รีวิว Accuphase รุ่น E-3000

หลัง ปี 2019 เป็นต้นมา Accuphase ได้ทำการ ยกเครื่องผลิตภัณฑ์ใหม่หมด อย่างเช่นในส่วนของแอมปลิฟายที่พวกเขาได้แบ่งหมวดหมู่ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ อินติเกรตแอมป์, ปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ นั้น ซึ่งการกำหนดหมวดหมู่ด้วยฟอร์แม็ต ตัวอักษร (E กับ A) – ตามด้วยตัวเลข (3 หลัก กับ 2 หลัก)” เพื่อใช้แยกประเภทและจัดลำดับของผลิตภัณฑ์ก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมคือใช้ตัวอักษร E กับ A นำหน้าเพื่อแยกประเภทของวงจรขยาย ส่วนที่ต่างออกไปจากเดิมก็คือมีการจัดหมวดหมู่ตัวเลขใหม่

อย่างเช่น จากเดิมก่อนหน้านี้ อินติเกรตแอมป์ class-AB ที่ใช้โค๊ดนำหน้าด้วยตัวอักษร ‘Eแล้วตามด้วยตัวเลข 3 หลัก คือรุ่น E-480, E-380 และ E-280 ซึ่งเป็นรุ่นเดิมก่อนหน้าการปรับเปลี่ยนนั้น หลังจาก ปี 2021 เป็นต้นมา ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้ถูกเปลี่ยนตัวเลขตามหลัง ‘Eมาใช้เลขสี่หลัก เริ่มตั้งแต่รุ่น E-5000 (REVIEW) ที่ออกมาเมื่อ ปี 2021 ซึ่งพัฒนาออกมาแทนรุ่น E-480 ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่สุดในกลุ่มของอินติเกรตแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-AB ต่อมาก็เป็นรุ่น E-4000 (REVIEW) ที่ออกมาเมื่อ ปี 2022 ซึ่งเป็นอินติเกรตแอมป์ class-AB รุ่นรองจาก E-5000 ลงมา เป็นรุ่นที่ปรับปรุงขึ้นมาเพื่อแทนที่รุ่น E-380 เดิม ก่อนจะมาถึงคิวล่าสุดคือรุ่น E-3000 ที่เพิ่งออกมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งเป็นอินติเกรตแอมป์ class-AB รุ่นเล็กสุดของเจนเเนอเรชั่นปัจจุบันที่พัฒนาอัพเกรดขึ้นมาเพื่อทดแทนรุ่น E-280 เดิมนั่นเอง

E-3000 อินติเกรตแอมป์รุ่นใหม่ล่าสุด

ทางผู้ผลิตคือ Accuphase ระบุว่า พวกเขาได้นำเอาประสิทธิภาพเด่นๆ ที่ปรากฏอยู่ในรุ่น E-280 กับรุ่น E-380 เข้ามาพัฒนารวมกันจนได้ออกมาเป็นรุ่น E-3000 ซึ่งมีสถานะเป็นอินติเกรตแอมป์รุ่นเล็กสุดในอนุกรม E-X000 Series รองลงมาจากรุ่น E-4000 ซึ่งเป็นรุ่นกลาง และ E-5000 ที่เป็นรุ่นท็อป

รูปร่างหน้าตาของ E-3000 ถ้ามองเผินๆ ก็แทบจะหาความแตกต่างไม่เจอเมื่อเทียบกับแอมป์รุ่นอื่นๆ ของพวกเขา ถ้าเป็นแฟนตัวยงของแบรนด์นี้จริงๆ คุณจะรู้ว่า แอมป์ของ Accuphase จะมีแผงหน้าอยู่ 2 แบบ นั่นคือ แบบที่มีบานพับที่ใช้ปิดบังปุ่มกดเล็กๆ เอาไว้ กับอีกแบบคือแบบที่ไม่มีบานพับที่ว่า คือจะปล่อยให้เห็นปุ่มกดและปุ่มหมุนที่ใช้ในการควบคุมสั่งงานฟังท์ชั่นต่างๆ ของตัวเครื่องโชว์หราอยู่บนแผงหน้าปัด นัยว่าเพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งแผงหน้ารุ่นนี้เป็นแบบไม่มีบานพับ ซึ่งในแง่ของความสวยงามก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน บางคนบอกว่ามีบานพับดูเรียบร้อยกว่า และตอนกดปุ่มให้บานพับเปิดหงายออกมา มันดูเท่ดี.!! แต่ผมว่าแบบเปิดโล่งอย่างนี้มันดูโบราณและจริงใจดี..

แน่นอนว่า ดีไซน์แผงหน้าเปิดโล่งไม่มีบานพับอย่าง E-3000 ไม่ได้เพิ่งจะมี แต่มีมานานแล้ว ในรุ่น E-280 ที่เป็นรุ่นเล็กสุดของเจนเนอเรชั่นก่อนหน้านั้นก็ไม่มีบานพับเหมือนกัน อ้อ.. พอเห็นว่าแผงหน้าปัดแต่ละรุ่นคล้ายๆ กัน อย่าได้คิดนะว่า พวกเขาตั้งใจให้มันออกมาคล้ายกันเพื่อจะได้เอาไปใช้กับหลายๆ รุ่นได้เป็นการลดต้นทุนแบบไม่ต้องดีไซน์แผงหน้าเปลี่ยนไปทุกรุ่น จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย.. อย่าง 3 รุ่นนี้ เขาเอามาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของสัดส่วนตัวถังและรายละเอียดบนแผงหน้า ซึ่งสังเกตดูจะเห็นว่า รุ่น E-280, E-3000 และรุ่น E-380 แม้ว่าทั้งสามรุ่นนี้จะมีความกว้างของตัวถังเท่ากันคือ 465 .. หรือ 46.5 .. แต่ความสูงจะต่างกันหมด ในขณะที่ความลึกของรุ่น E-280 กับรุ่น E-3000 จะเท่ากัน ส่วนรุ่น E-380 ตัวถังจะลึกกว่านิดนึง สุดท้ายคือน้ำหนัก ซึ่งน่าสังเกตว่า รุ่น E-3000 จะมีน้ำหนักมากที่สุดในทั้งสามรุ่นนี้

ภาคเพาเวอร์แอมป์ที่ทรงพลัง
ที่มาของ น้ำหนักที่มากกว่า..

เพราะ E-3000 มีสถานภาพเป็น อินติเกรตแอมป์ดังนั้น ภายในตัวถังจึงมีส่วนประกอบของการทำงาน 2 ภาคร่วมแชร์พื้นที่กันอยู่ ส่วนแรกคือ ภาคปรีแอมป์กับอีกส่วนคือ ภาคเพาเวอร์แอมป์ซึ่งส่วนประกอบที่เป็นภาคเพาเวอร์แอมป์นี่แหละคือต้นเหตุที่มาของ น้ำหนักของ E-3000 ที่ใครลองยกดูก็จะรู้ว่ามันหนักอึ้ง.!

จากสองภาพข้างบนจะเห็นว่า ส่วนประกอบหลักในภาคเพาเวอร์แอมป์ที่มีน้ำหนักมากเป็นพิเศษก็คือ ทรานสฟอร์เมอร์ขนาดยักษ์ที่มีฝาครอบป้องกันการรบกวน ติดตั้งอยู่บนพื้นที่บริเวณตรงกลางของตัวเครื่องเยื้องไปทางด้านหลังนิดๆ ซึ่งทรานสฟอร์เมอร์ลูกนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังกำลังขับที่ 100W ต่อโหลดต้านทานที่ 8 โอห์ม พร้อมทั้งกำลังสำรองอีก 50% เต็มๆ นั่นคือ 150W ต่อโหลดต้านทานที่ 4 โอห์ม และเป็นที่มาของ damping factor ที่ทำขึ้นไปได้ถึง 600 สูงกว่ารุ่น E-280 กับรุ่น E-380 มากถึง 20% ซึ่งแน่นอนว่า สเปคฯ นี้ช่วยยืนยันถึงประสิทธิภาพในการควบคุมไดเวอร์ของลำโพงที่ดีขึ้นนั่นเอง

คุณภาพของกำลังขับที่ 100W ต่อแชนเนล

เท่าที่ผมได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของ Accuphase มาแล้วหลายรุ่น ต่อเนื่องกันมาหลายปี ต้องยอมรับว่า Accuphase เป็นแบรนด์ผู้ผลิตที่มีระเบียบแบบแผนกับทุกเรื่อง ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระบบ การออกแบบผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นที่มีความต่อเนื่องในแง่ของเจนเนอเรชั่น จะมีการบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละเจนเนอเรชั่นเอาไว้ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้ตลอด เป็นเครื่องยืนยันที่แสดงถึงความจริงใจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-3000 ถูกจัดรูปแบบการทำงานในลักษณะที่เรียกว่า mono-block คือแยกวงจรขยายสำหรับแชนเนล ซ้ายและแชนเนล ขวาเด็ดขาดออกจากกัน โดยใช้ทรานซิสเตอร์แบบ bipolar เวอร์ชั่นใหม่ที่มีความสามารถในการจ่ายกระแสได้สูงถึง 15 แอมป์ จำนวนมากถึงแชนเนลละ 3 คู่ หรือ 6 ตัว ต่อขนานกัน (ในภาพข้างบนนั้นแค่แชนเนลเดียว) ทำการขยายสัญญาณในลักษณะ push-pull ซึ่งให้ output impedance ต่ำ ทำให้สามารถตอบสนองกับการเรียกร้องกำลังขับของลำโพงได้อย่างฉับไวทันท่วงที

ภาคปรีแอมป์ดีไซน์พิเศษ
AAVA (Accuphase Analog Vari-gain Amplifier)

ภาคเพาเวอร์แอมป์ทำหน้าที่เป็นโรงงานปั๊มกำลัง ซึ่งจังหวะของการจ่ายกำลังก็ต้องอาศัย order หรือคำสั่งที่มาจาก ระดับวอลลุ่มที่ส่งมาจากภาคปรีแอมป์ และเพื่อให้การทำงานของภาคปรีแอมป์มีความเที่ยงตรงแม่นยำมากที่สุด เพื่อให้การ เรียกกำลังจากเพาเวอร์แอมป์มีความสอดคล้องตรงกับระดับ ความแรงของสัญญาณอินพุต + ความดังที่ผู้ใช้ต้องการให้มากที่สุด วิศวกรของ Accuphase จึงได้ทำการออกแบบระบบวอลลุ่มที่มีความเที่ยงตรงสูงออกมา เรียกว่าระบบวอลุ่ม AAVA

จริงๆ แล้ว วอลลุ่ม AAVA ของ Accuphase ก็ถือว่าเป็นระบบวอลลุ่มที่แอดวานซ์มากแล้วเมื่อเทียบกับระบบวอลลุ่มแบบดั้งเดิม แต่พวกเขาพบว่า รีซิสเตอร์ที่ใช้ในระบบวอลลุ่มแต่ละตัวยังมี ความเบี่ยงเบนของค่าความต้านทานที่ต่างกันอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ มีผลทำให้อัตราการ เพิ่มขึ้นของระดับความดังตอนเร่งวอลลุ่ม กับอัตราการ ลดลงของระดับความดังตอนเบาวอลลุ่ม ไม่ราบเรียบเป็นลำดับที่ต่อเนื่องกันร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ หรือที่เรียกว่า ไม่เป็นเชิงเส้นนั่นเอง เพื่อแก้ปัญหานี้ พวกเขาใช้วิธีออกแบบวงจรพิเศษขึ้นมาชื่อว่า ANCC (Accuphase Noise and distortion Canceling Circuit) (ศรชี้ในภาพข้างบน) แล้วเอาเข้าไปติดตั้งไว้หลังเอ๊าต์พุตของวอลลุ่ม AAVA ก่อนจะถึงขั้นตอนแปลงจากกระแสเป็นแรงดัน (I > V conversion) เพื่อไปออกที่เอ๊าต์พุต

วงจร ANCC ที่ว่านี้จะเข้าไปทำหน้าที่ตรวจเช็คและขจัดความไม่ linear ของสัญญาณเอ๊าต์พุตของวอลลุ่ม AAVA ที่เกิดจากความแตกต่างของความต้านทานของรีซิสเตอร์แต่ละตัวที่ใช้ในวงจร AAVA ออกไป ซึ่งระบบวอลลุ่ม AAVA ในรุ่น E-380 ไม่มีวงจร ANCC จึงทำให้ระบบวอลลุ่ม AAVA ของ E-3000 ให้ความสงัดมากกว่า (คือ noise ต่ำกว่า) ในรุ่น E-380 มากถึง 20%

บนแผงหน้าปัด..

A = ปุ่มกด เปิด/ปิดเครื่อง
B = ปุ่มหมุน เลือกอินพุต
C = หน้าจอ แสดงปริมาณกำลังขับทางเอ๊าต์พุต
D = ปุ่มหมุน ปรับระดับวอลลุ่ม
E = รูเสียบแจ็คหูฟังขนาด 6.3 ..

ถึงแม้ว่า E-3000 จะมีรีโมทไร้สายรุ่น RC-260 มาให้ด้วย แต่บนตัวรีโมทก็มีฟังท์ชั่นจำกัด ใช้ควบคุมได้ทั้งแอมป์และเครื่องเล่นซีดี ซึ่งในส่วนของแอมป์มีแค่เลือกอินพุตกับปรับวอลลุ่มเท่านั้นเอง ส่วนการควบคุมสั่งงานการทำงานฟังท์ชั่นอื่นๆ ของตัวเครื่องต้องทำผ่านปุ่มหมุนและปุ่มกดที่อยู่บนแผงหน้าปัดของตัวเครื่อง E-3000 โดยตรง ซึ่งทางผู้ผลิตจะเรียงปุ่มปรับเหล่านั้นเป็นแถวเรียงหนึ่งไว้ที่ด้านล่างของแผงหน้าปัด จากซ้ายไปขวา คือ เลือกใช้งานบอร์ดอ๊อปชั่นเสริมระหว่างบอร์ด DAC รุ่น DAC-60 กับบอร์ด Phono รุ่น AD-60, เลือกใช้ขั้วต่อเอ๊าต์พุตระหว่างชุด A กับชุด B, ปรับทุ้ม/แหลม, ปรับเฟส, ปรับโมโน, เลือกภาคขยายหัวเข็ม MM/MC, เลือกใช้ฟิลเตอร์, เลือกโหลดสำหรับหัวเข็ม MC, ปรับบาลานซ์ซ้ายขวา, เลือกใช้ช่อง Main in, ควบคุมฟังท์ชั่น Record, เปิด/ปิดไฟบนหน้าจอมิเตอร์ และปรับหรี่เสียง

บนแผงหลัง..

Accuphase เป็นแบรนด์ที่เนี้ยบมาก.! ทุกส่วนของแอมป์ตัวนี้มันสะท้อนออกมาแบบนั้นจริงๆ ทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบได้ลงตัวมาก อย่างจุดเชื่อมต่อสัญญาณบนแผงหลังก็ถูกจัดหมวดหมู่ไว้ชัดเจน เป็นสัดส่วน เริ่มจากซ้ายมือจะมีช่องเสียบแผงวงจรที่เป็นอ๊อปชั่นสำหรับภาค DAC และภาค Phono จำนวน 2 ช่อง (ต้องซื้อเพิ่ม)

ถัดไปก็เป็นช่องเสียบสำหรับสายสัญญาณที่แยกไว้ให้ใช้ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ “อินพุต” (INPUTS) สำหรับรองรับสัญญาณจากอุปกรณ์ภายนอกจำนวน 5 ชุด ทั้งหมดเป็นช่องสัญญาณขาเข้าระดับ Line Level โดยมีชื่อพิมพ์กำกับไว้คือ TUNER, CD, LINE1, LINE2 และ LINE3 แต่ถ้าคุณเสียบสลับกันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทั้ง 5 ชุดนั้นสเปคฯ เดียวกันหมด ส่วนกลุ่มที่สองถัดไปเป็นช่องเสียบสัญญาณสำหรับการบันทึกเสียง (RECORDER) และกลุ่มที่สามเป็นช่องสำหรับ PRE OUT เพื่อไปใช้กับเพาเวอร์แอมป์ภายนอก และช่อง MAIN IN สำหรับรองรับสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอก

ถัดลงไปจากช่องเสียบสำหรับอินพุต RCA จะมีช่องเสียบสัญญาณอินพุตแบบบาลานซ์ XLR มาให้หนึ่งชุด โดยที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า BAL CD INPUTS แต่คุณจะใช้กับ DAC หรือภาคขยายหัวเข็มภายนอกก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ถัดไปทางขวาอีกหน่อยก็เป็นช่องเสียบปลั๊กของสายไฟเอซีที่ให้มาเป็นแบบสามขาแยกกราวนด์

ขั้วต่อสายลำโพงที่ให้มาก็ยังคงเป็นมาตรฐานของ Accuphase ที่ใช้ขั้วต่อที่พวกเขาผลิตเอง ขนาดใหญ่มาก และให้มา 2 ชุด คือ Speaker A และ Speaker B ซึ่งมีสวิทช์ให้เลือกระหว่างเอ๊าต์พุตทั้งสอง จะแยกใช้ก็ได้ หรือเปิดใช้พร้อมกันทั้ง A + B ก็ได้ ใครใช้ลำโพงที่แยกขั้วต่อ 2 ชุด แนะนำให้ใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลไวร์ 2 ชุดแยกต่อเอ๊าต์พุต A จาก E-3000 ไปเข้าที่ขั้วต่อสายลำโพงชุดบนของตัวลำโพง และต่อเอ๊าต์พุต B ของ E-3000 ไปเข้าที่ขั้วต่อชุดล่างของลำโพง เสียงจะออกมาดีกว่าใช้สายลำโพงแบบไบไวร์ฯ 2 > 4 ถ้าลำโพงของคุณให้ขั้วต่อสายลำโพงมาชุดเดียว จะใช้เอ๊าต์พุตชุด A หรือชุด B ของ E-3000 ก็ได้

แม็ทชิ่ง

สเปคฯ ของ E-3000 ระบุกำลังขับที่โหลด 8 โอห์ม อยู่ที่ 100W ต่อข้าง และสามารถปั๊มกำลังขับออกมาได้มากถึง 150W เมื่อโหลดที่เอ๊าต์พุตลดลงมาอยู่ที่ 4 โอห์ม ซึ่งเป็นสเปคฯ ของแอมป์ที่ครอบคลุมความต้องการของลำโพงระดับกลาง (mid-end) ขึ้นไปจนถึงระดับน้องๆ ไฮเอ็นด์ฯ (mid-to-high) สำหรับลำโพงยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมเป็นมิตรกับแอมป์ (คือขับง่าย) มากกว่าลำโพงไฮเอ็นด์ฯ ยุคก่อน

โชคดีของ E-3000 ที่มีเวลาอยู่ในห้องฟังของผมได้นานหน่อย มันจึงมีโอกาสได้ทดลองจับคู่กับลำโพงค่อนข้างหลากหลาย ไล่ตั้งแต่ราคาคู่ละเฉียดแสนบาทอย่าง Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW), คู่ละแสนต้นๆ อย่าง Magnepan รุ่น MG1.7i ไปจนถึงคู่ละเฉียดหนึ่งล้านบาทอย่าง Wilson Audio รุ่น Sabrina V (REVIEW)(*กับคู่ของ Sabrina V เริ่มต้นจับคู่กับ E-3000 แล้วลองฟังกันตั้งแต่แกะกล่องมาจนถึงชั่วโมงที่หกสิบซึ่งพอจะมองเห็นแนวเสียง)

จับกับ Audio PhysicClassic 8

จริงๆ แล้วลำโพงทั้ง 3 คู่ ที่นำมาทดลองจับคู่กับ AccuphaseE-3000มีอิมพีแดนซ์ปกติอยู่ที่ 4 โอห์ม ทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนั้น Classic 8 มีสเปคฯ ที่เป็นมิตรกับ E-3000 มากที่สุด อย่างแรกคือความไว 89dB สูงที่สุดในจำนวนสามคู่นี้ กับตัวเลขกำลังขับที่แนะนำ ซึ่ง Classic 8 แนะนำกำลังขับสูงสุดที่โหลด 4 โอห์ม อยู่ที่ 150W เท่ากับกำลังขับของ E-3000 พอดี ในทางเทคนิคแล้วก็เท่ากับว่า ในแง่ของกำลังขับของ E-3000 ถือว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับลำโพง Classic 8

เสียงโดยรวมที่ได้จากคู่ E-3000 + Classic 8 โชว์ให้เห็นชัดว่า E-3000 สามารถควบคุม Classic 8 ได้อย่างมั่นคง E-3000 สามารถผลักดันคุณสมบัติเด่นๆ ของเสียงออกมาจาก Classic 8 ด้วยผลลัพธ์อยู่ในระดับที่น่าพอใจทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโฟกัส, ไดนามิก และมิติเวทีเสียงที่แผ่กระจายหลุดตู้ออกมาอย่างเต็มที่ แม้ขณะที่เปิดดังมากๆ ก็ไม่มีอาการป้อแป้หรือจัดจ้านแต่อย่างใด แสดงว่า E-3000 มีกำลังสำรองมากพอที่จะเสิร์ฟให้กับความต้องการของ Classic 8 ในทุกสภาวะ

จับกับ MagnepanMG1.7i

ลำโพง Magnepan คู่นี้คือโจทย์ที่ผมคาดว่า E-3000 ไม่น่าจะผ่านไปได้.!! แต่หลังจากทดลองจับคู่กันแล้ว ต้องยอมรับว่า E-3000 ทำให้ผมงง เพราะเสียงที่ออกมามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคาดไว้ คือเสียงที่ได้ยินมันไม่ได้มีอาการตื้อหรืออั้นเหมือนอาการของเสียงลำโพงที่แอมป์ขับไม่ออก สิ่งที่ผมได้ยินคือ กลางขึ้นไปถึงแหลมที่ E-3000 ดันผ่าน MG1.7i ออกมามันมีลักษณะที่เปิดกระจ่าง มีการสวิงไดนามิกหนักเบาที่เปิดกว้าง ไม่รู้สึกว่ามีอะไรอั้นอยู่เลย ทรานเชี้ยนต์ก็คมและเร็ว ในขณะที่กลางลงไปถึงทุ้มก็มีมวลและหลุดลอยออกมาจากลำโพงได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ได้จมติดอยู่รอบๆ ลำโพง อือมม.. หรือว่าจริงๆ แล้วกำลังขับของ E-3000 มันมากพอที่จะขับลำโพงแผ่นฟิล์มรุ่น MG1.7i คู่นี้ได้.?

ผมกลับไปพลิกดูสเปคฯ ของ MG1.7i อีกรอบ ก็ไม่พบตัวเลขกำลังขับที่ผู้ผลิตลำโพง Magnepan แนะนำไว้ มีแค่ตัวเลขอิมพีแดนซ์ที่ระบุไว้ว่าอยู่ที่ 4 โอห์ม กับความไวที่ 86dB ซึ่งค่อนข้างต่ำ แต่ด้วยลักษณะของเสียงที่ได้ยินจากการทดลองจับคู่ E-3000 + MG1.7i ก็ไม่ได้ส่อว่าจะขับไม่ออก หรือจะเป็นเพราะ E-3000 มีแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ที่สูงถึง 600 ?? อือมม.. ไม่รู้จริงๆ แต่จากเสียงที่ผมได้ยินมันคือขับออก และออกมาดีซะด้วย.!!! แน่นอนว่าถ้าเป็นแอมป์ Accuphase รุ่นใหญ่กว่านี้อย่าง E-4000 หรือ E-5000 เอามาจับกับ MG1.7i คู่นี้ เสียงน่าจะออกมาดีกว่านี้ขึ้นไปอีก แต่เท่าที่ E-3000 ให้ออกมาเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวของมันผมก็ยกมือให้มันสอบผ่านแล้วล่ะ..

จับคู่กับ Wilson Audio รุ่น Sabrina V

นี่คือ Mission Impossible! หรือภาระกิจที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะโดยปกติแล้ว คนที่สามารถซื้อลำโพงที่มีราคาคู่ละ 1 ล้านบาท (ทอนหนึ่งหมื่น) ได้ น้อยคนที่จะจับคู่กับอินติเกรตแอมป์ที่มีราคาแค่สองแสนนิดๆ อย่างต่ำๆ ก็ต้องมีสี่ห้าแสนขึ้นไปทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ผมทดลองจับคู่ E-3000 กับ Wilson Audio คู่นี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่าปลายทางของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้จะไปได้สุดแค่ไหน

ลำโพง Wilson AudioSabrina Vแนะนำกำลังขับไว้ว่า อย่างต่ำคือ 50Wโดยอ้างอิงกับโหลด 4 โอห์ม ซึ่งเทียบกับกำลังขับของ E-3000 แล้วก็ต้องถือว่ามากเกินพอ เพราะที่โหลด 4 โอห์ม E-3000 สามารถปั๊มกำลังขับออกมาได้มากถึง 150W มากกว่าระดับ minimum ที่ลำโพงแนะนำไว้ถึงสามเท่า.!!

เสียงที่ได้ยินออกมาจากคู่ E-3000 + Sabrina V ก็ไม่มีวี่แววของอาการที่ฟ้องว่ากำลังขับไม่พอแต่อย่างใด เวทีเสียงเปิดกว้างและฉีกออกไปโดยรอบ ไม่มีอาการติดตู้เลย ในแง่ความดังโดยรวมต้องบอกว่า เกินพอผมสังเกตจากปริมาณวอลลุ่มที่ใช้พบว่าอยู่ในระดับใกล้กับตอนขับลำโพง MagnepanMG1.7iเมื่อลองฟังเพลงเดียวกัน ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับตัวเลขสเปคฯ ของลำโพง Sabrina V ที่ระบุความไวอยู่ที่ 87dB ที่อิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม ใกล้เคียงกับสเปคฯ ของ MG1.7i มาก (ความไวของ MG1.7i อยู่ที่ 86dB, อิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม)

ตอนทดลองใช้ E-3000 ขับ Sabrina V ผมลองฟังเทียบกับใช้อินติเกรตแอมป์ของ CH Precision รุ่น I1 ขับลำโพง Sabrina V คู่เดียวกัน ยืนยันได้ว่า ในแง่ความดังของเสียงโดยรวม E-3000 สามารถทำได้ไม่ต่างจาก CH PrecisionI1คือสามารถเปิดให้ดังพอๆ กันได้โดยที่เสียงไม่เสียทรง แต่ส่วนที่ E-3000 ยังเป็นรอง I1 จะไปอยู่ที่รายละเอียดของเสียงทั้งในแง่ของ โฟกัสที่ I1 สกัดตัวเสียงออกมาได้คมชัดมากกว่า ให้ความเป็นตัวเป็นตนของเสียงที่เด่นชัดมากกว่า พื้นเสียงใสกว่า และในแง่ของ อัตราสวิงไดนามิกที่ลื่นไหลมากกว่า เพราะ I1 มีกำลังสำรองสูงกว่า (อินติเกรตแอมป์ CH Precision รุ่น I1 มีกำลังขับอยู่ที่ 100W ที่ 8 โอห์ม และ 175W ที่โหลด 4 โอห์ม) และมีสเปคฯ ที่เหนือกว่าอีกหลายข้อ (ราคาของ CH PrecisionI1เวอร์ชั่นมาตรฐานเริ่มต้นที่ 1,600,000 บาท)

จากการทดลองใช้ E-3000 ขับลำโพง Wilson Audio รุ่น Sabrina V พบว่า เสียงที่ได้ออกมาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50 – 60% เมื่อเทียบกับคุณภาพเสียงที่ได้จากการใช้อินติเกรตแอมป์ CH PrecisionI1ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถในการขับลำโพงที่เหนือกว่าระดับราคาสองแสนหนึ่งหมื่นบาทของ E-3000 ตัวนี้ไปไกลมากแล้ว.!!!

สรุปเสียงของ E-3000

E-3000 ใช้ทรานซิสเตอร์ bipolar จำนวน 3 คู่ หรือ 6 ตัวต่อข้าง ทำหน้าที่ขยายสัญญาณสำหรับภาคเอ๊าต์พุตด้วยวงจรขยาย class-AB ซึ่งผมสังเกตว่า เสียงของแอมปลิฟายแบรนด์ Accuphase เจ้านี้ได้เริ่ม ปรับเปลี่ยนบุคลิกเสียงจากแนว นุ่มนิ่ม + หวานเนียนในอดีต ให้เอนเอียงมาทาง สด + สมจริงมากขึ้นในยุคปัจจุบัน และนับวันพวกเขาก็เริ่มปรับจูนเสียงของแอมปลิฟายที่พวกเขาทำออกมาให้มีความสดมากขึ้น ทำให้นักฟังฯ รุ่นใหม่ที่ชอบฟังเพลงแนวแจ๊ส, ร็อค และเพลงสมัยใหม่ที่เน้นไดนามิกกว้างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจแอมปลิฟายของ Accuphase กันมากขึ้น

จากการทดลองจับคู่ E-3000 กับลำโพงทั้งสามคู่ข้างต้น ผมพบว่า เสียงที่ ใกล้เคียงตัวตนจริงๆ ของ E-3000 มากที่สุดก็คือตอนที่มันขับลำโพง Audio PhysicClassic 8กับ MagnepanMG1.7iนั่นเอง.. *ผมใช้ InnuosSTREAM1’ (REVIEW) + Ayre AcousticsQB-9 Twentyทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางในการทดสอบโดยตลอด ส่วนเพลงที่ใช้ทดสอบก็มีทั้งสตรีมมาจาก TIDAL และสตรีมจาก NAS

เพลง : Volver, volver (TIDAL / FLAC-16/44.1)
อัลบั้ม : Nina de Fuego
ศิลปิน : Buika

ทั้งเสียงร้องและเสียงกีต้าร์ในเพลงนี้นี่แหละที่เป็นประจักษ์พยานสำคัญที่ทำให้รู้ว่า วิศวกรของ Accuphase ปรับเปลี่ยนโทนเสียงแอมปลิฟายของพวกเขาให้มีลักษณะที่สด กระจ่าง และมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าลักษณะเสียงของแอมป์ Accuphase ยุคก่อนอย่างชัดเจน..!!

ความสดอยู่ตรงไหน.? ความสดเป็นต้นกำเนิดของ อารมณ์ถ้าเป็นเสียงร้องในเพลงนี้ เมื่อเล่นผ่านแอมปลิฟายที่ให้เสียงสด สมจริง คุณจะรับรู้ได้ถึง รายละเอียดของเสียงร้องที่ไม่ได้แค่ทำให้คุณ ได้ยินว่าเธอเปล่งคำร้องอะไรออกมา แต่ทำให้คุณ รู้สึกถึงลักษณะการควบคุมลมหายใจและควบคุมกระบวนการของร่างกายที่เธอใช้ในการเปล่งคำร้องออกมาจากปากของเธอ คุณจะรู้สึกได้ว่า เธอใช้ลีลาในการปล่อยคำร้องหนึ่งไปสู่อีกคำร้องหนึ่งแบบไหน จังหวะที่เธอโหนเสียงขึ้นไปคีย์สูงๆ ในท่อนท้ายๆ ของเพลงนั้น คุณจะรับรู้ได้ถึงพลังที่เธอปลดปล่อยออกมาพร้อมกับคำร้องด้วย ซึ่งเดาได้เลยว่า ถ้าเป็นแอมป์ Accuphase ยุคเก่าๆ เสียงร้องของ Buika ในเพลงนี้จะออกไปทางนุ่มกว่านี้ ด้วยอารมณ์ที่ รอมชอม” มากกว่านี้ แทนที่จะ ปลดปล่อยออกมาเต็มๆ แบบนี้

เสียงกระตุกสายกีต้าร์ด้วยปลายนิ้วก็รับรู้ได้ถึง น้ำหนักเสียงที่เธอออกแรงกระตุกขึ้นมา 2-3 เส้นพร้อมกัน ซึ่งในน้ำเสียงนั้นยังให้ความรู้สึกถึงความตึงตัวของสาย และรับรู้ได้ถึงขนาดของสายที่ต่างกันด้วย อันนี้ถ้าแอมป์ไม่ตั้งใจปรับจูนมาให้สามารถตอบสนองสัญญาณได้เร็ว และจ่ายกำลังให้กับสัญญาณนั้นด้วยความฉับไวและมากพอ รวมถึงสามารถหยุดยั้งกรวยของไดเวอร์ได้เร็วพอ เราจะไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงลักษณะแบบนี้ได้เลย.!!

เพลง : Haydn String Quartet in D, Op. 76, No. 5FinalePresto (2L / DXD 24/352.8)
อัลบั้ม : Haydn-Solberg-Grieg String Quartets
ศิลปิน : Engegard Quartet

อัลบั้มนี้เป็นผลงานบันทึกเสียงของค่าย 2L โดยบันทึกเสียงด้วยฟอร์แม็ต DXD ที่ความละเอียดของสัญญาณระดับ 24-bit/352.8kHz มีขายเป็นไฟล์ DXD 24/352.8 ที่เว็บไซต์ของ 2L (https://shop.2l.no/collections/all/products/string-quartets-vol-i-engegard-quartet)

ผมซื้อไฟล์เพลงนี้มาเพื่อใช้ทดสอบประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงทั้งระบบในการรองรับสัญญาณเสียงที่บันทึกมาด้วยมาตรฐาน Hi-Res Audio จริงๆ ว่าจะสามารถตอบสนองออกมาได้ดีแค่ไหน ซึ่งพูดได้เลยว่า Morten Lindberg ซาวนด์เอ็นจิเนียร์และเจ้าของค่าย 2L เก็บบันทึกเสียงเครื่องสายทั้ง 4 ชิ้น ของวง String Quartet (violin x2, viola x1 และ cello x1) ที่ชื่อว่า Engegard Quartet ออกมาได้สมจริงมากๆ โดดเด่นมากๆ ในแง่ของ energy หรือไดนามิกที่สะท้อนถึงพลังที่ศิลปินทั้งสี่คนประเคนลงไปกับเครื่องดนตรีที่พวกเขารับผิดชอบอยู่ แอมป์ที่จะสามารถถ่ายทอด ความจริงของเครื่องสายทั้งสี่ชิ้นนี้ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวาและสมจริง จะต้องเป็นแอมป์ที่สามารถตอบสนองกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้เร็วมากๆ โดยเฉพาะในย่านกลางและแหลม ซึ่ง E-3000 ตัวนี้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าชื่นชม เสียงกระชากคันชักไวโอลินตอนขึ้นต้นแทรคนี้มันทั้งเร็ว กระชั้น และมีพลังอย่างมาก ทำเอาแทบสะดุ้ง ซึ่งนอกจากสปีดของทรานเชี้ยนต์ที่รวดเร็วมากแล้ว E-3000 ตัวนี้ยังสามารถถ่ายทอด texture ของเครื่องสายแต่ละชิ้นออกมาให้รับรู้ได้ด้วย คือมันไม่แค่ทำให้ ได้ยินเสียงไวโอลิน, ไวโอล่า และเชลโลเท่านั้น แต่มัน (E-3000) ได้ทำให้รับรู้ลึกลงไปถึง ต้นเหตุที่มาของเสียงเหล่านั้นด้วย ฟังแล้วแทบจะเห็นภาพของคันชักหางม้าที่เสียดสีลงไปบนเส้นลวด บางช่วงนั้นมีทั้งบดและบี้ด้วยแรงของกล้ามเนื้อแขนแบบไม่บันยะบันยัง บางขณะก็กรีดขอบคันชักสไลด์ไปบนเส้นลวดให้เสียงออกมาหวีดหวิว เสียดแทงอารมณ์สุดๆ ซึ่งต้องชม Morten Lindberg ที่บันทึกเก็บรายละเอียดระดับ inner detail ของแต่ละชิ้นดนตรีมาได้ครบๆ เข้มๆ แบบนี้ เป็นเพลงสตริง ควอทเท็ตที่ฟังแล้วสะใจถึงอารมณ์จริงๆ 

ผมมีโอกาสทดสอบแอมป์ของ Accuphase มาแล้วหลายรุ่น ทั้งที่ใช้วงจรขยาย class-A และ class-AB รู้สึกได้เลยว่า พวกเขาตั้งใจที่จะปรับจูนเสียงของแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-A กับ class-AB ให้มีบุคลิกที่ต่างกันอย่างชัดเจน คือถ้าคุณลองฟังแอมป์รุ่นใดรุ่นหนึ่งของ Accuphase แล้วมีความรู้สึกว่าสดไป จี๊ดจ๊าดมากไป อยากได้เสียงที่นุ่มและนวลเนียนมากกว่านั้น เดาได้เลยว่า แอมป์ที่คุณลองฟังนั้นเป็นแอมป์ซีรี่ย์ E ที่ตามด้วยเลข 4 ตัว ซึ่งถ้าต้องการเสียงที่นุ่มเนียนกว่านั้นก็แนะนำให้ไปลองฟังซีรี่ย์ E ที่ตามด้วยเลข 3 ตัว อย่างเช่นรุ่น E-700 หรือรุ่น E-800 หรือถ้าเป็นเพาเวอร์แอมป์ก็มีรุ่น A-48s, A-80 และรุ่น A-300 ซึ่งเป็นกลุ่มของแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-A และในทางตรงข้าม ถ้าคุณลองฟังแอมป์ของ Accuphase ที่ใช้วงจรขยาย class-A แล้วรู้สึกว่าอยากได้เสียงที่กระชับเร็วและสดกระจ่างมากกว่านั้น คุณก็ต้องไปลองฟังซีรี่ย์ E รุ่นที่ตามด้วยตัวเลข 4 ตัว อย่างเช่น E-3000, E-4000 และ E-5000 จะได้เสียงอย่างที่คุณต้องการ

แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ใช้วงจรขยาย class-A หรือรุ่นที่ใช้วงจรขยาย class-AB สิ่งที่ต่างกันก็มีแค่ บุคลิกของเสียงเท่านั้น ส่วน คุณภาพของเสียงนั้น ต้องยอมรับมาตรฐานของ Accuphase ที่สามารถรักษาคุณสมบัติในส่วนของ คุณภาพของเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เอาไว้ได้อย่างมั่นคงมาโดยตลอด นั่นคือ ลักษณะของเสียงที่ เนียนสะอาดไม่หยาบกระด้าง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่หรือรุ่นเล็ก ทุกรุ่นจะให้เนื้อเสียงที่เนียนสะอาดเหมือนๆ กัน

สรุป

ถึงแม้ว่า E-3000 จะเป็นรุ่นเล็กในกลุ่มของแอมป์ที่ใช้วงจรขยายเอ๊าต์พุตแบบ class-AB แต่ Accuphase ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และมาตรฐานของแบรนด์เอาไว้ได้อย่างมั่นคง ปรากฏชัดที่ความเนี้ยบของงานออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ไปจนถึงคุณภาพของเสียง ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า เมื่อมองที่ ราคา 210,000 บาท แล้ว ทั้งหมดที่ E-3000 ให้ออกมามันคุ้มค่าเกินราคาจริงๆ จะหาอินติเกรตแอมป์เพียวๆ ที่มีเนื้องานการออกแบบตัวเครื่องและคุณภาพเสียงระดับนี้มาต่อกรกับมันได้ยากมาก บอกเลย ..!!!

*** ใครอยากได้ E-3000 เวอร์ชั่น All-in-One แบบตัวเดียวจบ ก็สามารถสั่งเพิ่มบอร์ดดิจิตัล อินพุตรุ่น DAC-60 กับบอร์ดโฟโนรุ่น AD-60 เข้ามาเสริมได้เลย.!!!

***************************
ราคา : 210,000 บาท / เครื่อง
***************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Hi-END AUDIO
โทร. 02-101-1988
facebook: @hiendaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า