รีวิวเครื่องเสียง Life Audio รุ่น 5th Anniversary Speaker Cable สายลำโพง

โดยปกติ จะมีอยู่ 2 กรณีที่ผมจะส่งเครื่องเสียงที่ผมได้รับมาเพื่อให้ทำการทดสอบคืนให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ กรณีแรกเมื่อผมทดลองฟังแล้วพบว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงตัวนั้นมีความบกพร่องในการใช้งานพื้นฐาน ซึ่งอาจจะเป็นความบกพร่องเฉพาะตัวซึ่งเกิดจากการผลิต หรือเกิดจากอุบัติเหตุก่อนที่ตัวเครื่องจะถูกส่งมาถึงผม อาทิเช่น ปุ่มควบคุมฟังท์ชั่นไม่ทำงานตามหน้าที่มันถูกกำหนดไว้ในการออกแบบ, มีเสียงฮัม เสียงจี่ หรือเสียงแปลกปลอมอื่นๆ ดังออกมาเกินมาตรฐานทั่วไป, ความดังซ้ายขวาไม่เท่ากัน ฯลฯ กับอีกกรณีที่ผมจะส่งเครื่องคืนโดยไม่ทำการทดสอบ นั่นคือ คุณภาพเสียงโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไปมากโดยไม่มีจุดเด่นด้านใดมาชดเชย ซึ่งอาจจะเกิดจากกลไกการตั้งราคาขายที่สูงกว่าคู่แข่งในตลาดที่เป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทเดียวกัน

กรณีแรกนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่จะส่งคืนโดยไม่ทำการทดสอบ เพราะเครื่องไม่อยู่ในเงื่อนไขปกติที่พร้อมทำงาน จึงไม่สามารถทดสอบประสิทธิภาพได้ แต่กรณีที่สองเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากต่อการตัดสิน ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสเจอเครื่องที่ตั้งราคาขาย สูงกว่าคุณภาพโดยเฉลี่ยมากๆ ส่วนใหญ่แล้ว เครื่องเสียงแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อที่เป็นประเภทเดียวกัน ถ้ามีราคาต่างกันเยอะๆ คุณภาพเสียงมักจะแตกต่างกันมากจนรับรู้ได้ง่าย แต่กับเครื่องที่มีราคาสูสีกัน โดยมากจะมีคุณภาพเสียงโดยเฉลี่ยพอกัน แต่มีดีด้อยต่างกันไปคนละด้าน อีกอย่าง หลังๆ มานี้ ตัวแทนจำหน่ายส่วนใหญ่ก็จะรู้ถึงมาตรฐานของผม ซึ่งเครื่องเสียงที่พวกเขาเลือกมาให้ทดสอบจึงมักจะเป็นเครื่องเสียงที่พวกเขามั่นใจว่ามีจุดเด่นมากพอ และอยากจะส่งมาให้ผมทดลองฟังเพื่อแสดงความเห็น ประมาณว่า มีของดีก็อยากจะรู้ว่าถ้าผมได้ฟังแล้วจะมีความเห็นอย่างไร.?

สายลำโพงแบรดน์ไทย Life Audio
ราคาชุดละครึ่งล้านบาท.!!!

แม้ว่าผมจะเคยทดสอบสายไฟเอซี, สายสัญญาณ และสายลำโพงของแบรนด์ Life Audio มาแล้วหลายชิ้น ซึ่งทุกชิ้นที่เขียนรีวิวออกไปมันให้คุณภาพเสียงที่ สอบผ่านมาตรฐานของผมและมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับเดียวกับสายออดิโอเคเบิ้ลของแบรนด์อื่นๆ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกังวลใจกับการทดสอบสายลำโพงของ Life Audio รุ่นนี้ สาเหตุก็เพราะว่ามันมีราคาสูงถึง ชุดละ 500,000 บาท.!! ซึ่งยอมรับเลยว่า นี่คือสายลำโพงที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยทำการทดสอบมา..

ทำไมผมจึงรู้สึกกังวลใจกับการทดสอบสายลำโพงรุ่นนี้.? ข้อแรก – เป็นเรื่องของวิธีการทดสอบ ซึ่งที่ผ่านมา ผมจะยึดถือวิธีการทดสอบที่ให้ความสำคัญกับหลักการสำคัญ 3 ขั้นตอน นั่นคือ แม็ทชิ่ง > เซ็ตอัพ > ปรับจูนเป็นอย่างมาก เพราะผมเข้าใจดีกว่า ถ้าเราไม่สามารถจัดการ แม็ทชิ่ง > เซ็ตอัพ > ปรับจูน ให้กับอุปกรณ์ที่กำลังทดสอบได้อย่างถูกต้องแล้ว เราจะไม่สามารถนำผลที่ได้จากการฟังในสภาพนั้นมาตัดสินคุณภาพของอุปกรณ์ชิ้นนั้นได้ ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเป็นการทดสอบลำโพง ถ้าเราใช้แอมป์ที่มีสมรรถนะ ต่ำกว่าความต้องการของลำโพงมาใช้ทดสอบลำโพงคู่นั้นแล้วเสียงโดยรวมออกมาไม่ดี เราจะตัดสินว่าลำโพงคู่นั้นเสียงไม่ดียังไม่ได้

โดยปกติแล้ว ปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้อุปกรณ์เครื่องเสียงในซิสเต็มมีความแม็ทชิ่งกันจะมีตัวแปรอยู่ 2 ตัว เรียงจากความสำคัญ คือ (1) สเปคฯ และ (2) ระดับราคา จะเห็นว่า ถ้าจะทดสอบสายลำโพงราคาชุดละ 5 แสนบาท ผม ควรจะต้องหาซิสเต็มที่มีราคารวม สูงกว่าราคาของสายลำโพงขึ้นไปเยอะๆ มาใช้ทดสอบสายลำโพงชุดนี้ แม้ว่าในความเป็นจริง ถ้าเอาสายลำโพงราคาชุดละ 5 แสนบาทไปใช้ในซิสเต็มที่มีราคารวมกัน ต่ำกว่าห้าแสนบาท ก็อาจจะให้เสียงออกมาดีมากก็เป็นไปได้ ทว่า ในโลกความเป็นจริง แทบจะไม่มีนักเล่นฯ คนไหนที่จัดสรรงบประมาณสำหรับชุดเครื่องเสียงออกมาในลักษณะนั้น และการทำเช่นนั้นก็จะทำให้เราไม่สามารถล่วงรู้ถึงสมรรถนะที่แท้จริงของสายลำโพงชุดนั้น นี่คือสาเหตุของความกังวลใจที่ผมเกริ่นมาข้างต้น

นอกจากเหตุผลข้างต้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจที่จะทำการทดสอบสายลำโพงชุดนี้ คือผมเกรงว่า หลังจากผมได้ทำการทดลองฟังเสียงของสายลำโพงชุดนี้ไปแล้ว ถ้าผมพบว่ามันให้เสียงที่ดีน่าพอใจ ผมจะสามารถเขียนชมมันได้มากแค่ไหน.? ผู้อ่านจะมองว่าผมสปอยสายลำโพงตัวนี้เพราะว่ามันเป็นของคนไทยหรือเปล่า.? เขาจะมองว่าผมแอบช่วยเชียร์หรือเปล่า.? ซึ่งผมยอมรับว่า เรื่องนี้กดดันผมมาก จริงๆ แล้ว ผมสามารถลดความกดดันที่ว่านี้ได้ง่ายๆ ด้วยการส่งสายลำโพงชุดนี้คืนให้กับคุณหน่อย โดยอ้างว่าผมฟังแล้วไม่ชอบ เขียนรีวิวไม่ได้ แค่นี้ก็จบ แต่หลังจากทดลองฟังสายลำโพงตัวนี้มานาน หลายเดือนผ่านซิสเต็มที่มีราคาสูงกว่าราคาของสายลำโพงชุดนี้มาแล้วหลายชุด ผมได้ทดลองฟังมันในหลายๆ แง่มุมเพื่อความมั่นใจ พยายามมองหาข้อตำหนิที่ร้ายแรงมากพอที่ผมจะนำมากล่าวอ้างในการส่งคืนได้โดยไม่รู้สึกผิด แต่สุดท้ายแล้วผมต้องยอมรับว่า เสียงของมันผ่านมาตรฐานที่ผมสามารถนำมาเขียนแนะนำได้ และเสียงของมันมีแง่ดีมากพอที่จะนำไปเทียบกับสายลำโพงดีๆ ทั่วไปได้ด้วย หลังจากฟังมานานเกินพอแล้ว ผมก็เก็บเอาผลการทดลองฟังกลับมานั่งครุ่นคิดทบทวน ท้ายที่สุด ผมบอกกับตัวเองให้ยึดเอาหลักการที่ถูกต้องเป็นเครื่องตัดสิน คือผมต้องมองข้าม แหล่งผลิตของอุปกรณ์เครื่องเสียงไป ต้องไม่มีอคติกับแหล่งผลิตโดยสิ้นเชิง แล้วหันมาโฟกัสเฉพาะ เสียงที่มันให้ออกมาเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าสายลำโพงชุดนี้จะถูกผลิตมาจากมุมไหนของโลก ถ้าเสียงของมันออกมาดีเข้าขั้นมาตรฐานสากล ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะละเว้นไม่พูดถึงมัน.!!

โหงวเฮ้ง.. ผ่าน!!

สายลำโพงทั้ง 4 เส้นถูกแยกบรรจุมาในกล่องขนาดใหญ่สีดำ ดูดีมีราคามาก..

ประเด็นแรกที่ทำให้ผมรู้สึกชอบสายลำโพงชุดนี้คือลักษณะการออกแบบที่รับรู้ได้ถึงความพิเศษตั้งแต่รูปร่างภายนอกที่แตกต่างจากสายลำโพงส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในท้องตลาด คือมันเป็นสายลำโพงแบบ single wire แต่แยกระหว่างเส้นที่เชื่อมต่อที่ ขั้ว + และ ขั้ว – ระหว่างแอมป์กับลำโพงของแต่ละข้างออกจากกัน เด็ดขาด!นั่นคือ ทั้ง ข้างซ้าย (Left) และ ข้างขวา (Right) ประกอบด้วยสายลำโพงข้างละ 2 เส้นที่ไม่ได้เชื่อมต่อกัน เส้นหนึ่งสำหรับ ขั้ว + และอีกเส้นสำหรับ ขั้ว

ปกติแล้ว สายลำโพงเกือบทั้งหมดที่พบเห็นกันในท้องตลาดมีอยู่ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ “Single-Wire” (บนสุดในรูป) ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Shotgunคือแต่ละข้างจะมีสายลำโพงแค่เส้นเดียวที่ใช้ในการเชื่อม ขั้ว + (สีแดง) และ ขั้ว (สีดำ) ระหว่างแอมป์กับลำโพงเข้าด้วยกัน ภายในตัวสายของแต่ละข้างที่มองเห็นเป็นเส้นเดียวนั้น แท้จริงแล้วด้านในจะประกอบด้วยตัวนำที่แยกออกเป็น 2 ชุด ติด ขั้วต่อ 2 ขั้วต่อ/ข้าง ใช้เชื่อมต่อ ขั้ว + และ ขั้ว – ของแต่ละข้างนั่นเอง

ส่วนแบบที่ 2 ที่พบเห็นกันมากพอๆ กับแบบแรกเรียกว่า “Bi-Wireเป็นลักษณะของสายลำโพงที่มีเส้นตัวนำแยกออกเป็น 4 ชุด ในแต่ละข้าง ซึ่งบางรุ่นอาจจะใช้เปลือกฉนวนแค่ชุดเดียวห่อหุ้มเส้นตัวนำทั้ง 4 ชุดอัดรวมกันไว้ (แบบตัวอย่างด้านบน) ในขณะที่บางรุ่นอาจจะใช้เปลือกฉนวนหุ้มห่อเส้นตัวนำที่แยกเป็น 2 ชุดก็มี เส้นตัวนำฝั่งที่ต่อเข้ากับขั้วต่อเอ๊าต์พุตที่แอมป์จะถูกจับรวบเส้นตัวนำ 2 เส้นเป็นหนึ่งชุด แต่ละชุดจะถูกเชื่อมติดอยู่กับขั้วต่อ 1 อัน รวมเป็น ขั้วต่อ 2 ขั้(+ กับ -) ส่วนฝั่งที่ต่อเข้ากับขั้วต่อที่ลำโพงจะถูกแยกออกเป็น 4 เส้น แต่ละเส้นติดขั้วต่อแยกกันเป็น 4 ขั้ว สำหรับต่อกับลำโพงที่แยกขั้วต่อสายลำโพง 2 ชุด 4 ขั้ว (+ = 2 กับ = 2) เป็นสายลำโพงไบไวร์ฯ แบบ 2 > 4 (สองออกสี่)

แบบที่สามซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับสายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้ ซึ่งไม่ใช่ทั้ง Single-Wire และ Bi-Wire ถึงแม้ว่าแต่ละข้างของสายลำโพงแบบนี้จะใช้เส้นตัวนำ 2 เส้นคือ + (แดง) กับ (ดำ) เหมือนกับแบบซิงเกิ้ลไวร์ แต่ส่วนที่ต่างกันคือเปลือกฉนวนที่ใช้หุ้มห่อเส้นตัวนำทั้งสองถูกแยกจากกัน กลายเป็นสายสองเส้น ซึ่งผมก็ยังไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อสายลำโพงแบบนี้มาก่อน เลยคิดว่า ถ้าจะเรียกให้ตรงกับลักษณะทางสรีระของตัวสายก็น่าจะเรียกว่า “Half Single-Wireแต่ถ้าจะให้ฟังดูหรูเลิศ เอาให้พิเศษกว่าทั่วไปก็อาจจะเรียกว่า “Super Single-Wireก็ได้ หรือจะเรียก Hyper Single-Wire ก็คงไม่มีใครว่า

ทำไมถึงต้องออกแบบลักษณะนี้..?? ทาง คุณหน่อย เจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลในส่วนนี้เอาไว้ ถ้าให้ผมวิเคราะห์โดยอาศัยหลักการทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิค ก็คิดว่า สายลำโพงลักษณะนี้มีผลทำให้สัญญาณซีก + และซีก – ที่วิ่งไปบนเส้นตัวนำของสายลำโพงตัวนี้จะถูกแยกห่างจากกัน ไม่อยู่ชิดกันเหมือนสายลำโพงที่รวบเส้นตัวนำ + กับ เข้ามาไว้ในเปลือกหุ้มเดียวกัน จึงทำให้ไม่เกิดการเหนี่ยวนำซึ่งกันและกันขณะที่สัญญาณวิ่งไปบนตัวนำทั้งสองเส้น ส่วนคำถามที่ว่า ดีไซน์ลักษณะนี้จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ดีกว่าแบบ Single-Wire มากแค่ไหน.? อันนี้ยังไม่มีใครทำการศึกษาเอาไว้ แต่ที่เดาได้ไม่ยากก็คือต้นทุนการผลิตต้องสูงกว่าสายลำโพงแบบ Single-Wire เยอะพอสมควร

เส้นใหญ่ + งานดี..!!

สายลำโพงทั้ง 4 เส้นของ Life Audio รุ่นฉลองครบรอบ 5 ปีชุดนี้มีความยาวเส้นละสามเมตร วัดจากปลายของขั้วต่อด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่ง โดยที่ตัวสายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่างกันอยู่ 2 ขนาด คือช่วงกลางที่มีความยาวประมาณสองเมตรกว่าๆ จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 3 .. ส่วนอีกขนาดคือ 1 .. เป็นส่วนที่ยื่นจากท่อนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางออกไปทั้งสองข้าง มีความยาวพอๆ กัน

พื้นที่ภายนอกของตัวสายลำโพงเกือบทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยปลอกตาข่ายหนังงูที่สานด้วยเส้นโพลี่ฯ สีดำตลอดทั้งเส้น แต่ตรงปลายของส่วนที่เป็นท่อนใหญ่ทั้งสองด้านมีกระบอกสีทองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 .. x ยาว 8 .. หุ้มอยู่ ซึ่งคุณหน่อยให้ข้อมูลว่ากระบอกนี้ทำด้วยทองเหลืองตันๆ ชุบผิวด้วยทอง 24K วาววับ ตัดกับตัวสายที่เป็นสีดำเหลือบๆ ดูดีมีสกุลมาก และบนท่อนโลหะสีทองที่ว่านี้มีตัวอักษรคำว่า “5th Anniversary Limitedสีขาวๆ ที่กัดลงไปในเนื้อ (น่าจะด้วยวิธียิงเลเซอร์) ผนึกอยู่

ขั้วต่อ

สายลำโพงชุดที่ส่งมาให้ทดสอบติดตั้งขั้วต่อไว้ต่างกัน ฝั่งที่ต่อเข้ากับแอมป์ให้มาเป็นขั้วต่อบานาน่า ส่วนฝั่งที่ต่อเข้ากับลำโพงให้มาเป็นขั้วต่อแบบก้ามปู โดยมีตัวอักษรพิมพ์กำกับไว้ชัดเจนบนขั้วต่อทุกตัว บอกให้รู้ว่าขั้วไหนใช้ต่อเข้ากับแอมป์ ข้างซ้ายหรือข้างขวา และขั้วไหนใช้ต่อเข้ากับลำโพง ข้างซ้ายหรือข้างขวา แนะนำให้ต่อเชื่อมให้ตรงตามนั้น ห้ามสลับกันเด็ดขาด

ตัวบอดี้ของขั้วต่อทำด้วยโลหะทองเหลืองชุบทอง 24K ส่วนปลายของขั้วต่อที่สัมผัสโดยตรงกับขั้วต่อของแอมป์ (บานาน่า) และลำโพง (ก้ามปู) ทำด้วยทองแดง OFC (Oxygen Free Copperเคลือบทับผิวด้วยแพลทตินั่มและโรเดี้ยม ซึ่งคุณหน่อยบอกว่าเป็นสูตรของ Life Audio คิดค้นขึ้นมาเอง ส่วนวิธีระบุว่าเส้นไหนใช้ต่อเข้าขั้ว – พวกเขาใช้วงแหวนพลาสติกสีขาวสวมไว้ที่ตัวสายติดอยู่กับขั้วต่อของแต่ละข้าง ถ้าเป็นเส้นที่ต่อเข้ากับขั้ว + จะเป็นห่วงวงแหวนสีแดง

ดีไซน์

อ้างอิงจากข้อมูลการออกแบบของสายลำโพงรุ่น 5th Anniversary Limited ที่ได้รับมาจากคุณหน่อย ทำให้รู้ว่า ตัวสายจริงๆ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 1 .. คือเท่ากับส่วนที่อยู่ตรงส่วนปลายทั้งสองข้างของแต่ละเส้นนั่นเอง ซึ่งในนั้นมีเส้นโลหะตัวนำที่มีลักษณะโครงสร้างต่างกัน และมีขนาดที่ต่างกันรวมกันอยู่มากถึง 8 ขนาด.!!

ในจำนวนเส้นตัวนำทั้ง 8 ขนาดที่ว่านั้น ประกอบด้วยเส้นทองแดง OCC (Ohno Continuous Castingแบบแกนเดี่ยวที่มีขนาด AWG (American Wire Gaugeต่างกัน 3 ขนาด ผสมอยู่ประมาณ 30%, มีเส้นตัวนำที่เป็นทองแดง OCC แบบฝอย 1 ขนาดผสมอยู่ประมาณ 20%, เส้นตัวนำทองแดง OFC เคลือบทองคำ 3 ขนาด ผสมอยู่ประมาณ 25% และสุดท้ายคือเส้นตัวนำทองแดง OFC แบบแกนฝอยที่เคลือบผิวด้วยเงินอีกประมาณ 25%

ส่วนช่วงกลางๆ ของตัวสายที่เห็นเป็นท่อนใหญ่ๆ นั้นแท้จริงก็คือฉนวนที่ห่อหุ้มสายลำโพงตัวจริง ซึ่งในข้อมูลระบุว่าสายลำโพงรุ่นนี้ใช้ฉนวนหุ้มตัวนำอยู่ทั้งหมด 5 ชั้น คุณหน่อยให้ข้อมูลว่า ที่ใช้เยอะขนาดนั้นก็เพราะต้องการให้ได้ความสงัดที่ดีนั่นเอง

ทดสอบ

อย่างที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้น การทดสอบครั้งนี้ผมยอมรับว่ามีความกังวลมาก จึงใช้เวลาทดลองฟังนานมาก รวมเวลาเบิร์นฯ ก็ร่วมๆ สามเดือน ผมลองฟังดะไปหมด ทั้งในชุดใหญ่ชุดเล็ก ทั้งแอมป์หลอดและแอมป์โซลิดสเตท ซึ่งผมพบว่า สายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้ทำงานได้ดีกับแอมป์โซลิดสเตทที่มีกำลังเยอะๆ มากกว่าแอมป์หลอดวัตต์ต่ำ เพราะช่วงหนึ่งที่ผมทดลองใช้สายลำโพงชุดนี้กับแอมป์หลอด Cary Audio Design รุ่น SLI-80HE (REVIEW) ปรากฏว่าเสียงโดยรวมมันไม่ค่อยมีกำลัง รู้สึกเลยว่า สายลำโพงของ Life Audio เซ็ตนี้ ดูดกำลังของแอมป์มากพอสมควร มันจึงไม่ค่อยเหมาะกับแอมป์หลอดวัตต์ต่ำอย่างที่ว่าข้างต้น

ต่อไปนี้เป็นซิสเต็มที่ผมได้ทดลองเอาสายลำโพง Life Audio ชุดนี้เข้าไปใช้งานในระบบและทดลองฟังเสียงดูแล้วพบว่ามันให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ มีประเด็นให้พูดถึง ไปดูกันว่า มีซิสเต็มไหนบ้าง..

ชุดที่ 1: นี่เป็นชุดเล็กที่สุดที่ใช้ทดสอบสายลำโพงชุดนี้แล้วได้ผลออกมาน่าพอใจ (แต่คงไม่มีใครลอกการบ้านชุดนี้ไปใช้แน่ เพราะราคาของสายลำโพงแพงกว่าแอมป์+ลำโพงชุดนี้ถึงสองสามเท่าตัว.!!) ประกอบด้วย all-in-one ของ QUAD รุ่น Artera Solus Play (REVIEW) + เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ขับลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One (*ราคาแอมป์+ลำโพงรวมๆ กันประมาณสองแสนต้นๆ)

ชุดที่ 2 : ขยับขึ้นมาจับกับซิสเต็มที่ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับโดยใช้สายลำโพง Life Audio ชุดนี้เชื่อมต่อระหว่างอินติเกรตแอมป์ Moonriver Audio รุ่น Model 404 (REVIEW) กับลำโพง Wilson Benesch รุ่น Precision P1.0 (REVIEW) ราคาของแอมป์+ลำโพงชุดนี้อยู่ราวๆ 3-4 แสนบาท ซึ่งก็ยังต่ำกว่าราคาของสายลำโพงชุดนี้อยู่ดี

ชุดที่ 3 : ขยับสูงขึ้นมาอีกนิด โดยใช้เชื่อมต่อระหว่างอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase รุ่น E-5000 กับลำโพง Wilson Benesch รุ่น Precision P3.0 ซึ่งแอมป์+ลำโพงเซ็ตนี้ราคารวมกันประมาณ 1 ล้านบาทบวกลบนิดหน่อย ซึ่งสูงกว่าราคาของสายลำโพงประมาณสองเท่า

ชุดที่ 4 : คงที่ลำโพง Wilson Benesch รุ่น Precision P3.0 เอาไว้ และเปลี่ยนไปใช้อินติเกรตแอมป์ของ Nagra รุ่น Classic INT (REVIEW) ที่มีราคาประมาณ 7 แสนบาท รวมกับราคาลำโพง P3.0 แล้วก็อยู่ระหว่าง 1.3 – 1.4 ล้านบาท สูงกว่าราคาของสายลำโพงประมาณ 3 เท่า

ชุดที่ 5 : ชุดใหญ่สุดที่มีโอกาสได้ใช้ทดสอบสายลำโพงชุดนี้ ประกอบด้วยปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์สเตริโอของ Dan D’Agostino รุ่น Progression ซึ่งมีราคารวมกันประมาณ 1.7 ล้านบาท ขับลำโพง TAD รุ่น Evolution One TX (REVIEW) ราคาคู่ละ 890,000 บาท รวมชุดแอมป์+ลำโพงเซ็ตนี้ก็อยู่ราวๆ 2.6 ล้านบาท สูงกว่าราคาสายลำโพงชุดนี้ประมาณ 5 เท่า

เสียงของ Life Audio : 5th Anniversary Limited

อุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชิ้นมีอะไรที่เหมือนกันอยู่ในตัว 2 อย่าง อย่างแรกคือ ประสิทธิภาพกับอย่างที่สองก็คือ บุคลิกภาพซึ่งในแง่ประสิทธิภาพนั้น จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณสมบัติทางไฟฟ้าของตัวอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นนั้นๆ อย่างสมมุติว่าเป็นสายลำโพง ประสิทธิภาพของสายลำโพงก็คือคุณสมบัติของความเป็น แรงต้าน” (Impedance) ต่อการไหลของสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้า ที่ผ่านตัวมัน จากฝั่งขาเข้า (อินพุต) ไปทะลุออกทางฝั่งขาออก (เอ๊าต์พุต) ซึ่งหากว่าสายลำโพงตัวใดมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ทำให้เกิดการกักสัญญาณเสียงให้ค้างอยู่ในตัวมันมาก เหลือปล่อยผ่านออกไปทางเอ๊าต์พุตน้อย ก็พูดได้ว่า สายลำโพงตัวนั้นมีประสิทธิภาพ ต่ำซึ่งผลที่แสดงออกมาให้เรารู้จากการฟังก็คือ สายที่มีประสิทธิภาพต่ำ จะให้ เกน (gain) เอ๊าต์พุต ของเสียงออกมาเบา

สมมุติว่าเปรียบเทียบระหว่างสายลำโพง A กับสายลำโพง B ในซิสเต็มเดียวกัน เปิดฟังเพลงเดียวกัน ตั้งวอลลุ่มที่แอมป์ไว้เท่ากัน สลับเปลี่ยนแค่สายลำโพงอย่างเดียวระหว่างสายลำโพง A กับ B ถ้าพบว่า สาย A ให้เสียงออกมา เบากว่าก็สามารถสรุปได้ว่า สาย A ให้ประสิทธิภาพต่ำกว่าสาย B นั่นเอง

หมายความว่า สายลำโพงที่มีประสิทธิภาพต่ำไม่ดี.? ถูก.. แต่ไม่ถูกทั้งหมด มีข้อยกเว้น และมักจะพบบ่อยๆ ว่า สายลำโพงที่มีเกนเอ๊าต์พุตต่ำให้เสียงโดยรวมออกมาดีกว่าสายลำโพงที่ให้เกนเอ๊าต์พุตสูงๆ เหตุผลก็เพราะว่า คุณสมบัติทางด้าน impedance (แรงต้าน) ของสายลำโพงมีผลต่อการต้านทานกับความถี่ไม่เท่ากัน โดยธรรมชาติแล้ว ความถี่สูงจะมีคุณสมบัติในการเดินทางไปบนตัวนำได้ดีกว่าความถี่ต่ำ ถ้าออกแบบไม่ดีจะทำให้ความถี่สูงพุ่งผ่านออกไปทางเอ๊าต์พุตได้มากกว่าความถี่ในย่านกลางและทุ้ม มีผลให้สมดุลเสียงออกมาเด่นแหลม เสียสมดุล (โทนัลบาลานซ์ไม่ดี) สายลำโพงที่ดีจึงต้องมีการออกแบบให้มีการปรับปริมาณของความถี่ทุ้มกลางแหลม ที่ไหลผ่านสายลำโพงออกไปถึงเอ๊าต์พุตมีปริมาณที่เท่ากัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุด แต่เนื่องจากสายลำโพงเป็นอุปกรณ์ประเภทพาสซีฟ ไม่มีไฟเลี้ยงและไม่มีวงจรขยายความแรง (gain) ของสัญญาณอยู่ในตัว ดังนั้น โดยทางเทคนิคก็คือต้องทำการ กักและ ดึงเสียงแหลมและเสียงกลางเอาไว้ระดับหนึ่ง และ ปล่อยเสียงทุ้มออกมามากขึ้น เพื่อทำให้ความถี่ทุ้มกลางแหลม ที่ผ่านไปถึงเอ๊าต์พุตมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน

การกักและดึงเสียงแหลมและเสียงกลางนี่เองที่ทำให้ gain รวมของเสียงลดลง เมื่อลองเทียบกับสายลำโพงธรรมดาๆ ทั่วไปจึงรู้สึกได้ว่า สายลำโพงแพงๆ มักจะให้เสียงออกมาเบากว่าสายลำโพงธรรมดาทั่วไป แต่ไม่ได้เบากว่ามาก แค่เล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะแอมปลิฟายในปัจจุบันมีกำลังขับเยอะมาก สามารถชดเชย gain ให้กลับมาดังมากเท่าที่ต้องการฟังได้

ด้วยปรากฏการณ์ข้างต้น ทำให้เห็นว่า สายลำโพงมีคุณสมบัติเหมือนกับวงจรพาสซีฟฟิลเตอร์อย่างหนึ่ง มันทำงานลักษณะเดียวกับวงจรพาสซีฟครอสโอเวอร์ที่อยู่ในลำโพง ซึ่งสามารถจัดปริมาณความถี่ทุ้มกลางแหลมได้ตามต้องการ ถ้าคนออกแบบสายลำโพงมีความรู้ลึกและเชี่ยวชาญพอเกี่ยวกับตัวนำ, ฉนวน และโครงสร้างของตัวนำ เขาก็สามารถจัดการกับตัวแปรเหล่านั้นเพื่อให้ได้โทนัลบาลานซ์ออกมาดีได้ไม่ยาก

เกริ่นมาซะยาวก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า สายลำโพงของ Life Audio ตัวนี้ให้โทนัลบาลานซ์ออกมาดีมาก ตลอดการทดลองฟังเกือบสามเดือนที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกเลยว่า สายลำโพงตัวนี้จะให้ความถี่เสียงด้านใดมากกว่ากัน บางจังหวะที่ฟังผมสังเกตว่าเสียงที่ออกมามันเด่นกลางแหลมมากกว่าทุ้ม คือปริมาณของความถี่ต่ำมันออกมาน้อยกว่ากลางแหลม แต่พอเปลี่ยนอัลบั้มเพลงที่ฟัง ความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นคนละแบบ หรืออย่างในช่วงแรกๆ ของการทดสอบ มีอยู่บางขณะที่ผมจะรู้สึกว่าสายลำโพงตัวนี้ให้ปริมาณเบสไม่เยอะ แต่พอเปลี่ยนมาเป็นลำโพงตั้งพื้น ความรู้สึกแบบนั้นก็หายไป เมื่อใช้กับลำโพงตั้งพื้นรุ่น P3.0 ผมก็ได้ยินความถี่เสียงในย่านต่ำเพิ่มเข้ามา ในขณะที่ความถี่กลางแหลมก็ไม่ได้ลดน้อยลง รวมๆ จึงกลายเป็นความสมดุลที่กลมกลืนกำลังดี กลายเป็นว่า ตอนแรกที่รู้สึกว่าเบสมันน้อยเป็นเพราะลำโพงเล็กนั่นเอง ยิ่งฟังนานไปเรื่อยๆ ทีนี้ตอบไม่ได้แล้วว่าสายลำโพงตัวนี้มันให้สมดุลเสียงเด่นไปทางไหนมากกว่ากัน กลายเป็นว่ามันเปลี่ยนตัวเองไปตามเพลงที่ฟังมากกว่า สลับไปสลับมาจนกลายเป็นสมดุลธรรมชาติ ซึ่งผมว่านี่แหละคือสิ่งที่มนุษย์เล่นเครื่องเสียงต้องการ..!!

อัลบั้ม : Goin’ Away (DSD64)
ศิลปิน : Lightnin’ Hopkins
สังกัด : (1963) Bluesville / (2018) Analogue Productions CARJ 1073 SA

ช่วงฟังไปเบิร์นฯ ไปแบบไม่เจาะจง ผมพบอะไรน่าสนใจจากการลองฟังอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นงานบันทึกเสียงฝีมือของหมอ Rudy Van Gelder ตั้งแต่ ปี 1963 ซึ่งใครที่คุ้นเคยกับงานบันทึกเสียงของหมอรูดี้ฯ ที่ทำให้กับค่าย Bluenote มาก่อนจะทราบดีว่า จุดเด่นของแนวการบันทึกเสียงของหมอรูดี้ แวน เกลเดอร์จะอยู่ที่ความสามารถในการเก็บ รายละเอียดของเสียงที่ผนวกกับ บรรยากาศออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แสดงถึงลักษณะการจัดวางไมโครโฟนที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้ความสมดุลของการผสมผสานระหว่าง รายละเอียดของเสียงร้อง + เสียงกีต้าร์ของ Lightnin’ Hopkins + เสียงอะคูสติกเบสของ Leonard Gaskin และเสียงกลองของ Herbie Lovelle เข้ากับเสียงสะท้อนในห้องบันทึกเสียงที่หลอมรวมกันออกมาได้อย่างลงตัว ไล่เรียงน้ำหนักเสียงออกมาตามความสำคัญได้อย่างเป็นลำดับ เสียงโดยรวมจึงออกมาชัดใสและกลมกล่อม ฟังแล้วเหมือนเราเข้าไปนั่งฟังอยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นด้วยตัวเอง เพราะนอกเหนือจากเสียงร้องและเสียงกีต้าร์ที่มีรายละเอียดสมจริงแล้ว ผมยังรู้สึกได้ถึงแอมเบี้ยนต์ที่แผ่บางๆ เป็นรัศมีออกมารอบๆ เสียงร้องและเสียงกีต้าร์ด้วย ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เบาะบางและอ่อนไหว นี่คือลักษณะเด่นของอัลบั้มนี้ ซึ่งจากที่ผ่านๆ มา ถ้าเจอกับสายลำโพงที่ออกแบบให้มีลักษณะ filter หรือกรอง noise ความถี่สูงมากเกินไป จะทำให้รายละเอียดบริเวณความถี่สูงตอนปลายที่เชื่อมต่ออยู่กับฮาร์มอนิกของเสียงกีต้าร์ในอัลบั้มนี้ถูกกรองทิ้งไปด้วย รวมถึงบรรยากาศที่ห้อมล้อมเป็นรัศมีอยู่รอบๆ เสียงร้องและเสียงกีต้าร์ก็จะลดปริมาณลงไป

ความน่าสนใจของสายลำโพง Life Audio รุ่น 5th Anniversary Limited ที่ผมได้ยินอยู่ตรงที่มันสามารถรักษารายละเอียดที่เปราะบางของฮาร์มอนิกที่เชื่อมต่อปลายเสียงกีต้าร์เข้ากับบรรยากาศที่อ่อนไหวเอาไว้ได้ ซึ่งทุกครั้งที่ผมเห็นสายลำโพงที่มีเส้นใหญ่ๆ อัดแน่นด้วยฉนวนมากๆ แบบนี้แล้วมันทำให้รู้สึกแหยงขึ้นมาทันที เพราะการใช้วัสดุที่เป็นฉนวนเข้าไปซ้อนทับกับเส้นตัวนำเพื่อลดปริมาณ noise ในตัวสายถือว่าเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่คิดกันง่ายๆ แค่ว่า อัดฉนวนทับลงไปเยอะๆ แล้วจะสามารถลดปริมาณสัญญาณรบกวนออกไปได้มากอย่างที่คาด การทำเช่นนั้นมันมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ง่ายมาก มีสิทธิ์คิดได้แต่ในการทำก็ต้องทดลองกันอย่างละเอียด ถ้าคนออกแบบไม่ขยันทดลองกันจริงๆ จังๆ ก็ยากที่จะทำให้ได้ผลอย่างที่ต้องการ คือตัดลด เฉพาะย่านความถี่ที่เป็นสัญญาณรบกวนเท่านั้น ต้องไม่ตัดเลยลงมาถึงความถี่สูงที่เป็นฮาร์มอนิกและแอมเบี้ยนต์ของสัญญาณเสียงไปด้วย ซึ่งสายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้สอบผ่านประเด็นนี้ไปได้อย่างน่าทึ่ง.! พวกเขาทำได้อย่างไร.?? ผลของมันทำให้ความกังวลใจของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง.!!

อัลบั้ม : Another Time, Another Place (DSF64)
ศิลปิน : Jennifer Warnes
สังกัด : Impex Records (IMP8317)

อัลบั้ม : The Art Pepper-Marty Paich Sessions (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Mel Torme
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/132955483)

อัลบั้ม : Etta (DSF64)
ศิลปิน : Etta Cameron and Nikolaj Hess with Friends
สังกัด : Master Music LTD.

เสียงกลาง” เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชิ้น ไม่ว่าเครื่องเสียงชิ้นนั้นจะเป็นอุปกรณ์ส่วนไหนของซิสเต็ม เมื่อนำมันเข้าไปร่วมทำหน้าที่อยู่ในซิสเต็มใดแล้ว ถ้าเป็นเครื่องเสียงที่ดี (มัน) จะต้องไม่ทำให้เสียงกลางของซิสเต็มนั้นออกมาแย่อย่างเด็ดขาด.! ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าเอามันเข้าไปร่วมอยู่ในซิสเต็มใดแล้ว ถ้า (มัน) ทำให้เสียงของซิสเต็มนั้นออกมาดีขึ้นก็ต้องยกนิ้วให้ว่าเยี่ยม.!!

คุณสมบติข้อแรกที่ต้องสอบให้ผ่านก่อนเลยก็คือ ต้องให้เสียงกลางที่มีลักษณะ เปิดกระจ่าง” แสดงวรรณะของโทนเสียงที่ถูกต้อง สามารถแยกแยะโทนออกมาได้ตรงระหว่างกลางสูง-กลาง-กลางต่ำ และต้องให้ โฟกัส” ที่คมชัด ไม่เบลอ ไม่นัว เสียงร้องของนักร้องชาย (Mel Torme) และหญิง (Jennifer Warnes กับ Etta Cameron) ทั้งสามคนนี้จากสามอัลบั้มที่ผมเอามาทดลองฟังนี้เป็นอัลบั้มที่ผมนำมาใช้ทดสอบอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ให้เสียงร้องที่ให้โทนเสียงต่างกันไปคนละโทน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเสียงกลางที่มีโฟกัสชัดเจน รายละเอียดลึก เมื่อนำมาลองฟังกับสายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้มันก็แสดงผลลัพธ์ออกมาตามนั้น และนอกจากความชัดของโฟกัสแล้ว สายลำโพงชุดนี้ยังสามารถแสดงส่วนที่เป็น ลักษณะเฉพาะหรืออัตลักษณ์ของเสียงร้องของแต่ละคนออกมาให้รับรู้ได้ด้วย นั่นคือในส่วนของ โทนเสียง” (ใสบาง vs เข้มหนา) และ ไทมิ่งในการเอื้อน กระชาก และการต่อเชื่อมโยงระหว่างหางเสียงของคำหน้าเข้ากับต้นเสียงของคำหลัง และเทคนิคการเชื่อมโยงระหว่างประโยคต่อประโยคที่แต่ละคนใช้ต่างกัน ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถในการแจกแจงรายละเอียดในย่านเสียงกลางที่เจาะลึกลงไปอีกระดับ คือสามารถแจกแจงไดนามิกคอนทราสน์ หรือการย้ำหนักผ่อนเบาในการขับร้องแต่ละคำออกมาให้รับรู้ด้วย ซึ่งคุณสมบัตินี้ส่งผลอย่างมากถึงอรรถรสของเพลงที่ส่งผ่านมากับเสียงร้อง คือทำให้ฟังแล้วเหมือนเสียงร้องของคนร้องจริงๆ นอกจากนั้น ผมยังรับรู้ได้ถึง ความนิ่งของเสียงร้องที่มีความมั่นคงตลอดเวลา แม้ในขณะที่นักร้องกำลังขับร้องด้วยคำร้องยาวๆ อย่างต่อเนื่อง (Mel Torme) ด้วยน้ำเสียงสูง-ต่ำ ผมก็สามารถติดตามคำร้องและการขยับเคลื่อนเหล่านั้นไปได้ตลอดไม่มีอาการหลุดโฟกัส แสดงว่าสายลำโพงชุดนี้สามารถปล่อยกระแสของสัญญาณให้ไหลผ่านตัวนำภายในตัวสายได้สูง ไม่อั้นกระแส ทำให้ฟังเพลงช้าๆ ที่เน้นไดนามิกคอนทราสน์ได้อารมณ์เพลงมาก ซึ่งความพิเศษข้อนี้ผมสังเกตได้จากการใช้งานสายลำโพงชุดนี้กับอินติเกรตแอมป์ของ Moonriver Audio รุ่น Model 404 ซึ่งมีกำลังขับแค่ 50 วัตต์เท่านั้น ขณะใช้ขับลำโพง Wilson Benesch รุ่น Precision P1.0 ซึ่งมีราคาสูงกว่าแอมป์เยอะ ทีแรกคิดว่าสายลำโพงชุดนี้น่าจะทำให้แอมป์ไปไม่ไหว เพราะปกติแล้ว สายลำโพงที่มีขนาดเส้นใหญ่ๆ มักจะมีความต้านทานในตัวเองสูง ทำให้แอมป์ที่มีกำลังน้อยๆ จะไม่สามารถทะลุผ่านไปถึงลำโพงได้เต็มที่ แต่สิ่งนั้นไม่เกิดกับสายลำโพงชุดนี้ มันทำให้กำลังขับ 50 วัตต์ของ Model 404 สามารถผลักดันรายละเอียดของเสียงร้องออกมาจากลำโพง P1.0 ได้อย่างน่าทึ่ง แสดงว่าสาลำโพงไม่ได้กักสัญญาณเสียงไว้ในตัวมัน.. เจ๋งแฮะ.!!! (*แต่ก็ต้องชมความเจ๋งของภาคจ่ายไฟของ Model 404 ด้วย)

อัลบั้ม : Crazy Love (Master MQA FLAC16/44.1)
ศิลปิน : Micheal Buble
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/19373465)

อัลบั้ม : The Greatest Female Alto Vol.1 (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Shen Dan
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/8255554)

อัลบั้ม : La Bamba (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : The O-Zone Percussion Group
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/12359458)

เพลง ‘Cry Me A Riverในอัลบั้มชุด Crazy Love ของ Michael Buble ถูกผมนำมาใช้ทดสอบค่อนข้างถี่ในช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในเพลงแรกๆ ที่ผมนึกถึงหลังจากทดสอบเสียงกลางกับสายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้จบลง เพราะอัลบั้มชุด ‘The Art Pepper-Marty Paich Sessionsของ Mel Torme ชุดนั้นเป็นเพลงแนวแจ๊สสวิงที่มีลีลาจังหวะที่กระชับ เร็ว ให้พลังงานที่อัดฉีด ซึ่งสิ่งที่ผมได้ยินจากการทดลองฟังอัลบั้มนี้กับสายลำโพงชุดนี้คือรู้สึกได้ถึง ความนิ่งของเสียงที่ดีเยี่ยม แม้ในขณะที่เครื่องดนตรีในวง The Art Pepper-Marty Paich กำลังสวิงกันนัวเนีย แต่เสียงดนตรี (เครื่องเป่า+กลอง+เบส) เหล่านั้นกลับไม่ได้เข้ามาทำให้เสียงร้องมีอาการวอกแวกแม้แต่น้อย เหมือนต่างคนต่างดูแลบทบาทของตัวเองไว้ได้อย่างมั่นคง หลังจากทดลองฟังอัลบั้มนั้นจบลงแล้ว ผมก็รีบเลือกเพลง Cry Me A River ของ Micheal Buble จากอัลบั้มชุด Crazy Love ขึ้นมาลองฟังทันที.. และเร่งวอลลุ่มขึ้นมาอีกสองคลิ๊ก!!!

เพลง Cry Me A River เวอร์ชั่นของไมเคิล บูเบล่นี้แบ็คอัพโดยวงบิ๊กแบนด์ที่สาดพลังเข้าใส่กันอย่างบ้าคลั่งตามแนวทางเรียบเรียงดนตรีของ ป๋าดัDavid Foster ทำให้ลีลาของเพลงนี้ออกไปทางดุดัน เน้นหนัก มีการระเบิดพลังอยู่เป็นช่วงๆ มีหลายช่วงที่ทำนองเพลงมีลักษณะเหมือนรถไต่เขาที่ค่อยๆ แรงขึ้นด้วยเสียงเครื่องเป่าที่ฉุดให้เสียงอื่นๆ ต้องทะยานตามขึ้นมาเป็นระลอก จากดังปานกลางกลายเป็นพีคที่ทรงพลัง ซึ่งต้องชมเชยซาวนด์เอนจิเนียร์ที่ดูแลการบันทึก+มิกซ์เสียงของเพลงนี้ด้วยที่ทำออกมาได้ดีมาก และต้องชมสายลำโพงของ Life Audio ชุดนี้ที่ควบคุมช่วงพีคของเพลงไว้ได้อยู่หมัดโดยไม่มีอาการ overshoot แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอาการอั้นด้วย (ทั้งสามแทรคนี้ผมลองฟังกับชุดใหญ่ โดยใช้ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ Dan D’Agostino รุ่น Progression ขับลำโพง TAD รุ่น Evolution One TX)

อีก 2 เพลงที่ทดลองฟังต่อเนื่องกันคือเพลง ‘Alilangของ Shen Dan กับเพลง ‘Jazz Variantsของวงเพอร์คัสชั่นที่ชื่อว่า The O-Zone Percussion Group ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมถึง 2 ประการของสายลำโพงชุดนี้ อันแรกคือความสามารถในการ ตีแผ่เสียงต่างๆ ในเพลงให้กระจายตัวออกมาได้อย่างเป็นรูปวง ไม่อัดแน่นกระจุกตัวและซ้อนทับกัน ผมชอบลักษณะรูปวงที่สายลำโพงชุดนี้ถ่ายทอดออกมา คือมันให้เวทีเสียงที่ยืดแผ่ออกไปทุกมิติ ทั้งกว้างและลึก โดยเฉพาะทางด้านลึกมันให้มิติด้านลึกที่ฉีกออกไปทางมุมห้องทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ไม่ได้ลึกแบบลู่เข้าตรงกลาง พิสูจน์ได้จากเสียงกลองในเพลง Alilang ที่มีตำแหน่งลึกลงไปหลังระนาบลำโพงด้านซ้ายอย่างชัดเจน และมาตอกย้ำอีกทีกับเสียงเครื่องเคาะในเพลง Jazz Variants ที่วางตำแหน่งเสียงได้เป๊ะมาก ฉีกออกไปได้ทั่วทั้งสนามเสียง ซึ่งการแจกแจงเวทีเสียงที่เปิดกว้างและให้โฟกัสที่แม่นยำตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นของสายลำโพง Life Audio ชุดนี้

ส่วนอีกแง่ก็คือความสามารถในการ ตรึงแต่ละเสียงให้ยึดมั่นอยู่ในตำแหน่งของตนได้อย่างมั่นคง แม้ว่าแต่ละเสียงนั้นจะกำลังร่ายรำด้วยลีลาที่ผาดโผนขนาดไหน เสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้หลุดพ้นไปจากการตรวจจับของโสตประสาทแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว.! ทุกเสียงต่างก็ตรึงแน่นและแข่งกันตะเบ็งพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

สรุป

ผมรู้ว่า ทุกอย่างที่ผู้ออกแบบกระทำลงไปกับสายลำโพงของพวกเขามันมีผลต่อทั้งบุคลิกและคุณภาพเสียงของสายลำโพงเส้นนั้นแน่ๆ แต่ก็ยอมรับว่านึกภาพไม่ออกเลยว่า การใช้เส้นตัวนำที่มีลักษณะและขนาดต่างกัน + ใช้ขั้วต่อสายที่ทำด้วยทองแดง OFC เคลือบแพลทตินั่มและโรเดี้ยม + รวมถึงการออกแบบภายในตัวสายให้มีพื้นที่ระบายความร้อน… เหล่านี้ผสมกันมันจะส่งผลต่อเสียงในแบบที่คุณหน่อยบอกมาได้อย่างไร.?

เมื่อไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการออกแบบกับเสียงที่ได้ออกมา ก็ต้องปล่อยไว้แบบนั้นก่อน เพราะจริงๆ แล้ว เราประเมินประสิทธิภาพเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงได้จากการฟังด้วยหู ผ่านซิสเต็มที่แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูนอย่างลงตัว สิ่งที่ได้ยินทั้งหมดก็ต้องยกประโยชน์ให้กับการออกแบบนั่นเอง

ในแง่ของนักเล่นฯ นี่คือสายลำโพงที่คุณควรจะหาโอกาสทดลองฟัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของแต่ก็เพื่อเสริมประสบการณ์.. ส่วนในแง่ของแบรนด์ ควรจะนำสายลำโพงชุดนี้ไปให้นักเล่นฯ ได้มีโอกาสทดลองฟังให้ได้มากที่สุด เพื่อคอนเฟิร์มให้แน่ใจว่า แนวทางการออกแบบของ Life Audio เดินมาถูกทางแล้วยัง.!!? /

********************
ราคา : 500,000 บาท / ชุด
********************
จัดจำหน่ายโดย :
Life Audio
โทร. 084-596-6262

Line ID: lifeaudio
facebook: @lifeaudioshop

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า