ปฐมกาล 3:23-24 TH1971
“23 เพราะเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงขับไล่เขาออกไปจากสวนอีเดน ให้ไปทำไร่ทำสวนในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น
24 พระองค์ทรงไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งพวกเครูบ ทางด้านทิศตะวันออกแห่งสวนเอเดน และตั้งกระบี่เพลิงอันหนึ่งที่หมุน ได้รอบทิศไว้เฝ้าทางที่จะเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น..”
เสียงก้องหวีดหวิวของสายลมกรูเกรียวพัดมวลหมู่เม็ดทราย ให้คลุ้งปลิวว่อนจนน่าขนลุก อ้างว้างวังเวงซึมลึกเข้าไปในหัวจิต เป็นการขึ้นต้นก่อนเข้าสู่เสียงซินธ์ที่ล่องหลอนในแบบอารเบียนฟุ้งกำจาย
สานรับด้วยทางดนตรีอย่างนุ่มเนียนแผ่วเบาด้วยเปียโนเคาะแปร่งหวานกังวาน เลาะไล่เรื่อยสะกดอารมณ์พร้อมเสียงกลอง เบส กีตาร์ไต่ตีคู่สอดรับเมโลดี้สวยงาม
ดอน เฮนลีย์ (Don Henley) เปล่งถ้อยคำผ่านเนื้อร้องในท่อนแรกอย่างแหบสั่นเครืออยู่ในที หวานขื่นฟุ้งกำจายก้องในโสตไปทุกอณูเสียง
‘แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบกับหมู่ต้นปาล์ม
เงาเคลื่อนวูบไหวบนผืนทราย
บทเพลงสวดหมายเลข 23 ผ่านมาทางเสียงกระซิบของใครบางคน
ฝุ่นทรายบนปืนไรเฟิลไหลหมุนวนเร็วรี่ลงจากมืออันสั่นเทาของเขา…’

ถนนสายที่แสนไกลห่างออกจากสวนสวรรค์แห่งอีเดน (Long Road Out Of Eden) บทเพลงนำอัลบั้มที่ถูกใช้เป็นชื่ออัลบั้มของวง ดิ อีเกิลส์ (The Egles) ความยาวรวมของบทเพลง 10.17 นาที พลันนิ่งงันสงบอยู่ในใจ
ภาพของสงครามอิรักและการเมืองในสหรัฐอเมริกาถูก ดิ อีเกิลส์ นำเสนอผ่านศิลปะของการใช้ถ้อยคำมารับใช้เนื้อหาและบรรยากาศในตัวเพลง รวมทั้งภาคดนตรีที่แสดงให้เห็นถึงพื้นความรู้และไหวพริบในการแต่งเพลง เขียนเนื้อร้องที่คมคายลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย
บทเพลง ‘Long Road out of Eden’ นำมาเป็นชื่ออัลบั้มชุดที่ 7 เป็นงานใหม่ในรอบ 28 ปี ของวงดิ อีเกิลส์ ซึ่งออกมาในปี 2007 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ในการรียูเนี่ยนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากกระจัดกระจายไปตามทางของตัวเองแต่ละคน ก่อนที่จะประกาศยุบวงหลังมรณกรรมของ เกลน เฟรย์
การทำงานบันทึกเสียงร่วมกันยาวนานถึง 6 ปี ตามวาระจังหวะเหมาะสม ถือเป็นความปรารถนาและโหยหา รวมถึงความคิดถึงรักใคร่ทางดนตรีคันทรีร็อคในเอกลักษณ์ของพวกเขา และนำเสนอความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในอิรัก ซึ่งคุกรุ่นอยู่ในห้วงขณะนั้น
ในเชิงชั้นทางดนตรี บทเพลงนี้มีสัดส่วนและท่วงทำนองที่คล้ายกับโครงสร้างของบทเพลง ‘Hotel California’ เพียงแต่มีจังหวะจะโคนที่ช้ากว่ากัน การใช้เครื่องดนตรีเล่นที่สวยงามซึ่งดำเนินไปด้วยเวลาที่ยาวนาน มีความสง่างามไพเราะ
หากเปรียบเทียบความผิดแผกแตกต่างของทั้ง 2 บทเพลง คลื่นแห่งความทรมานและเศร้าสร้อย หม่นหมองครองทุกข์ใน ‘Long Road out of Eden’ จะมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แตกต่างกับ ‘Hotel California’ ที่เปี่ยมด้วยความสับสนอลหม่านจับจุดไม่ถูกของผู้คนในยุคสมัย
‘Long Road out of Eden’ เสนอภาพที่ขัดแย้งกันของความสวยงามแห่งธรรมชาติกับความน่าหวาดกลัวของทหาร ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในตะวันออกกลาง และวิถีชีวิตของเหล่าทหารหาญหรือผู้คนที่กลับบ้านในอเมริกา พร้อมกับถูกยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้กล้าหรือวีรบุรุษจากสงคราม
บทเพลงเป็นทั้งหมดที่เกี่ยวโยงกับความรู้สึกที่คุณมี เมื่อคุณคิดว่ามีใครบางคนเฝ้าตามคุณอยู่และมีความสุขในอ้อมโอบกอดของอาการจิตหวาดระแวง พร้อมนำเสนอภาคดนตรีที่สวยงามมากจากการบรรเลงอย่างเชี่ยวชำนาญในชิ้นดนตรี สร้างอารมณ์ที่มีคุณลักษณะเหมือนช่างฝันล่องลอยอย่างแจ่มแจ้ง
‘บางคนพยายามที่จะมีชีวิตให้อยู่รอด
เขาได้เก็บรักษาคำสัญญา
เหนือมหาสมุทรในอเมริกา
ไกลสุดแสนไกลห่าง กับภาวะลึกล้ำหลับใหล…’
ในอีกด้านของอารมณ์ เมื่อกำซาบบรรยากาศของบทเพลง ‘Long Road Out Of Eden’ ประหวัดหวนนึกถึงบทเพลง ‘Witchy Woman’ ของ ดิ อีเกิลส์เอง ที่มีมโนภาพด้านมืดที่ฟุ้งกำจาย แสงจันทร์ฉายบนท้องฟ้ายามเที่ยงคืน ใครบางคนยังมีชีวิตอยู่ ใครบางคนล้มหายตายจากไปดำดิ่งทิ้งตัวลงในหลุมฝังศพที่มีศิลาจารจารึกเก่าแก่หน้าหลุม อีกาสีดำตัวใหญ่เกาะอยู่นั่นเพรียกเรียกตัวกลับคืนสู่บ้านเก่า
หาก อีเดน (Eden) แดนสวรรค์สวนอีเดนในคัมภีร์ไบเบิลคือ สวนของพระเจ้า และบ้านหลังแรกของอดัมและอีฟ สถานที่แห่งความสุขและปลื้มปีติ หรือสรวงสวรรค์ รัฐแห่งความไร้เดียงสา ความสุขสำราญอันสุดยอด บทเพลง ‘Long Road out of Eden’ ก็บรรลุผลในความยุ่งเหยิงสับสนอลหม่าน ยินยอมและยอมรับให้ทุกสิ่งมันเกิดขึ้น
ลัทธิบริโภคนิยมทำลายทรัพยากรจนหมดสิ้น การล้างสมองถูกชักจูงให้เชื่อตามที่พูด การคอรัปชั่นหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงแห่งชาติด้วยความโลภโมโทสันเข้าไปอยู่เต็มตัวในความยิ่งใหญ่ของผู้นำ บรรษัทยักษ์ใหญ่ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน… เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ทำอย่างไรก็ไม่มีเพียงพอ
หลายคนบอกว่าบทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่ลึกซึ้งที่สุด ตั้งแต่ ดิ อีเกิลส์ เขียนเพลงมา สามารถให้ความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ถึงสภาพการณ์ของสังคมส่วนใหญ่ในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาวะที่ผู้คนแสดงอาการเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับเอาหัวมุดทรายอยู่ ทำหลงลืมปล่อยมันไป
แน่นอนการเพิกเฉย จริงแท้แล้วก็เหมือนกับการอนุญาตให้กระทำเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยยอมรับอย่างดุษณี เกิดการแพร่พันธุ์อย่างมากมายบนดินแดนที่ยุบยับด้วยความคิดวิตถารให้ได้ใจ และทวีคูณมากยิ่งขึ้นอย่างไม่มีจุดจบ เปรียบดั่งการขยายตัวของกองทัพแมลงศัตรูพืชที่บุกโจมตีพืชผลจนพินาศย่อยยับ
บทเพลงสวดหมายเลข 23 ผ่านมาทางเสียงกระซิบของใครบางคน ถ้อยประโยคสั่นเครือที่เปล่งสะท้อนสั่นเครือร้องสะเทือนอารมณ์ เมื่อลงลึกไปสู่บทเพลงสวดหมายเลข 23 (Psalm 23) ก็จะได้ความหมายที่กินบาดลึกเข้าไปถึงภายใน เป็นศรัทธาและความเชื่อของมนุษย์ที่พุ่งออกมาในยามชีวิตจวนเจียนล่อแหลมอยู่ท่ามกลางอันตรายและความตาย เป็นท่วงทำนองเพลงในคัมภีร์ไบเบิลที่อุทิศให้กับพระเจ้า ยกย่องพระผู้เป็นเจ้าให้คุ้มครอง ถือเป็นบทสวดเพื่อให้พระเจ้าเป็นผู้ชี้นำ ปกป้องเป็นที่พึ่งในช่วงเวลาแห่งความตาย
‘พบเจอปิศาจแห่งซีซาร์บนถนนแอพเพียน’
เขาบอกว่า เป็นเรื่องหนักเกินไปที่จะหยุด เมื่อเริ่มต้นไปแล้ว
หนเดียวที่คุณจะได้ลิ้มรส
แต่ถนนที่มุ่งสู่จักรวรรดิต้องนองด้วยเลือดอย่างนี้แหละ
เป็นการสิ้นเปลืองแบบโง่ๆ’
เมื่อเปิดดูหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมันที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องอำนาจเหนือโลกแบบสหรัฐอเมริกาในยุคนี้ ก่อนที่จะล่มสลายลงไป ก็พบว่าเส้นทาง สายแอพเพียน (Appian Way) เป็นถนนโรมันสายโบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ใช้เดินทางจาก กรุงโรม สู่ แคมพาเนีย (Campania) และทางตอนใต้ของอิตาลี โดยเริ่มสร้างเมื่อ 312 ปีก่อนคริสตกาล ดั้งเดิมมีความยาว 132 ไมล์หรือ 212 กิโลเมตร มุ่งไปสู่ คาพัว ในยุคโบราณ
ต่อมาในยุค 244 ปีก่อนคริสตกาล ได้ขยายเพิ่มเป็น 230 ไมล์ หรือ 370 กิโลเมตร เพื่อมุ่งไปสู่ท่าเรือแห่ง บรุนดิซอุม หรือ บรินดิซี่ ในส่วนปลายสุดของติ่งคาบสมุทร เป็นถนนสายยาวที่สร้างขึ้นอย่างแน่นหนาและลื่นเรียบด้วยหินลาวา เพื่อประโยชน์ในการขนส่งทางการค้าออกทางทะเล ส่งไปสู่กรีซและทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ถนนสายโบราณสายนี้เปรียบเสมือนสุสานรายทางมากมาย โดยที่โบสถ์แห่ง เซนต์เซบาสเตียน มีหลุมฝังศพอยู่มหาศาล ในปี 1784 โป๊ปพิอัสที่ 6 ได้สร้างเส้นทางแอพเพียนสายใหม่ขึ้นมา จาก กรุงโรม สู่ อัลบาโน่ คู่ขนานไปกับเส้นทางสายเก่า ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่นอกกรุงโรม
นี่คือความแยบยลในการหยิบคำที่เป็นตัวแทนของความอหังการและภาวะเสื่อมสลาย มาซ่อนนัยยะไว้อย่างมีกึ๋น สามารถฉายภาพทุกอย่างได้ ยิ่งกว่าการบรรยายหรือขยายความให้มากมาย
เมื่อผ่าชำแหละเนื้อหาวิเคราะห์คำร้องในบทเพลง นั่นคือความเป็นจริงของอเมริกาในทุกวันนี้ กลุ่มคนที่ปกครองประเทศ และบรรษัทยักษ์ใหญ่ บรรดานักการเมืองเหมือนกันทั่วโลก โดยเฉพาะนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและมีอำนาจในการบริหารประเทศ นโยบายต่างๆ ที่ออกมา ผลประโยชน์แห่งตน วงศาคณาญาติ และเครือพวกพ้องเป็นเรื่องปกติที่ดำเนินไปตามครรลอง บิดเบือนฉ้อฉลอย่างไรให้แนบเนียนที่สุด
การเปิดดวงตาในยุคสมัยแห่งความใบ้เบื้อ โง่งั่ง มืดบอด และตายน้ำตื้น เพื่อให้คนรุ่นที่เป็นอยู่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างเข้าใจในสภาพสังคมที่ฟอนเฟะ แหลกเหลวเละในการสร้างภาพลักษณ์แห่งความร่ำรวยบนความอำมหิต อาชญากรน้ำมัน อาวุธสงคราม และตลาดเงิน ภายใต้ความหวาดระแวงวิตกจริตร่วมกันของคนในชาติและทั่วโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ลุ่มลึกในบทเพลงจะยังคงอยู่สถิตไปกับทุกยุคสมัย บอกเล่าเรื่องราวของสังคมอเมริกันที่กระทำอยู่กับผู้คนบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะแอ่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งเมโสโปเตเมีย
‘ขับล่องลงไปตามเครือข่ายเส้นทางไฮเวย์อเมริกัน
ทะลุผ่านผ่ากลางเศษซากกระจุยกระจายและขยะทางวัฒนธรรม
จองหองพองขนด้วยสิทธิพิเศษเหนือใคร หนาแน่นจนล้นด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ
และขณะนี้พวกเรากำลังขับไปทั้งอาการมึนงงและกรอกดื่มอย่างเมามาย’
สภาพ สังคมปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศทางข้อมูลข่าวสารผ่านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ได้ทำให้คำว่า ขยะทางวัฒนธรรม (Cultural Junk) สามารถเชื่อมต่อความรู้สึกที่ว่า ในมูลค่าของทุนทางวัฒนธรรมก็มีขยะทางวัฒนธรรมอยู่ด้วยเช่นกัน
หากย้อนกลับจากบทเพลง ‘Long Road Out Of Eden’ ในท่อนนี้มีที่มาที่ไปของการเขียนเพลงออกมาจากถ้อยคำของหนึ่งในคนเขียนเพลงร่วม มือกลอง และร้องนำ ดอน เฮนลีย์ (Don Henley) ว่าแรกเริ่มที่เขียนนั้นมีประโยคว่า ‘weaving down the information highway’ เพราะเขาได้รับข้อมูลข่าวสารในคอมพิวเตอร์ทุกๆ วัน และมีมากมายที่เป็นเรื่องไร้สาระในอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เสียเวลาไปอย่างไร้ค่าและไม่สามารถระมัดระวังอย่างรอบคอบได้ แต่มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่มันก็เป็นแหล่งที่มาขององค์ความรู้และข้อมูล ข่าวสาร ซึ่งคล้ายกับโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ตนั้นถูกใช้ไปในเรื่องไร้สาระและไม่มีประโยชน์มากเหลือเกิน

บทเพลงเฟดจบลง ด้วยการลงไม้บนกลองสแนร์แบบเพลงมาร์ชยาตราพาเหรดของทหารที่คึกคักหักโหม และเลือนหายไปพร้อมเสียงหวีดหวิวของสายลมทะเลทราย ดุจดวงวิญญาณที่ถูกกระชากหายไปในผงคลีของเม็ดทรายที่ปลิวว่อนไร้ทิศทาง หาที่พักพิงไม่เจอ
ถ้าเชื่อว่าสวนสวรรค์แห่งอีเดนมีที่ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในอิรัก ทหารอเมริกันก็กำลังอยู่บนถนนสายที่แสนไกลห่างออกจากสวนสวรรค์แห่งอีเดน
เหมือนดั่งบทเพลงที่ตอกย้ำด้วยตัวโน้ตล้วนๆ ไม่มีถ้อยคำและเนื้อหามาบ่งชี้ แต่สามารถรับร่วมรู้วนความเศร้าหม่นหดหู่ในความหวัง ‘ฉันฝันว่าที่นั่นไม่มีสงคราม’ ซึ่งอยากให้เป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว ตามมาในบทเพลงบรรเลงด้วยเสียงกีตาร์โซโล่นิ่มนวลทว่ากรีดอารมณ์ของ เกลน เฟรย์ ซึ่งวางเป็นแทร็คที่ 2 ต่อจาก ‘Long Road Out Of Eden’ ในซีดีแผ่นที่ 2 ของอัลบั้มชุดนี้
บทเพลง ‘I Dreamed There Was No War’ สานสืบต่อเนื่องเป็นบทสรุปได้หมดจดงดงาม
ทองคำสีดำ กับ การค้าอาวุธ เดินตามติดกันไปเหมือนเงาปีศาจ ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เกราะกำบังตามธรรมชาติที่แห้งแล้งแสนเข็ญ ไม่สามารถหยุดการยาตราจากนักรบต่างถิ่นที่มาไกลจากคนละทวีป
เดินทางข้ามสุดขอบผืนแผ่นดินหนึ่ง ล่องลอยบนอากาศและเหนือผืนน้ำข้ามห้วงมหาสมุทรแสนกว้างใหญ่ พวกเขามาเปลี่ยนเวิ้งทะเลทรายที่มีอารยธรรมเก่าแก่แห่งเมโสโปเตเมียให้เป็นสมรภูมิรบ ประกาศศักดาเหนือแผ่นดินที่มีขุมทรัพย์อยู่ข้างใต้ บรรจุน้ำมันมหาศาล เพื่อขุดขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นเงินตรา
รุกเข้ามาในนามของสงครามปลดปล่อยเพื่อสันติภาพและสิทธิมนุษยชน /
***************
– พอล เฮง –
paulheng_2000@yahoo.com



