Usher Audio Technology ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกสั้นๆ ว่า Usher Audio (ผมก็จะขอเรียกสั้นๆ ตามนี้ด้วย) เป็นแบรนด์ผู้ผลิตแอมป์และลำโพงสัญชาติไต้หวันที่มุ่งเน้นตลาดไฮเอ็นด์ฯ เป็นหลัก ด้วยแนวคิดที่ว่า ทำของดีที่มีราคาไม่สูง เพื่อให้นักเล่นฯ ที่เน้นคุณภาพเสียงสามารถเอื้อมถึง ซึ่งกำเนิดของแบรนด์นี้มีประวัติที่น่าสนใจ..
ตั้งขึ้นเมื่อ ปี 1972 เริ่มต้นจากร้านเครื่องเสียงเล็กๆ ที่ดำเนินกิจการโดย Lien-Shui Tsai นักเล่นฯ ที่มีความหลงไหลเครื่องเสียงแบบเข้าเส้น เขาเริ่มต้นทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกมาด้วยการทำเพาเวอร์แอมป์ที่อาศัยดีไซน์ของ Nelson Pass เป็นต้นแบบออกมาก่อน จากนั้นก็มาเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางด้านลำโพงโดยมีนักออกแบบลำโพงระดับโลกนั่นคือ Dr. Joseph D’Appolito มาช่วยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้
“… USHER always takes a scientific approach to engineering, and supports it with imagination and extensive, pains-taking experiements and listening tests.”
จะสังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะทำแอมป์หรือลำโพง Lien-Shui Tsai ใช้วิธีอาศัย “มืออาชีพ” ที่ได้รับการยอมรับในวงการมาเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นสานฝันของเขา เหตุผลก็เพราะเขาเชื่อว่า เบื้องหลังความสำเร็จในการออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการใช้ “หลักการทางวิทยาศาสตร์” มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบ เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้ตรงตามมาตรฐานทางอิเล็กทรอนิคโดยไม่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนทางเทคนิคซะก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้ความเข้มข้นในการตรวจสอบและการทดลองฟังอย่างจริงจังเข้ามาทำการปรับจูนให้ได้แนวเสียงออกมาตามที่ต้องการในขั้นตอนสุดท้าย
Usher Audio R-1.5
โคลนนิ่งตัวตึงของ Threshold S/300
ปี 1972 ตอนที่ Lien-Shui Tsai เจ้าของและหัวหน้าทีมออกแบบของ Usher Audio ตัดสินใจทำเพาเวอร์แอมป์รุ่นนี้ออกมานั้น สิทธิบัตรในการออกแบบของเพาเวอร์แอมป์ยี่ห้อ Threshold รุ่น S/300 Stasis ที่เนลสัน พาสขึ้นทะเบียนไว้ได้หมดอายุลง และตัวเนลสัน พาสเองก็ยินดีเปิดให้ใครก็ได้นำวงจรของเขาไปใช้ในการออกแบบได้อย่างเสรี นั่นคือจุดเริ่มต้นของ R-1.5 เพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตจตัวแรกของแบรนด์ Usher Audio จากประเทศไต้หวัน
โคลนนิ่งให้ถึงกึ๋นจริงๆ มันต้องโคลนหน้าตาออกมาด้วย.!

หน้าตาของ Threshold S/300

ในช่วงชีวิตของเพาเวอร์แอมป์ Threshold S/300 (ตัวบน) มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบนตัวถังเครื่องแค่เล็กน้อยในขณะที่รูปร่างภายนอกส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิมมาตลอด เมื่อเทียบกับ Usher Audio R-1.5 (ตัวล่าง) จะเห็นว่า ทาง Usher Audio ทำรูปร่างหน้าตาออกมาคล้ายกันมาก.!
เนลสัน พาส สร้าง Threshold S/300 ขึ้นมาด้วยมาตรฐานของนักออกแบบจากฟากฝั่งอเมริกัน คือตัวถังต้องใหญ่และแน่นหนาแข็งแรง เนื่องจากแอมป์ของทางฝั่งอเมริกันจะถูกใช้ขับลำโพงขนาดใหญ่ จึงต้องการกำลังสำรองสูงๆ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในตัวแอมป์แต่ละส่วน โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับภาคจ่ายไฟที่ต้องมีขนาดใหญ่ หลักๆ ก็คือ “หม้อแปลง” ซึ่งถ้าสังเกตแอมป์ที่มีตัวเลขกำลังขับพอๆ กัน (วัดที่โหลดมาตรฐาน 8 โอห์มเท่ากัน) จะพบว่า แอมป์จากทางฝั่งอเมริกันจะใช้หม้อแปลงที่มี “ขนาดใหญ่กว่า” แอมป์ของทางฝั่งอังกฤษ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ Usher Audio R-1.5 ซึ่งโคลนนิ่งมาจาก Threshold S/300 จึงมีรูปร่างหน้าใหญ่โต “ย้อนยุค” อย่างที่เห็น
ปราณีต..

แผงหน้าของ R-1.5 ทำด้วยอะลูมิเนียมที่มีความหนาถึง 1 ซ.ม. มีความกว้าง = 48 ซ.ม. (19.2 นิ้ว) x สูง = 22.5 ซ.ม. (9 นิ้ว) ปูเป็นฐานล่างทั้งแผง โดยมีแผ่นอะลูมิเนียมที่หนา 1 ซ.ม. เท่ากัน แต่ตัดเป็นแผ่นที่เล็กลง ขนาดความกว้าง = 13 นิ้ว, สูง = 7.5 นิ้ว ปิดทับบนแผ่นฐาน กลายเป็นการเล่นสเต็บของแผงหน้าที่นูนขึ้นมาเป็นสองระดับ ช่วยเพิ่มมิติให้มากขึ้น แถมแผ่นบนนี้ยังมีการปาดเหลี่ยมลดคมด้วย ทำให้รวมๆ ดูดีขึ้นมาก
เนื่องจากน้ำหนักของ R-1.5 ที่มากถึง 37 กิโลกรัม ประกอบกับด้านข้างของตัวถังมีแผงฮีทซิ้งค์ที่ใช้ระบายความร้อยติดตั้งอยู่ ยากต่อการจับยก ทางผู้ผลิตจึงออกแบบหูจับอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ให้ที่ด้านข้างของแผงหน้าทั้งสองด้าน เพื่อใช้สำหรับยกเครื่องเวลาเคลื่อนย้าย (น้ำหนักเยอะมาก เวลาเคลื่อนย้ายให้ใช้ความระมัดระวังด้วย)


แผ่นอะลูมิเนียมที่ปิดทับบนแผ่นฐานถูกเจาะเป็นช่อง 2 ช่อง ช่องแรกครอบเป็นพื้นที่กรอบของสวิทช์เบรคเกอร์สีดำๆ ที่ใช้เปิด/ปิดเครื่อง (ภาพบน) โดยมีโลโก้แบรนด์แผ่นสีทอง กับไฟ LED สีฟ้าที่ใช้แสดงสถานะของเครื่องติดตั้งอยู่ด้านบนของสวิทช์เปิด/ปิดตัวนี้ (ไฟสว่างตอนเปิด/ดับตอนปิด) ซึ่งส่วนตัวผมชอบสวิทช์เปิด/ปิดของ R-1.5 มาก แม้ว่าตอนแรกจะรู้สึกแปลกๆ ตรงที่สวิทช์มันแข็งมาก ต้องใช้แรงเยอะกว่าการกดสวิทช์ปกติทั่วไป เหตุผลก็เพราะว่ามันเป็นเบรคเกอร์ที่มีหน้าสัมผัสที่ใหญ่และใหัการแตะยึดที่แน่นหนามากเป็นพิเศษนั่นเอง หลังจากใช้งานมาสักระยะก็เริ่มชินกับมันและเริ่มชอบเพราะรู้สึกได้ถึงความมั่นคง แน่นอน และด้วยส่วนตัวมีความเชื่อว่า สวิทช์ที่มีหน้าสัมผัสแน่นๆ แบบนี้น่าจะมีส่วนทำให้เสียงดีด้วย
ส่วนอีกช่องจะถัดมาทางด้านซ้ายของแผงหน้า ครอบเป็นกรอบอยู่บนข้อความที่แสดงชื่อยี่ห้อ, ชื่อรุ่น ซึ่งพิมพ์อยู่บนแผ่นฐานล่าง
แผงหลัง..


1 = ขั้วต่อ RCA และ XLR สำหรับอินพุตแชนเนลขวา (Right channel)
2 = ขั้วต่อ RCA และ XLR สำหรับอินพุตแชนเนลซ้าย (Left channel)
3 = สวิทช์โยกสำหรับเลือกอินพุตระหว่าง RCA กับ XLR
4 = สวิทช์โยกสำหรับเลือกการทำงานของแอมป์ระหว่าง “บริดจ์โมโน” กับ “สเตริโอ”
5 = ขั้วต่อสายลำโพงสำหรับสัญญาณเอ๊าต์พุตแชนเนลซ้าย (Left channel)
6 = ขั้วต่อสายลำโพงสำหรับสัญญาณเอ๊าต์พุตแชนเนลขวา (Right channel)
7 = ที่ใส่ฟิวส์
8 = เต้ารับหัวปลั๊กของสายไฟเอซีแบบสามขา
ช่องทางต่อเชื่อมสัญญาณและไฟเอซีเข้าเครื่องถูกจัดตั้งไว้ที่แผงหลังทั้งหมด แต่ละจุดใช้อุปกรณ์คุณภาพดี อย่างเช่นขั้วต่อสายลำโพงของ WBT (5, 6) แบบไบดิ้งโพสต์ที่เชื่อมต่อสายลำโพงได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ปลอกสายเปลือย, ผ่านขั้วต่อบานาน่า ไปจนถึงขั้วต่อแบบหางปลา ให้การจับยึดที่แน่นหนา และถ่ายทอดสัญญาณได้ดีด้วยการชุบเคลือบผิวของส่วนที่เป็นตัวนำสัญญาณด้วยทอง
Threshold S/300 ในอดีตมีเวอร์ชั่นซิงเกิ้ลเอ็นด์ที่ใช้ขั้วต่อสายสัญญาณ RCA กับเวอร์ชั่นที่มีบาลานซ์ที่ใช้ขั้วต่อ XLR ให้เลือก ซึ่งเวอร์ชั่นที่มีขั้วต่อบาลานซ์ราคาสูงกว่าพอสมควร สำหรับ Usher Audio ก็ใช้หลักการเดียวกัน ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบมีทั้งอินพุต RCA และ XLR สำหรับแชนเนลซ้ายและขวา (1, 2) ซึ่งตอนใช้งานคุณต้องไม่ลืมเลื่อนสวิทช์ตรงหมายเลข 3 ให้ตรงกับลักษณะของขั้วต่อที่คุณใช้ต่อสายสัญญาณด้วย ถ้าสวิทช์อยู่ไม่ตรงตำแหน่งเสียงจะไม่ดัง
R-1.5 ให้ฟังท์ชั่นพิเศษมาอย่างหนึ่ง นั่นคือ Bridge Mono เพื่อดึงกำลังของแอมป์ที่จ่ายให้กับแชนเนลซ้ายและขวาเข้ามารวมกันเป็นแชนเนลเดียวหรือโมโน ซึ่งมีข้อดีคือทำให้ได้กำลังขับสูงขึ้น ถ้าต้องการใช้ฟังท์ชั่นนี้คุณต้องเริ่มด้วยการโยกสวิทช์หมายเลข 4 ไปทางด้านที่มีคำว่า Bridged Mode (Mono) โดยใช้ช่องอินพุตด้านขวา (Right Channel) ส่วนขั้วต่อสายลำโพงใช้เชื่อมต่อจากขั้วบวกของซีกซ้ายและขวาเท่านั้น
ดีไซน์หลักๆ
Threshold S/300 แสดงรายละเอียดกำกับไว้บนแผงหน้าชัดเจนว่าเป็น Class A/AB ในขณะที่ Usher Audio R-1.5 เลือกใช้คำว่า Ideal Class A แทน ซึ่งก็น่าจะมีความมายไปทางเดียวกันคือเป็นแอมป์ Class A/AB เนื่องจากตอนทำงานบนตัวเครื่องไม่ได้มีความร้อนสูงมาก แค่อุ่นๆ เท่านั้น (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใช้ฮีทซิ้งค์ขนาดใหญ่จึงช่วยระบายความร้อนได้ดี)

เท่าที่ขุดค้นข้อมูลของ R-1.5 ผมพบว่า ในเว็บไซต์ของ Usher Audio เองก็แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับแอมป์ตัวนี้ เท่าที่จะหาข้อมูลได้มากหน่อยก็จากรีวิวของ Juan C. Ayllon ที่ตีพิมพ์ไว้ในสื่อออนไลน์ Positive-Feedback เมื่อวันที่ 4 เดือนสิงหาคม ปี 2022 ที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งในรีวิวนั้น อ้างถึงคำพูดของผู้นำเข้า Usher Audio ในยูเอสว่า ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างกับแอมป์ตัวนี้ สาเหตุก็เพราะอะไหล่บางชิ้นหาไม่ได้แล้วหรือถ้ายังมีก็มีคุณภาพไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือส่วนของภาคจ่ายไฟ นอกจากนั้น วิศวกรของ Usher Audio เองยังได้ทำการอัพเกรดในภาคอินพุตและการปรับไบอัสไปจากเดิมด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่า เสียงของ Usher Audio R-1.5 กับ Threshold S/300 น่าจะแตกต่างกันพอสมควร
ส่วนประกอบหลักๆ ที่ใช้ R-1.5 ก็ยังคงเป็นแบบเดียวกับที่ Threshold ใช้อยู่ในรุ่น S/300 อย่างเช่น ทรานซิสเตอร์ก็ยังใช้ bipolar ของ Motorola ข้างละ 8 คู่, ใช้หม้อแปลงแกน EI, ใช้ตัวต้านทานแบบเมทัลฟิล์มเกรดทหาร, ใช้ op-amp ของ Burr-Brown เบอร์ OPA2134P ในส่วนของอินพุต
สเปคฯ ของ R-1.5 กับการแม็ทชิ่ง
R-1.5 ให้กำลังขับแชนเนลละ 150W ที่โหลด 8 โอห์ม และสามารถปั๊มกำลังออกมาได้ถึง 260W เมื่อโลหดที่เอ๊าต์พุตถูกดึงให้ต่ำลงไปอยู่ที่ 4 โอห์ม แสดงว่ามีกำลังสำรองอยู่ประมาณ 86% ซึ่งก็ถือว่าเยอะมาก และในสเปคฯ มีแจ้งด้วยว่าที่โหลด 4 โอห์มสามารถจ่ายกระแสได้มากกว่า 16 แอมป์ และสามารถจ่ายกระแสให้กับสัญญาณฉับพลันได้สูงกว่า 75 แอมป์ โดยมีอัตราแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ มากกว่า 175 (เมื่อรับสัญญาณเข้าทางช่อง RCA) นับเป็นสเปคฯ ที่โชว์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการควบคุมลำโพงที่ดีเยี่ยมสำหรับเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับเท่านี้
กำลังขับ 150W ที่ 8 โอห์ม กับกำลังสำรองแปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์นับว่ามากพอสำหรับใช้ขับดันลำโพงระดับกลางสูงลงไปได้อย่างสบาย ผมทดลองใช้ R-1.5 ขับลำโพงจำนวน 5 คู่ ที่มีอยู่ในห้องฟังขณะทดสอบแอมป์ตัวนี้ ซึ่งลำโพงแต่ละคู่มีสเปคฯ ที่สำคัญตามตารางด้านล่างนี้

ในจำนวนทั้ง 5 คู่ ข้างต้นนั้น มี Usher Audio รุ่น ML-801 กับ Audio Physic รุ่น Classic 8 แค่สองรุ่นที่เป็นลำโพงตั้งพื้น ส่วนอีก 3 คู่ ที่เหลือเป็นลำโพงวางขาตั้ง ซึ่งหากดูจากสเปคฯ ของลำโพงแต่ละคู่ในตารางข้างบนนี้ในหัวข้อ “กำลังขับที่แนะนำ” (Power Recommendation) จะพบว่า กำลังขับสูงสุดของแอมป์ที่ลำโพงรับได้ (Power handling) จะอยู่ที่ 250W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม ซึ่งเป็นสเปคฯ ของ Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 รองลงมาคือ 200W ต่อข้างของ Mission 770 นอกนั้นที่เหลือก็เป็น 150W (Audio Phusic Classic 8 และ Harbeth M30.2 XD) กับ 160W (Usher Audio ML-801)

พิจารณาจากสเปคฯ ลำโพงทั้ง 5 คู่ ในตารางข้างบนนั้นแล้ว คู่ที่น่าจะขับได้สบายที่สุดสำหรับ R-1.5 ก็คือ Classic 8 (REVIEW) เพราะคู่นี้ต้องการกำลังขับสูงสุดที่ 150W ก็จริง แต่ด้วยโหลด 4 โอห์ม ซึ่งหากวัดกันที่โหลด 4 โอห์มแล้ว กำลังขับของ R-1.5 จะทะยานไปได้ถึง 260W เกินพอแบบเหลือๆ สำหรับ Classic 8 ซึ่งจากการทดลองฟังจริงก็ออกมาในทิศทางนั้น R-1.5 ขับ Classic 8 ออกมาได้แบบชิลๆ มาก เสียงที่ออกมาเปิดกระจ่างและแผ่กว้างเต็มห้อง ไดนามิกสวิงได้เต็มเหยียด ไม่มีอั้นทั้งๆ ที่ใช้วอลลุ่มไปไม่มาก ฟังจากน้ำเสียงแล้วรู้สึกได้เลยว่า ลำโพงปล่อยออกมาเต็มที่แล้วแต่แอมป์ยังเหลืออีกเยอะ..!!!

ส่วนอีกคู่คือ M30.2 XD ที่ระบุในสเปคฯ ว่ารองรับกำลังขับสูงสุดอยู่ที่ 150W ด้วยโหลด 6 โอห์ม ซึ่งก็ไม่โหดเลย เพราะถ้าคำนวนกำลังขับของ R-1.5 ไปที่โหลด 6 โอห์ม ก็จะได้ตัวเลขสูงกว่า 150W ขึ้นไปอีกประมาณ 50% รวมๆ แล้วก็อยู่ราวๆ 225W ซึ่งก็เกินพอสำหรับ M30.2 XD แม้ว่าสเปคฯ ความไวของ M30.2 XD จะอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าคู่อื่นๆ ทั้งหมดคืออยู่ที่ 85dB แต่จากการทดลองฟังจริงก็ไม่พบว่าจะเป็นปัญหาสำหรับ R-1.5 แค่ว่าผมต้องเร่งวอลลุ่มที่ปรีแอมป์ให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อให้ได้ความดังจาก M30.2 XD เพียงพอที่จะถมพื้นที่อากาศในห้องให้เต็มอิ่มเท่านั้นเอง แต่เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงที่ออกมาก็พบว่ามันให้สนามเสียงที่แผ่เต็มห้องได้สบายๆ มีข้อมูลทางเทคนิคของ M30.2 XD อยู่ข้อหนึ่งที่ช่วยสนับสนุน นั่นคือตัวเลขความถี่ตอบสนองของลำโพงคู่นี้ที่จำกัดเอาไว้แค่ช่วง 50Hz – 20kHz เท่านั้น จึงช่วยลดภาระของแอมป์ไปได้ส่วนหนึ่ง (*ปกติแล้ว ถ้าสเปคฯ ความถี่ตอบสนองลงไปทางด้านต่ำเยอะๆ จะกินกำลังมากขึ้น)

กับ Mission 770 ก็เป็นงานขนมสำหรับ R-1.5 แม้ว่าตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่ 770 รองรับได้ ซึ่งระบุไว้ในสเปคฯ คือ 200W ที่ 8 โอห์ม แต่จากการทดลองฟังจริง พบว่า กำลังขับ 150W ที่ R-1.5 มีอยู่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการขับดันรายละเอียดของเสียงออกมาจากลำโพงอังกฤษคู่นี้ได้อย่างหมดเปลือก สังเกตได้จากเวทีเสียงที่ฉีกกระจายออกไปจากตัวตู้ได้อย่างหมดจด และที่สำคัญคือเสียงเบสที่ถูกควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยได้อย่างกะแมวเชื่องๆ ซึ่งตอนแรกที่เห็นขนาดของท่อระบายเบสที่แผงหน้าของลำโพงคู่นี้แล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าถ้าเล่นเพลงที่เบสเยอะๆ หนักๆ อย่างอัลบั้มชุด The Virtuoso Chinese Percussion ของ Yim-Hok Man แล้วเบสจะล้นมั้ย.? แต่ปรากฏว่า แด้มปิ้งแฟ็กเตอร์ของ R-1.5 ที่ระดับ >175 เอาอยู่สบายเลย เบสของ 770 มีทั้งรายละเอียดของหัวเสียงที่คม กระชับ และบอดี้ที่อวบอิ่ม แน่นและหนา แถมด้วยหางเสียงที่ถูกคุมให้แผ่ตัวออกไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่ฟุ้ง ไม่แตกซ่าน สรุปคือ R-1.5 ควบคุม Mission 770 ได้อยู่หมัด.. ทุกเม็ด.!!

คู่ที่ผมกังวลใจมากที่สุดคือ Usher Audio ML-801 เพราะมันเป็นลำโพงตั้งพื้นที่มีตัวตู้ค่อนข้างใหญ่ ทว่า สเปคฯ ของ Usher Audio ML-801 กลับไม่ดุเหมือนรูปร่างหน้าตาของมัน กับตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่รับมือได้อยู่ที่ 160W ที่โหลด 6 โอห์ม นั้นถือว่าเป็นงานง่ายสำหรับ R-1.5 ถึงแม้ว่าย่านเสียงที่ครอบคลุมจะค่อนข้างกว้างคือ 28Hz – 38kHz แต่ด้วยความไวระดับปานกลางที่ 87dB ทำให้ภาระของ R-1.5 ลดลงไปได้เยอะเมื่อจับกับ ML-801 ซึ่งผลทางเทคนิคเหล่านี้ไปปรากฏกับเสียงที่ได้ยินจากการทดลองจับคู่กัน ซึ่งเสียงเบสที่ ML-801 เป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่า R-1.5 ควบคุมไดเวอร์ของ ML-801 ได้อย่างสบาย เอาอยู่ตลอดทุกระดับความดังของเสียง ที่ถูกใจมากๆ คือ R-1.5 คุมเบสของ ML-801 ออกมาได้เยี่ยมมาก (เป็นเพราะตัวตู้ที่แน่นหนาของ ML-801 ด้วย) ได้ออกมาครบถ้วนทั้งความแน่น ความหนัก สปีด และรายละเอีดของโน๊ตเบสที่แยกแยะออกมาได้อย่างน่าพอใจ (*ต้องไม่ลืมว่า ทั้ง R-1.5 และ ML-801 ใช้ชื่อยี่ห้อเดียวกัน พวกเขาคงจะจูนด้วยแอมป์ของเขาเอง.!)

กลายเป็นว่า โจทย์ยากที่สุดสำหรับ R-1.5 ก็คือ Element ‘FIRE’ v2 เพราะดูจากตัวเลขสูงสุดที่ Element ‘FIRE’ v2 รับได้ระบุไว้ที่ 250W ที่โหลด 8 โอห์ม ซึ่งคำนวนดูแล้ว ตัวเลขกำลังขับ 150W ของ R-1.5 คิดเป็นสัดส่วนออกมาได้เท่ากับ 60% ของกำลังขับสูงสุดที่ Element ‘FIRE’ v2 แนะนำไว้ (คือ 250W) “ไม่ถึง” 75% x กำลังขับสูงสุดที่ Element ‘FIRE’ v2 แนะนำไว้ ซึ่งต้องเท่ากับ 187.5W จากการทดลองจับคู่ R-1.5 + Element ‘FIRE’ v2 ทดลองฟังในห้องฟังของผม พบว่า ผลทางเสียงที่ออกมาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ กำลังขับของ R-1.5 ก็ยังสามารถขับดันสนามเสียงจาก Element ‘FIRE’ v2 ออกมาได้เต็มห้อง ถ้าไม่ใช่เพลงที่เน้นความหนักหน่วงและดุดันมากๆ เสียงที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ กับเพลงแนวแจ๊ส, เพลงร้อง และแชมเบอร์มิวสิค ให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจมาก เข้าใจว่าเป็นเพราะกำลังสำรองของ R-1.5 ที่เก็บไว้มากพอนั่นเองที่ออกมาช่วยหนุน
สรุปแล้ว กำลังขับที่ 150W ของ R-1.5 ตัวนี้มันเป็นตัวเลขที่กำลังสวยสำหรับแอมป์ระดับกลางสูงแบบนี้ เมื่อบวกกับกำลังสำรองที่เก็บไว้จึงมากพอสำหรับการขับดันลำโพงระดับกลางสูงลงมาได้ส่วนใหญ่ได้ จากการทดสอบพบว่า ตัวแปรที่เข้ามามีส่วนช่วยเสริม “ความแน่น” ของกำลังขับของ R-1.5 ก็คือคุณภาพของ “ปรีแอมป์” ที่นำมาแม็ทชิ่งกัน ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้ ผมทดลองใช้ปรีแอมป์ที่เป็น pure analog pre-amp จำนวน 3 ตัวจับคู่กับ R-1.5 ได้แก่ Ayre Acoustic รุ่น K-5 (โซลิดสเตท / เชื่อมต่อทางอินพุต XLR), Denafrips รุ่น Athena (โซลิดสเตท / เชื่อมต่อได้ทั้ง XLR และ RCA) ตัวที่สามคือ VTL รุ่น TL-2.5 (หลอด / เชื่อมต่อทางอินพุต RCA) และยังมี DAC/Pre ของ Boulder รุ่น 812 (เชื่อมต่อทางอินพุต XLR) อีกตัวที่ใช้ทดลองแม็ทชิ่งกับ R-1.5 ด้วย ผลคือ ปรีแอมป์ทั้งสี่ตัวสามารถจับคู่กับ R-1.5 ได้ทั้งหมดโดยไม่มีอาการมีสแม็ทช์ทาง gain ออกมาให้เห็น คือรู้สึกได้ว่าการเพิ่ม/ลดกำลังของแอมป์ตัวนี้มีความสอดคล้องไปกับการเพิ่ม/ลดวอลลุ่มของปรีฯ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า ภาคอินพุตของ R-1.5 เปิดรับกับปรีแอมป์ได้กว้างมาก ใช้ได้ดีทั้งหลอดและโซลิดสเตท
สรุป “คุณภาพเสียง” และ “บุคลิกเสียง” ของ R-1.5
ข้อมูลเฉพาะตัวของ R-1.5 ที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ในเว็บไซต์ usheraudio.com ใช้คำอธิบายแนวเสียงของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ไว้สั้นๆ ว่า warm and “tube like” sound quality ผมสะดุดตากับคำว่า “tube like” มากเป็นพิเศษ ผมจึงเอาความหมายของแนวเสียงแบบแอมป์หลอด (tube like) ที่ผู้ผลิตกล่าวอ้างมาตั้งเป็นเป้าหมายในการแม็ทชิ่งแอมป์ตัวนี้เข้ากับปรีแอมป์และลำโพง

เสียงแบบ “tube like” เป็นยังไง.? เสียงไม่มีตัวตน เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้ด้วยการรับฟังด้วยประสาทหูและรับรู้ด้วยการตีความโดยสมองซึ่งแยก “การรับรู้” ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ตัวเสียง (image) และ ไดนามิก (dynamic) ซึ่งในส่วนของ “ตัวเสียง” นั้น เราจะรับรู้ได้ถึงคุณสมบัติทางด้าน ขนาดของตัวเสียง (ใหญ่ / เล็ก), ลักษณะของมวล (หนา / บาง), ลักษณะของเนื้อเสียง (หยาบ / เนียน), ผิว (timbre) หรือ texture ในขณะที่ส่วนของ “ไดนามิก” นั้น เราจะรับรู้ได้ด้วยลักษณะการเคลื่อนไหวของตัวเสียงแต่ละชิ้นในเพลงนั้นๆ ซึ่งการคลื่อนไหวของตัวเสียงเกิดจากการปรับเปลี่ยนความดังของเสียงนั้น มีอยู่ 2 ลักษณะคือ อย่างแรกเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียกว่า “ไดนามิกคอนทราสน์” อย่างเช่น เสียงสีไวโอลิน, เสียงเป่าแซ็กโซโฟน ฯลฯ กับอย่างที่สอง เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “ไดนามิกทรานเชี้ยนต์” อาทิเช่น เสียงเคาะคีย์เปียโน, เสียงตีกลอง, เสียงตีคอร์ดกีต้าร์ ฯลฯ
เนื่องจากการสร้างความถี่เสียงของชุดเครื่องเสียงจะต้องอาศัยการทำงานที่ซับซ้อน ผสมผสานกันระหว่างการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิค (แอมป์, เพลเยอร์) ในขณะที่เสียงอยู่ในรูปของไฟฟ้า กับการทำงานของลำโพง ซึ่งอาศัยหลักฟิสิกส์ผสมกับแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนเสียงที่อยู่ในรูปของไฟฟ้าให้ออกมาเป็นคลื่นเสียงที่เราฟัง ด้วยข้อจำกัดทางด้านฟิสิกส์ของลำโพงที่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากเพาเวอร์แอมป์เข้ามาช่วยในการ “ดัน และ ดึง” ไดอะแฟรมเพื่อปั๊มอากาศออกไปเป็นคลื่นเสียง ซึ่งในอุดมคติแล้ว ระบบเสียง (แอมป์+ลำโพง) จะต้องสร้างคลื่นเสียงที่มีคุณสมบัติทั้งด้าน image และ dynamic ออกมาได้ส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุด พิจารณาจากชาร์ทด้านบนคือตรงเส้นอุดมคติ แต่เนื่องจากแอมปลิฟายที่ใช้สร้างพลังผลักดันลำโพงมีรูปแบบการทำงานหลายรูปแบบ แยกออกเป็น class ต่างๆ มากมาย* ซึ่งการทำงานของภาคขยายของแอมปลิฟายที่แตกต่างกันในแต่ละ class จะให้ผลทางเสียงที่เบี่ยงเบนกันไป บาง class อย่างเช่น class A จะให้เสียงที่เด่นไปทางด้าน image (โซนสีฟ้าในชาร์ตข้างบน) มากกว่าทางด้าน dynamic (โซนสีเขียวในชาร์ตด้านบน) ในขณะที่บาง class อย่างเช่น class B จะให้เสียงเด่นไปทางด้าน dynamic มากกว่า image คือเอียงไปทางโซนสีเขียวมากกว่า class A นั่นเอง
(*ทำความเข้าใจเรื่องคลาสของแอมป์เพิ่มเติมที่ )
แอมป์ที่ใช้หลอดสุญญากาศในการขยายสัญญาณจะให้เสียงที่เด่นไปทางด้าน image มากกว่า dynamic คือให้คุณสมบัติทางด้านอิมเมจที่ดี (โฟกัส, มวล, เกรน) ส่วนทางด้านไดนามิกจะทำได้ดีในส่วนของคอนทราสน์ไดนามิก (ความต่อเนื่องลื่นไหล) แต่ทางด้านทรานเชี้ยนต์ไดนามิก (ความฉับพลัน, รุนแรง) ทำได้ไม่ดีนัก แอมป์หลอดจึงไม่เป็นปัญหา แต่กับเป็นคุณกับคนที่ชอบฟังเพลงช้าๆ ที่ใช้ดนตรีน้อยชิ้นและไม่ได้บรรเลงด้วยความรุนแรง แต่ที่ผ่านมา ก็มีความพยายามที่จะทำให้แอมป์หลอดตอบสนองทางด้านไดนามิกทรานเชี้ยนต์ได้ดีขึ้น ขยับเลื่อนมาทางด้านสีเขียวมากขึ้น ด้วยการออกแบบพลิกแพลงวงจรขยายสำหรับหลอดในรูปแบบต่างๆ ออกมา อาทิเช่น Push-pull และ Ultra Linear เพื่อให้ได้คุณสมบัติทางด้านไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่ดีขึ้น ส่วนแอมป์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ขยายสัญญาณก็มีการออกแบบวงจรขยายที่พยายามผสมผสานข้อดีทางด้าน image กับ dynamic เข้าด้วยกัน นั่นคือวงจรขยายแบบ class A/B นั่นเอง
Usher Audio R-1.5 ไม่ได้ใช้หลอด แต่ใช้ทรานซิสเตอร์ไบโพล่าร์ที่ทำงานด้วยวงจรขยาย class A/B ซึ่งเป็นวงจรขยายของแอมป์ที่พยายามผสมผสานระหว่างคุณสมบัติทางด้าน image กับ dynamic ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน เพื่อให้ได้เสียงที่เข้าใกล้จุดที่เป็นอุดมคติมากที่สุด (สัดส่วน image : dynamic = 5 : 5) โดยปกติแล้ว เพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่ขยายสัญญาณมักจะให้เสียงอยู่ในโซนสีเขียว คือทำได้ดีในแง่ของไดนามิกมากกว่าในแง่ของอิมเมจ ทว่า ด้วยทรานซิสเตอร์ไบโพล่าร์ของโมโตโรล่าบวกกับวิธีการออกแบบของ Nelson Pass ทำให้เสียงของ Threshold S/300 กับเสียงของ Usher Audio R-1.5 ซึ่งเป็นตัวก็อปปี้ของ S/300 ให้เสียงที่หลายคนที่ได้สัมผัสพร้อมใจกันให้คำจำกัดความว่า “tube like” sound เพราะแนวเสียงของ R-1.5 ไปปรากฏอยู่ในโซนสีฟ้านั่นเอง..!!!

อัลบั้ม : Once In Every Life (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Johnny Hartman
สังกัด : Bee Hive Records

อัลบั้ม : Natural History (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : J.D. Souther
สังกัด : Entertainment One
บอกเลยว่า ถ้าคุณชอบฟังเพลงร้อง R-1.5 ตัวนี้จะทำให้คุณหลงไหลมัน การดันเสียงร้องในย่านกลางต่ำของผู้ชายให้ลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงเครื่องดนตรีอื่นเป็นคุณสมบัติเด่นของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ เสียงกลางของ R-1.5 ไม่เคยจมหายไปจากโสตการรับฟังของผมเลยตลอดการทดสอบแรมเดือน ไม่ว่าจะจับกับลำโพงคู่ไหนทั้ง 5 คู่ที่นำมาทดสอบครั้งนี้ R-1.5 แสดงให้เห็นเลยว่า การ “ชู” เสียงกลางให้ลอยเด่นขึ้นมากว่าเสียงในย่านอื่นนิดๆ คือจุดขายของมัน..
เสียงกลางโด่ง.?? อือมม.. จะเรียกว่าโด่งได้มั้ยผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่าในเพลงที่มีเสียงดนตรีซับซ้อนและอัดแน่นมากๆ อย่างเช่นเพลง ‘By Myself’ ซึ่งมีเสียงเปียโน, กลอง, ทรัมเป็ต, กีต้าร์ และอะคูสติกเบส เล่นอยู่พร้อมกับเสียงร้องของจอห์นนี่ ฮาร์ทแมน ผมก็ยังคงจับคำร้องของจอห์นนี่ออกมาได้ชัดเจน ครบทุกพยางค์ แต่ก็ใช่ว่าเสียงเครื่องดนตรีอื่นจะไม่ชัดนะ ทุกเสียงชิ้นดนตรีข้างต้นก็มีตัวตนที่ชัดเจน แยกแยะได้เด็ดขาดจากกัน ทุกเสียงมีพลังในการเคลื่อนขยับตัวไปตามโน๊ตดนตรีตลอดเวลา
ผมอยากจะพูดว่า R-1.5 ให้เสียงกลางออกมา “เต็ม” และ “แผ่ใหญ่” ลอยขึ้นมาในอากาศมากกว่า อย่างเสียงร้องของ J. D. Souther ในเพลง ‘Faithless Love’ มันลอยออกมาจากอากาศธาตุที่อยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงด้วยรูปทรงที่กลมกลึง บอดี้อวบใหญ่ เมื่อเทียบขนาดกับเสียงกีต้าร์โปร่งที่เล่นคลอไปพร้อมกันจะรู้สึกได้ถึง “ขนาดของบอดี้ตัวเสียง” ที่ต่างกันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตั้งใจฟังเสียงร้องของ J.D. Souther คนนี้จะรู้สึกได้ว่า มวลเสียงร้องของเขามันอมความฉ่ำอยู่ในเนื้อเสียงด้วย คือเนื้อเสียงไม่แห้ง ซึ่งลักษณะของเสียงกลางที่แผ่ใหญ่และมีความอิ่มฉ่ำปนอยู่ในเนื้อเสียงแบบนี้มักจะพบเจอจากแอมป์หลอดมากกว่าโซลิดสเตท และผมคิดว่าผมเข้าใจแล้วที่หลายคนพูดกันว่า เสียงของ R-1.5 มีบุคลิกคล้ายเสียงของแอมป์หลอดก็คือแบบนี้นี่เอง.!

อัลบั้ม : Speaking in Melodies (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Michael Ruff
สังกัด : Sheffield Labs

อัลบั้ม : Bamboo (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : John Kaisan Neptune With Arakawa Band
สังกัด : Denon
เสียงคล้ายหลอด.. เบสจะน่วมมั้ย.? ใครๆ ก็รู้ว่า แอมป์หลอดให้เสียงที่หวานและอวบอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน มัน (แอมป์หลอด) ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่ (มักจะ) ขาดความกระชับ หนักแน่น ผมเลยเลือกสองอัลบั้มข้างบนนั้นมาทดลองฟังเพื่อพิสูจน์ในจุดนี้
แทรคแรกของอัลบั้มชุด Bamboo ของจอห์น เนปจูน กับวงอะราคาวะ แบนด์ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พอถึงบทที่จะต้องเอาจริงเอาจัง R-1.5 ก็ลุกขึ้นมาวาดลวดลายมันๆ ให้ฟังได้เหมือนกัน เสียงเบสและกลองในไตเติ้ลแทรค ‘Bamboo’ มีความกระชับและทิ้งน้ำหนักได้เด็ดขาด ดีดเด้งตามจังหวะของเพลงไปได้ทัน ไม่มีย้อย ไม่มีย้วย ผมฟังไปกระดิกเท้าตามไปแบบได้อารมณ์ และความรู้สึกแบบนั้นมาถูกย้ำอีกครั้งด้วยเพลง ‘What Kind Of World’ ของ Michael Ruff ซึ่งเป็นเพลงที่มีจังหวะปานกลาง มีช่วงฮุคที่เน้นย้ำการทิ้งน้ำหนักของจังหวะจะโคนที่กระชับและเร็ว นำโดยเสียงกลองและตามด้วยเบส ซึ่ง R-1.5 ก็ทำหน้าที่ควบคุมลำโพงให้แสดงทรานเชี้ยนต์ของเสียงกลองและเบสในเพลงนี้ออกมาตามนั้นได้อย่างแม่นยำ
หลังจากนั่งฟังเพลงเร็วๆ ไป 3 – 4 อัลบั้ม ผมก็เกิดความรู้สึกว่า ความกระแทกกระทั้นของน้ำหนักเสียงที่ R-1.5 ปลดปล่อยออกมามันมีบุคลิกของความ “นุ่ม” ติดปนออกมาด้วยเล็กน้อย คือมันไม่เกี่ยวกับสปีด หรือไทมิ่งของเพลงนะ ไทมิ่งของเพลงไม่ได้หน่วงช้า สปีดก็ไม่ได้หน่วง แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่า แต่ละเสียงในเพลงที่กำลังฟังมันมี “ความกลมกล่อม” หล่อเลี้ยงอยู่รอบๆ ตัวเสียงเหล่านั้น ซึ่งความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นกับความถี่ทั้งย่าน ตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ดีหรือไม่ดี.? โดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันคือต้นเหตุที่ทำให้ฟังได้นาน ไม่รู้สึกล้า แม้ว่าจะเปิดดังมากๆ ก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลย ตรงข้าม กลับรู้สึกมันในอารมณ์มากขึ้นซะด้วยซ้ำ.!!

อัลบั้ม : Fine And Mellow (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Mary Stallings
สังกัด : Clarity Recordings
พอเปลี่ยนมาฟังอัลบั้ม Fine And Mellow ชุดนี้ ผมคิดว่าได้คำตอบแล้วว่า “ความกลมกล่อม” ที่ผมรู้สึกตอนฟังสอง–สามอัลบั้มก่อนหน้านี้มันน่าจะเป็น “แอมเบี้ยนต์” นี่เอง..!
เพราะค่าย Clarity Recordings ซึ่งเป็นเจ้าของอัลบั้ม Fine And Mellow ชุดนี้พวกเขาบันทึกเสียงด้วยวิธีใช้ไมโครโฟน 2 ตัวบันทึกสดภายใต้บรรยากาศที่กำลังบรรเลงกันสดๆ สิ่งที่ได้มาก็คือ เกนของเสียงที่ค่อนข้างเบา เพราะไมค์อยู่ห่าง ทำให้ต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นมาสูงกว่าอัลบั้มคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปมากอยู่ เพื่อให้ได้ความดังของเสียงออกมาเต็มห้อง ซึ่งเป็นโอกาสดีของ R-1.5 ที่ได้แสดงความสามารถในการจ่ายกำลังขับที่สูงขึ้นโดยที่ไม่ทำให้ noise ตามขึ้นมาด้วย..
ตอนฟังเพลงนี้ผมใช้ DAC/Pre ของ Boulder รุ่น 812 เป็นต้นทาง โดยใช้ทั้งภาค Streaming + DAC กับใช้ภาคปรีแอมป์ในตัว 812 พร้อมกัน แล้วส่งสัญญาณจากภาคปรีฯ ของ 812 ไปเข้าที่อินพุต XLR ของ R-1.5 ด้วยสาย XLR ยาว 6 เมตร ของ Life Audio รุ่น Gold MK II ปรากฏว่า IN/OUT ระหว่าง 812 กับ R-1.5 ทำงานแม็ทชิ่งกันได้เป็นอย่างดี ผมใช้วอลลุ่มที่ 812 ประมาณ 75% เพื่อสร้างเสียงจากอัลบั้มนี้ให้ออกมาดังเต็มห้อง (ผ่านลำโพง Mission 770) ผมพบว่า ตอนที่เพลงเบาๆ ผมรู้สึกสัมผัสได้ถึงมวลของแอมเบี้ยนต์ที่แผ่คลุมออกมาทั่วพื้นที่ในห้อง ในขณะที่เสียงร้อง, เสียงเปียโน, กลอง และเบส ถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ชี้ชัดได้ แต่ละเสียงมีลักษณะลอยอยู่ในมวลแอมเบี้ยนต์นั้น ซึ่งปกติแล้ว ถ้าแอมป์ไม่สามารถทำงานร่วมกับลำโพงในการสร้างมวลแอมเบี้ยนต์ออกมาได้แบบนี้ เสียงของอัลบั้มนี้จะออกมาแห้งและบางมาก ทุกครั้งที่ฟังดีผมมักจะได้จากการใช้แอมป์หลอด แต่คราวนี้ผมได้อารมณ์แบบนั้นจากแอมป์โซลิดของ Usher Audio ตัวนี้.! น่าทึ่งมาก.. !!!
สรุป
ถ้าคุณกำเงิน 200,000 บาท ใส่กระเป๋า แล้วออกไปเดินหาซื้อ “เพาเวอร์แอมป์” โซลิดสเตท ที่มีกำลังขับ 150W ต่องข้างที่ 8 โอห์ม + กำลังสำรองเกิน 50% ที่โหลด 4 โอห์ม, มีดีไซน์แบบ “ฟูลสเกล” ตามมาตรฐานของแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ ในอดีต — คุณจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง
ทางแรกคือ “ซื้อของใหม่” ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่คุณจะได้แอมป์ที่มีสเปคฯ กำลังขับตามที่ต้องการข้างต้น แต่ทางด้านดีไซน์แบบฟูลสเกลทั้งภายนอกและภายในจะไม่ได้ เพราะแนวโน้มของเพาเวอร์แอมป์ยุคใหม่ที่มีราคาอยู่ในช่วงไม่เกิน 200K ในปัจจุบันจะออกไปทางกระทัดรัด และมักจะไม่ใช่เพาเวอร์แอมป์เพียวๆ แต่จะพ่วงภาคปรีแอมป์และแหล่งต้นทาง (source) มาให้ด้วย ในรูปแบบที่เรียกว่า all-in-one
ทางเลือกที่สองคือ “ซื้อของมือสอง” ซึ่งยังมีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะหาซื้อเพาเวอร์แอมป์มือสองที่มีสเปคฯ ทางด้านสมรรถนะและสเปคฯ ทางด้านรูปร่างหน้าตาที่ต้องการ แต่ความเสี่ยงที่คุณต้องเผชิญก็คือความสมบูรณ์ของเครื่องเหล่านั้น
Usher Audio Technology รุ่น R-1.5 คือทางเลือกที่แหวกแทรกขึ้นมาท่ามกลางทางเลือกแรกกับทางเลือกที่สอง เพราะมันคือ “เพาเวอร์แอมป์ใหม่แกะกล่อง” ในงบ “ไม่เกิน 200K” ที่มีรูปแบบการดีไซน์ในลักษณะ full scale ทั้งรูปร่างหน้าตาภายนอกไปจนถึงวงจรอิเล็กทรอนิคที่ทำงานอยู่ข้างในภายใต้สเปคฯ กำลังขับที่ต้องการ
ในแง่สมรรถนะผมยกให้มันเด่นมากในกลุ่มของเพาเวอร์แอมป์ระดับกลางสูงที่มีราคาไม่เกิน 200K ส่วนในแง่ “คุณภาพเสียง” กับ “บุคลิกเสียง” ผมให้มันชนะเพาเวอร์แอมป์ที่มีราคาไม่เกิน 200K ทุกตัวที่ผมเคยฟังมา ซึ่งผมขอแนะนำเลยว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเสียงของแอมป์หลอด แต่ไม่อยากยุ่งยากกับความจุกจิกกวนใจของแอมป์หลอด ผมคิดว่า R-1.5 ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์ให้คุณได้อย่างแน่นอน กับเสียงแนวหลอดผสมโซลิดฯ ของมัน ขอให้มีโอกาสไปทดลองฟังเสียงของมันเถอะ..!! /
***********************
ราคา : 125,000 บาท / ตัว
(โปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 175,000 บาท / ตัว)
***********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Hi Fine Audio (Pele)
โทร. 089-141-5260



