dCS กับเบื้องหลังที่มาของ Ring DAC ‘APEX’

เมื่อฮาร์ดแวร์ Ring DACAPEX” เวอร์ชั่นใหม่ของเราเปิดตัวออกมา ทำให้เราสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความเป็นดนตรีของภาคดีทูเอฯ “dCS Ring DACในรุ่น Rossini และรุ่น Vivaldi ของเราได้ เราจะพาไปดูพัฒนาการของ “APEXและส่วนต่างๆ ของ “APEXรวมถึงประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับกัน

Ring DACเป็นชิ้นส่วนสำคัญของผลิตภัณฑ์ dCS มานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อ dCS ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านระบบเรดาร์และโทรคมนาคม ในตอนนั้น วิศวกรของเราได้พัฒนาระบบการแปลงสัญญาณเสียง จากดิจิทัลเป็นอนาล็อกแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการประมวลผลสัญญาณเสียงที่ความละเอียด 24 บิต ได้

ย้อนกลับไปในเวลานั้น ไม่เคยมีใครได้ยินระบบเสียง 24 บิต มาก่อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ทำให้เราพัฒนา DAC, ADC และมาสเตอร์คล็อกที่มีความละเอียดสูงสำหรับสตูดิโอบันทึกเสียงชั้นนำของโลกบางแห่งมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น ด้วยความเชี่ยวชาญในการสร้างระบบเพลย์แบ็คระบบเสียงดิจิตอล ออดิโอระดับไฮเอนด์ฯ สำหรับผู้รักเสียงเพลง, สำหรับมืออาชีพ และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลงทั่วโลกมากว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา “Ring DACยังคงเป็นแนวทางเทคโนโลยีชั้นนำของโลกในการแปลงข้อมูล 1 และ 0 ในเพลงออกมาเป็นเสียง ซึ่งส่วนประกอบหลักของ dCS DAC ทั้งหมด ยังได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลก ทั้งทางด้านประสิทธิภาพทางเทคนิคและทางด้านคุณภาพเสียงด้วย

ชื่อเสียงที่น่าเกรงขามนี้เป็นผลมาจากนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: ตลอดช่วงชีวิตของ “Ring DACวิศวกรของเราได้ทำการปรับปรุงและปรับจูนมาอย่างต่อเนื่อง โดยทำการอัพเกรดและเพิ่มเติมประสิทธิภาพมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจในประสิทธิภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานหลัก ส่งผลให้ “Ring DACทำงานได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น ซับซ้อนยิ่งขึ้น และล้ำหน้ากว่าเดิมในเจเนอเรชันใหม่ที่ออกมาแต่ละรุ่น ด้วยเหตุนี้ ความสามารถในการถ่ายทอดเสียงดนตรีของผลิตภัณฑ์ของเราจึงได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในการอัปเกรดแต่ละครั้ง

ในปี 2017 เราได้เปิดตัวการอัปเดตที่สำคัญสำหรับซอฟต์แวร์ที่ควบคุม Ring DAC โดยเพิ่มเติม mapping algorithmsที่เปิดโอหาสให้ผู้ฟังสามารถปรับแต่งประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ของ dCS ให้เหมาะกับความต้องการในการฟังของแต่ละผู้ฟัง ผ่านการตั้งค่า และปรับรสนิยมทางดนตรี

นับตั้งแต่เปิดตัวการอัปเดตนี้ เราได้ทำการสำรวจอย่างต่อเนื่องว่าเราจะสามารถผลักดันการออกแบบและความสามารถของ Ring DAC ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้อย่างไร ประมาณ 12 เดือนที่ผ่านมา Chris Hales ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราตัดสินใจเปลี่ยนไปโฟกัสที่ฮาร์ดแวร์ Ring DAC โดยเจาะจงไปที่แผงวงจร Ring DAC และภาคอะนาล็อกเอาต์พุต

สอบสวนอย่างถ้วนถี่

ที่ dCS เราตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ของเรากันเป็นประจำ โดยเจาะลงไปดูอย่างใกล้ชิดว่าสิ่งต่าง ๆ ทำงานอย่างไร และที่ใดที่เราอาจสามารถปรับปรุงได้บ้างChris อธิบาย “ปีที่แล้วเราใช้เวลาช่วงหนึ่งเพื่อตรวจเช็คดูว่าฮาร์ดแวร์ Ring DAC ทำงานอย่างไร และเราพบว่าประสิทธิภาพของบอร์ดอะนาล็อกที่มีอยู่นั้นเกินความสามารถของอุปกรณ์ทดสอบส่วนใหญ่

นี่เป็นปัญหาที่วิศวกร dCS คุ้นเคยกันดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของเรามักจะเกินความสามารถของอุปกรณ์ทดสอบทั่วไป เราจึงต้องคิดค้นเครื่องมือและอุปกรณ์สั่งทำพิเศษต่างๆ ที่ช่วยให้เราสามารถวัดประสิทธิภาพของระบบแต่ละด้านได้อย่างแม่นยำ หากเราไม่สามารถวัดผลบางอย่างได้อย่างแม่นยำหรือครอบคลุมเท่าที่เราต้องการ เราก็มักจะลงทุนในการสร้างแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือวัดใหม่ตั้งแต่ต้น

ระบบการวัดเสียง [สามารถ] ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน หรือการบิดเบือน หรือจำกัดการตอบสนองความถี่ เช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเขาพยายามวัด และอาจมีจุดที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่คุณกำลังวัด สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มีผลกระทบต่อไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” คริสอธิบาย “ตัวอย่างที่ดีคือเมื่อทำการวัดฮาร์โมนิก ซึ่งฮาร์โมนิกที่สองที่มีอยู่ในอุปกรณ์ทดสอบสามารถ cancel กับฮาร์โมนิกในสัญญาณที่คุณกำลังพยายามวัดได้ นี่อาจส่งผลให้ค่าที่วัดได้มีระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก ซึ่งการวัดลักษณะมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดผลที่ไม่คาดคิดกับการปรับประสิทธิภาพของเสียงที่อยู่ระหว่างการปรับตั้งค่า

ในกรณีของประสิทธิภาพของภาคอะนาล็อกของ Ring DAC เราใช้วิธีการที่ทำให้เราสามารถลดอาการแปลกปลอมที่สร้างขึ้นภายใน ในทางกลับกัน นั่นทำให้คริสสามารถระบุพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้สำหรับการปรับปรุงเพิ่มเติม แม้ว่าวงจร Ring DAC และวงจรอะนาล็อก เอ๊าต์พุต จะให้ประสิทธิภาพการวัดที่โดดเด่นแล้ว แต่ Chris พบว่ายังมีบางแง่มุมที่เขารู้สึกว่าอาจจะสามารถขัดเกลา หรือกำหนดค่าใหม่เพิ่มเติมได้อีก หลังจากใช้เวลาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และใช้เวลาอีกสองสามเดือนในการทดลองแผงวงจรในช่วงล็อกดาวน์ทั่วประเทศ เขาได้พัฒนาบอร์ดต้นแบบขึ้นมาเพื่อทดสอบทฤษฎีของเขา

เมื่อทีม R&D ของ dCS วิเคราะห์ผลกระทบที่วัดได้จากการแก้ไขที่ Chris เสนอ และยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีผลลัพภ์เชิงบวก (ผ่านการอัพเกรดซอฟต์แวร์ dCS หรือการอัพเกรดฮาร์ดแวร์) บอร์ดที่ดัดแปลงขึ้นมาได้ถูกทดสอบด้วยการฟังโดยทีมนักฟังที่มีความด้านดนตรีและเครื่องเสียงของเรา ซึ่งรายงานผลออกมาว่า (บอรฺดใหม่ที่ดัดแปลงขึ้นมา) มีผลช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นในประเด็นสำคัญๆ

จากข้อเสนอแนะนี้ ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบบอร์ดต้นแบบหลายรอบสำหรับการทดสอบการฟังและการวัดผลเพิ่มเติม ข้อเสนอแนะและผลลัพธ์จากการทดสอบเหล่านี้ยืนยันว่าเทคโนโลยีใหม่นี้เหมาะสำหรับการอัพเกรดคุณภาพของ dCS Ring DAC นั่นคือ Ring DACAPEXและเราจะให้บริการทั้งกับลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิมของเราไปพร้อมกัน

การออกแบบใหม่ที่ท้าทาย

ฮาร์ดแวร์ Ring DACAPEXใหม่มีการดัดแปลงหลายอย่าง ประเด็นแรกที่ Chris พิจารณาในระหว่างขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาคือแหล่งพลังงานที่ป้อนให้กับแผงวงจรของ Ring DAC และการตรวจสอบนี้ทำให้เขาต้องทำการปรับเปลี่ยนที่สำคัญบางอย่าง “แหล่งจ่ายพลังงานมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของเสียง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้านทานเอาท์พุตของ Ring DAC ผลก็คือ ความแกร่งของมัน.. เราพบวิธีปรับปรุงบางอย่างตรงนั้น ดังนั้น เราจึงนำสิ่งนั้นมาใช้ ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนกับประสิทธิภาพที่ได้ ” คริสอธิบาย

ในระบบไฟฟ้า มีสัญญาณภายนอกที่สามารถรบกวนแรงดัน (โวลเตจ) ที่เราใช้อ้างอิง ดังนั้น ยิ่งอิมพีแดนซ์ที่อ้างอิงลดต่ำลงมากเท่าใด สัญญาณรบกวนก็จะยิ่งแทรกตัวเข้ามาได้ยากขึ้นเท่านั้น

ตามที่ Chris ชี้ให้เห็น Ring DACนั้นเป็น DAC แบบทวีคูณ นั่นคือ วงจร Ring DAC จะคูณแรงดันอ้างอิงด้วยค่ารหัส DAC ดังนั้น สิ่งใดก็ตามในการอ้างอิงนั้น (ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณรบกวน หรือสัญญาณอินพุตที่เข้ามาเป็นช่วงๆ) จะถูกรวมเข้ากับเอาต์พุตโดยตรง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ค่าอ้างอิงควรจะเป็นแรงดัน DC บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนประกอบ AC และต้องไม่มีสัญญาณรบกวน

ลองนึกภาพตัวอย่างเช่น ไม้บรรทัดที่ปลายด้านหนึ่งถูกหนีบอยู่กับโต๊ะ” คริสอธิบาย “ถ้าตัวไม้บรรทัดทำจากโลหะที่บาง คุณก็สามารถขยับปลายอีกด้านได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเป็นไม้บรรทัดหนาๆ จะขยับยากกว่ามาก ในการเปรียบเทียบนี้ ไม้บรรทัดแบบแข็งจะเท่ากับอิมพีแดนซ์เอ๊าต์พุตที่ต่ำ (เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าได้ยาก) ส่วนไม้บรรทัดแบบอ่อนเท่ากับอิมพีแดนซ์เอ๊าต์พุตสูง (เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าได้ง่าย

โหลดที่เกิดขึ้นบน Ring DACจะเปลี่ยนไปตามสัญญาณ ซึ่งคล้ายกับการเปลี่ยนความแรงที่คุณกดปลายไม้บรรทัด และผลก็คือ แรงดันอ้างอิงจะเปลี่ยนไปตามสัญญาณด้วยสัดส่วนของอิมพีแดนซ์ที่ใช้อ้างอิง ” เขากล่าวเสริม “ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่เอาท์พุตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (บางกรณีเป็นการเพิ่มฮาร์โมนิกเข้าไปในสัญญาณ) ดังนั้นการรักษาอิมพีแดนซ์เอาต์พุตให้ต่ำ จะลดความแปรผันของแรงดันไฟฟ้าให้เหลือน้อยที่สุด และลดส่วนเกินอื่นๆ ที่ไปกับเอาต์พุต 

คริสยังได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดของขั้นตอนต่อมาของ Ring DAC รวมถึงขั้นตอนการคำนวนและวงจรฟิลเตอร์ “มีการปรับปรุงบางอย่างตรงนั้นที่เราสามารถระบุได้และใส่เข้าไป เช่น ปรับปรุงขั้นตอนการคำนวนที่มีความสมมาตรมากขึ้น จนในที่สุด เราก็ได้ภาคเอ๊าต์พุตที่ดูดีออกมา ” เขากล่าวเสริม

ภาคเอาต์พุตของ Ring DAC มีหน้าที่ในการบัฟเฟอร์สัญญาณอะนาล็อกที่สร้างขึ้น (จากการแปลงสัญญาณ) โดย Ring DAC

ตามที่ Chris อธิบาย ส่วนประกอบในบอร์ดอะนาล็อกของ Ring DAC มีทั้งภาคดิจิทัลและภาคอะนาล็อกทำงานร่วมกัน ภาคดิจิทัลทำหน้าที่นำข้อมูลที่ป้อนจากการประมวลผลของ DSP มาประกบกับฟังก์ชัน mapping สิ่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อนรีซีสเตอร์ทั้ง 48 แถว ซึ่งเป็นภาค DAC แบบดีสครีตที่เป็นหัวใจของ Ring DAC เอาต์พุตจาก discete DAC เหล่านั้นจะถูกรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะถูกกรองด้วยวงจรโลว์พาสฟิลเตอร์ เพื่อกำจัดความถี่สูงทิ้งไป ก่อนที่สัญญาณนั้นจะถูกส่งไปบัฟเฟอร์ที่ภาคเอาต์พุต

ภาคเอ๊าต์พุตนี้มีหน้าที่ป้องกันปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Ring DAC ซึ่งมีผลเหมือนการแยกอิสระ DAC นั่นเอง

จุดประสงค์หลักของภาคเอ๊าต์พุตก็คือเชื่อมต่อเราเข้ากับดินแดนที่ไม่รู้จัก เมื่อเราออกจากขอบเขตของ dCSChris กล่าว “จริงๆ แล้วเราไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้คนจะเชื่อมต่อ (เอ๊าต์พุต) ด้วยสายเคเบิลอะไร พวกเขาจะเอาไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกแบบไหน ซึ่งตัวแปรเหล่านี้ทำให้มีลักษณะอินพุตที่แตกต่างกันไปมาก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีภาคเอาต์พุตที่สามารถขับกระแสได้จำนวนมาก และต้องไม่อ่อนไหวต่อปัญหาด้านเสถียรภาพที่อาจจะเกิดขึ้น 

ในระบบเครื่องเสียงส่วนใหญ่แล้ว DAC ของ dCS จะถูกเชื่อมต่อกับสายเคเบิล จากนั้นก็ต่อเข้ากับอินติเกรต แอมปลิฟายเออร์ หรือปรีแอมพลิไฟเออร์ สายเคเบิลจะมีค่าคาปาซิแตนซ์ (ความจุ), ค่ารีซีสแตนซ์ (ความต้านทาน) และค่าอินดักแตนซ์ (ความเหนี่ยวนำ) ซึ่งสายเคเบิลแต่ละตัวที่แตกต่างกันจะมีค่าต่างๆ เหล่านี้ไม่เท่ากัน และยังมีการผสมผสานกันอีกด้วย

อินพุตของแอมปลิฟายเออร์/ปรีแอมพลิฟายเออร์ จะมีความจุและความต้านทาน ซึ่งอาจต้องใช้การไบอัสกระแส DC เข้ามาเกี่ยวด้วย ” คริสกล่าว “นอกจากนี้ ภาคอินพุตแบบบาลานซ์ยังมีความแตกต่างกันอย่างมาก (ในบางกรณีก็ยังมีความไม่สมดุลอย่างรุนแรงด้วย) หากเราต้องเชื่อมต่อสิ่งเหล่านี้โดยตรงเข้ากับภาค DAC เราจะต้องออกแบบในแนวทางที่จะไม่ใช่การปรับให้เหมาะสมสำหรับทำหน้าที่เป็นแค่ DAC อีกต่อไป วิธีแก้ปัญหาคือแยกการทำงานของภาค DAC ออกไปจากโลกภายนอก เพื่อให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของขั้นตอนการคำนวน และขับโหลดที่ไม่เสถียรมากๆ ที่เกิดจากคุณสมบัติของสายเคเบิลและแอมปลิฟายเออร์ได้ 

ความจุถือเป็นภาระสำหรับภาคเอาท์พุต และนั่นเท่ากับการดึงกระแสและความจุที่เพิ่มขึ้นที่ความถี่สูง” คริสกล่าวเสริม “ถ้าเราต้องการลดต้นเหตุของการโรลออฟที่ความถี่สูงลง เราต้องทำให้ความต้านทานที่เอาต์พุตต่ำ แต่ยังมีกระแสเพียงพอที่พร้อมใช้งานเพื่อขับเคลื่อนความจุนั้นโดยไม่เกิดความเพี้ยน ในทำนองเดียวกัน ความต้านทานทางอินพุตของแอมปลิฟายเออร์ก็สามารถที่จะมีความแตกต่างกันได้มาก และหากค่าต่ำมากผิดปกติ จะต้องใช้กระแสไฟสูงในการขับเคลื่อน ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการถูกขับเคลื่อนด้วยอิมพีแดนซ์ต่ำ ด้วยวิธีนี้ ภาคเอาต์พุตของเราทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของภาค DAC มีความเสถียรมากขึ้น เมื่อนำไปใช้ในชุดเครื่องเสียงต่างๆ 

การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดแวร์ของ Ring DAC ได้แก่ การแทนที่ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวบนแผงวงจร Ring DAC ด้วยคู่ผสม และการปรับเลย์เอาต์ของส่วนประกอบบนแผงวงจร Ring DAC ผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนต่างๆ เหล่านี้คือบอร์ดใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งเงียบกว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ และมีความเที่ยงตรงมากขึ้นกว่า 12dB

เป็นการปรับปรุงที่คุ้มค่ามาก แม้ว่าเราจะ [เคย] มองหาฮาร์โมนิกซึ่งอยู่ที่ 110 ซึ่งต่ำกว่าระดับพื้นฐาน 120 เดซิเบล นั่นถือว่าเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งทางด้านประสิทธิภาพนั้นออกมาดีมาก” คริสกล่าวเสริม

กำหนดมาตรฐานใหม่

สำหรับผู้ฟัง ประสิทธิภาพทางเทคนิคที่ได้รับการปรับปรุงนี้ ส่งผลให้เกิดการปรับปรุงด้านเสียงขึ้นหลายอย่าง ดังที่เห็นได้จากผลตอบรับที่ได้จากการทดสอบการฟังหลายๆ รอบ

ผลลัพธ์ที่ได้จากการลองฟังด้วยต้นแบบ Ring DACAPEXของเราเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก โดยผู้ฟังสังเกตเห็นรายละเอียดที่เพิ่มขึ้น ไดนามิก จังหวะและไทมิ่ง ความรู้สึกของความผ่อนคลายและความเป็นธรรมชาติที่ดียิ่งขึ้น เสียงที่แม่นยำและชัดเจนยิ่งขึ้น และคุณภาพของเสียงเครื่องสายที่สมจริงยิ่งขึ้น ท่ามกลางข้อดีอื่นๆ แม้ว่าประสบการณ์ของผู้ฟังแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป และขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเสียง เพลงที่เลือก และสภาพแวดล้อมในการฟังที่กว้างขึ้น ความเห็นพ้องต้องกันจากการวิจัยเชิงอัตนัยของเราก็คือ APEX ช่วยให้เราสามารถมอบประสบการณ์ทางดนตรีที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น

David Steven, MD ที่ dCS กล่าวว่า ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง เมื่อเราไปถึงกระดานสุดท้าย และเราได้ผ่านการทดสอบรอบสุดท้ายทั้งหมดแล้ว มีบางอย่างเกี่ยวกับมัน ” “เสียงที่ยอดเยี่ยมควรดึงคุณเข้ามา มีส่วนร่วมกับคุณและทำให้คุณตื่นเต้น และผมคิดว่า APEXทำเช่นนั้นได้ในระดับสูงสุด มีทุกอย่างที่เราคิดว่ามีความหมายเหมือนกันกับ dCS คือมีรายละเอียด มีความละเอียดอ่อน แต่ก็เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย.. เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งจากทีมที่ได้ทำสิ่งที่เยี่ยมยอดอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่ปรับปรุงในระดับประสิทธิภาพที่วัดได้เท่านั้น แต่ยังได้นำพาบางสิ่งที่คุณรู้สึกและได้ยินมาให้ด้วย

วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

การปรับปรุงแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ที่ให้ประสิทธิภาพระดับแนวหน้าอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฮาร์ดแวร์ Ring DACAPEXล่าสุดเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งที่สามารถทำได้ผ่านการวิเคราะห์ที่เข้มงวด ความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง “ผมคิดว่า ปรัชญาของเรามีส่วนอย่างมากที่จะตระหนักถึงการปรับปรุงเมื่อเราทำได้ ” คริสกล่าวเสริม

การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องคือ [บางสิ่ง] ที่เราจริงจังมาก ผมคิดว่าเรารู้สึกว่าเราเป็นหนี้ลูกค้าของเราให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และฉันคิดว่าพวกเราที่ทำงานด้านเทคนิคของสิ่งต่างๆ จะมีบุคลิกของคนที่ต้องการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา.. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มีปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่ว่า ถ้าเราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ ก็ทำเถอะ – มันคุ้มค่าเสมอกับความพยายาม 

การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยกำเนิดของวิศวกรของเรา รวมถึงความปรารถนาที่จะปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเพราะความทะเยอทะยานที่เปิดกว้างขึ้นของเรา เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ dCS จะส่งมอบประสิทธิภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังที่ David และ Chris ต่างก็ทราบ มันไม่ใช่กรณีของการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของนวัตกรรม แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อผลประโยชน์ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าของเราในการฟังงานเพลงของศิลปินและงานบันทึกเสียงที่พวกเขาชื่นชอบ

เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ วิศวกรของเราต้องใช้เทคนิคการวัด ประสบการณ์ และข้อมูล รวมถึงการตอบรับเชิงอัตนัย ตามที่ Andy McHarg ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของ dCS ชี้ให้เห็น ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งใน hi-fi คือการเชื่อมโยงการวัดบางอย่างกับคุณลักษณะบางอย่างของเสียง ” – และไม่ใช่กรณีที่ตรงไปตรงมาในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์เพื่อปรับปรุงเสียงในบางจุด

แม้ว่าวิศวกรของเราจะทราบดีว่าการปรับปรุงมิติทางเทคนิคบางอย่างควรนำไปสู่การปรับปรุงด้านเสียง พวกเขายังทราบด้วยว่าบางครั้งการปรับปรุงทางเทคนิคอาจส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิดหรือไม่ได้ตั้งใจต่อประสิทธิภาพโดยรวมของผลิตภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ การทดสอบการฟังแบบมีหลักการจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ dCS

ด้วยการใช้ประสบการณ์ที่กว้างขวาง ทีมวิศวกรของ dCS สามารถตีความความคิดเห็นส่วนตัวที่เราได้รับจากการทดสอบการฟังในแต่ละรอบ และเข้าใจว่างานของพวกเขาอาจต้องได้รับการปรับปรุงที่ไหนหรืออย่างไร เพื่อมอบประสบการณ์ที่โดดเด่นให้กับลูกค้า dCS (และประสิทธิภาพทางเทคนิคระดับชั้นนำ)

มีการพัฒนาเพิ่มเติมหลังจากทดสอบการฟังและตรวจสอบประสิทธิภาพแต่ละรอบ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น “APEXนี้ให้ประโยชน์คุ้มค่าสำหรับผู้ฟังอย่างแท้จริง ไม่ต้องเจอกับการปรับปรุงแค่บางจุดแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนเปลี่ยนทั้งตัว.!

กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือนและบางครั้งอาจนานหลายปี แต่ในกรณีของ “APEXกระบวนการดังกล่าวช่วยให้เราสามารถปรับปรุงนวัตกรรม dCS อันเลื่องชื่อได้ และในทางกลับกัน ยังได้ปรับปรุงความสามารถในการถ่ายทอดเสียงดนตรีของผลิตภัณฑ์ dCS ทั้งสองรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นคือ “Vivaldi และ “Rossini 

ฮาร์ดแวร์ Ring DACAPEXใหม่จะพร้อมใช้งานสำหรับลูกค้า dCS ในอนาคตและลูกค้าปัจจุบัน “APEXรุ่นใหม่ของ dCS Vivaldi DAC, Rossini DAC และ Rossini Player ซึ่งพร้อมให้สั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมนี้ จะมาพร้อมฮาร์ดแวร์ Ring DACAPEXใหม่เป็นมาตรฐาน เจ้าของเดิมของ dCS Vivaldi DAC, Vivaldi One, Rossini DAC และ Rossini Player จะสามารถอัพเกรดระบบของพวกเขาได้ ผ่านเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกของเรา

การเปิดตัวโปรแกรมอัปเกรดสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่มีมายาวนานของเราในการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ dCS จะมอบประสบการณ์ที่ล้ำสมัยตลอดอายุการใช้งาน และลูกค้าของเราจะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมและความก้าวหน้าล่าสุดของเราเสมอ เราทราบดีว่า การเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ dCS เป็นการลงทุน และเรามุ่งมั่นที่จะให้รางวัลแก่การลงทุนนั้นผ่านการแบ่งปันคุณลักษณะและแพลตฟอร์มใหม่ๆ เมื่อมีการเปิดตัว ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพของหูฟัง, การอัปเดตอัลกอริธึม mapping ของ dCS Ring DAC หรือแผงวงจรที่ปรับปรุงใหม่ นี่คือสิ่งที่เราทำมาตลอดช่วงเวลาของเรา ตั้งแต่สมัยของ dCS Elgar จนถึง Paganini และ Puccini ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะทำต่อไป

ในแง่ของตัวตนของเรา และสิ่งที่เราเป็นในฐานะบริษัท การที่เราสามารถเปิดตัว Ring DAC ใหม่และนำเสนอในลักษณะของการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับลูกค้าที่มีอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นจุดแข็ง: เราเชื่อในสิ่งที่เราเป็น ผลิตภัณฑ์ควรมีวงจรชีวิตที่ยาวนาน ควรปรับปรุงตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ และผมคิดว่าAPEXเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสิ่งนั้น ” เดวิดอธิบาย

เสียงและความบันเทิงเป็นอุตสาหกรรมที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โดยผลิตภัณฑ์มักจะล้าสมัย หรือคุณภาพที่เสื่อมถอยลงไปตามอายุ ด้วยการสำรวจอย่างต่อเนื่องว่าเราจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบของเราได้อย่างไร และปล่อยการอัปเกรดเมื่อใดก็ตามที่เราทำการพัฒนาหรือเมื่อมีการพัฒนาใหม่ๆ เราตั้งเป้าที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ปรับปรุงได้ตามเวลา ดังที่ David ชี้ให้เห็น แง่มุมที่คุ้มค่าที่สุดด้านหนึ่งของผลิตภัณฑ์ของเราก็คือ ความสามารถในการปรับปรุงที่เกินความคาดหมายของผู้คน และทำให้พวกเขาซาบซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับเพลงที่พวกเขารัก และนี่คือสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้เพื่อบรรลุกับ “APEX

สิ่งที่กระตุ้นเราจริงๆ คือความคิดเห็นของลูกค้า” เขากล่าวเสริม “เราเห็นตอนทำการอัปเดต mapping algorithm ซึ่งเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับบางคน ในแง่ที่ทำให้ระบบของพวกเขาเปิดเผยอะไรออกมา และทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกับเพลงของพวกเขาอย่างไร มันเป็นอีกระดับหนึ่ง และฉันเชื่อว่าAPEXจะทำแบบเดียวกันนั้น.. อีกครั้ง /

———————–

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า