หลังจากผมลงรีวิว Denafrips รุ่น Terminator II ไปเมื่อปลายเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา (REVIEW) ก็มีคนสอบถามเกี่ยวกับ ext.DAC ตัวนี้เข้ามาเยอะ สาเหตุเนื่องจากก่อนหน้าที่ผมจะทำรีวิว กระแสของ R2R DAC มันถูกเขย่ามาอย่างหนัก มีคนเริ่มสั่งเข้ามาเล่นกันมากขึ้น เมื่อมีผู้นำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (คุณวี แห่งสำนัก Denafrips Thailand) และเมื่อผมทำรีวิวออกไปจึงได้รับการตอบรับดีอย่างที่ว่ามา
สาเหตุที่ถามถึง Pontus II ตัวนี้ก็เพราะมีไม่น้อยในจำนวนของคนที่สนใจแต่ไปไม่ถึง Terminator II อยากสัมผัส R2R DAC แต่ค่าตัวของ Terminator II มันเกินงบไปมาก และนี่ก็คือที่มาของรีวิว Pontus II ตัวนี้นี่เอง..!!
หน้าตาไปทางเดียวกัน.. แต่ขนาดย่อมกว่า!

หน้าตาและส่วนสัดของ Terminator II

หน้าตาและส่วนสัดของ Pontus II
จากภาพข้างบนจะเห็นว่าทั้งสองรุ่นนี้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันมาก ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดมีอยู่ 2 จุด จุดแรกคือขนาดความสูงกับความกว้างของตัวเครื่อง ซึ่งรุ่น Terminator II จะกว้างและสูงกว่า กับจุดที่สองอยู่ที่ตำแหน่งวางปุ่ม Power ที่ใช้เปิด/ปิดเครื่อง ซึ่งรุ่น Terminator II วางไว้ตรงกลางของแถวล่าง ในขณะที่ Pontus II วางไว้ทางซ้ายสุดของหน้าปัด (ในกรอบสีเหลือง) โดยมีไฟดวงเล็กๆ อยู่เหนือปุ่ม เมื่อคุณเสียบสายไฟเอซีเข้ากับตัวเครื่อง ไฟดวงเล็กๆ ดวงนี้จะสว่างขึ้นเป็นสีแดง แสดงสภาวะ standby พร้อมให้คุณกดปุ่มเปิดเครื่องเพื่อเริ่มใช้งาน เมื่อคุณกดปุ่มเปิดเครื่อง ไฟดวงนี้จะดับมืดลง และไฟขนาดพอๆ กันที่อยู่เหนือชื่อของอินพุตทางฝั่งซ้าย (ในกรอบสีแดง) ที่ถูกเลือกใช้ในขณะนั้นจะสว่างเป็นสีแดงขึ้นมาแทน พร้อมกันนั้น ถ้าอินพุตนั้นมีสัญญาณป้อนเข้ามา ไฟดวงเล็กๆ ที่อยู่เหนือตัวเลขแซมปลิ้งฯ ทางขวามือ (ในกรอบสีน้ำเงิน) ที่ตรงกับอัตราแซมปลิ้งของสัญญาณอินพุตจะสว่างขึ้นเป็นสีแดงเพื่อแสดงให้รู้ว่าสัญญาณอินพุตที่เข้ามาขณะนั้นมีแซมปลิ้งเรตเท่าไหร่


Denafrips มีวิธีแจ้งอัตราแซมปลิ้งของสัญญาณอินพุตที่เป็นรูปแบบของพวกเขาเอง คือบนหน้าปัดเขาจะมีตัวเลข 44K1 (44.1kHz) กับ 48K เป็นตัวแทน (หรือ base sampling rate) ของฟอร์แม็ต PCM และ DSD เป็นตัวแทน (หรือ base sampling rate) ของฟอร์แม็ต DSD และมีตัวเลข 1X, 2X, 4X และ 8X แทน “จำนวนเท่า” ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสัญญาณอินพุตเข้ามาเป็น PCM 44.1kHz ไฟดวงที่อยู่เหนือ 44K1 กับไฟที่อยู่เหนือ 1X จะสว่างขึ้นพร้อมกัน ถ้าสมมุติว่าสัญญาณอินพุตเข้ามาเป็น PCM 88.2kHz ไฟดวงที่อยู่เหนือ 44K1 กับไฟที่อยู่เหนือ 2X จะสว่างขึ้นพร้อมกัน ความหมายคือ 44.1kHz คูณด้วยสองเท่า ก็คือ 44.1kHz x 2 = 88.2kHz นั่นเอง แต่ความสามารถในการรองรับสัญญาณอินพุตฟอร์แม็ต PCM ของ Pontus II ขึ้นไปสูงสุดถึง 1,411.2kHz ซึ่งเท่ากับ 32 เท่า ของแซมปลิ้ง 44.1kHz (44,100Hz x 32) ถ้าคุณป้อนสัญญาณระดับนั้นเข้าไป บนหน้าปัดของ Pontus II จะโชว์ไฟขึ้นมาสามดวงคือ 44.1kHz, 4X และ 8X และถ้าสัญญาณอินพุตเข้ามาเป็น DSD128 ดวงไฟทางฝั่งที่แสดงแซมปลิ้งเรต (ในกรอบสีน้ำเงิน) จะสว่างขึ้นพร้อมกัน 3 ดวง คือ 44K1, 2X และ DSD ความหมายก็คือ ภาค DAC ในตัว Pontus II ใช้สัญญาณ clock ฐาน 44.1kHz ในการควบคุมการลำเลียงสัญญาณอินพุต ส่วนตัวสัญญาณที่เข้ามาก็คือสัญญาณ DSD64 x 2 = DSD128 นั่นเอง และด้วยความสามารถของ Pontus II ที่รองรับสัญญาณ DSD ได้สูงสุดถึงระดับ DSD1024 ถ้าคุณป้อนสัญญาณ DSD ระดับนั้นเข้าไป บนแผงหน้าปัดของ Pontus II จะโชว์ไฟขึ้นมา 3 ดวง คือ DSD, 2X และ 8X (ดูจากภาพตารางด้านบน) ความหมายคือ สัญญาณอินพุตที่เข้ามาเป็นฟอร์แม็ต DSD ที่มีสเปคฯ เท่ากับ 2 x 8 เท่า (8x) เท่ากับ 16 เท่า ของสัญญาณ DSD ก็คือ DSD64 x 16 = DSD1024 นั่นเอง
นอกจากนั้น ปุ่มจำนวน 6 ปุ่ม ที่อยู่แถวล่าง (ในกรอบสีเขียว) จะทำหน้าที่ต่างๆ กันดังนี้ จากซ้ายไปขวา ปุ่มแรก INPUT- กับปุ่มที่สอง INPUT+ มีมาให้ใช้กดเลือกอินพุตที่มีมาให้เลือกใช้ทั้งหมด 7 อินพุต คือ Coaxial สองช่อง (CO1, CO2), Optical หนึ่งช่อง (OPT), AES/EBU สองช่อง (AES1, AES2), USB หนึ่งช่องและ I2S อีกหนึ่งช่อง ซึ่งคุณสามารถกดปุ่มวนหาอินพุตได้ทั้งวนซ้าย (INPUT-) และวนขวา (INPUT+) ถัดไปเป็นปุ่มกด PHASE เพื่อเลือกเฟสสัญญาณขาออก ถ้าไฟด้านบนปุ่มสว่างเป็นสีแดง แสดงว่าสัญญาณขาออกเป็นเฟสบวก (Positive Phase) ถ้าไฟดับเป็นเฟสลบ (Negative Phase) ถัดไปอีกเป็นปุ่ม OS/NOS กดเลือกใช้ฟังท์ชั่น Oversampling (OS) กับไม่ใช้ฟังท์ชั่นนี้ (Non-Oversampling = NOS) ถ้าไฟเหนือปุ่มนี้สว่าง แสดงว่าคุณกำลังเลือกใช้อ๊อปชั่น NOS คือไม่ทำโอเว่อร์แซมปลิ้งให้กับสัญญาณอินพุต ถัดไปอีกปุ่มคือปุ่ม MUTE กดใช้เพื่อปิดเสียงชั่วคราว กดซ้ำเพื่อยกเลิก ส่วนปุ่มสุดท้ายทางขวามือสุดเป็นปุ่มที่มีชื่อว่า MODE เอาไว้สำหรับกดเลือกรูปแบบของวงจร digital filter ระหว่าง Slow Filter (ตัดสโลปไม่ชัน) กับ Fast Filter (ตัดสโลปค่อนข้างชัน)
นอกจากนั้น Pontus II ยังมีฟังท์ชั่นที่แอบซ่อนอยู่ข้างในอีก 2 ฟังท์ชั่น อย่างแรกคือ ปรับเลือกให้ช่องดิจิตัล อินพุต XLR ที่ให้มาสองช่องนั้นทำหน้าที่ 2 แบบ แบบแรกเป็นช่อง AES/EBU ช่อง 1 และช่อง 2 แยกกัน ส่วนแบบที่สองคือ Dual AES/EBU คือใช้ช่องอินพุต XLR ทั้งสองช่องพร้อมกันสำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัลจากอุปกรณ์บางตัวที่ปล่อยสัญญาณดิจิตัลเอ๊าต์ออกมาเป็นฟอร์แม็ต Dual AES/EBU อย่างเช่นทรานสปอร์ตของ dCS เป็นต้น ส่วนอีกฟังท์ชั่น คือใช้เลือกรูปแบบการเชื่อมต่อสัญญาณกับขาแต่ละขาของช่องอินพุต HDMI เพื่อให้ตรงกับมาตรฐานที่ต้นทางส่งเข้ามาทางช่องอินพุต I2S ซึ่งการปรับตั้งทั้งสองฟังท์ชั่นนี้มีอธิบายวิธีการอยู่ในคู่มือของ Pontus II แล้ว (ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ denafrips.com)
อินพุต / เอ๊าต์พุต

แผงหลังของ Pontus II แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ซีกซ้าย (กรอบสีม่วง) เป็นส่วนของช่อง ANALOG OUT ซึ่งมีรูปแบบของสัญญาณและรูปลักษณ์ของขั้วต่อมาให้เลือกใช้ 2 ชุด ชุดแรกเป็นสัญญาณบาลานซ์ที่มีความแรง (gain) อยู่ที่ 4.0Vrms ผ่านออกทางขั้วต่อ XLR ส่วนสัญญาณขาออกอีกชุดเป็นแบบอันบาลานซ์หรือซิงเกิ้ลเอ็นด์ที่มีเกนอยู่ที่ 2.0Vrms ผ่านออกทางขั้วต่อ RCA ส่วนซีกขวาเป็นที่รวมของขั้วต่อสำหรับสัญญาณดิจิตัลอินพุต (กรอบสีเขียว) ซึ่ง Pontus II มีขั้วต่อมาให้เลือกใช้ทั้งหมด 7 ช่อง เริ่มจาก coaxial สองชุด ผ่านขั้วต่อ RCA กับขั้วต่อ BNC อย่างละชุด, ถัดไปเป็นอินพุต AES/EBU ก็ให้มาสองชุดคือ AES 1 กับ AES 2 ซึ่งถ้าคุณสามารถตั้งโปรแกรมให้ช่อง AES/EBU ทั้งสองช่องทำงานร่วมกันเป็นอินพุตเดียวคือ Dual AES/EBU อินพุตนี้จะให้แบนด์วิธในการรองรับสัญญาณอินพุตได้สูงกว่า AES/EBU ช่องเดี่ยวๆ ซึ่งควรจะรองรับสัญญาณได้สูงกว่า 24/192 ขึ้นไป (*ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ารับได้สูงสุดเท่าไหร่ เนื่องจากผมไม่มีทรานสปอร์ตที่ปล่อยเอ๊าต์พุตทาง Dual AES/EBU เพื่อใช้ทดสอบในขณะนี้)
ถัดจาก AES/EBU ก็เป็นอินพุต Optical, I2S และ USB ซึ่งช่องอินพุต I2S กับ USB ถือว่าเป็นไฮไล้ท์ของ Pontus II ตัวนี้ เพราะผู้ผลิตให้ความสำคัญกับอินพุตทั้งสองช่องนี้มากเป็นพิเศษ (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ “ดีไซน์ไฮไล้ท์“)

จากตารางข้างบนนี้จะเห็นว่า ช่องดิจิตัลอินพุตมาตรฐาน S/PDIF ทั้งสามฟอร์แม็ตที่ extDAC ตัวนี้ให้มาจะรองรับสัญญาณได้เฉพาะตระกูล PCM ที่มีสเปคฯ สูงสุดอยู่ที่ 24/192 เท่านั้น ส่วนที่อินพุต USB กับ I2S รับได้สุดซอยทะลุมาตรฐานของไฟล์เพลงดิจิตัลในปัจจุบันไปไกล (ปัจจุบันการซื้อ–ขายไฟล์เพลงจากเว็บไซต์เมืองนอกมีให้เลือกซื้อกันอยู่ที่ระดับสูงสุดแค่ 24/352.8 และ DSD256 เท่านั้นเอง)
ดีไซน์ไฮไล้ท์
แม้ว่า Pontus II จะเป็นรุ่นรองจากรุ่นท็อป Terminator II ลงมาอีกระดับ ทว่า เมื่อค้นเข้าไปในรายละเอียดการออกแบบของ Pontus II แล้ว ผมรู้สึกได้ว่า ดูเหมือนทาง Denafrips จะไม่ได้มองว่า Pontus II เป็นรุ่นเล็กกว่าเทอร์มิเนเตอร์ เพราะดูออกเลยว่า แต่ละจุดที่พวกเขาใส่ลงไปใน Pontus II ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อดึงประสิทธิภาพของ ext.DAC ตัวนี้ออกมาให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

เริ่มด้วยภาคจ่ายไฟก่อนเลย ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่มีผลกับคุณภาพเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท ext.DAC มากเป็นอันดับต้นๆ สังเกตได้จากช่วงหลังๆ ที่ผู้ผลิต DAC มักจะให้ความสำคัญกับภาคเพาเวอร์ซัพพลายมากขึ้น เริ่มมีการเปลี่ยนจากสวิทชิ่งมาเป็นลิเนียร์กันมากขึ้นโดยเฉพาะในรุ่นใหญ่ๆ ซึ่ง Pontus II ตัวนี้ก็อยู่ในข่ายนั้น ภายในตัวถังที่หนา 80 ม.ม. ของมัน ถ้าผ่าเข้าไปดูข้างในจะพบว่ามันถูกแบ่งพื้นที่ด้านในออกเป็น 2 ชั้น ซ้อนกันอยู่ด้านบนกับด้านล่าง ซึ่งพื้นที่ด้านล่างทั้งหมดนั้นถูกใช้เป็นพื้นที่ติดตั้งภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่เห็นแล้วต้องตะลึง เพราะมันเป็นภาคจ่ายไฟเลี้ยงที่มโหฬารมาก.! ผมว่ามันจะใหญ่กว่าภาคซัพพลายในอินติเกรตแอมป์บางตัวซะอีก หลักๆ ในนั้นคือหม้อแปลงวงแหวน (o-core transformer) ขนาดใหญ่ 2 ลูกทำงานร่วมกับวงจรเรกูเลเตอร์ที่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับวงจรที่ทำงานกับสัญญาณดิจิตัล และส่วนของวงจรที่ทำงานให้กับสัญญาณอะนาลอกที่ “แยกกันเด็ดขาด” ซึ่งทางผู้ผลิตเคลมว่าทั้งหมดที่ทำลงไปนี้จะช่วยให้ได้ความสงัด น้อยซ์ต่ำ และมีความสามารถในการจ่ายกำลังให้กับภาค DAC แบบไม่มีอั้น (อันนี้ต้องไปลองพิสูจน์ในขั้นตอนฟังเสียง!)

ชั้นบนในตัวถังที่ถูกแบ่งกั้นเด็ดขาดเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งวงจรการทำงานของภาค DAC, ภาคดิจิตัลอินพุต, ภาคอะนาลอกเอ๊าต์พุต และวงจรเสริมต่างๆ เมื่อตัดภาคเพาเวอร์ซัพพลายลงไปอยู่ชั้นล่างทั้งหมด จึงทำให้มีพื้นที่มากพอในการจัดวางวงจรต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ ไม่แออัดยัดเยียด ซึ่งแน่นอนว่า การจัดวางคอมโพเน้นต์ต่างๆ ไว้ห่างกันแบบนี้ย่อมเป็นผลดีในแง่ป้องกันการรบกวนระหว่างกันได้ระดับหนึ่ง แต่นั่นคือของแถมเท่านั้น ส่วนเนื้อหาสาระจริงๆ ไปอยู่ที่การออกแบบภายในซะมากกว่า
ถ้าเปรียบภาค DAC เป็น “หัวใจ” ก็ต้องเปรียบภาคดิจิตัลอินพุตเป็น “มันสมอง” ซึ่งมันสมองที่อยู่ใน Pontus II ตัวนี้มันคือส่วนที่ถูกอัพเกรดปรับปรุงประสิทธิภาพขึ้นมาจากรุ่น Pontus เวอร์ชั่นแรกอย่างมาก ด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง ด้วยกัน คือ เพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับสัญญาณดิจิตัลอินพุตให้สูงขึ้น (กว่าเวอร์ชั่นแรก) และกำจัดมลภาวะที่กระทบการทำงานของภาค DAC ออกไปให้มากที่สุด ทำตัวเป็นด่านหน้าที่สนับสนุนให้ภาค DAC ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
สมองส่วนกลางของภาคดิจิตัลอินพุต (A) ของ Pontus II คือชิป FPGA ที่ฝังโปรแกรม DSP (Digital Signal Processing) ที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่ข้างใน ประกอบด้วย RAM แบบไฮสปีดขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่กักเก็บข้อมูลสัญญาณจากอินพุตทั้งหมดเอาไว้ รอให้ภาค DAC ดึงข้อมูลสัญญาณไปใช้โดยมี FEMTO clock ที่อยู่ในภาค DAC ซึ่งมีความแม่นยำสูงคอยควบคุมการลำเลียงกระแสข้อมูลสัญญาณจาก RAM ไปที่ภาค DAC ซึ่งเป็นรูปแบบการลำเลียงข้อมูลสัญญาณจากอินพุตไปสู่ภาค DAC แบบ First-In/First-Out (FIFO) ที่ทางผู้ผลิตมั่นใจว่าเป็นเทคนิคที่ให้ผลใกล้เคียงกับคำว่า “สมบูรณ์แบบ” มากที่สุด เป็นระบบดีโค๊ดเดอร์ที่ทำให้เกิดปัญหา jitter ต่ำมาก ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลดีต่อคุณภาพเสียงโดยตรง
ระบบการลำเลียงข้องมูลสัญญาณแบบ FIFO ที่วิศวกรของ Denafrips นำมาใช้ใน Pontus II ตัวนี้มีความพิเศษกว่า FIFO ทั่วไป เพราะมันมีระบบ “buffer reclocking” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือภาครีซีฟเวอร์ที่อินพุตของ Pontus II จะไม่ให้ความสำคัญกับ clock signal ที่ติดมากับเนื้อสัญญาณดิจิตัลอินพุต แค่ตรวจเช็คให้รู้ว่าสัญญาณนั้นใช้แซมปลิ้งเรตเท่าไหร่แค่นั้น หลังจากรู้แล้ว มันจะใช้วิธีสร้างสัญญาณนาฬิกาขึ้นมาใหม่ (reclocking) เพื่อใช้ในการจัดเรียงข้อมูลสัญญาณจากอินพุตต่างๆ และจัดส่งไปผ่านกระบวนการ oversampling (ถ้าผู้ใช้เลือก OS) หรือส่งตรงไปที่ภาค DAC ด้วยอัตราแซมปลิ้งเรตเนทีฟของข้อมูลสัญญาณอินพุตนั้นๆ (กรณีผู้ใช้เลือก NOS) ซึ่งเป็นวิธีที่ปิดโอกาสพลาดในกรณีที่แต่ละอินพุตส่งสัญญาณที่มีแซมปลิ้งเรตต่างกันเข้ามาพร้อมกัน ซึ่งวงจร buffer reclocking จะคอยดักสัญญาณอินพุตเหล่านั้นไว้ก่อน จากนั้นก็ตรวจเช็ค และสร้างสัญญาณนาฬิกาขึ้นมาใหม่เพื่อควบคุมการจัดส่งข้อมูลสัญญาณนั้นไปที่ภาค DAC จะเห็นว่าหน้าที่ในการ “สับราง” กระแสข้อมูลสัญญาณแบบนี้มีความจำเป็นมากที่จะต้องอาศัยโปรแกรมที่ทำงานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ผมทดลองทดสอบประสิทธิภาพของภาค FIFO buffer ของ Pontus II ว่ามันทำงานได้เร็วและแม่นยำแค่ไหน ด้วยการทดลองป้อนสัญญาณ PCM 16/44.1 จากแผ่นซีดีที่เล่นบนเครื่องเล่นแผ่นแล้วป้อนเข้าที่ Pontus II ทางอินพุต coaxial ในขณะเดียวกันผมก็เล่นไฟล์เพลง DSD ด้วยโปรแกรม roon บน roon nucleus+ ส่งเข้าอินพุต USB ของ Pontus II แล้วทดลองกดสวิทช์เลือกอินพุตของทั้งสองอินพุตนี้ไป–มาๆ แบบเร็วๆ ผมพบว่า ภาค receiver ของ Pontus II สามารถสวิทช์เลือกอินพุตและปรับ clock เพื่อซิ้งค์กับกระแสสัญญาณจากแต่ละอินพุตได้เร็วมาก แทบจะไม่พบว่ามีการสะดุดแต่อย่างใด (ทั้งเครื่องเล่นซีดีและโปรแกรม roon ถูกเพลย์แบ็คต่อเนื่องทั้งสองแหล่ง) สะท้อนให้เห็นว่า โปรแกรม DSP ที่ใช้ควบคุมการทำ reclocking บนชิป FPGA ของ Pontus II มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ ทำให้มั่นใจได้ว่า สัญญาณอินพุตที่เราเล่นและส่งเข้าไปให้ภาค DAC ในตัว Pontus II จะถูกแปลงออกมาให้เป็นสัญญาณอะนาลอกได้ตรงกับต้นฉบับจากสตูดิโอมากที่สุด
ส่วนสัญญาณรบกวนที่มีโอกาสจะแทรกซึมจากภายนอกเข้ามาทางอินพุตต่างๆ ก็จะถูกดักเพื่อกำจัดทิ้งด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Galvanic Isolation (B) ซึ่งทำงานด้วยระบบไฮสปีดผ่านแสง (optocouplers) จึงปลอดจาก noise โดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้น ที่ช่องดิจิตัลอินพุตทุกช่องของ Pontus II ยังมีการออกแบบวงจรอินพุตที่รองรับอยู่ด้านในที่มีความพิเศษกว่าทั่วไปด้วย เริ่มด้วยช่องอินพุต coaxial, optical และ AES/EBU ที่ใช้รองรับสัญญาณดิจิตัล PCM มาตรฐาน S/PDIF ซึ่งทั่วๆ ไปมักจะใช้ receiver chip สำเร็จรูปเป็นตัวรองรับสัญญาณอยู่ด้านใน แต่ Denafrips เลือกใช้วิธีเขียนโปรแกรมดีโค๊ดเดอร์ของฟอร์แม็ต S/PDIF ลงไปบนชิป FPGA ทำให้เส้นทางเดินของสัญญาณสั้นลงเพราะตัดชิปออกไปตัวหนึ่ง ลดโอกาสเกิดปัญหาจิตเตอร์ในระบบลงไปได้ระดับหนึ่ง
ส่วนภาครับสำหรับอินพุต USB ทาง Denafrips ก็เลือกใช้วิธีเขียนโปรแกรมไดเวอร์ขึ้นมาใช้เอง โดยเอาชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32F446 มาเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ช่องอินพุต USB ของ Pontus II สามารถรองรับสัญญาณ PCM ได้สูงถึงระดับ 24bit/1536kHz และรองรับสัญญาณ DSD ได้สูงสุดถึงระดับ DSD1024 ด้วยวิธี native (บนระบบปฏิบัติการณ์ Mac และ Linux ไม่ต้องใช้ไดเวอร์, ส่วน Windows เขามีไดเวอร์ของ Thesycon ไว้ให้ใช้ฟรี)
อีกอินพุตที่เป็นไฮไล้ท์ของ Pontus II ตัวนี้คืออินพุต I2S ที่ใช้ขั้วต่อ HDMI โดยกำหนดขาต่อสัญญาณแบบ LVDS เป็นช่องทางลำเลียงข้อมูลสัญญาณ สุดท้ายคือ “หัวใจ” ของ Pontus II นั่นคือภาค DAC แบบ Discrete R2R Ladder (C) ที่ใช้รีซีสเตอร์ (Resistor) เป็นตัวๆ ที่แต่ละตัวมีความเพี้ยนต่ำเพียงแค่ 0.01% มาต่อเรียงกันในลักษณะที่เรียกว่า balanced dual mono คือแยกซ้าย–ขวาข้างละ 2 ชุด แต่ละชุดควบคุมการแปลงสัญญาณด้วยซอฟท์แวร์ที่อยู่บนชิป FPGA ทำให้ได้ความแม่นยำในการแปลงสัญญาณสูงมาก
พอเจาะลงไปลึกๆ ถึงลักษณะการออกแบบการทำงานของระบบภายในของ Pontus II แล้ว พบว่า หลายๆ อย่างในตัว Pontus II ถูกออกแบบไว้เหมือนกับรุ่น Terminator II ที่ผมทดสอบไปเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2564 มาก (REVIEW) ไม่ว่าจะเป็นตัวควบคุมสัญญาณนาฬิกาก็ใช้ Femto Clock เหมือนกัน, ช่อง USB ก็ใช้ STM32F446 เหมือนกัน, ช่อง USB กับช่อง I2S มีความสามารถรองรับสัญญาณ PCM และ DSD ได้สูงเท่ากัน ส่วนที่ Terminator II เหนือกว่า Pontus II หลักๆ ก็อยู่ที่ “ความแม่นยำ” กับ “จำนวน” ของ resistor ที่ใช้ในภาค R2R DAC ซึ่งในรุ่น Terminator II ใช้ resistor ที่มีความเพี้ยนแค่ 0.005% ในขณะที่ Pontus II ใช้ R ที่มีความเพี้ยนสูงกว่าคือ 0.01% และในรุ่น Terminator II ใช้ R จำนวนมากกว่าทำให้ได้เรโซลูชั่นในการแปลงสัญญาณ PCM สูงกว่าคือ 26Bit ในขณะที่ Pontus II ใช้ R น้อยกว่าจึงทำได้แค่ 24Bit ส่วนการแปลงสัญญาณ DSD อยู่ในระดับเดียวกันคือ 6Bit DSD โดยใช้ฟิลเตอร์ FIR 32 ขั้นในการกรองสัญญาณ

ในแง่สมรรถนะ เมื่อพิจารณาจากตัวเลขสเปคฯ เทียบกัน ส่วนใหญ่แล้ว Pontus II จะเป็นรอง Terminator II แทบทุกแง่ อย่างเช่น THD+N ของ Pontus II วัดได้ 0.0025% ในขณะที่ Terminator II วัดได้ต่ำกว่าคืออยู่ที่ 0.0018%, S/N ratio ก็เป็นรอง ของ Pontus II อยู่ที่ 120dB ในขณะที่ Terminator II อยู่ที่ 127dB ไดนามิกเร้นจ์ของ Terminator II ก็สวิงได้กว้างกว่าถึง 11dB มีตัวเลขอยู่ตัวหนึ่งที่ต่างกันเยอะคือ Frequency Response ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ทางผู้ผลิตได้ทำการปรับจูนความสามารถในการตอบสนองความถี่ของ DAC ทั้งสองรุ่นนี้เอาไว้ต่างกัน ซึ่งชัวร์ว่าต้องส่งผลถึง “ลักษณะเสียง” ของ DAC ทั้งสองตัวอย่างแน่นอน ในรุ่น Pontus II จะปล่อยความถี่ในย่านสูงให้เปิดขึ้นไปมากกว่าในรุ่น Terminator II ค่อนข้างมาก คือไปสุดถึง 70kHz ในขณะที่ Terminator II ทะยานขึ้นไปได้แค่ 40kHz เท่านั้น ทว่า ถ้ามองที่อัตราเบี่ยงเบนจะเห็นว่า Pontus II ให้กราฟความถี่ตอบสนองที่มีลักษณะความเบี่ยงเบน (ตกลงไปเป็นเหวและโด่งขึ้นไปเป็นภูเขา) มากกว่ากราฟตอบสนองความถี่ของ Terminator II มาก แสดงว่า ผู้ออกแบบต้องการเน้นความเป็นเชิงเส้นในการตอบสนองความถี่ของ Terminator II เอาไว้ให้ได้มากที่สุดจึงย่อมลดแบนด์วิธในการตอบสนองความถี่ให้แคบลงมานั่นเอง เดาว่า Pontus II น่าจะให้เสียงที่เปิดเผยขึ้นไปถึงฮาร์มอนิกที่อ็อกเตรปสูงๆ ได้มากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน Terminator II จะให้ความราบเรียบต่อเนื่องของเสียงกับโทนเสียงที่มีความคงเส้นคงวามากกว่า
จัดชุดทดสอบ Pontus II รอบแรก
ในการทดลองฟัง ผมแบ่งการทดสอบ Pontus II ออกเป็น 2 รอบ รอบแรกผมทดสอบประสิทธิภาพของ Pontus II ผ่านทางช่องอินพุต Coaxial และ USB เป็นหลัก ซึ่งครอบคลุมทั้งสองฟอร์แม็ตโดยใช้ช่อง Coaxial เป็นตัวแทนของการส่งผ่านสัญญาณด้วยมาตรฐาน S/PDIF การเชื่อมต่อซิสเต็มเป็นไปตามชาร์ตด้านล่างนี้

สำหรับการทดสอบทางอินพุต USB ผมใช้ roon nucleus+ เป็นตัวเล่นไฟล์เพลงโดยดึงไฟล์เพลงมาจากสองแหล่งคือจาก NAS และสตรีมมาจาก TIDAL บนอินเตอร์เน็ตผ่านเข้าสู่ roon nucleus+ ทางสาย Ethernet ส่วนอินพุต Coaxial ผมใช้เครื่องเล่นซีดี/เอสเอซีดีของ Arcam รุ่น S27 เล่นแผ่นซีดีแล้วส่งสัญญาณ PCM 16/44.1 เข้าสู่ Pontus II ทางอินพุต Coaxial (S27 ไม่ปล่อยสัญญาณ DSD ออกทางช่อง Coaxial)

เครื่องเล่นไฟล์เพลง roon nucleus+

* ลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลาย Nordost รุ่น QSource

** สาย USB ของ Kimber Kable รุ่น USB-CU

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่า การดึงประสิทธิภาพของ ext.DAC ระดับกลางสูงขึ้นไป (ราคาตั้งแต่ 4-50,000 บาทขึ้นไป) ให้ออกมาได้เต็มที่มากที่สุดจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการ “จัดการ” สภาพแวดล้อมด้วย โดยเฉพาะเพลเยอร์ที่ใช้เล่นไฟล์เพลงจะมีผลมากเป็นพิเศษ รวมถึงการจัดการในส่วนของภาคจ่ายไฟ, ป้องกันและขจัด noise ในระบบ (*ผมใช้ลิเนียร์เพาเวอร์ซัพพลายของ Nordost รุ่น QSource จ่ายไฟให้ roon nucleus+) และสุดท้ายคือการแม็ทชิ่งเพื่อปรับจูนโทนเสียงให้ออกมาเป็นกลางให้มากที่สุด (**ผมพบว่าใช้สาย USB ของ Kimber Kable รุ่น USB-CU เชื่อมต่อระหว่าง roon nucleus+ กับ Pontus II แล้วให้เสียงที่มีโทนเป็นกลางมากที่สุดในจำนวนสาย USB ทั้งหมดที่ผมมีอยู่) เมื่อทำการไฟน์จูนด้วย * และ ** เข้าไปจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินจาก Pontus II ในการทดสอบนี้ออกมาใกล้เคียงกับคุณภาพของตัวมันจริงๆ มากที่สุด
เสียงของ Pontus II
ก่อนจะเริ่มต้นฟังเสียงของ Pontus II คุณต้องทำการปรับตั้งการทำงานที่โหมด Oversampling / Non-Oversampling (OS/NOS) ซะก่อน ซึ่งฟังท์ชั่นนี้จะส่งผลกับเสียงเยอะมาก แนะนำให้ทดลองฟังเปรียบเทียบกับตัวเองและจับความแตกต่างของมันให้ออก แล้วค่อยเลือกใช้โหมดที่ชอบ
ทำไมต้องมีฟังท์ชั่น OS/NOS มาให้.? อธิบายง่ายๆ การนำสัญญาณอินพุตไปผ่านกระบวนการ oversampling ก็คือ การนำเอาสัญญาณอินพุตที่มีอัตราแซมปลิ้งเรตต่ำๆ ไปผ่านการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกด้วยภาค DAC ที่ใช้แปลงสัญญาณที่มีแซมปลิ้งเรตสูงๆ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เอาอินพุตที่มีแซมปลิ้งฯ 44.1kHz ไปแปลงเป็นอะนาลอกด้วย DAC ที่เอาไว้ใช้กับสัญญาณที่มีแซมปลิ้งฯ 192kHz เป็นต้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว วิธีการทำ oversampling กับสัญญาณอินพุตจะส่งผลให้ได้เสียงอะนาลอกที่มี “รายละเอียด” ของเสียงที่ดีกว่าการแปลงตรงๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการนี้ ซึ่งก็คือการแปลงด้วยวิธี non-oversampling นั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงสงสัย.. ถ้าผ่าน oversampling แล้วได้รายละเอียดดีขึ้น Denafrips จะใส่อ๊อปชั่น non-oversampling มาทำไม.?
แม้ว่าการนำสัญญาณอินพุตที่มี “เนื้อสัญญาณ” น้อยๆ (เรโซลูชั่น หรือบิตเรตต่ำ) ไปผ่านการแปลงเป็นอะนาลอกด้วยอัตรา sampling ที่สูงกว่า native sampling rate ของตัวสัญญาณเองจะทำให้ได้ “รายละเอียด” ของเสียงมากขึ้นก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีผลข้างเคียงตามมาด้วย นั่นคือทำให้ “เนื้อมวล” ของเสียงมีลักษณะที่บางลง เข้าทำนอง ได้อย่าง–เสียอย่าง ทาง Denafrips จึงเปิดอ๊อปชั่น OS/NOS ขึ้นมาให้ผู้ใช้มีโอกาสเลือกโทนเสียงที่ชอบนั่นเอง
ผมชอบแบบไหน.? จริงๆ แล้วมันมีหลักคิดในการเลือกใช้ฟังท์ชั่นนี้อยู่นิดนึง คือถ้าทำ oversampling แค่น้อยๆ อย่างเช่น 44.1 ไปเป็น 88.2 หรือ 176.4 จะเป็นการเฉลี่ยระหว่าง “รายละเอียด” ที่ดีขึ้นกับ “เนื้อเสียง” ที่ไม่บางลงจนเกินไป อย่างเช่นบางเพลงที่เป็น 44.1 ถ้าอัพฯ เป็น 88.2 อาจจะได้ค่าเฉลี่ยที่ลงตัวกว่าอัพฯ เป็น 176.4 อย่างนี้เป็นต้น แต่นั่นคือภาค DAC ตัวนั้นจะต้องมีอ๊อปชั่นให้ผู้ใช้เลือกระดับการทำ oversampling ได้เอง ซึ่ง Pontus II ทำแบบนั้นไม่ได้ คือถ้าคุณป้อนสัญญาณที่ใช้แซมปลิ้งเรตที่ใช้ฐาน 44.1kHz (441./88.2/174.4/352.8) เข้าไปแล้วเลือกไปที่ OS (oversampling) สัญญาณอินพุตของคุณจะถูกอัพฯ ไปที่ระดับ 1411.2kHz เสมอ ถ้าเล่นสัญญาณที่ใช้ฐาน 48kHz (48/96/192/384) เข้าไปแล้วเลือกอ๊อปชั่น OS สัญญาณอินพุตของคุณจะถูกอัพฯ ไปที่ระดับ 1536kHz เสมอก่อนจะส่งเข้าภาค DAC เพื่อแปลงเป็นอะนาลอก นี่คือเหตุผลที่ผมรู้สึกว่า พอเล่นไฟล์ 44.1kHz เข้าไปแล้วเลือกไปที่ OS เสียงจะออกมาบางไปหน่อย ที่พอจะรับได้ก็คือเล่นไฟล์ที่มีเนทีฟแซมปลิ้งเรตสูงๆ อย่างเช่น 96kHz, 192kHz แต่ถ้าเป็นไฟล์เพลงที่มีแซมปลิ้งเรตต่ำๆ อย่าง 44.1kHz หรือ 48kHz ผมพบว่าเลือกไปที่ NOS หรือ Non-Oversampling จะได้เสียงที่น่าพอใจมากกว่า สรุปคือตอนทดสอบฟังเสียงของ Pontus II ส่วนมากผมจะเลือกตั้งไว้ที่ NOS
ผมเพิ่งทดสอบ Terminator II ผ่านไปแค่เดือนเศษๆ เท่านั้น พอได้ยินเสียงแรกของ Pontus II ภาพของ Terminator II ก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที.!!
สัมผัสแรกของ Pontus II ที่ผ่านลำโพงมาถึงหูคือลักษณะของเสียงที่ คลี่คลาย, เปิดโปร่ง, สด มีชีวิตชีวา มันมาโทนเดียวกับ Terminator II รุ่นพี่ของมันเป๊ะๆ แต่หลังจากลองฟังเพลงไปหลายๆ แนว หลายๆ ระดับความละเอียด ทั้งฟอร์แม็ต PCM และ DSD ผมก็พอรู้สึกถึง “ความแตกต่าง” ของเสียงระหว่าง Pontus II กับ Terminator II ออกมาได้เลาๆ คือผมรู้สึกว่า Terminator II ให้เสียงที่มี “ความเคร่งครัด” มากกว่า ในขณะที่ Pontus II จะให้เสียงที่มีลักษณะผ่อนปรนมากกว่านิดๆ
กล่าวคือ เสียงของ Terminator II จะให้โทนเสียงที่สวิงแคบกว่า คือโทนัลบาลานซ์ของเสียงจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเปลี่ยนเพลงจากอัลบั้มหนึ่งไปอีกอัลบั้ม ในขณะที่ Pontus II จะให้เสียงของบางอัลบั้มที่โด่งไปทางกลางแหลมชัดเจน แต่พอเปลี่ยนไปเป็นอีกบางอัลบั้มโทนัลบาลานซ์ของเสียงก็กลายเป็นเด่นกลางลงมาทุ้มมากกว่าแหลมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มองได้สองแง่ ในแง่ที่ดีคือมันมีความเป็นมอนิเตอร์สูง สามารถถ่ายทอดความต่างของโทนัลบาลานซ์ของเพลงแต่ละอัลบั้มออกมาให้ได้ยินชัด ด้วยคุณสมบัติข้อนี้จึงทำให้มีแง่ไม่ดีอยู่ด้วย นั่นคือกับบางอัลบั้มที่มิกซ์เสียงมาไม่สมดุลระหว่างปริมาณทุ้ม–กลาง–แหลม มัน (Pontus II) ก็จะฟ้องออกมาให้รู้ตามนั้น ซึ่งหากว่าซิสเต็มของคุณใช้แอมป์+ลำโพงที่สามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างมากๆ แหลมไปได้ไกลและมีคุณภาพ คุณก็จะได้รายละเอียดในย่านกลาง–แหลมออกมามากหน่อยในขณะที่ย่านทุ้มจะน้อยกว่า แต่ถ้าซิสเต็มมีปัญหาในการถ่ายทอดความถี่สูง Pontus II จะไม่ช่วยกลบเกลื่อนให้ และรายละเอียดในย่านแหลมที่ Pontus II ปลดปล่อยออกมาจะไปกระตุ้นจุดอ่อนของเสียงแหลมในซิสเต็มคุณออกมาให้ได้ยิน

อัลบั้ม : Escape (FLAC/MQA 44.1kHz)
ศิลปิน : Journey
สังกัด : streaming – TIDAL
กับ Terminator II ผมไม่ค่อยรู้สึกว่าแต่ละเพลงมันมีโทนเสียงที่แปรเปลี่ยนไป–มามากเท่ากับตอนฟังผ่าน Pontus II แต่เนื่องจากผมได้แอมป์ Ayre Acoustics K-5 + V-3 กับลำโพง Wilson Benesch Precision P3.0 ที่มันแม็ทชิ่งกันลงตัวมาก แอมป์ควบคุมไดเวอร์ของลำโพงได้ค่อนข้างนิ่ง จึงให้โฟกัสของเสียงที่คมชัดตั้งแต่หัวเสียงอิมแพ็คไปบอดี้และจนถึงหางเสียงฮาร์มอนิกที่ทอดตัวออกไปหลายชั้น แม้ว่าจะเจอกับอัลบั้มพ๊อพร็อคที่กลาง–แหลมฉูดฉาดอย่างอัลบั้มชุด Escape ของ Journey ซึ่งเป็นงานเพลงที่ใช้เสียง riff กีต้าร์ไฟฟ้า (เด่นไปทางกลาง–แหลม) ของ Neal Schon ทำหน้าที่คุมทำนองหลักของเพลงโดยมีเสียงเบส, กลอง และคีย์บอร์ดเกาะกลุ่มตามไป และมีเสียงร้องของ Steve Perry อัพฟร้อนต์ออกมานิดๆ ซึ่งหากซิสเต็มคุมโทนัลบาลานซ์ไม่อยู่ พอเปิดดังๆ (เพลงแนวนี้ถ้าไม่เปิดดังๆ ก็หมดรสชาติ,!) เสียงแหลมจะพุ่งนำหน้า และถ้าซิสเต็มมีปัญหาเสียงกลาง–แหลมไม่สะอาด กลาง–แหลมของอัลบั้มนี้จะซี้ดซ้าดไม่น่าฟัง และอาจเลวร้ายถึงขั้นแยงหูเมื่อเปิดดังมากๆ
Pontus II แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมโทนัลบาลานซ์ของเพลงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง แม้ว่าเสียงกีต้าร์ไฟฟ้ากับเสียงฉาบในอัลบั้มนี้จะมีลักษณะที่ฉายประกายความเป็น metalic ออกมามากไปนิด (Terminator II จะคุมโทนของเสียงแหลมไว้ได้ดีกว่า) แต่ก็ไม่มากจนถึงกับทำให้รบกวนประสาทการรับฟัง ไม่มากถึงกับทำให้เสียอรรถรส ผมสามารถรับฟ้งได้จนจบเพลงด้วยความอิ่มเอมในอรรถรส (เปิดดังเต็มห้อง) โดยเฉลี่ยผมถือว่า Pontus II สอบผ่านในแง่ของความสามารถในการรักษาโทนัลบาลานซ์ของเสียง

อัลบั้ม : Hi Infidelity (30th Anniversary Edition) (FLAC/MQA 44.1kHz)
ศิลปิน : REO Speedwagon
สังกัด : Epic / streaming – TIDAL
เพลงแนวร็อคที่มีกลื่นอายพ๊อพนิดๆ อย่างเช่นอัลบั้มชุด Escape กับชุด Hi Infidelity ทั้งสองชุดนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ตรวจวัดประสิทธิภาพของภาค DAC เริ่มตั้งแต่ความสามารถในการแปลงสัญญาณ (decode) ดิจิตัลออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก ซึ่งหากว่าทำได้ดี ภาค DAC สามารถแปลงสัญญาณดิจิตัลออกมาได้ “ครบทุกบิต” เมื่อประกอบกันออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก เราจะไม่พบ “รอยตำหนิ” ในลักษณะที่เป็น bit error จากเพลงที่ฟัง เสียงเพลงที่ออกมาจะต้องเปิดเผยกระจ่างชัดในทุกแง่มุม, สปีดจะต้องแม่นยำตามจังหวะของเพลง, อัตราสวิงของไดนามิกจะต้องถ่างออกไปได้เต็มสเกล คือเบาได้สุดไปถึงเสียงกระซิบและดังได้สุดไปถึงเสียงฟ้าผ่า – ในวอลลุ่มเดียวกัน.!!!
อัลบั้ม Hi Infidelity ของ REO Speedwagon ชุดนี้มีเพลงที่กระหน่ำพลังอยู่หลายเพลง ที่ผมชอบฟังมากก็คือเพลง Take It On The Run ซึ่งทุกเสียงในเพลงนี้เล่นกันสุดกำลังจริงๆ และซาวนด์เอ็นจิเนียร์ Kevin Beamish ก็เก็บไดนามิกมาได้ดี ทั้งเสียงกลองและกีต้าร์ที่มีพลังแต่อยู่ในคอนโทรล เมื่อเล่นผ่าน Pontus II เสียงที่ออกมาถูกใจคอร็อคเป็นที่ยิ่ง เพราะความฝันของคนฟังเพลงร็อคคือทำยังไงให้เพลงที่อยู่ในแผ่นซีดีถูกถ่ายทอดออกมาได้เหมือนกับฟังอยู่หน้าเวทีแสดงสด.! อย่างแรกที่คนฟังทำคือเร่งวอลลุ่มของแอมป์ขึ้นมาให้ดังมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ที่ผ่านๆ มามักจะทนฟังกันได้ไม่กี่นาทีก็ต้องรีบหรี่วอลลุ่มลงมา เพราะเสียงที่ออกมามันมีลักษณะเสียดแทงโสตประสาทเกินกว่าจะรับไหว ยิ่งฟังนานอรรถรสก็ยิ่งหดหาย แต่วันนี้ผมสามารถปลดพันธนาการเหล่านั้นออกไปได้แล้ว เมื่อเร่งวอลลุ่มของ Ayre Acoustics K-5 ขึ้นไปจนได้เสียงที่แผ่เต็มห้อง ผมกลับรู้สึกถึงความสด กระจ่าง และสัมผัสได้ถึงพลังงานแฝงที่สมาชิกแต่ละคนในวงประเคนลงไปกับเครื่องดนตรีของพวกเขา มันเป็นเสียงที่ทำให้จิตวิญญาณในตัวลุกโชน อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน ไม่สามารถอดใจที่จะเปิดเนื้อร้องแล้วแหกปากตามไปได้ ผมอยากจะใช้คำว่า Pontus II ช่วยปลดปล่อยวิญญาณของเพลงเหล่านั้นให้มีชีวิตออกมาโลดแล่นอีกครั้ง.!!

อัลบั้ม : Made In The Shade (DSF64)
ศิลปิน : Sara K.
สังกัด : Stockfisch
ค่ายเพลง Stockfisch ของเยอรมนีเจ้านี้เก่งมากในการเก็บบันทึกเสียงในส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกมาได้ดีมาก สังเกตได้จากแต่ละเสียงที่ประกอบอยู่ในเพลงแต่ละเพลงจะมี “ความกังวาน” ที่ทอดยาวออกไปจากตัวเสียง (body) ของทุกเสียง ผมไม่เคยได้ยินเสียงที่ห้วนๆ กุดๆ ด้วนๆ จากเพลงของค่ายนี้เลย.!
แต่ทว่า จุดเด่นที่ค่ายเพลงแห่งนี้จับมาใส่ในแต่ละเพลงที่พวกเขาบันทึกเสียงออกมา มันอาจจะกลายเป็นต้นเหตุปัญหาสำหรับผู้ฟังที่ใช้ซิสเต็มเพลย์แบ็คที่ไม่สามารถรองรับการถ่ายทอดฮาร์มอนิกได้ครบตามระดับชั้นของฮาร์มอนิกที่พวกเขาบันทึกมา แม้ว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ (ต้องเน้นคำว่า “ส่วนใหญ่“) จะให้ความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม (Total Harmonic Distortion = THD) ที่ต่ำมากๆ แล้ว แต่ก็ใช่ว่าอุปกรณ์แต่ละตัวคือ source + amp + speaker ที่ประกอบอยู่ในแต่ละซิสเต็มจะมีสเปคฯ THD เท่ากัน บางชิ้นสามารถรองรับฮาร์มอนิกในย่านกลางและแหลมได้ถูกต้อง แต่ด้านทุ้มไม่ถูกต้องก็มี พูดง่ายๆ คือตอบสนองฮาร์มอนิก (ทั้ง odd และ even harmonics) ได้ถูกต้องเฉพาะบางย่านความถี่ โดยมากจะเกิดที่ลำโพงกับแอมป์ ซึ่งซิสเต็มที่จะทำให้เสียงในอัลบั้มชุด Made In The Shade ของ Sara K. ชุดนี้ออกมาดี นอกจากจะต้องตอบสนองฮาร์มอนิกได้ถูกต้องทั้งย่านเสียงแล้ว ซิสเต็มนั้นจะต้องตอบสนองส่วนที่เป็น overtones ของเสียงดนตรีได้ถูกต้องด้วย
overtones กับ harmonics จะควบกล้ำกันอยู่ในธรรมชาติของการบรรเลงดนตรี ถ้าสามารถปรับจูนให้อุปกรณ์เครื่องเสียงสามารถตอบสนองส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกได้อย่างถูกต้องไปหลายๆ อ็อกเตรป ทั้ง odd และ even harmonics ก็จะทำให้ส่วนที่เป็นโอเว่อร์โทนของเสียงเครื่องดนตรีออกมาถูกต้องไปด้วย ถ้า overtones ถูกต้อง จะบอกได้ชัดว่า เสียงแต่ละเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของเครื่องดนตรีอะไรบ้าง
งานเพลงของค่าย Stockfisch แทบทุกชุดจะเก็บฮาร์มอนิกมาเยอะมาก เป็นฮาร์มอนิกที่ลงไปถึงย่านต่ำซะด้วย ใช้ทดสอบประสิทธิภาพซิสเต็มในแง่การตอบสนองฮาร์มอนิกได้ดีเลย โดยเฉพาะอัลบั้มนี้ซึ่งเป็นฟอร์แม็ต DSD ซะด้วย ยิ่งให้ฮาร์มอนิกที่แม่นยำกว่าฟอร์แม็ต PCM 16/44.1 ขึ้นไปอีก เคยลองฟังกับบางซิสเต็มจะได้เสียงออกมาทึบๆ ขุ่นๆ เสียงทุมอู้ๆ ก็สรุปได้เลยว่าซิสเต็มนั้นตอบสนองฮาร์มอนิกได้ไม่ดี แต่ถ้าเจอกับซิสเต็มที่ตอบสนองฮาร์มอนิกได้ดี (ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดีไปตั้งแต่ fundamental หรือหัวโน๊ตแล้ว) เสียงของอัลบั้มนี้จะออกมาเปิดกระจ่างและอบอวลไปด้วยหางเสียงที่กระเพื่อมเป็นระลอก อย่างเช่นตอนนี้ เมื่อผมลองฟังกับ Pontus II + Ayre K-5/V-3 + Wilson Benesch P3.0 ซึ่ง P3.0 คู่นี้เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่ ตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ถึง 31Hz และไต่ความถี่สูงขึ้นไปได้ถึง 24kHz (+/-2dB on axis) มันจึงสามารถถ่ายทอดมวลของฮาร์มอนิกด้านต่ำที่พรั่งพรูออกมาเป็นระลอกคลื่นความถี่ต่ำที่ต่อเนื่องโดยไม่ไปรบกวนกับฮาร์มอนิกในย่านกลางและสูงที่พลิ้วไสว และเมื่อมวลฮาร์มอนิกทั้งหมดมันผสานกันจนเกิดเป็น harmonic structure ที่อบอวลไปทั้งห้อง เป็นความฉ่ำที่ไม่ใช่ความขุ่น เพราะรายละเอียดทุกเสียงยังคงกระจ่างชัดอยู่ในสนามเสียงทุกชิ้น แม้ว่าคุณภาพและความแม็ทชิ่งระหว่างแอมป์กับลำโพงจะเป็นต้นกำเนิดของผลลัพธ์เช่นนี้ แต่ก็ต้องยกเครดิตบางส่วนให้กับ Pontus II ซึ่งทำหน้าที่เป็น source ของซิสเต็มนี้ด้วย เพราะถ้าต้นทางมาไม่ดีก็คงจบไม่สวยแบบนี้..!!
จัดชุดทดสอบ Pontus II รองที่สอง
หลังฟังเก็บข้อมูลจากอินพุต USB และ Coaxial ด้วยซิสเต็มที่เซ็ตอัพไว้ข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ผมก็ทำการปรับซิสเต็มเล็กน้อยเพื่อทดสอบอินพุต I2S ของ Pontus II

จากชาร์ตด้านบนจะเห็นว่ามีอุปกรณ์เครื่องเสียงเพิ่มเติมเข้ามาอีกหนึ่งชิ้น เป็นตัว DDC (Digital-to-Digital Converter) รุ่น Iris ของแบรนด์ Denafrips เข้ามาคั่นกลางระหว่างเอ๊าต์พุต USB ของ roon nucleus+ กับอินพุต I2S ของ Pontus II ซึ่งตัว Iris ที่ผมเพิ่มเข้ามานี้จะทำหน้าที่แปลงข้อมูลสัญญาณที่มาจากเอ๊าต์พุต USB ของ roon nucleus+ ให้ออกมาเป็นฟอร์แม็ต I2S เพื่อป้อนให้กับอินพุต I2S ของ Pontus II นั่นเอง ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนเดิม
DDC ของ Denafrips รุ่น Iris


ไส้ในของ Iris ถึงจะตัวไม่ใหญ่แต่ข้างในแน่นมาก.!

อินพุต/เอ๊าต์พุตของ Iris
เนื่องจาก roon nucleus+ ไม่มีเอ๊าต์พุต I2S จึงต้องเอาตัว Iris เข้ามาช่วยแปลง USB ให้เป็น I2S ซึ่งอินพุตของตัว Iris ที่ใช้รองรับสัญญาณจากภายนอกจะมีแค่ช่องเดียวคือ USB ส่วนเอ๊าต์พุตมีมาให้ครบ คุณจึงสามารถนำ Iris ไปใช้งานร่วมกับ ext.DAC รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีอินพุต USB ได้ด้วย ขอให้ ext.DAC ตัวนั้นมีอินพุตแบบใดแบบหนึ่งระหว่าง Coaxial, Optical หรือ AES/EBU คุณก็จะสามารถเล่นไฟล์เพลงผ่านเข้าทางอินพุต USB ของ Iris แล้วแปลงออกไปให้ตรงกับอินพุตของ ext.DAC ของคุณเท่านั้น ext.DAC รุ่นเก่าของคุณก็จะสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตจากอุปกรณ์ประเภทสตรีมเมอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีเอ๊าต์พุต USB ได้ (สเปคฯ ของสัญญาณดิจิตัลที่รองรับได้จะข้ึนอยู่กับความสามารถของช่องอินพุตของ ext.DAC ของคุณ)
การเชื่อมต่อระหว่าง Iris กับ Pontus II ในการรับ/ส่งข้อมูลสัญญาณในการทดสอบครั้งนี้กระทำผ่านสาย HDMI (Iris มีการเชื่อมต่อ I2S ผ่านทางขั้วต่อ RJ45 ด้วย) ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพเสียงที่ได้ย่อมมีอิทธิพลของสาย HDMI เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ต่างไปจากสายเชื่อมต่อสัญญาณประเภทอื่นๆ ซึ่งผมพบว่า เมื่อนำสาย HDMI ของ Tributaries Series HEC รุ่นเก่าหลายปีมาแล้วที่ผมมีอยู่มาใช้เชื่อมต่อระหว่าง Iris กับ Pontus II ในครั้งนี้ มันให้เสียงออกมาแม็ทชิ่งกันดีมากที่สุดเมื่อเทียบกับสาย HDMI เส้นอื่นๆ ที่ผมมีอยู่ตอนนี้
หลังจากปรับแต่งซิสเต็มใหม่เสร็จ ผมก็ย้อนกลับไปทดลองฟังเพลงเดิมๆ ที่ได้ลองฟังกับอินพุต USB ไปแล้วอีกรอบ เสียงที่ได้จากอินพุต I2S ต่างจากเสียงจากอินพุต USB อยู่พอสมควร ซึ่งผมไม่แปลกใจเพราะรู้ว่าเป็นอิทธิพลที่เกิดจากการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปถึง 3 ชิ้น คือตัว Iris กับสายไฟเอซีและสาย HDMI แต่หลังจากลองฟังอยู่พักใหญ่ๆ ผมพบว่า ที่อินพุต I2S มันให้เสียงโดยรวมที่มีการแยกแยะรายละเอียดได้เคลียร์กว่าช่อง USB พอสมควร ตอนแรกเหมือนไม่เยอะ แต่พอเริ่มจับความต่างได้และฟังเพลงมากขึ้น ความรู้สึกนั้นก็มากขึ้นตามไปด้วย ช่องอินพุต I2S ชำแหละรายละเอียดของเสียงแต่ละเสียงในเพลงเดียวกันออกมาได้หมดจดกว่า จะฟังง่ายในย่านเสียงสูง ซึ่งผมพบว่า ช่อง USB จะมี noise บางๆ เกาะติดมากับเสียงแหลมตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่มีการเปรียบเทียบและฟังจากเพลงที่บันทึกเสียงดีมากๆ ก็จะไม่รู้สึก พอเปลี่ยนมาฟังผ่านอินพุต I2S เสียงแหลมจะออกมาสะอาดขึ้น ซึ่งพอตั้งใจฟังจับประเด็นนี้ ผมพบว่า จริงๆ แล้วมันเกิดกับทุกความถี่ คือช่อง I2S ให้เสียงที่เคลียร์ ชัด สะอาดสะอ้านกว่าทั้งในส่วนของตัวเสียงไปจนถึงแอมเบี้ยนต์ที่อยู่รอบๆ ด้วย
เมื่อฟังผ่านอินพุต I2S ผมสามารถเร่งเสียงให้ดังได้มากขึ้นอีกโดยไม่ทำให้เกิดอาการล้าหู ส่งผลให้ฟังเพลงแนวร็อคได้อารมณ์ร่วมมากขึ้น เมื่อลองฟังอัลบั้มชุด Made In The Shade ของ Sara K. ซ้ำอีกหนทางอินพุต I2S ผมพบว่า ณ วอลลุ่มเดียวกัน ผมรู้สึกคล้ายกับว่าเสียงที่ได้ยินผ่านอินพุต I2S มันมี “ความหนาแน่นสูงกว่า” เสียงจากอินพุต USB อยู่นิดๆ จะว่าเป็นอุปทานก็ไม่น่าจะใช่ ผมลองสลับดึงสาย USB จากอินพุตของ Iris ย้ายกลับไปเสียบที่อินพุต USB ของ Pontus II แล้วลองฟังเทียบกันอีกรอบก็ได้ผลเหมือนเดิม แต่ในแง่ความดังแล้วมันไม่ต่างกันมาก อาจจะเป็นไปได้ว่า ที่อินพุต I2S มันอาจจะให้บางย่านความถี่ที่ดังกว่าช่องอินพุต USB จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับเสียงจาก I2S มันมีความหนาแน่นมากกว่า นอกจากนั้น ผมยังรู้สึกว่าอินพุต I2S แยกแยะความถี่เสียงแต่ละย่านออกจากกันได้เด็ดขาดกว่าช่อง USB นิดนึง เพราะฟังอัลบั้ม Made In The Shade ของ Sara K. ชุดนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าพลังงานของฮาร์มอนิกในย่านต่ำมันออกมาเยอะขึ้น เยอะจนทำให้เริ่มมีอาการก้องสะท้อนที่ความถี่ต่ำเกิดขึ้นเบาๆ ซึ่งเป็น reaction ของห้องฟัง เพราะที่ความถี่กลางและแหลมไม่มีอาการที่ว่านี้ ผมต้องทำการขยับตำแหน่งของแท่ง TubeTrap ที่อยู่ตรงมุมหลังตำแหน่งนั่งฟังเพื่อให้ดูดกลืนพลังงานในย่านความถี่ต่ำๆ ให้มากขึ้น อาการที่ว่าก็ทุเลาลงไประดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่หมดซะเลยทีเดียว.. จำได้เลาๆ ว่าตอนฟัง Terminator II ผมไม่พบอาการนี้เลย เป็นไปได้ว่า Terminator II เก็บรวบปลายเสียงทุ้มได้กระชับมากกว่า แต่พอผมทดลองเอา Pontus II ไปฟังกับซิสเต็มที่เล็กลงคือแอมป์ Moonriver Audio Model 404 (REVIEW) + ลำโพง Totem Acoustics The One ผมก็ไม่ได้ยินอาการนี้จาก Pontus II แสดงว่าน่าจะเป็นผลมาจากการแม็ทชิ่ง ซึ่งลำโพง P3.0 อยู่ในระดับสูงเกินไปสำหรับ Pontus II ก็เป็นได้ (แต่ย่านกลาง–แหลมออกมาดีมาก ไม่มีปัญหาใดๆ เลย)

อัลบั้ม : Blowin’ The Blues Away (DSF64)
ศิลปิน : The Horace Silver Quintet & Trio
สังกัด : Blue Note / Analogue Productions

อัลบั้ม : Vivaldi – Le Quattro Stagioni (DSF64)
ศิลปิน : I Musici, Felix Ayo – solo violinist
สังกัด : Decca / Esoteric
ทั้งความเต็มทางด้าน “อิมแพ็ค–บอดี้–ฮาร์มอนิก” ที่ออกมาครบสเปคตรัม และความเต็มทางด้าน “ไดนามิก” ที่สวิงได้เต็มสเกลตั้งแต่เบาสุด (pp) ไปจนถึงระดับดังสุด (ff) ทำให้ Pontus II สามารถตีแผ่อารมณ์ของเพลงที่ฟังยากๆ อย่างเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊สกับเพลงคลาสสิกออกมาอย่างได้อรรถรส น่าแปลกมากที่ผมพบว่า Pontus II ทำให้เพลงหลายๆ อัลบั้มที่ผมเคยฟังแล้วไม่ get ฟังแค่นิดเดียวก็เลิกเพราะรู้สึกเข้าไม่ถึง กลับกลายมาเป็นฟังแล้วรู้สึกว่าเพลงมันเข้ามาเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเราได้ง่ายขึ้น สามารถสื่อกับเพลงเหล่านั้นได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น ผมเดาว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความสะอาดของเสียงตลอดทั้งย่านที่ Pontus II ถ่ายทอดออกมา นอกจากนั้นก็คงจะเป็นลักษณะของเสียงที่มีโฟกัสคมชัด มีการจัดวางตำแหน่งของแต่ละเสียงออกมาเป็นรูปวงที่มีมิติครบ ทั้งความกว้าง, ลึก และสูง อย่างตอนฟังอัลบั้มชุด Blowin’ The Blues Away นั้น ผมได้ยินแต่ละชิ้นดนตรีถูกแยกห่างจากกัน มีแบ่งชั้นความลึกเป็นเลเยอร์อย่างชัดเจน มีการจัดวางตำแหน่งของแต้ละชิ้นดนตรีไว้เป็นที่เป็นทาง ช่วยลดความรกมั่วไปได้มาก ทำให้ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงลักษณะเคลื่อนไหวของแต่ละชิ้นดนตรีได้ชัดขึ้น รับรู้ถึงการบรรเลงที่มีรับ–มีส่งระหว่างกันได้ชัดขึ้น เมื่อผนวกกับคุณสมบัติของไดนามิกที่สวิงได้กว้าง สปีดที่ฉับไว ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์ของเพลงในอัลบั้มนี้ได้ง่ายขึ้น
ส่วนอัลบั้มชุด Le Quattro Stagioni นั้นถือว่าเป็น “The Four Seasons” เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดชุดหนึ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะเป็นเวอร์ชั่นที่บรรเลงโดยวงแชมเบอร์ I Musici ของอิตาลี ซึ่งเป็นวงแรกที่นำเอางานเพลงชุด The Four Seasons ของ Antonio Vivaldi มาบรรเลงเพื่อบันทึกเสียงครั้งแรกของโลกเมื่อปี 1955 ซึ่งก่อนหน้านั้น งานเพลงชุดนี้ถูกเก็บอยู่ในห้องสมุดโดยไม่มีใครเคยนำมาบันทึกเสียงมาก่อน
Felix Ayo ผู้ก่อตั้งวง I Musici รับหน้าที่โซโล่ไวโอลินในอัลบั้มนี้ด้วยตัวเอง ฝีมือของเขาฉกาจกรรจ์มาก ทั้งเร็ว แม่น และมีพลัง ส่วนไวโอลินอีกสี่คันกับเชลโลที่ประสานกันก็เล่นได้แน่นมาก..
ในแง่ของ sound quality ชุดนี้มีดีตรงที่บันทึกเสียงไวโอลินกับเครื่องสายชิ้นอื่นๆ ออกมาได้เนื้อมวลของบอดี้ที่อวบอิ่มไม่ออกแหลมบางเหมือน Four Seasons เวอร์ชั่นอื่นๆ ซึ่ง Pontus II ก็สามารถถ่ายทอดจุดเด่นของอัลบั้มนี้ออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ว่าคนที่ฟังงานคลาสสิกแบบเอาจริงเอาจังบางกลุ่มจะแสดงความเห็นว่าทางค่าย Esoteric รีมาสเตอร์เสียงเครื่องสายในอัลบั้มนี้ออกมาได้ด้อยกว่าต้นฉบับที่ค่าย Philips ทำออกมา คือเสียงทั้งหมดมีมวลหนาก็จริง แต่มันขาดรายละเอียด กลุ่มที่ไม่ชอบเสียงของเวอร์ชั่นที่รีมาสเตอร์โดย Esoteric ชุดนี้มีความเชื่อว่าทาง Esoteric น่าจะใช้ไฟล์ดิจิตัล PCM เป็นมาสเตอร์ในการรีฯ ออกมาเป็นเวอร์ชั่น DSD แผ่นนี้ คือเอาไฟล์ดิจิตัล PCM ไปเล่นแล้วบันทึกเข้าไปในเทปโอเพ่นรีล จากนั้นก็เพลย์แบ็คจากโอเพ่นรีลกลับออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วป้อนเข้า A-to-D เพื่อแปลงออกมาเป็นไฟล์ DSD แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับประเด็นรีมาสเตอร์นี้ และถ้าไม่มีโอกาสฟังเทียบกับเวอร์ชั่นที่ Philips ทำออกมาเมื่อปี 1959 เสียงที่ Pontus II ถ่ายทอดออกมาจากไฟล์ DSD64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ของ Esoteric ชุดนี้ก็ถือว่าเป็นเสียงที่มีคุณภาพดีระดับหนึ่ง ดีกว่า The Four Seasons อีกหลายๆ เวอร์ชั่นที่เคยฟังมา
สรุป
หลังจากได้ทำการทดสอบฟังเสียงของ Pontus II อยู่นานแรมเดือน ผมยอมรับว่า Pontus II ทำคะแนนได้สูงกว่าที่ผมคาดไว้มาก แม้ว่า Terminator II จะให้เสียงดีกว่า Pontus II แต่ก็ไม่ได้ดีกว่ามากเป็นเท่าตัวเหมือนกับราคาที่ต่างกัน ถ้าวัดกันในแง่คุณภาพเสียงแล้ว ผมว่า Pontus II วางตัวเองอยู่ในระดับที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากกว่า Terminator II ซึ่งสิ่งที่ Pontus II แสดงออกมาให้ได้สัมผัสก็นับว่าเพียงพอที่จะตะหนักได้ถึงความยอดเยี่ยมของภาค DAC ที่ใช้ระบบ clocking ที่มีความแม่นยำสูง บวกกับภาคแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกแบบดีสครีต R2R ได้อย่างชัดเจนแล้ว ผมสามารถเอนจอยกับสิ่งที่ Pontus II ให้ออกมาได้อย่างเต็มอิ่มในซิสเต็มระดับกลางสูงที่ใช้อยู่โดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป.!!
ใครใช้ซิสเต็มใหญ่ๆ โดยเฉพาะลำโพงตั้งพื้นแพงๆ แนะนำให้เลยไปที่ Terminator II จะครบเครื่องมากกว่า แต่กับซิสเต็มระดับกลางๆ ขึ้นไปจนถึงไฮเอ็นด์ชุดเล็กที่ใช้ลำโพงวางขาตั้งคู่ละไม่เกินสามแสนจะลงตัวกับ Pontus II มาก ทั้งในแง่คุณภาพเสียงและงบประมาณ
มีคำแนะนำอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับ Pontus II คือถ้าคุณคิดจะตกลงปลงใจกับ Pontus II ตัวนี้ ผมแนะนำให้เผื่องบสำหรับตัว DDC ที่ใช้แปลง USB เป็น I2S ด้วย เพราะอินพุต I2S คือตัวตนที่แท้จริงของ Pontus II ซึ่งผมแนะนำให้ใช้แค่รุ่น Iris ก็เพียงพอ งบประมาณของสองตัวนี้คือ Pontus II + Iris รวมกันก็น่าจะยืนแป้นเป็นหนึ่งอยู่ในกลุ่มของ ext.DAC ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดในงบประมาณไม่เกิน 100,000 บาทสำหรับวันนี้..!!! /
*********************
ราคา Denafrips DAC รุ่น Pontus II = 75,600 บาท / ตัว
ราคา Denafrips DDC รุ่น Iris = 23,600 บาท / ตัว
*********************
สนใจติดต่อ
TAV Audio วี
โทร. 098-554-2561
facebook: DenafripsTH
facebook: TAVAudio
Line: @denafripsth



