 นั่นเอง.!
เฟิร์มแวร์ LINA Metwork DAC v2.0 ตัวใหม่.!
เฟิร์มแวร์ตัวใหม่ v2.0 ของ LINA Network DAC ตัวนี้ต้องทำการอัพเดตผ่านแอพฯ Mosaic ซึ่งคุณกฤตย์ ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ของบริษัท Deco2000 เข้ามาช่วยดำเนินการอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้ถึงห้องฟังของผม ต้องขอบคุณคุณกฤตย์ มา ณ ที่นี้ด้วย ซึ่งการอัพเดตก็ไม่ยากมาก ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ มาดูกันว่า เฟิร์มแวร์ LINA Network DAC v2.0 มีอะไรแตกต่างจากเวอร์ชั่น 1.1 บ้าง.?
dCS LINA Network DAC ลืมตาออกมาดูโลกเมื่อปี 2022 ด้วยเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น v1.0 ผ่านมาไม่กี่เดือน ทาง dCS ก็ปล่อยเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ v1.1 ออกมาอัพเดตในปี 2023 ซึ่งในครั้งนั้น ทาง dCS ได้เพิ่มเติมฟังท์ชั่น digital volume พร้อมฟีเจอร์ volume lock เข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน LINA Network DAC เป็นปรีแอมป์ไปด้วยในตัวได้เลย ส่วนการอัพเดตเข้าสู่เฟิร์มแวร์ v2.0 ล่าสุดนี้ถือว่าเป็นการขยับก้าวใหญ่ของ LINA Network DAC เพราะเป็นการอัพเดตที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายหลายจุด.!!
การอัพเดตเฟิร์มแวร์เป็น LINA Network DAC v2.0 ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประเด็นหลักๆ เกิดขึ้น 4 จุด ด้วยกัน นั่นคือ
1. New Mappers
2. DSD128 Upsampling
3. New PCM & DSD Filters
4. Balance Controls
New Mappers (วงกลมสีแดง ภาพข้างบน) – ตัวนี้จะเกี่ยวข้องกับ Ring DAC โดยตรง ซึ่งในเฟิร์มแวร์ v1.1 เดิมที่มากับตัว LINA Network DAC จะใช้กรรมวิธี Mapping สัญญาณอินพุตที่อัพแซมปลิ้งแล้วไปลงบน Ring DAC ที่ชื่อว่า ‘Classic Mapper‘ แค่แบบเดียว ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม ผู้ใช้จะเลือกแบบอื่นๆ ไม่ได้ แต่หลังจากพวกเขาทำการอัพเกรดผลิตภัณฑ์รุ่น Vivaldi, Rossini และ Bartok จนสำเร็จออกมาเป็นเวอร์ชั่น APEX จึงได้นำเอากรรมวิธีการแมพปิ้งแบบใหม่ที่ได้มาจากการอัพเกรดผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาใส่ไว้ในเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 2.0 ของ LINA Network DAC ด้วย ทำให้ผู้ใช้ LINA Networtk DAC มีอ๊อปชั่นในการเลือกใช้ DAC Mapper เพิ่มขึ้นอีก 2 ตัว รวมกับตัวเก่าเป็นทั้งหมด 3 ตัว คือ MAP1, MAP2 และ MAP3 โดยที่ตัว MAP2 ก็คือตัวเดียวกับ Classic Mapper ตัวเดิมที่อยู่ในเฟิร์มแวร์เก่านั่นเอง
MAP 1 : เป็นตัวมาตรฐานที่ปรับตั้งมาจากโรงงาน (default) ซึ่ง Ring DAC ถูกกำหนดให้ประมวลผลด้วยความเร็วอยู่ที่สปีดใดสปีดหนึ่งระหว่าง 5.644MHz (44.1kHz x 128) กับ 6.144MHz (48kHz x 128) ขึ้นอยู่กับฐานแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตนั้นๆ
MAP 2 : ตัวเดียวกับ ‘Classic Mapper’ ที่เคยอยู่ในเฟิร์มแวร์ v1.1 ซึ่งจะถูกใช้อยู่ในผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นแรกของ dCS เสมอ สำหรับตัวนี้ Ring DAC จะถูกกำหนดให้ประมวลผลด้วยสปีดใดสปีดหนึ่งระหว่าง 2.822MHz (44.1kHz x 64) กับ 3.072MHz (48kHz x 64)
MAP 3 : เป็นทางเลือกอีกทางสำหรับ MAP 1 ซึ่งกำหนดสปีดการประมวลผลของ Ring DAC ไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่งระหว่าง 5.644MHz (44.1kHz x 128) กับ 6.144MHz (48kHz x 128) เหมือนกับ MAP 1
การเลือกใช้ Mapper ทั้งสามตัวนี้สามารถทำได้ผ่านช่องทางแอพลิเคชั่น Mosaic หรือจะใช้วิธีกดจากหน้าจอโดยตรงก็ได้
DSD128 Upsampling (ลูกศรสีม่วง) – ที่เพิ่มมาหลังการอัพเดตเฟิร์มแวร์อีก 2 ตัว คือ ‘DSD128 Upsampling’ กับ ‘New PCM & DSD Filters’ จะเกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นการทำงานของ DSP ที่อยู่ใน ‘Processing Platform’ ซึ่งอยู่ที่ส่วนหน้าของ Ring DAC เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ Upsampling สัญญาณอินพุตก่อนจะส่งไปที่ภาค Digital Filter หลังจากนั้นจึงค่อยส่งต่อไปที่ Ring DAC ซึ่งในเฟิร์มแวร์ LINA Network DAC เวอร์ชั่น v1.1 (ภาพบน) จะมีอ๊อปชั่นให้ผู้ใช้เลือกทำการ Upsampling ได้ 2 รูปแบบเท่านั้นคือระหว่างอัพฯ เป็นฟอร์แม็ต DXD กับอัพเป็นฟอร์แม็ต DSD (ซึ่งได้แค่ระดับ DSD64 หรือ DSD2.8MHz) เมื่อผ่านการอัพเฟิร์มแวร์เป็น LINA Network DAC v2.0 (ภาพล่าง) ทำให้ผู้ใช้มีอ๊อปชั่นเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหนึ่งตัว นั่นคืออัพฯ ขึ้นไปเป็น DSD128 (หรือ DSD5.6MHz)(*ทาง dCS ใช้สัญลักษณ์ ‘DSDx2’ แทน DSD128)
เมื่อคุณกดเลือกอัพฯ สัญญาณอินพุตขึ้นไปที่ ‘DSDx2’ ตัว LINA Network DAC จะเอาขั้นตอนการอัพฯ เป็น DSDx2 เข้าไปรับช่วงการทำงานต่อจากขั้นตอน PCM oversampling ก่อนที่จะนำสัญญาณนี้ไปแปลงเป็นอะนาลอก ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถทำได้ผ่านช่องทางแอพลิเคชั่น Mosaic หรือจะใช้วิธีกดจากหน้าจอโดยตรงก็ได้
New PCM Filters (ลูกศรสีแดง) – จริงๆ แล้ว ‘ดิจิตัล ฟิลเตอร์‘ มีความสำคัญมาก มันส่งผลกับเสียงอย่างชัดเจน แต่ในชีวิตจริง คุณจะสามารถฟังความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้นจากการเลือกใช้ดิจิตัล ฟิลเตอร์ได้ง่ายในบางซิสเต็ม ในขณะที่บางซิสเต็มแทบจะฟังความแตกต่างไม่ออกก็มี ขึ้นอยู่กับสเปคฯ ของแอมป์+ลำโพงในซิสเต็มนั้นๆ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ dCS บรรจุวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์สำหรับสัญญาณฟอร์แม็ต PCM มากับเฟิร์มแวร์ v1.1 (ภาพบน) แค่เพียง 3 ตัว คือ FILTER1, FILTER2 และ M1 เพื่อให้ง่ายต่อผู้ใช้ในการเลือก แต่แน่นอนว่า ถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ LINA Network DAC ที่ครอบคลุมกว้างขึ้น ตอบโจทย์ของผู้ใช้ได้หลากหลายมากขึ้น ก็ต้องเพิ่มรูปแบบของวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์ให้มากขึ้น ซึ่งในเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 2.0 (ภาพล่าง) ได้มีดิจิตัล ฟิลเตอร์โผล่ขึ้นมาให้เลือกใช้เพิ่มขึ้นนับรวมกับของเดิมคือ 7 ตัว.!
FILTER 1 (F1) : เป็นตัวที่ขจัดขั้นบันไดที่เกิดตามหลักการของ Nyquist ได้ดีที่สุด เพราะมีอัตราลดของเสียงที่ชันมากที่สุด (sharpest roll-off) เมื่อเทียบกับฟิลเตอร์ 4 ตัวแรก (F1 – F4)
FILTER 2 (F2) : ตัวนี้จะทำการขจัดขั้นบันไดที่เกิดตามหลักการของ Nyquist ในลักษณะที่ผ่อนปรนกว่าฟิลเตอร์ F1 และให้การตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ดี ตัวนี้แนะนำให้ใช้กับดนตรีคลาสสิก
FILTER 3 (F3) : ตัวนี้จะทำการขจัดขั้นบันไดที่เกิดตามหลักการของ Nyquist ในลักษณะที่ผ่อนปรนกว่าฟิลเตอร์ F1 กับ ฟิลเตอร์ F2 มากขึ้นไปอีก และให้การตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ดีกว่าด้วย ตัวนี้แนะนำให้ใช้กับดนตรีร็อค
FILTER 4 (F4) : ตัวนี้มีความสามารถในการขจัดขั้นบันไดได้ “ต่ำสุด” ในจำนวน 4 ตัวที่กล่าวมาแล้ว แต่มีความสามารถในการตอบสนองทรานเชี้ยนต์ ไดนามิกได้ดีที่สุด (F4 ตัวนี้ก็คือฟิลเตอร์ตัวเดียวกันกับ F2 ของเฟิร์มแวร์ V1.0)
FILTER 5 (F5) : ถ้าใช้กับสัญญาณอินพุตที่ระดับ 176.4, 192, 352.8 หรือ 384kHz การทำงานของฟิลเตอร์ตัวนี้จะมีลักษณะ “เกลี่ย” ไดนามิกออกไปทำให้การสวิงของสัญญาณที่เป็นทรานเชี้ยนต์ ไดนามิกไม่มีอาการโอเวอร์ชู๊ต และจะให้การลาดลงของปลายเสียงในลักษณะที่ผ่อนคลาย ไม่ตัดสโลปชันมาก แต่ถ้าใช้กับสัญญาณ 44.1kHz สัญญาณเสียงก็แทบจะปราศจาก pre-ringing อย่างสิ้นเชิง.! แต่ถ้าเป็นสัญญาณที่มีอัตราแซมปลิ้ง 48, 88.2 หรือ 96kHz ฟิลเตอร์ F5 ตัวนี้จะไม่ทำงาน
FILTER 6 (F6) : ถ้าใช้กับสัญญาณอินพุตที่ระดับ 176.4, 192, 352.8 หรือ 384kHz สัญญาณเสียงจะปราศจาก pre-ringing อย่างสิ้นเชิง.! แต่ถ้าใช้กับสัญญาณ 44.1kHz ฟิลเตอร์ตัวนี้จะมีลักษณะที่มีความลาดชันสูง (sharp filter) ในอีกรูปแบบหนึ่ง (ชันคนละแบบกับ F1) จะให้เฟสที่ลิเนียร์แต่มี pre-ringing ถ้าเจอกับสัญญาณที่มีอัตราแซมปลิ้ง 48, 88.2 หรือ 96kHz ฟิลเตอร์ F5 ตัวนี้จะไม่ทำงาน
FILTER M1 (M1) : ออกแบบมาให้ใช้กับสัญญาณอินพุตที่เป็นฟอร์แม็ต MQA แต่ผู้ใช้ก็สามารถเลือกฟิลเตอร์ตัวนี้ให้ทำงานร่วมกับฟิลเตอร์ PCM ตัวอื่นได้
New DSD Filters (ลูกศรสีเขียว) – หลังจากอัพฯ เฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 2.0 จะมีฟิลเตอร์สำหรับสัญญาณฟอร์แม็ต DSD เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัว เป็น 5 ตัว เทียบกับที่ให้มาในเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 1.1 จำนวน 4 ตัว โดยปกติแล้ว ฟิลเตอร์สำหรับสัญญาณ DSD มักจะอยู่ในรูปของ LPF หรือ โลว์พาสฟิลเตอร์ ที่มี “จุดตัดความถี่” (CutOff frequency) เป็นตัวกำหนดขอบเขตของความถี่ที่ยอมปล่อยออกมา ซึ่งอยู่ “ต่ำกว่า” จุด CutOff ของฟิลเตอร์ลงมาทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ฟิลเตอร์ที่ 50kHz จะยอมให้ความถี่ตั้งแต่ 50kHz ลงไปผ่านออกมาได้ ส่วนความถี่ที่สูงกว่านั้น คือตั้งแต่ 50kHz ขึ้นไป จะถูกตัดทิ้งไป นั่นก็หมายความว่า ฟิลเตอร์ที่กำหนดความถี่ CutOff ไว้สูงๆ จะปล่อยความถี่ของสัญญาณ DSD ออกมา “มากกว่า” ฟิลเตอร์ที่กำหนดความถี่ CutOff ต่ำๆ ซึ่งความถี่ที่ปล่อยออกมาทั้งหมดนั้นก็อาจจะมีความถี่ส่วนที่เป็น out-of-band noise ที่เกิดจากข้อจำกัดของคอมโพเน้นต์ในวงจรของเครื่องติดออกมาด้วย
F1 DSD : ตัวนี้เป็นตัวมาตรฐานที่ตั้งมาให้จากโรงงาน ซึ่งจะให้ความถี่ตอบสนองของสัญญาณที่เปิดกว้างมากที่สุด และเป็นฟิลเตอร์ที่ปลดปล่อยความถี่ส่วนเกิน (out-of-band noise) ออกมามากที่สุดเช่นกัน
F2 DSD : กรณีที่ใช้ฟิลเตอร์ F1 DSD แล้วมีเสียงฮีสหรือเสียงซ่าๆ ที่เป็นเสียงของ out-of-band noise ปนออกมามากเกินไป (แอมป์+ลำโพง ไม่รองรับแบนด์วิธที่กว้างมากๆ) ให้ลองใช้ฟิลเตอร์ตัวนี้ซึ่งจะมีจุดความถี่ CutOff ที่ต่ำกว่า F1 DSD
F3 DSD : กรณีเดียวกัน ถ้าเปลี่ยนมาใช้ฟิลเตอร์ F2 DSD แล้วยังพบว่ามีเสียงซ่าหรือฮีสปรากฏออกมา ให้เปลี่ยนมาใช้ฟิลเตอร์ F3 DSD ตัวนี้ ซึ่งจะใช้ความถี่ CutOff ที่ต่ำลงมาอีกระดับ
F4 DSD : แนะนำให้ใช้เฉพาะกรณีที่เกิดปัญหาเท่านั้น ซึ่งฟิลเตอร์ตัวนี้จะทำการปรับลดสัญญาณส่วนที่เป็น out-off-band noise ลงด้วยอัตราที่ชันมากๆ และจะทำการจำกัดความถี่ตอบสนองเอาไว้แต่ 25kHz เท่านั้น
F5 DSD : ฟิลเตอร์ตัวนี้จะให้การลดลงของเสียงในย่านสูงในลักษณะผ่อนปรน ค่อยๆ ลาดลง และจะให้เฟสของสัญญาณที่มีความราบเรียบ สุดท้ายคือขจัดความถี่ส่วนเกินที่เป็น out-of-band noise ส่วนใหญ่ออกไป
Balance Controls (กรอบสีแดง ภาพล่าง) – เพิ่มฟังท์ชั่น “ปรับบาลานซ์” เข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับความดังของแชนเนลซ้าย (left) และแชนเนลขวา (right) แยกอิสระจากกันได้ โดยมีช่วงกว้างของการปรับตั้งระหว่าง 0 ถึง -6dB แบ่งเป็นสเต็ปละ 0.1dB ประโยชน์ก็เพื่อแก้ปัญหาเสียงของซิสเต็มที่ดังไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ทั้งที่เกิดจากความไม่สมบูรณ์ของแอมปลิฟายหรือลำโพง หรือเกิดจากตำแหน่งวางลำโพงที่ไม่สมดุล หรือเกิดจากสภาพอะคูสติกที่ไม่สมดุล ฯลฯ ซึ่งฟังท์ชั่นปรับบาลานซ์นี้จะใช้ได้ทั้งกับเอ๊าต์พุตหูฟังและเอ๊าต์พุตภาคไลน์เอ๊าต์
นอกจากนั้น เฟิร์มแวร์ 2.0 ยังมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อยู่อีกสอง–สามอย่าง ได้แก่ ฟังท์ชั่น “ปรับเลือกขนาดตัวอักษร” ที่แสดงบนจอของ LINA Network DAC (กรอบสีฟ้า ภาพบน) อยู่ในหัวข้อ DISPLAY (วงรีสีเหลือง) เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ใช้อยู่ระยะไกลจากตัวเครื่อง นอกจากนั้น LINA Network DAC ยังถูกทำให้สามารถรองรับคำสั่งจากรีโมทไร้สายได้ด้วย (กรอบสีเขียว)(หัวข้อ DEVICE ในวงรีสีม่วง) ทั้งที่เป็นรีโมทของ dCS เองและรีโมททั่วไปด้วย (สามารถปิดไม่ใช้ฟังท์ชั่นนี้ได้)
การปรับตั้งค่าที่ส่งผลกับเสียงของ LINA DAC
ภายในตัว LINA Network DAC มีการปรับตั้งค่าอยู่หลายตัวที่ส่งผลกับเสียงของมัน ซึ่งการเข้าไปปรับตั้งค่าจะทำได้ 2 ทาง คือปรับจากหน้าจอบนแผงหน้าเครื่องโดยตรง กับปรับตั้งค่าผ่านทางแอพฯ Mosaic ในภาพด้านบนจะเป็นภาพการปรับตั้งผ่านแอพฯ Mosaic ซึ่งทำได้สะดวกกว่าปรับจากหน้าจอเครื่อง
เริ่มด้วยการจิ้มลงไปตรง ขีด 3 ขีด ที่มุมบนด้านซ้ายของจอ (ศรชี้) จะปรากฏหัวข้อให้เข้าไปปรับตั้งออกมา 5 หัวข้อ (ในกรอบสีแดง) คือ AUDIO, DISPLAY, DEVICE, SYSTEM TEST และ SUPPORT ซึ่งหัวข้อที่ปรับแล้วส่งผลกับเสียงก็มี AUDIO กับหัวข้อ DEVICE
เมื่อกดจิ้มไปที่หัวข้อ AUDIO หน้าจอแอพฯ จะเปลี่ยนมาแสดงข้อมูล 4 หัวข้อ คือ
1. Source
2. dCS Processing Platform
3. dCS Ring DAC
4. Output
1. Source = แสดงแหล่งต้นทางสัญญาณอินพุตทั้ง 8 อินพุต ที่มีให้เลือกใช้ ต้องการเลือกใช้อินพุตไหนก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มเลือกตรงไอค่อนของอินพุตนั้นได้เลย
2. dCS Processing Platform = แสดงการปรับตั้งค่าของฟังท์ชั่นต่างๆ ที่อยู่ใน DSP (ที่มีแถบสีฟ้าคืออ๊อปชั่นที่กำลังใช้งานขณะนั้น) ได้แก่
Upsampling = ซึ่งเลือกได้ 3 ทาง ระหว่างอัพฯ เป็น DXD, DSD และ DSDx2
Filter = สำหรับใช้กับสัญญาณ PCM มีให้เลือก 7 ตัว คือ FILTER 1 ไปจนถึง FILTER 6 และ M1
DSD Filter = สำหรับใช้กับสัญญาณ DSD มีให้เลือก 5 ตัว คือ F1 ไปจนถึง F5
Crossfeed = มีให้เลือก 4 อ๊อปชั่น คือ On, Off, EXPANSE 1 และ EXPANSE 2
ต้องการเปลี่ยนค่าไหนของ 4 หัวข้อนี้ก็จิ้มเลือกได้เลยโดยตรง
3. dCS Ring DAC = แสดงรูปแบบการทำงานของภาค DAC ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกระหว่างฟังท์ชั่น DAC Mapper กับ Ring DAC ซึ่งมีอ๊อปชั่นให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ คือ MAP1, MAP2 และ MAP3
4. Output = แสดงระดับความแรง (เกน) ของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนค่าได้ ตามที่มีให้เลือก 4 ระดับ จากต่ำไปสูง คือ 0.2V, 0.6V, 2.0V และ 6.0V ค่าไหนถูกเลือกใช้จะแสดงด้วยพื้นสีฟ้า
การปรับตั้งค่าทั้งหมดนี้จะส่งผลกับสัญญาณเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC โดยตรง ที่ส่งผลมากที่สุดก็คือหัวข้อ ‘Output’ ซึ่งก็คือการกำหนด “ความแรง” ของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC ซึ่งมีมาเพื่อให้ผู้ใช้ทำการแม็ทชิ่งทางด้าน gain ระหว่างเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC กับอินพุตของภาคปรีฯ ที่อยู่ในอินติเกรตแอมป์ หรือปรีแอมป์ ถ้าอินพุตของอินติเกรตแอมป์หรือปรีแอมป์ของคุณสามารถรองรับสัญญาณที่แรงถึง 6.0V ได้จะได้เสียงที่ดีกว่าใช้เกนต่ำ (ยกเว้นแต่ว่า ภาคอินพุตของแอมป์รองรับไม่ได้ ซึ่งโดยมากจะเป็นแอมป์รุ่นเก่ามากๆ ส่วนใหญ่จะรับได้แค่ 2.0V) และการปรับตั้งเกนเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC จะยิ่งส่งผลกับเสียงมากขึ้นเมื่อคุณใช้เอ๊าต์พุต LINA Network DAC ต่อตรงเข้าเพาเวอร์แอมป์
ส่วนการเลือกรูปแบบการทำ Upsampling, เลือกรูปแบบ Filters และเลือกรูปแบบการ mapping ของ Ring DAC จะส่งผลกับเสียงในระดับที่ลดหลั่นลงมา ซึ่งส่วนใหญ่จะไปปรากฏผลที่บุคลิกเสียงที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม การเลือกอ๊อปชั่นต่างๆ ของฟังท์ชั่นเหล่านี้จะไม่ส่งผลเสียกับการทำงานของตัว LINA Network DAC แต่อย่างใด แนะนำให้ทดลองเลือกใช้และฟังผลลัพธ์ดูก่อนตัดสินใจใช้แต่ละฟังท์ชั่นเหล่านี้
ชุดแอมป์+ลำโพงที่ใช้ทดสอบ
ชุดแอมป์+ลำโพงที่ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของ LINA Network DAC ตัวนี้มีอยู่หลายชุด ในช่วงเวลาตั้งแต่วันแรกคือ 19 กรกฎาคม 2023 ที่คุณ Raveen Bawa เซลส์เมเนจเจอร์ของ dCS เข้ามาส่งมอบ LINA Network DAC กับ LINA Master Clock ที่ห้องฟังจนถึงวันที่ผมฟังสรุปผลร่วม 4 เดือนเต็มๆ นั้่น ผมมีโอกาสทดลองฟัง LINA Network DAC + LINA Master Clock กับแอมป์+ลำโพงหลากหลายชุดมาก แต่ที่ฟังแล้วสามารถชี้ประเด็นที่เป็นบุคลิกเสียงของ dCS คู่นี้ออกมาได้ชัดเจนมากที่สุดมีอยู่ 3 เซ็ตอัพด้วยกัน
เซ็ตอัพแรกเป็นชุดของลำโพง Usher Audio รุ่น UA-50 (REVIEW) ขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Mola Mola รุ่น Kula (150W ที่ 8 โอห์ม / 300W ที่ 4 โอห์ม)(REVIEW coming soon!) ซึ่งเป็นคู่แอมป์+ลำโพงที่ให้โทนเสียงออกมาทางเปิด กระจ่าง แบบไม่มีความคลุมเครือเลย โดยเฉพาะ “รายละเอียด” ตั้งแต่ย่านทุ้มตอนกลางๆ ขึ้นไปถึงปลายสุดของเสียงแหลมที่ปรากฏออกมาในลักษณะที่เรียกว่า “สุกสว่าง” และ “พร่างพราย” เต็มที่ (ตัวลำโพง UA-50 ใช้ทวีตเตอร์ Diamond ในขณะที่แอมป์ Kula ใช้ภาคขยาย Class-D) ซึ่งเป็นบุคลิกเสียงที่เกิดจากคุณสมบัติสองอย่างผสมกันออกมา นั่นคือ “กระจ่าง” + “กังวาน” นับว่าเป็นคู่แอมป์+ลำโพงที่ “ขี้ฟ้อง” มากเป็นพิเศษ.!
หลังจากทดลองแม็ทชิ่งดูแล้ว ในการทดลองฟัง LINA Network DAC กับ UA-50 + Kula ชุดนี้ ผมเลือกใช้การเชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC กับอินพุตของ Kula ผ่านทางขั้วต่อ XLR แล้วเลือกตั้งเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC ไว้ที่ 6.0V
เซ็ตอัพที่สองเป็นชุดแอมป์+ลำโพงที่ยังคงใช้ลำโพง Usher Audio รุ่น UA-50 ยืนพื้น แต่เปลี่ยนแอมป์เป็นอินติเกรตแอมป์ของ McIntosh รุ่น MAC7200 (200W ทุกค่าอิมพีแดนซ์) ซึ่งชุดนี้ให้โทนเสียงที่ต่างจากชุด UA-50 + Kula ไปในแนวทางที่มี “ความสว่าง” น้อยกว่า เพราะรายละเอียดในย่านแหลมลดปริมาณลง เสียงโดยรวมจึงมีลักษณะที่รอมชอมมากขึ้น ชี้ชัดน้อยลง ส่งผลให้โทนเสียงโดยรวมของชุดนี้มีบุคลิกไปทางนุ่มนวล
เอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC เชื่อมต่อกับอินพุตของ MAC7200 ด้วยระบบบาลานซ์ ผ่านขั้วต่อ XLR พร้อมทั้งปรับตั้งเกนเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC ไว้ที่ระดับ 6.0V ซึ่งเป็นอ๊อปชั่นให้เสียงโดยรวมออกมาดีที่สุด
เซ็ตอัพที่สามนี้เป็นชุดที่ชู “ความต่อเนื่อง ลื่นไหล” ของเสียงออกมามากที่สุด ซึ่งเป็นผลรวมของบุคลิกเฉพาะตัวทั้งของแอมป์ (LFD รุ่น NCSE HR) และลำโพง (Audio Physic รุ่น Classic 8) นั่นเอง ส่วนการเชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC กับอินพุตของ NCSE HR ที่ให้ผลลัพธ์โดยรวมออกมาดีที่สุดคือผ่านขั้วต่อ RCA และปรับตั้งเกนเอ๊าต์พุตของ LINA Network DAC ไว้ที่ระดับ 2.0V
การเชื่อมต่อ + เซ็ตอัพแหล่งต้นทางเข้ากับ LINA Network DAC เพื่อการทดสอบครั้งนี้
ในการทดลองฟังเสียงของอินพุต Network กับอินพุต USB ของ LINA Network DAC ผมใช้ Roon nucleus+ ทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต ดึงไฟล์เพลงจาก NAS และ TIDAL ป้อนให้กับ LINA Network DAC ทางอินพุต Network และ USB
ส่วนการลองฟังเสียงของอินพุต S/PDIF (Coax) กับ AES/EBU (XLR) ผมอาศัยตัว DDC (Digital-to-Digital converter) ของ Denafrips รุ่น GAIA เข้ามาช่วยแปลงสัญญาณดิจิตัลที่รับจาก Roon nucleus+ เข้ามาทางอินพุต USB ให้ออกมาเป็นสัญญาณ S/PDIF และ AES เพื่อป้อนให้กับ LINA Network DAC สลับกับใช้เครื่องเล่น CD/SACD ของ Arcam รุ่น CD27 เพื่อป้อนสัญญาณดิจิตัล PCM ไปเข้าที่อินพุต S/PDIF (Coax) ของ LINA Network DAC
หลังจาก LINA Network DAC ผ่านขั้นตอนการเบิร์นฯ มานานเกิน 200 ชั่วโมง ผมพบว่า เสียงโดยรวมของมันเริ่มนิ่งแล้ว คือถึงแม้ว่าจะทดลองเปลี่ยนองค์ประกอบในซิสเต็มไปจากเดิม ซึ่งมีผลให้เสียงของซิสเต็มเปลี่ยนแปลงไป แต่ผมก็ยังคงรับรู้ได้ถึง “ลักษณะเฉพาะ” ของ LINA Network DAC ที่ยังคงปรากฏอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ ในช่วงทดลองฟังเพื่อสรุปผลทางเสียงของอินพุต USB ผมใช้ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 ที่อัพเกรดเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดคือ ‘DSD Twenty’ (ศรชี้) เป็นตัวฟังเปรียบเทียบ
เสียงของ LINA Network DAC
หลังจากทดลองฟังเสียงจากอินพุตต่างๆ ของ LINA Network DAC แล้ว ผมพบว่า แม้ว่าแต่ละอินพุตจะมีความสามารถในการรองรับสัญญาณได้ไม่เท่ากัน ซึ่งมีผลทำให้ “ระดับคุณภาพของเสียง” ที่ได้จากแต่ละอินพุตมีความแตกต่างกันไปด้วย แต่เสียงที่ได้ยินออกมาจากแต่ละอินพุตนั้น เมื่อเทียบกับอินพุตเดียวกันที่ได้ยินจาก DAC ตัวอื่น มันบ่งบอกให้รู้ถึงประสิทธิภาพในการปรับจูนของ dCS ที่สามารถดึงเอาคุณภาพเสียงออกมาจากอินพุตเหล่านั้นได้อย่างน่าพอใจ
ยกตัวอย่างเช่นอินพุต S/PDIF ทางช่อง Coax ของ LINA Network DAC ตัวนี้ เมื่อผมทดลองฟังเพลงจากแผ่นซีดีที่เล่นด้วยเครื่องเล่นซีดี/เอสเอซีดีของ Arcam CD27 พบว่ามันให้เสียงออกมาน่าฟังมาก.! เป็นเสียงที่มีความอุ่นอยู่ในตัว เนื้อมวลมีความหยุ่นและนุ่ม อวบหนา เมื่อเทียบกับเล่นเป็นไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ริปมาจากซีดีแผ่นเดียวกัน ด้วย Roon nucleus+ เข้าไปที่ LINA Network DAC ทางอินพุต Network ผมพบว่า ทั้งสองอินพุตนี้ให้เสียงออกมาต่างกันโดยสิ้นเชิง เสียงเพลงเดียวกันที่ได้จากอินพุต Network มีลักษณะที่เปิดกระจ่างมากกว่า ชี้ชัดมากกว่า แต่โดยรวมๆ แล้วจะสรุปว่า “ดีกว่า” ก็ไม่ได้ มันเหมือนกับว่า ถ้าวัดในแง่ของความชอบในน้ำเสียง ต้องบอกว่าได้อย่าง–เสียอย่างระหว่างเสียงของทั้งสองอินพุตนี้ คือในแง่ของเนื้อมวลผมชอบเสียงของช่อง Coax ที่รับมาจากเครื่องเล่น CD27 ซึ่งผมว่ามันออกมารอมชอมและฟังง่ายกว่า แต่ทางด้านไทมิ่งของจังหวะเพลงผมกลับไปพอใจเสียงที่ได้จากอินพุต Network มากกว่า เพราะมันฟังดูสดและให้ฟิลลิ่งเหมือนคนเล่นจริงๆ มากกว่า.. แต่ถ้าให้ฟังเฉพาะอินพุตใดอินพุตหนึ่งโดยไม่เปรียบเทียบกัน ก็สามารถแฮ้ปปี้ได้ทั้งคู่ เพราะมันเป็นเสียงที่โน้มน้าว “อารมณ์” ได้ไม่แพ้กัน
อีกอินพุตที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง นั่นคือการเล่นไฟล์เพลงด้วยแอพฯ Onkyo HF Player แล้วสตรีมสัญญาณจาก iPhone 12 เข้าไปที่ LINA Network DAC ด้วยวิธีไร้สายผ่านเข้าทาง AirPlay ซึ่งเสียงที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าทึ่งมาก.! dCS จูนอินพุตนี้มาได้น่าฟัง เสียงโดยรวมมีลักษณที่เปิดเผย กระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเสียงกลางแผ่กังวานออกมาเต็มสเกล ไม่หุบ จะแพ้อินพุตอื่นๆ ที่เชื่อมต่อด้วยสายอย่าง Coax, USB และ Network ก็ในแง่ความอิ่มข้นของเนื้อมวลเท่านั้นเอง
ส่วนการสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL เข้ามาที่ LINA Network DAC ผ่านทาง TIDAL Connect ก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเช่นกัน แม้ผมจะรู้สึกว่า LINA Network DAC ใช้เวลาในการสวิทช์ภาครับให้ตรงกับรูปแบบของสัญญาณที่ส่งไปจาก TIDAL มากไปนิดนึง (ประมาณ 3-4 วินาที) แต่เมื่อเทียบกับเสียงที่ออกมาก็ให้อภัยได้ เพราะเสน่ห์ของการฟังเพลงจาก TIDAL อย่างหนึ่งก็คือมีโอกาสได้รับฟังงานเพลงเก่าๆ ที่นำมารีมาสตอร์ใหม่เพื่อการสตรีมผ่านเน็ทเวิร์คโดยเฉพาะ ซึ่งให้เสียงออกมาดีกว่าหลายๆ เวอร์ชั่นที่ทำออกมาในรูปของแผ่นซีดี
ยกตัวอย่างเช่นอัลบั้มรวมเพลงของ The Beatles ช่วงปี 1967-1970 (ปกขอบน้ำเงิน) กับชุดรวมเพลงช่วงปี 1962-1966 (ปกขอบแดง) ที่เพิ่งจะทำออกมาในปี 2023 นี้เอง ซึ่งเพลงทั้งหมดที่อยู่ในสองอัลบั้มนี้ถูกทำผสมกันออกมาทั้งที่อยู่ในรูปของฟอร์แม็ต FLAC และฟอร์แม็ต MQA (TIDAL เหมารวมกันอยู่ในแคตากอรี่ MAX) เมื่อฟังจากหลายๆ เพลงแล้ว มีความรู้สึกว่าเพลงที่ทำออกมาในฟอร์แม็ต FLAC จะให้เสียงออกมาในลักษณะที่เปิดกระจ่างมากกว่า ทั้งๆ เมื่อมองที่ Resolution ของสัญญาณเทียบกันแล้ว เพลงที่ทำมาเป็นฟอร์แม็ต FLAC นั้นมีความละเอียด “น้อยกว่า” ซีดีซะด้วยซ้ำไป แต่ละเพลงจะมีความละเอียดอยู่ระหว่าง 700 – 900kbps เท่านั้น (ซีดีอยู่ที่ 1411kbps) ในขณะที่ฟอร์แม็ต MQA นั้นความละเอียดสูงกว่าเยอะ อย่างต่ำๆ ก็เท่ากับซีดี 16/44.1 ขึ้นไปทั้งนั้น
แต่เมื่อทดลองฟังทุกอินพุตของ LINA Network DAC แล้วก็ต้องยอมรับว่า หากพูดกันในแง่ “คุณภาพเสียง” แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า อินพุต Network กับ USB ให้ผมลัพธ์ทางเสียงออกมาได้สูงที่สุด เหตุผลหลักๆ ก็เพราะว่าทั้งสองอินพุตนี้มีความสามารถรองรับสัญญาณได้สูงกว่าอินพุตทั้งหมดที่มีอยู่นั่นเอง ในการสรุป “ลักษณะบุคลิก” และ “คุณภาพเสียง” ของ LINA Network DAC ตัวนี้ ผมจะขอใช้เสียงของอินพุต Network กับ USB เป็นตัวอ้างอิงก็แล้วกัน
LINA Master Clock
ไม่มีก็ฟังได้.. แต่พอมีแล้ว ถอดออกไม่ได้.!!!
ทุกครั้งที่เห็นภาพของ dCS LINA ไปปรากฏอยู่ที่ไหน ถ้าสังเกต คุณจะพบว่า อย่างน้อยต้องมีภาพของอุปกรณ์ 2 ชิ้นอยู่คู่กัน จากจำนวนทั้งหมด 3 ชิ้นที่อยู่ในตระกูล ‘LINA’
ตัวบนคือ LINA Master Clock
ตอนหลังๆ จะพบว่าทาง dCS โปรโมท LINA Network DAC คู่กับ LINA Master Clock (ตัวบนในภาพ) บ่อยๆ ซึ่งเป็นการแนะนำให้กับนักเล่นเครื่องเสียงบ้านที่ใช้ระบบเสียง stereo นั่นเอง เห็นบ่อยๆ จนทำให้คิดไปว่า สองตัวนี้ต้องใช้ด้วยกันเสมอ ผมได้มาทดลองฟังทั้งสองตัว คือ LINA Network DAC และ LINA Master Clock ก่อนที่จะเริ่มเขียนสรุปผลทางเสียงของ LINA Network DAC ผมได้ทดลองฟังแต่ตัว LINA Network DAC เพียวๆ โดยไม่มี LINA Master Clock เทียบกันไปเทียบกันมาแล้ว สุดท้ายพอเริ่มชิน ผมพบว่า การฟังแต่ตัว LINA Network DAC เพียวๆ มันขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ก่อนจะค้นพบคำตอบก็คือ ตอนมี LINA Master Clock พ่วงอยู่กับ LINA Network DAC มีผลทำให้ผมฟังเพลงได้นานกว่า เสียงเพลงที่ฟังผ่าน LINA Network DAC + LINA Master Clock มันดึงดูดความสนใจในการฟังของผมให้จมอยู่กับการฟังเพลงได้นานกว่า เพราะเข้าถึงอารมณ์ของแต่ละเพลงที่ฟังได้ลึกซึ้งมากกว่า สรุปแล้ว ถ้าให้ผมเขียนรายงาน LINA Network DAC โดยไม่มี LINA Master Clock ผมจะรู้สึกขัดใจ เขียนไม่ออก เพราะชินเสียงที่ได้ยินจากคู่นี้ซะแล้ว..!!!
เสียงของ LINA Network DAC + LINA Master Clock
เมื่อเข้าไปอยู่ในซิสเต็มใดๆ เสียงของ dCS LINA DAC+Clock คู่นี้จะแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัย 2 ประการ อย่างแรกคือ ฟอร์แม็ตของสัญญาณอินพุตที่รับเข้ามา ระหว่าง PCM กับ DSD กับอีกปัจจัยคือการเลือกใช้ฟีเจอร์ต่างๆ นั่นคือ ระดับเกนของเอ๊าต์พุต + ชนิดของ Mapper + รูปแบบการ Upsampling + ชนิดของ Filter ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลสัมพันธ์กัน
ตอนก่อนที่จะทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชั่น v2.0 นั้น ผมก็รู้สึกแฮ้ปปี้กับเสียงของ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้มากอยู่แล้ว ถ้าจะถามว่า ดีกว่านั้นจะเป็นแบบไหน ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลย แต่เมื่อได้ทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชั่น v2.0 แล้ว ทุกอย่างที่เคยดีอยู่แล้วมันก้าวข้ามขึ้นไปอีกระดับ.! เป็นความแตกต่างที่เยอะมาก เพราะก่อนอัพเฟิร์มแวร์ ผมได้ฟังเสียงของคู่นี้มานานแรมเดือน ฟังจนจำได้แทบจะทุกองค์ประกอบของเสียงแล้ว ดังนั้น พออัพฯ เฟิร์มแวร์ใหม่ปั๊บ สิ่งที่ได้ยินมันก็เปลี่ยนไปทันที ความแตกต่างมันปรากฏชัดมาก ไม่ต้องรอเบิร์นฯ อะไรอีก.!!
มีเรื่องน่าแปลกเกิดขึ้นหลังอัพฯ เฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชั่น v2.0 คือหลังอัพฯ แล้ว มีฟิลเตอร์บางตัวที่ใช้กับสัญญาณ PCM และ DSD ที่เคยให้มาตอนเป็นเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น v1.1 ยังคงอยู่ในเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น v2.0 แต่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่พอผมลองเลือกฟังฟิลเตอร์ตัวนั้นบนเฟิร์มแวร์ v2.0 ปรากฏว่า เสียงไม่เหมือนตอนฟังบนเฟิร์มแวร์ตัวเก่า.? คิดว่าเฟิร์มแวร์ตัวใหม่นี้มันน่าจะไปปรับพื้นฐานการ mapping กับ Ring DAC ใหม่มั้ง.?
ในการสรุปผลการฟังทดสอบ ผมตัดสินใจลบผลการทดลองฟังก่อนการอัพเดตเฟิร์มแวร์ทิ้งไปทั้งหมด เปลี่ยนมาเริ่มขั้นตอนฟังใหม่ด้วยเฟิร์มแวร์ v2.0 แทน และใช้ผลการทดลองฟังผ่านอินพุต Network (Ethernet) เป็นตัวอ้างอิง เพราะเป็นอินพุตที่ให้คุณภาพเสียงสูงที่สุดและรองรับไฟล์เพลงได้ครบมากที่สุด
ลองฟัง PCM
สำหรับสัญญาณอินพุตที่เข้ามาเป็นตระกูล PCM ทั้งที่มีความละเอียดระดับ 16/44.1kHz และ Hi-Res ผมจะเลือกใช้วิธี Mapper บน Ring DAC แบบแรก (MAP 1) ส่วนการอัพแซมปลิ้งนั้น ผมทดลองฟังเทียบระหว่างอัพขึ้นไปเป็น DXD กับ DSD ผมพบว่าการอัพฯ ทั้งสองรูปแบบนี้มีลักษณะเสียงออกมาต่างกัน คืออัพฯ เป็น DSD จะเด่นไปทางเนื้อเสียงที่นวลเนียน หนานุ่ม คอนทราสน์ไดนามิกจะดี ได้ความต่อเนื่อง ในขณะที่อัพฯ เป็น DXD จะเด่นไปทางทรานเชี้ยนต์ ไดนามิก ทำให้ได้อิมแพ็ค (หัวเสียง) ที่คมชัด แยกแยะชิ้นดนตรีได้ชัด และให้โมชั่นของเสียงที่สด ถ้าเป็นสัญญาณ PCM ส่วนตัวผมจะชอบเสียงจากการอัพฯ เป็น DXD มากกว่า ส่วน Filter นั้น ผมพบว่า บางเพลงฟังความแตกต่างของฟิลเตอร์แต่ละตัวออกค่อนข้างชัด (โดยเฉพาะเพลงที่แซมปลิ้งต่ำๆ อย่างเช่น 44.1kHz หรือ 48kHz) ในขณะที่บางเพลงฟังออกยาก (โดยเฉพาะเพลงคลาสสิกที่มีความละเอียดสูงๆ ระดับ 176.4kHz และ 192kHz) ในการใช้งานจริง ส่วนใหญ่ผมจะใช้ฟิลเตอร์ตัว FILTER 1 กับตัว FILTER 4 บ่อยหน่อย เมื่อฟังอินพุตที่เป็นสัญญาณ PCM ระดับ 44.1kHz ที่ริปจากแผ่นซีดี
อัลบั้ม : The Wall (Anniversary Edition) (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Pink Floyd
สังกัด : Columbia Records
อัลบั้ม : JT (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : James Taylor
สังกัด : Columbia
ทุกครั้งที่ฟังทดสอบเครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นไหน นอกเหนือจากลองฟังด้วยเพลงที่บันทึกเสียงดีๆ ที่จัดทำโดยสังกัดไฮเอ็นด์ฯ เพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นนั้นในการถ่ายทอดคุณภาพเสียงในแง่ต่างๆ แล้ว ผมจะใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการลองฟังเพลงคอมเมอร์เชี่ยลธรรมดาๆ ด้วยเสมอ ซึ่งโดยมากก็เป็นเพลงที่ผมชอบฟังสมัยวัยรุ่นทั้งนั้น
ประสบการณ์จากการทดสอบ DAC ที่ผ่านมา ผมพบว่า DAC บางตัวจะทำให้เพลงคอมเมอร์เชี่ยลเก่าๆ ที่ผมเคยฟังมันมีลักษณะที่เปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับ “ความทรงจำในอดีต” ที่ผมเคยมีกับเพลงเหล่านั้น คือ DAC บางตัวทำให้เพลงเหล่านั้นมีโทนเสียงที่สว่างแหลมมากขึ้น ฟังเผินๆ เหมือนได้ยินรายละเอียดชัดขึ้น แต่พอฟังไปนานๆ แล้วรู้สึกว่า “ความดื่มด่ำ” ที่ผมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพลงเหล่านั้นมันหายไป.!
อารมณ์เหมือนคนที่คุ้นเคยกันมานานแล้วดันไปทำโบท็อกใบหน้ามาจนไม่เหลือเค้าเดิม อาจจะดูสวยขึ้นในบางจุด แต่ไม่ใช่คนที่คุ้นเคยคนเดิม ความรู้สึก “ข้างใน” ที่มีต่อคนๆ นั้นจะไม่เหมือนเดิม.!!
ยกตัวอย่างอัลบั้มชุด The Wall ของ Pink Floyd ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ผมชอบมาก ฟังบ่อยมากๆ ตั้งแต่สมัยเรียนรามจนมาถึงปัจจุบันน่าจะเกินพันครั้งแล้ว ส่วนตัวผมมี “ความคุ้นเคย” อยู่กับอัลบั้มนี้เป็นพิเศษ จดจำลีลาของเพลงแต่ละช่วงได้ขึ้นใจ ตอนหลับตาฟังเมื่อเพลงดำเนินไปถึงช่วงตอนไหนจะรับรู้ได้ล่วงหน้า บางครั้งที่ฟังอยู่คนเดียวในห้อง ผมจะเปิดดังๆ แล้วแหกปากร้องตามไปด้วย
ส่วนมากแล้ว เมื่อลองฟังอัลบั้ม The Wall ชุดนี้กับ DAC ราคาแพงๆ ส่วนใหญ่ โดยมากแล้ว DAC เหล่านั้นมักจะทำให้รายละเอียดของเสียงที่อยู่ในแต่ละเพลงปรากฏตัวออกมาให้รับรู้ได้ชัดขึ้น บางตัวทำให้เสียงเครื่องดนตรีบางชิ้นโดดเด่นออกมามากขึ้น ขยับขึ้นมาอยู่แถวหน้าทั้งๆ ที่สมัยก่อนแอบยืนอยู่แถวสอง ฟังผิวเผินเหมือนดีขึ้น แต่ทว่า อย่างที่เกริ่นมาตอนต้น DAC เหล่านั้นมันเข้าไปทำให้ “โทน” ของแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้เปลี่ยนไป บิดเบือนไปจากความทรงจำในอดีตทของผมที่มีต่ออัลบั้มนี้ แต่วันนี้ผมฟังอัลบั้มนี้ผ่าน LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้แล้วบอกตรงๆ ว่า “ขนลุก” !! มันให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปพบ puppy love สมัยวัยรุ่น โทนของแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้มันพา (ความทรงจำของ) ผมย้อนกลับไปยุคแรกๆ ที่เริ่มผนึกเพลงเหล่านี้ลงไปในเมมโมรี่ ทุกเสียงที่ DAC + Clock ของ dCS คู่นี้ถ่ายทอดออกมามันคือความทรงจำเดิมๆ ของผมที่ถูก “ขัดเกลา” ให้สะอาดเกลี้ยงเกลามากขึ้น..
ในอัลบั้มนี้ ผมชอบอารมณ์ท่อนเพลง ‘Mother’ มาก ชอบบรรยากาศนัวๆ ของเพลงนี้ที่มันให้ความรู้สึกล่องลอย บริสุทธิ์แต่หดหู่อยู่ในที ซึ่ง DAC รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ chip DAC ส่วนใหญ่จะทำให้เสียงแต่ละเสียงของเพลงนี้ออกมาชัดขึ้น แต่ทำให้ความนัวของบรรยากาศเหือดแห้งไป ซึ่งนี่คือจุดเด่นของ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ เพราะในขณะที่ทำให้รายละเอียดของเสียงมีความเด่นชัดมากขึ้น แต่ยังคงสามารถรักษาโทนคัลเลอร์ของเพลงนี้เอาไว้ได้ นอกจากนั้น ผมยังรู้สึกได้ถึงลักษณะความเป็นสามมิติของเวทีเสียงที่ชัดขึ้นด้วย รับรู้ถึงเลเยอร์ตื้น–ลึกที่ดีขึ้น มีทรง ไม่แบน
“ไทมิ่ง” ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพูดถึง เป็นอีกคุณสมบัติที่โดดเด่นมากสำหรับ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ โดยเฉพาะหลังจากอัพเฟิร์มแวร์เป็น v2.0 ผมรู้สึกได้เลยว่า DAC + Clock คู่นี้มันให้จังหวะของเพลงที่เป๊ะมากขึ้น.. ช้าเป็นช้า เร็วเป็นเร็ว และระหว่างช้ากับเร็ว มันยังมีตรงกลางออกมาให้รับรู้ได้ด้วย (*ตอนฟังเพลงที่เป็นฟอร์แม็ต DSD ยิ่งรับรู้ได้ชัดมากขึ้นไปอีก..)
เสียงของ LINA Network DAC + LINA Master Clock ปรับเปลี่ยนไปตามเพลงที่ป้อนเข้าไป เหมือนมันไม่มีบุคลิกของตัวเองที่ชัดเจน อย่างตอนฟังเพลงที่ให้น้ำหนักเสียงที่รุนแรงอย่าง ‘Your Smiling Face’ ของ James Taylor มันก็ให้เสียงของคิกดรัมที่มีความหนักหน่วง เนื้อแน่นปั๊ก จังหวะจะโคนกระชับคม พอจบปั๊บผมลองเปลี่ยนไปฟังเพลงคลาสสิกแนวแชมเบอร์ พบว่า อารมณ์ของเพลงพลิกวูบไปเป็นคนละโทนในทันที แบบนี้น่าจะเรียกว่ามีความเป็นมอนิเตอร์ทางด้านไทมิ่งก็น่าจะได้..
ลองฟัง DSD
สำหรับการลองฟังสัญญาณอินพุตที่เป็นฟอร์แม็ต DSD64 ที่อยู่ในไฟล์ฟอร์แม็ต DSF64 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาณ DSD ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD นั้น ผมจะเลือกการทำ Upsampling ไปที่ระดับ DSDx2 และเลือกวิธี mapping สัญญาณอินพุตอัพแซมปลิ้งลงไปบน Ring DAC แบบ MAP 1 บ่อยที่สุด เพราะลองเทียบเงื่อนไขอื่นแล้วผมชอบรูปแบบที่ตั้งไว้ข้างต้นมากที่สุด ส่วนฟิลเตอร์ผมเลือก F1 DSD เป็นหลักเพราะเน้นปลดปล่อยเต็มที่ ซึ่งโชคดีที่ชุดแอมป์+ลำโพงทั้ง 3 ซิสเต็มที่ใช้อ้างอิงในการทดสอบครั้งนี้ไม่มี out-of-band noise ที่เป็นเสียงซ่าๆ ออกมา
อัลบั้ม : The Nat King Cole Story (DSF64)
ศิลปิน : Nat King Cole
สังกัด : Analogue Productions / Columbia
อัลบั้ม : Jazz Giant (DSF64)
ศิลปิน : Benny Carter
สังกัด : Contempolary Jazz
ได้ยินเสียงของไฟล์ DSF จาก LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้แล้วต้องร้องว้าววว.. ว้าวว.. ว้าวว..!!! นี่แหละคือสิ่งที่ค้นหามาทั้งชีวิต.! ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ได้ฟังเสียงของ DSD เทียบกับ PCM ผมจะต้องรู้สึกรักพี่+เสียดายน้องอยู่เป็นประจำ คือชอบความเนียนและความต่อเนื่องของ DSD แต่ก็อดเสียดายความสดกับไดนามิกของ PCM ไม่ได้ เป็นแบบมานี้มาตลอด แต่วันนี้บอกเลยว่า ถ้าจะถามถึงที่สุดของ DSD ผมขอเชียร์ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้สุดตัว.!!!
เสียงของ DSD ยุคก่อนเป็นยังไง.? โดยรวมๆ เสียงมันจะออกมาเนียนจริง แต่โทนเสียงจะออกมานุ่มนิ่มมากไปหน่อย ไม่สดและกระชับทันใจ แต่ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้สามารถหลอมรวมเอาจุดเด่นของฟอร์แม็ต PCM กับ DSD เข้ามาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวมากที่สุดที่ผมเคยฟังมา
DAC ในอดีตที่ผมพบว่าให้คุณภาพเสียงของฟอร์แม็ต DSD กับฟอร์แม็ต PCM ออกมาได้ค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจก็มี Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD (* ล่าสุดเป็นเวอร์ชั่น Twenty ก็ยังอยู่ในร่องในรอยเดิม) ซึ่งเป็นตัวที่ผมเอามาฟังเทียบกับ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ด้วย QB-9 DSD Twenty ให้เสียงของฟอร์แม็ต DSD ออกมาหนานุ่ม เนียนสะอาด ทว่า เมื่อเทียบกับแบบ A/B Test ด้วยการสลับฟังไฟล์เพลงเดียวกัน พบว่า คู่ของ LINA Network DAC + LINA Master Clock ให้คุณภาพเสียงที่ก้าวข้ามไปไกลพอสมควร ดีกว่าในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นโฟกัสของตัวเสียงที่คมกว่า ความลื่นไหลของไทมิ่งก็ดีกว่า เนื้อมวลของบอดี้ตัวเสียงก็เข้มข้นและตึงตัวมากกว่า ในขณะที่ QB-9 DSD Twenty จะให้เนื้อมวลที่นุ่มแต่ออกไปทางหลวมๆ หน่อย
ไทมิ่งในการขยับเคลื่อนตัวของเสียงต่างๆ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก อาการหน่วงๆ ช้าๆ ที่เคยรู้สึกว่าเป็นสไตล์ของฟอร์แม็ต DSD ในอดีตหายไปเกือบหมด ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ส่งผลดีต่อ “จังหวะเพลง” ที่ตอบสนองได้ตรงกับเท็มโป้ของเพลงนั้นๆ จากการลองฟังเพลงของ Nat King Cole ชุด ‘The Story Of Nat King Cole’ ผมพบว่า ตอนฟังเพลงเร็วๆ ก็ไม่รู้สึกหน่วงแต่อย่างใด ส่วนเพลงช้าก็รู้สึกได้ว่ามันช้าเพราะจังหวะของเพลงลากไป แต่ลีลาการขับร้องของเน็ท คิง โคล ยังปรากฏรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงของเขาร้องอยู่จริงๆ นั่นคือ ความสดของเสียงที่ปรากฏออกมามากกว่าที่ผมเคยฟังอัลบั้มนี้มาก่อน.. ซึ่งไม่น่าจะเป็นเพราะเพลง แต่เป็นเพราะคุณภาพของ DAC + Clock ของ dCS คู่นี้นี่แหละ.!!
เพื่อยืนยันถึง “ความสด” ของเสียงที่ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ถ่ายทอดออกมา ผมรีบเลือกอัลบั้มที่บันทึกเสียงได้สดมากๆ ออกมาลองวัดผลของ DAC + Clock คู่นี้ทันที..!
ทันทีที่เสียงทรัมเป็ตของ Benny Carter จากเพลง ‘I’m Coming Virginia’ พุ่งแผดออกมาจากลำโพง ประสาทการรับฟังของผมก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างพรวดพราด เพราะมันเป็นเสียงทรัมเป็ตที่มีความสมจริงมาก.! น้ำเสียงที่พรั่งพรูออกมาพร้อมสรรพทั้งความสด เร็ว และเปิดเผย มีพลังอัดฉีดออกมาเต็มเหนี่ยว ฟังแล้วได้อารมณ์เหมือนมีคนมายืนเป่าอยู่ตรงหน้า.!! ซึ่งที่ผ่านๆ มาผมไม่เคยฟังฟอร์แม็ต DSD แล้วได้ยินเสียงที่มีความสดและได้พลังอัดฉีดมากแบบนี้มาก่อน ต้องยกเครดิตให้กับ LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้ไปเต็มๆ..!
อัลบั้ม : Byron Janis plays Moussorgsky; Pictures At An Exhibition (DSF64)
ศิลปิน : Byron Janis
สังกัด : Mercury Living Presence
อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSF64)
ศิลปิน : John Lanchbery & The Royal Opera House
สังกัด : Analogue Productions
ยิ่งฟังเพลงคลาสสิก ยิ่งขยับเข้าไปใกล้สวรรค์มากขึ้น.! เพราะมันได้ทั้งความนวลเนียน ละเมียดละมัยของเนื้อเสียง กอปรกับความโอ่อ่า อลังการของรูปวงเวทีเสียงที่ฉีกขยายไปรอบด้าน ทั้งกว้างขวางและถดลึกไปหลังระนาบลำโพงลงไปเป็นชั้นๆ
เสียงเปียโนของ Byron Janis ที่บรรเลงงานของ Moussorgsky มีทั้งความเปล่งปลั่งของสายและความคมของทรานเชี้ยนต์ที่เกิดจากฆ้อนเคาะที่รับแรงกระแทกมาจากปลายนิ้ว ผสมกับความกังวานของหางเสียงที่ประทุตามออกมาเหมือนพลุไฟ ด้วยความเข้มข้นของรายละเอียดข้อมูลที่ฟอร์แม็ต DSD มีอยู่และถูก LINA Network DAC + LINA Master Clock สกัดมันออกมาได้ครบ ทำให้เสียงของอัลบั้มนี้ฟังดูว่ามีความเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นเสียงแหลมๆ บางๆ เหมือนตอนฟังจากเวอร์ชั่นซีดี ที่ชอบมากคือหัวโน๊ตของเปียโนที่ทั้งคมและแม่นยำ ไม่มีเงาเสียงเข้ามาทำให้โฟกัสเบลอ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเกิดจากประสิทธิภาพของ LINA Master Clock เข้ามามีส่วนอยู่มาก.. เพราะขณะฟังอัลบั้มนี้ ผมได้ทดลองปิดไม่ใช้ สลับกับเปิดใช้ตัว LINA Master Clock ไปๆ มาๆ อยู่หลายหน รู้สึกได้เลยว่า พอไม่ใช้ LINA Master Clock โฟกัสของเสียงหัวโน๊ตเปียโนมันมีอาการมัวลง แรกๆ ก็รู้สึกว่ามันมัวลงไม่เยอะ พอฟังต่อเนื่องไปสักพักให้ Clock ในตัว LINA Network DAC มันเซ็ตตัว จึงเห็นว่ามันมัวลงไปเยอะเหมือนกัน แต่คิดว่า ถ้าตัด LINA Master Clock ออกไปแล้วฟังเฉพาะตัว LINA Network DAC ตัวเดียวไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะกลับมายอมรับสิ่งที่ LINA Network DAC ให้ออกมาได้ (แต่พูดก็พูดเถอะ.. ถ้าไหว อยากจะแนะนำให้จัดแพ็คคู่ไปเลย.!)
นอกจากนั้น เมื่อลองฟังอัลบั้มชุด ‘La Fille Mal Gardee’ ซึ่งเป็นงานเพลงที่ผมโปรดปรานมาก พบว่าสิ่งที่ว้าวว.. มากที่สุดก็คือ “แอมเบี้ยนต์” ที่คละคลุ้ง อบอวล กระจายไปทั่วบริเวณพื้นที่ของเวทีเสียงที่แผ่กว้างออกไปรอบด้าน ส่งผลให้เกิดเป็น “ความฉ่ำ” ระรื่นหู ชวนฟัง เป็นอีกครั้งที่ผมฟังอัลบั้มชุดนี้ด้วยความรู้สึกสุขจนล้น
อัลบั้ม : Now The Green Blade Riseth (DSF128)
ศิลปิน : The Stockholm Catheldral Choir, Gustaf Sjokvist
สังกัด : Naxos (2xHD Mastering)
อัลบั้ม : DSD Showcase No. 3 (DSF128)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Opus3
ช่วงท้ายๆ ของการทดสอบผมทดลองเล่นไฟล์เพลง DSF128 ที่ผมโหลดซื้อมาจากเว็บไซต์ NativeDSD.com พบว่ามันให้เสียงออกมาดีมากๆ.!! ว้าวหนักเข้าไปอีก พูดได้เลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฟังดีที่สุดนับตั้งแต่โหลดซื้ออัลบั้มเหล่านี้มา.!!!
ฟังเสียงร้องประสานในอัลบั้มชุด ‘Now The Green Blade Riseth’ แล้วขนลุกเกรียว.. เพราะที่ได้ยินมันสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่า หรูหรา มลังเมลือง เป็นโทนเสียงที่มีความละเมียดละมัยอย่างมาก เนื้อเสียงเนียนกริ๊บ ไร้ซึ่งความรู้สึกของสิ่งแปลกปลอมใดๆ ในน้ำเสียงนั้น เมื่อหลับตาฟังจะทำให้เกิดบรรยากาศเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในโบสถ์ นั่งอยู่ต่อหน้าวงประสานเสียงขนาดใหญ่ที่มีทั้งกลุ่มนักร้องชาย–หญิงและเด็กหลายสิบคน ที่น่าขนลุกคือความรู้สึกของมวลบรรยากาศ ที่เกิดจากออร์แกนท่อซึ่งแผ่ขยายออกไปได้ไกลมาก เหมือนกลุ่มหมอกที่ค่อยๆ แผ่ซ่านไปตามพื้น ซึ่งในคอลเลคชั่นของผมก็มีทั้งเวอร์ชั่น PCM และ DSD ของอัลบั้มชุดนี้อยู่ หลังจากได้ยินเสียงของเวอร์ชั่น DSD128 นี้แล้ว ต้องยอมรับเลยว่า นี่คือเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา..!!
มีไฟล์ DSF128 อีกเพลงจากค่าย Opus3 ที่ฟังผ่าน LINA Network DAC + LINA Master Clock แล้วถึงกับหูผึ่ง.!! นั่นคือเพลง ‘House Of The Rising Sun’ ที่ร้องโดยซินดี้ ปีเตอร์ แบ็คอัพด้วยเสียงเพอร์คัสชั่นกับกีต้าร์โปร่งโดยเอริค บิบพ์ เพลงนี้พิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก ทรานเชี้ยนต์” ได้ดี จากในอดีตที่เคยลองฟังกับ DAC ยุคก่อนๆ แล้วเสียงออกมานุ่มนิ่มจนออกไปทางน่วม ไทมิ่งก็เฉื่อยช้าไม่น่าฟัง แต่เมื่อได้ฟังผ่าน LINA Network DAC + LINA Master Clock คู่นี้แล้ว บอกเลยว่า “ใช่!” มันต้องแบบนี้ คือสัญญาณเสียงที่มีสเปคฯ ถึงระดับ DSD128 ต้องให้ความละเอียดสูงมากแบบนี้ เสียงต้องเนียนแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ในแง่ไทมิ่งของเสียงก็ต้องออกมาตรงกับจังหวะของเพลงโดยไม่มีอาการเฉื่อย (DAC ยุคก่อนๆ นี้ฟังไฟล์ที่มีความละเอียดสูงๆ ระดับนี้เสียงจะออกมาเฉื่อย ไม่สดสมจริง) เสียงเครื่องเคาะโลหะก็ต้องให้ทรานเชี้ยนต์ฯ ที่เร็วและฉับไวแบบนี้ หัวเสียงเครื่องเคาะโลหะต้องมาครบ ทั้งความคม ฉับไว มีน้ำหนัก และกังวานใส ซึ่ง DAC + Clock ของ dCS คู่นี้ทำได้ทุกอย่างที่กล่าวมาได้อย่างไม่มีที่ติ..!!!
อัลบั้ม : รวมเพลง ตลับทอง ชุดที่ 1 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : รวมศิลปิน
สังกัด : แกรมมี่
อัลบั้ม : ที่สุดของที่สุด 1 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : ดนุพล แก้วกาญจน์
สังกัด : นิธิทัศน์
ขณะลองฟังไฟล์ DSF128 มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเผลอไปเปิดเพลงไทยฟังโดยที่ฟังท์ชั่น Upsampling ยังคงเป็น DSDx2 จากที่เลือกไว้ตอนลองฟังฟอร์แม็ต DSD ปรากฏว่าเสียงออกมาดีมาก.!! เนื้อเสียงออกแนวนุ่มหนา นวลเนียนเป็นพิเศษ ในขณะที่สปีดก็ไม่เฉื่อย พอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนลองฟังฟอร์แม็ต PCM ที่เป็นเพลงสากลของสังกัดไฮเอ็นด์ฯ ทั้งที่เป็นไฟล์ที่มีความละเอียดระดับ 16/44.1 และไฮเรซฯ ผมชอบเสียงตอนใช้ Upsampling เป็น DXD มากกว่าตั้งอัพแซมปลิ้งไว้ที่ DSD เพราะเสียงมันสดกว่า แต่พอผมทดลองอัพฯ ไปที่ DSDx2 ปรากฏว่า เสียงที่ออกมาโดยรวม “ดีกว่า” อัพเป็น DSD พอสมควร ความนุ่มเนียนของเนื้อเสียงดีขึ้นมาก แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ “ไดนามิก” ซึ่งพออัพฯ เป็น DSDx2 จะได้ทรานเชี้ยนต์ไดนามิกที่สวิงได้เร็วกว่าตอนอัพฯ เป็น DSD แต่ไม่เร็วเท่าอัพฯ เป็น DXD
ถ้าฟังเพลงไทย ผมชอบอัพฯ ขึ้นไปที่ DSDx2 มากที่สุด.!! เพราะมันได้ความสดเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการอัพฯ เป็น DSD ธรรมดา แม้ว่าจะยังไม่สดเท่าอัพฯ เป็น DXD แต่ได้ความนวลเนียนของเนื้อเสียงและคอนทราสน์ ไดนามิกที่ทำให้มูพเม้นต์ของเสียงออกมาราบลื่นสุดๆ เข้ามาชดเชย ซึ่งผมว่าลงตัวมากที่สุด
สรุป
เมื่อได้ทดลองฟังมาจนครบทุกกระบวนท่าแล้ว ต้องขอสรุปว่า เสียงของ dCS LINA Network DAC + LINA Master Clock มันช่างลึกล้ำ.. เหนือจินตนาการจริงๆ..!!!
เพราะปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับเพลง มันเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือคำอธิบายใดๆ มันคือความเชื่อมโยงระหว่าง “จิตใจ” (human mind) กับ “เพลง” (music) ผ่านทางสื่อกลางคือ “เสียง” (audio) ซึ่งเครื่องเสียงบางชุดสามารถสร้างความเชื่อมโยงที่ว่านี้ออกมาได้ คือมันมีความสามารถในการ “ดึง” ความรู้สึกของผู้ฟังเข้าไปหา “เพลง” ที่ฟัง และทำให้ความรู้สึกของผู้ฟังเกาะเกี่ยวผูกพันธ์อยู่กับเพลงนั้นอย่างต่อเนื่อง แนบเน่น ตลอดเวลา ซึ่งผู้ฟังที่มีความเป็นดนตรีในใจเมื่อได้ฟังเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นจะรับรู้ได้ทันทีถึงความเชื่อมโยงนั้น ในขณะที่เครื่องเสียงบางชุดกลับทำแบบนั้นไม่ได้ คือไม่สามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างคนฟังกับเพลงในระดับลึกซึ้งขึ้นมาได้ แม้ว่าผู้ฟังจะใช้เวลาฟังมันนานแค่ไหนก็ไม่เกิดความเชื่อมโยงในระดับที่ว่า
เครื่องเสียง (hifi equipment) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่มีหน้าที่สร้างเสียง (audio) ออกมา ทว่า เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์ว่า นักออกแบบเครื่องเสียงมีวิธีการในการทำให้ “เสียง–ของ–เพลง” ที่ถูกสร้างออกมาด้วยอุปกรณ์เครื่องเสียง สามารถสร้าง “ความรู้สึกเชื่อมโยง” ระหว่าง “จิตใจของผู้ฟัง” (human mind) กับ “เพลง” (music) ขึ้นมาได้อย่างไร.? พวกเขาใช้วิธีไหนในการวิเคราะห์เพื่อให้รู้ว่า “ความรู้สึกเชื่อมโยง” ระหว่าง “จิตใจของผู้ฟัง” (human mind) กับ “เพลง” (music) มันซ่อนอยู่ตรงไหนของวงจรอิเล็กทรอนิค.? มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับภาคจ่ายไฟ.? คอมโพเน้นต์ต่างๆ ที่กอปรขึ้นมาเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียง อย่างเช่น หม้อแปลง, คาปาซิเตอร์, รีซีสเตอร์ ฯลฯ เหล่านี้ มันเกี่ยวข้องกับความเชื่อมโยงระหว่างคนฟังกับเพลงในแง่ไหน.???
แน่นอนว่า หม้อแปลงที่ดี–, คาปิซิเตอร์ที่ดี–, รีซีสเตอร์ที่ดี— ฯลฯ ต่างก็มีคุณสมบัติที่เป็นมาตรฐานของแต่ละสิ่งเหล่านั้น สามารถตรวจวัดและยืนยันด้วยสเปคฯ ได้ แต่ทว่า การนำเอาคอมโพเน้นต์ที่ว่าดีๆ เหล่านั้นมารวมกันในเครื่องเสียงชิ้นหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะทำให้เครื่องเสียงชิ้นนั้นมีคุณสมบัติในการสร้าง “ความเชื่อมโยง” ระหว่างคนฟังกับเพลงขึ้นมาได้ หรือว่า อุปกรณ์คอมโพเน้นต์แต่ละชิ้นมันมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสเปคฯ อีก เป็นไปได้มั้ยว่า.. ต้นเหตุที่ทำให้เกิด “ความเชื่อมโยง” ที่ว่านั้นมันมาจากคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่ไม่ได้ระบุอยู่ในสเปคฯ ..?? หรือมันจะเกิดจากความ “ผสมผสาน” ที่ลงตัวของอุปกรณ์ทั้งหมด..?? ซึ่งนี่คือ “ศิลปะ” ของการออกแบบโดยแท้จริง.!!!
ความสามารถในการ “เชื่อมโยง” คนฟังเข้ากับเพลงที่ฟังถือว่าเป็นคุณสมบัติที่เครื่องเสียงดีๆ ทุกตัวมีอยู่ในตัว นับเป็นคุณสมบัติระดับ “เบื้องต้น” ของเครื่องเสียงที่ดี แต่หลังจากสมาธิของคนฟังถูกดึงให้ “เชื่อมโยง” เข้ากับเพลงที่ฟังแล้ว ต่อจากนั้นจึงค่อยเข้าสู่สถาวะ “อิ่มเอิบ” ไปกับลีลาและอารมณ์ของเพลง ซึ่งอุปกรณ์เครื่องเสียงที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ของ “ความอิ่มเอิบ” ขึ้นมาได้ จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสกัดเอา “ลีลา+อารมณ์” ของศิลปินแต่ละคนที่บรรเลงอยู่ในเพลงนั้นออกมาได้หมดจดมากแค่ไหน ถ้าสามารถสกัดออกมาได้มาก ก็จะสามารถสร้าง “ความอิ่มเอิบ” ใจให้กับผู้ฟังได้มากเช่นกัน.!!
Network DAC + Master Clock ของ dCS รุ่น LINA คู่นี้มีคุณสมบัติในการ “เชื่อมโยง” ผมเข้ากับเพลงได้ง่ายมาก แค่ใช้เวลาฟังไม่กี่นาที (หลังจากเบิร์นฯ เข้าที่แล้ว) สมาธิของผมก็โดนโน้มน้าวเข้าไปหาเพลงได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้น เมื่อนั่งฟังต่อเนื่องไปอีกหน่อย ผมก็ถูกห้อมล้อมด้วยลีลาของเพลงที่ทั้งหว่านล้อม ชักจูง สอดแทรก และชอนไชเข้าไปในจิตใจ โอบอุ้มความรู้สึกของผมให้ล่องลอยและเคลื่อนคล้อยไปตามอารมณ์ของเพลงได้อย่างแนบแน่น เกาะติดไปตลอดทุกเสี้ยววินาทีของบทเพลงที่ดำเนินไป ซึ่งประเด็นหลังนี่แหละคือคุณงามความดีของ dCS LINA คู่นี้ ซึ่งไม่ใช่ว่า DAC ราคาสูงๆ ทุกตัวจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้..!!!
DAC บางตัวทำได้แค่ขั้นตอน “เชื่อมโยง” ให้เกิดความรู้สึกปฏิสัมพันธ์กับเพลงที่เปิดผ่าน DAC ตัวนั้นออกมา ทำให้สัมผัสถึงความสวยงามของ “โครงสร้างภายนอก” (มิติ, โฟกัส, เวทีเสียง) ของเพลงเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถมากพอที่จะ “โน้มน้าว” และ “ดึงดูด” จิตใจของผู้ฟังให้โอนอ่อนไปตามลีลาอารมณ์ (ไทมิ่ง) ของเพลงได้อย่างลุ่มลึกลงไปถึง “ความหมาย” ที่โน๊ตแต่ละตัวในเพลงนั้นต้องการสื่อสารกับเรา.. ซึ่งนี่คือความพิเศษที่ dCS LINA คู่นี้ทำให้เกิดขึ้นกับผม..!!! /
********************
ราคา :
dCS LINA Network DAC = 520,000 บาท / ตัว
dCS LINA Master Clock = 300,000 บาท / ตัว
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท Deco2000
โทร. 089-870-8987
facdebook: @DECO2000Thailand