รีวิวเครื่องเสียง TAD รุ่น Evolution One TX (E1 TX) ลำโพงตั้งพื้นขนาดกลาง

TAD มาจากคำเต็มว่า “Technical Audio Devicesเป็นแบรนด์ที่บริษัท Pioneer Electronic Corporation ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 1975 เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่พัฒนาลำโพงสำหรับใช้ในงานโปรเฟสชั่นแนลโดยเฉพาะ หลังจาก TAD ดำเนินกิจการมานานถึง 30 ปี จนถึงปี 2007 ได้มีการแยกแบรนด์ย่อยที่ชื่อว่า Technical Audio Devices Laboratories, Inc. (ย่อว่า TADL) ออกมาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้อนให้กับวงการเครื่องสียงไฮเอ็นด์ ซึ่งนอกจากลำโพงแล้ว บริษัทนี้ยังได้พัฒนาอุปกรณ์เครื่องเล่นประเภทอื่นออกมาด้วยนั่นคือ แอมปลิฟายและแหล่งต้นทางสัญญาณ โดยที่ยังคงใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า TAD เช่นเดิม

TAD : Evolution One TX หรือ E1 TX
ลำโพงตั้งพื้นตัวใหม่ล่าสุดในอนุกรม “Evolution

TADL แบ่งผลิตภัณฑ์ของพวกเขาออกมาเป็น 4 กลุ่ม สองกลุ่มแรกคือ “Reference Seriesกับ “Evolution Seriesซึ่งมีลำโพงกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ส่วนอีกสองกลุ่มที่เหลือก็คือ “Accesoriesซึ่งมีทั้งสายสัญญาณ, สายลำโพง, ชั้นวางเครื่อง และอุปกรณ์เสริมต่างๆ กลุ่มสุดท้ายคือ “Professionalเป็นกลุ่มของผลิตภัณฑ์ประเภทไดเวอร์สำหรับวงการโปรเฟสชั่นแนล

รูปร่างภายนอก

รุ่น E1 TX ที่ผมกำลังจะทำการทดสอบคู่นี้เป็นลำโพงตั้งพื้น (Floor Standing) หนึ่งเดียวในอนุกรม Evolution Series จากทั้งหมด 3 รุ่นที่อยู่ในอนุกรมเดียวกัน อีกสองคู่ที่เหลือเป็นลำโพงวางขาตั้งรุ่น Micro Evolution One กับรุ่น Compact Evolution One

เมื่อพิจารณาจากขนาดของตัวตู้ ต้องนับว่า E1 TX เป็นลำโพงตั้วพื้นขนาดกลางค่อนมาทางเล็ก บอดี้ของ E1 TX มาในรูปทรงตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีลักษณะผอมสูงสไตล์ทาวเวอร์ แผงหน้าแคบและลึกลงไปทางด้านหลัง ตัวตู้ถูกปรับให้มีลักษณะหน้าเชิดเอียงเฉียงไปทางด้านหลัง ขอบตู้ทุกด้านถูกลบเหลี่ยมปาดมุมให้มีลักษณะโค้งมน ผลทางเทคนิคก็เพื่อลดการหักเหของคลื่นเสียง off-axis ที่แผ่กระจายจากไดเวอร์บนแผงหน้าของตัวตู้อ้อมมาตกกระทบกับขอบตู้และย้อนกลับไปรบกวนคลื่นเสียงที่แผ่ตรงออกไปจากตัวไดเวอร์ ส่งผลเสียต่อเสียง คือทำให้ความคมชัดของมิติเสียงแย่ลง ซึ่งการปาดมุมให้โค้งมนช่วยขจัดปัญหาเหล่านี้

ไดเวอร์ที่ใช้ กับความละเอียดในทุกจุด

E1 TX เป็นลำโพงตู้เปิด มีช่วงตอบสนองความถี่กว้างมาก คือเริ่มไต่ระดับตั้งแต่ 29Hz ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 60kHz โดยที่ความถี่เสียงตลอดทั้งย่านนั้นถูกผลิตขึ้นโดยไดเวอร์จำนวน 4 ตัวต่อข้าง ซึ่งไดเวอร์แต่ละตัวล้วนถูกออกแบบและผลิตขึ้นมาด้วยเทคนิคพิเศษทั้งนั้น

จากด้านบนลงมาด้านล่างของแผงหน้า เริ่มจากตัวขับเสียงกลาง (midrange) ขนาด 9 .. (3.6 นิ้ว) ที่มีทวีตเตอร์โดมแบรีเลี่ยมขนาด 2.5 .. (1 นิ้ว) ฝังตัวอยู่ตรงใจกลางของตัวมิดเร้นจ์ ซึ่งเป็นเทคนิคการออกแบบที่เรียกว่า coaxial ด้วยจุดประสงค์เพื่อทำให้เกิดการกระจายเสียงในลักษณะที่เรียกว่า “point sourceคือบังคับให้คลื่นเสียงในย่านกลางและแหลม (ตั้งแต่ 420Hz ขึ้นไปจนถึง 60kHz สำหรับรุ่นนี้) พุ่งออกมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน ซึ่งจะมีผลดีกับเสียงในแง่ของมิติเสียงที่คมชัดและรายละเอียดเสียงในย่านนั้นที่ไม่มีการรบกวนกัน

ไดเวอร์ coaxial ตัวนี้เป็นผลจากการออกแบบของทีมวิศวกรของ TAD ขึ้นมาเป็นพิเศษและได้ตั้งชื่อเอาไว้ว่า Coherent Source Tranducer (CST) ซึ่งถูกใช้ครั้งแรกในลำโพงซีรี่ย์ Micro Evolution One ซึ่งเป็นรุ่นที่สร้างชื่อให้กับ TAD มาก ไดอะแฟรมของตัวมิดเร้นจ์ทำด้วยแม็กนีเซียมที่ให้บุคลิกเสียงกลมกลืนไปกับไดอะแฟรมแบริเลี่ยมของตัวทวีตเตอร์ และโดมของตัวทวีตเตอร์ยังได้ผ่านการปรับจูนรูปทรงของโดมด้วยเทคนิคพิเศษที่พวกเขาเรียกว่า Harmonized Synthetic Diaphram Optimum Method (HSDOM) ให้มีลักษณะเป็น semi-dome คือไม่ได้โค้งมาก ทำให้มีความแกร่งสูงขึ้น

ส่วนไดเวอร์อีก 2 ตัวที่ติดตั้งในตำแหน่งถัดลงมาจากตัวมิดเร้นจ์/ทวีตเตอร์ CST เป็นวูฟเฟอร์ขับทุ้มขนาด 16 .. (6.4 นิ้ว) เหมือนกันทั้งสองตัว ความพิเศษของวูฟเฟอร์สองตัวนี้อยู่ที่ไดอะแฟรมที่ทำจากวัสดุที่เรียกว่า Aramid fiber ประกบเข้ากับไฟเบอร์ธรรมดาเข้าไปอีกชั้นแล้วเคลือบทับด้วยน้ำยาทำให้ไฟเบอร์ทั้งสองหลอมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันตามสูตรของ TAD เขาเอง ซึ่งได้ตั้งชื่อเรียกไดอะแฟรมตัวนี้ว่า Multi-Layered Aramid Composite Cone และใช้ชื่อย่อ MACC เป็นเครื่องหมายการค้าในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปด้วย

เจ้าวัสดุ Aramid fiber ตัวนี้เป็นไฟเบอร์ประเภท polyamide ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 500 องศาเซลเซียสถึงจะสามารถหลอมละลายวัสดุประเภทนี้ได้ อีกทั้งมีเนื้อมวลที่เหนียวมาก จึงรีดออกมาได้บาง ด้วยคุณสมบัติที่เหนียวเป็นพิเศษและทนความร้อนได้สูงมาก ทำให้ถูกนำไปใช้ในอากาศยานและใช้ในกิจการทหาร อย่างเช่นใช้ทำบอดี้ของจรวด และใช้ทำเสื้อเกราะด้วย และด้วยความแกร่งและหนึบเหนียวของวัสดุ Aramid fiber ที่ว่าทำให้วูฟเฟอร์ของลำโพง TAD คู่นี้มีความสามารถรองรับแรงกระแทกของความถี่ต่ำได้สบายๆ โดยไม่มีอาการบิดตัวจนเสียรูป วัสดุบางประเภทที่ไม่แกร่งพอ เมื่อเจอกับเสียงเบสที่กระแทกกระทั้นมากๆ ตัวไดอะแฟรมจะบิดเสียรูปทำให้หัวเบสเสียรูปทรงจนมีลักษณะขุ่นมัว

ตู้เปิดแบบพิเศษ.!

ตัวตู้ของ E1 TX ถูกออกแบบให้มีความแกร่งสูง ผนังตู้ประกบด้วยไม้ MDF อย่างแน่นหนา จัดการระบบไหลเวียนของอากาศภายในตัวตู้เป็นแบบ open port หรือระบบตู้เปิดที่มีดีไซน์พิเศษไม่เหมือนใคร พวกเขาตั้งชื่อเรียกระบบตู้เปิดของพวกเขาว่า Bi-Directional ADS มาจากคำเต็มๆ ว่า “Bi-Directional Aero-Dynamic Slot

คือเจาะรูที่ด้านข้างของผนังตู้ทั้งซ้ายและขวาเพื่อให้มวลอากาศภายในตัวตู้และภายนอกตู้สามารถผ่านเข้า/ออกได้ แต่เหนือรูที่เจาะไว้จะมีแผ่นวัสดุแข็งปิดกั้นอยู่ด้านบน ซึ่งแผ่นวัสดุที่มีลักษณะแข็งนี้ได้ถูกออกแบบให้มีช่องเปิดเฉพาะทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวตู้ เป็นการบังคับมวลอากาศภายในตัวตู้ให้กระจายตัวออกมาในแนวระนาบเท่านั้น และเนื่องจากรูระบายอากาศที่ว่านี้อยู่ชิดลงไปทางส่วนฐานของตัวตู้ ชิดกับพื้นที่วางลำโพง ทำให้ช่วยลดปัญหาสแตนดิ้งเวฟ หรือการสั่นค้างของความถี่ต่ำลงไปได้มาก อีกทั้งยังช่วยลดเสียงของลมที่เสียดสีกับปากท่อระบายอากาศลงไปได้ด้วย

ขาตั้งก็ดีไซน์พิเศษ

ด้านล่างสุดของตัวตู้ซึ่งเป็นส่วนที่สัมผัสพื้นของลำโพงคู่นี้คือเดือยแหลมโลหะที่ขันยึดติดอยู่กับแผ่นโลหะหนาที่ตัดเป็นรูปตัว I ทำหน้าที่เป็นฐานรองใต้ตัวลำโพงเพื่อแยก (isolate) ตัวตู้กับพื้นออกจากกัน ไม่ให้แรงสั่นสะเทือนจากตัวตู้กับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแรงกระทำจากภายนอกสามารถแผ่กระจายถึงกัน

ตัวเดือยแหลมทำด้วยโลหะ สามารถหมุนปรับระดับสูงต่ำได้ และมีจานโลหะรองใต้ปลายแหลมเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นบนพื้นมาให้ด้วย

ถ้ามองเผินๆ จากด้านบน คุณอาจจะคิดว่าลำโพงคู่นี้มีเดือยแหลมสัมผัสพื้นห้องอยู่ 4 ตัว แต่จริงๆ แล้วมีแค่ 3 ตัว อยู่ที่ด้านหน้าสองและด้านหลังหนึ่ง ตัวที่อยู่ด้านหลังจะอยู่ตรงกลาง ส่วนที่เห็นศรชี้ในภาพด้านบนนั้นเป็นแค่แท่งโลหะที่มีไว้ป้องกันลำโพงล้มเท่านั้น ไม่ได้แตะถึงพื้น ถือว่าเป็นความละเอียดของผู้ออกแบบ

ขั้วต่อสายลำโพงติดตั้งอยู่บนแผงด้านหลัง ตำแหน่งเยื้องลงมาทางด้านล่างใกล้กับส่วนฐานของตัวลำโพง

ให้ขั้วต่อสายลำโพงมาข้างละ 2 ชุด ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการเชื่อมต่อได้ทั้ง 3 รูปแบบ คือซิงเกิ้ลไวร์โดยใช้ร่วมกับจั๊มเปอร์, ต่อแบบไบไวร์ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์สเตริโอ 2 แชนเนล และสามารถเชื่อมต่อกับเพาเวอร์แอมป์ 4 แชนเนลในลักษณะไบแอมป์ได้

ผมชอบขั้วต่อสายลำโพงของลำโพงคู่นี้มาก นอกจากมันจะดูแข็งแรงแล้ว ผมชอบที่ผู้ผลิตเขาเว้นระยะห่างของแต่ละขั้วต่อเอาไว้เยอะมาก และตัวขั้วต่อยื่นออกมาจากแผงหลังของตัวลำโพงตรงๆ โดยไม่มีหลุมหรือทำมุมงองุ้มเหมือนขั้วต่อสายลำโพงแบบสำเร็จ ทำให้ใส่ขั้วต่อได้ง่ายและสะดวก

แม็ทชิ่งเพื่อการทดสอบ

ลำโพงคู่นี้ตอบสนองความถี่ได้กว้างมากเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่ 29Hz ขึ้นไปจนถึง 60kHz วงจรเน็ทเวิร์คในตัว E1 TX ถูกออกแบบให้มีจุดตัด 2 จุดเพื่อให้ไดเวอร์ทั้ง 4 ตัวของลำโพงคู่นี้ร่วมมือกันถ่ายทอดความถี่เสียงตลอดทั้งย่าน 29Hz – 60kHz โดยที่ตัวทวีตเตอร์ขนาด 2.5 .. รับหน้าที่สร้างความถี่เสียงตั้งแต่ 2.5kHz – 60kHz ออกมา, ในขณะที่มิดเร้นจ์ขนาด 9 .. รับหน้าที่สร้างความถี่เสียงในช่วง 420Hz – 2.5kHz และช่วงความถี่ด้านล่างตั้งแต่ 420Hz ลงไปจนถึง 29Hz ถูกยกให้เป็นหน้าที่ของวูฟเฟอร์คู่ขนาด 16 .. กับท่อระบายเบสแบบพิเศษ Bi-Directional ADS ช่วยกันสร้างออกมา

ความไวของ E1 TX อยู่ที่ 88dB ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนอิมพีแดนซ์ปกติอยู่ที่ 4 โอห์ม รองรับกำลังขับสูงสุดได้ 200W โดยรวมๆ ก็ไม่ถือว่าโหดมาก ผมเริ่มต้นด้วยการทดลองใช้ชุดปรี+เพาเวอร์ฯ ของ Ayre Acoustic รุ่น K-5 + V-3 กำลังขับข้างละ 100W ขับ E1 TX คู่นี้ โดยอาศัย roon nucleus + Nagra HD DAC เป็นต้นทางสัญญาณ พบว่าเสียงโดยรวมออกมาดีพอสมควร กลางแหลมละเอียดน่าฟัง แต่ฟังเพลงหนักๆ จะรู้สึกได้ว่า V-3 ยังดัน E1 TX ออกมาได้ไม่หมด เสียงในย่านทุ้มติดนุ่มและน่วมนิดๆ ตอนฟังเพลงที่ผลิตโดยค่ายเพลงไฮเอ็นด์ฯ เสียงออกมาน่าฟัง ออกไปทางนุ่ม นวล และสะอาด ไม่ค่อยรู้สึกว่าขาดอะไร แต่พอลองเปลี่ยนมาฟังเพลงทั่วไปอย่างพวกร็อคถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ยังให้ออกมาได้ไม่ถึงใจก็คือความสดนั่นอง เสียงเบสไฟฟ้าและกระเดื่องกลองมันออกมาหนา นุ่ม แต่รู้สึกได้ว่าไดนามิกยังสวิงได้ไม่เต็ม มือกลองยังออมแรงอยู่ นี่เป็นเพราะ V-3 ขับ E1 TX ออกมาไม่เต็ม หรือลักษณะเสียงทุ้มของ E1 TX มันเป็นของมันแบบนี้เอง..??

ยกสองผมเลยเปลี่ยนมาใช้อินติเกรตแอมป์ของ Dan D’Agostino รุ่น Progression Integrated Amplifier (REVIEW) ที่มีกำลังขับข้างละ 200W ลองขับ E1 TX เพราะอยากรู้ว่าลำโพงคู่นี้ต้องการกำลังขับสูงๆ จริงรึเปล่า.? ผลปรากฏว่าเสียงของ E1 TX เปลี่ยนไปเยอะพอสมควร คือโดยรวมจะออกมาสดกระจ่างมากขึ้น รู้สึกได้ว่า ในย่านกลางและแหลมถูกผลักดันออกมามากขึ้น ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะลักษณะแนวเสียงที่ต่างกันระหว่าง Ayre Acoustic กับ Dan D’Agostino ด้วย แต่หลังจากขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Progression แล้วผมรู้สึกได้ว่าเสียงของ E1 TX มีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น ฟังเพลงได้หลากหลายอารมณ์มากขึ้น เริ่มจะฟังเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปได้บ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ดี พอฟังไปสักระยะ เปลี่ยนเพลงหลากหลายแนว ผมก็รู้สึกได้ว่า ตอนฟังเพลงแนวคลาสสิก เสียงที่ออกมาจาก E1 TX มันเปิดและพลิ้วดีแล้ว แต่ยังขาดความหนักแน่นไปหน่อย สังเกตว่าเสียงทุ้มมันลงได้ลึกก็จริง แต่เหมือนว่าฐานเสียงต่ำๆ ยังขาดความแน่น อิมแพ็คของเสียงทิมปานียังไม่หนัก ทำให้ฟังเพลงคลาสสิกแนวโอเวอเจ้อร์แล้วยังเข้าไม่ถึงอารมณ์เต็มที่

สุดท้าย E1 TX ก็มาจำนนกับเพเวอร์แอมป์ Dan D’Agostino รุ่น Progression Stereo ที่มีกำลังขับมากถึงข้างละ 350W ที่ 8 โอห์ม ซึ่งปกติแล้ว ผมจะไม่ค่อยนิยมใช้เพาเวอร์แอมป์วัตต์สูงๆ เกินกว่า maximum power recommendation ที่ลำโพงแนะนำไว้ (แม้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ใช้กำลังขับทั้งหมดนั้นก็ตาม) เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อใช้แอมป์ที่มีกำลังขับสูงกว่า maximum power recommendation ที่ลำโพงแนะนำ มักจะทำให้เสียงของลำโพงออกมาอืด ทู่ ขาดไดนามิก แต่กับ E1 TX คู่นี้มันกลับไปกันได้ดีเลยกับเพาเวอร์แอมป์ 350W ของ Dan D’Agostino ตัวนี้ (ผมยังคงใช้ปรีแอมป์ K-5 ของ Ayre Acoustic กับ source ชุดเดียวกัน) ซึ่งเสียงที่ได้ออกมานับว่าให้ค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจซึ่งคาดว่า สิ่งที่ผมได้ยินน่าจะใกล้เคียงกับเสียงที่เป็นตัวตนของลำโพงคู่นี้แล้ว

เซ็ตอัพ

หลังจากเปลี่ยนมาใช้เพาเวอร์แอมป์ Dan D’Agostino รุ่น Progression Stereo ขับ E1 TX ผมจึงได้พบว่า ลำโพงคู่นี้ต้องการกำลังขับจากแอมป์มากกว่าที่คาดเพื่อสร้างสนามเสียงที่แผ่กว้างออกไปแบบเต็มที่

จากรูปนี้เป็นระยะการเซ็ตอัพ E1 TX ขณะที่ผมขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Progression ซึ่งได้ระยะห่างระหว่างข้างซ้ายกับข้างขวาอยู่ที่ 1.82 . และห่างผนังหลังขึ้นมาเท่ากับ 1.32 . ซึ่งเป็นระยะห่างผนังหลังตามสูตรเป๊ะ คือ ด้านยาวของห้อง (6.6 .) หารด้วย 5 แต่หลังจากเปลี่ยนมาขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ Progression Stereo ผมต้องปรับตำแหน่งวางลำโพงใหม่ไปจากเดิมเยอะมาก โดยเฉพาะระยะห่างผนังหลังที่ต้องดึงห่างจากผนังหลังเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.95 . เกือบถึงระยะด้านยาวของห้อง (6.6 .) หาร 3 = 2.20 . ซึ่งเป็นระยะห่างหลังที่มากที่สุดของห้องนี้ และต้องแยกข้างซ้ายและขวาให้ห่างจากกันมากขึ้นเป็น 2.10 ม. ทุกอย่างจึงลงตัว

ตอนแรกที่ผมยกเพาเวอร์แอมป์ Dan D’Agostino เข้าไปเปลี่ยนเอาอินติเกรตแอมป์ออกมานั้น E1 TX ยังวางอยู่ที่ตำแหน่งเดิมคือห่างผนังหลังขึ้นมาเท่ากับ 1.32 . และซ้ายขวาห่างกัน 182 .. แต่หลังจากลองฟังเสียงดูแล้ว รู้สึกได้เลยว่าทุ้มล้นและมีอาการแน่นๆ อึกอักๆ กลางแหลมก็ไม่โปร่ง ไม่พลิ้ว เสียงโดยรวมมีความกระชับตึงตัวมาก ห้วนๆ ไม่น่าฟังเลย รู้สึกได้ว่าแอมป์เอาลำโพงอยู่หมัด แต่ตำแหน่งของลำโพงยังไม่ถูกที่ถูกทาง หลังจากผมทดลองขยับตำแหน่ง E1 TX อยู่พักใหญ่จนเจอจุดที่ลงตัว ผมพบว่า ณ ตำแหน่งใหม่ตามที่แจ้งไว้ข้างต้น เสียงของ E1 TX เปลี่ยนไปมากทีเดียว คือตอนที่ฟังกับอินติเกรตแอมป์ Progression ก็คิดว่าดีมากแล้ว ฟังสบายกับทุกแนวเพลง แต่ก็แอบรู้สึกว่ามันแค่ฟังดีเท่านั้น ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย แต่พอได้แอมป์ที่เอามันอยู่ มันฟ้องว่าต้องเซ็ตตำแหน่งใหม่ ซึ่งทำให้รู้ว่า E1 TX ต้องการพื้นที่ค่อนข้างกว้างในการแสดงศักยภาพของมันออกมาอย่างเต็มที่ เสียงที่ผมได้ยินตรงตำแหน่งใหม่มันต่างไปจากตำแหน่งเดิมเยอะมาก เวทีเสียงแผ่ขยายออกไปสุดลูกหูลูกตา ทะลุทะลวงผนังห้องทั้งสามด้านออกไปไกล ไดนามิกสวิงได้สุดสเกล เบสดิ่งลงไปได้ลึกมาก ฐานความถี่ต่ำถูกแผ่กระจายออกมาเต็มห้อง ในขณะที่กลางแหลมลอยตัวเหนือทุ้มขึ้นมาได้อย่างสง่างาม ผมยึดเอาตอนขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ Progression Stereo และตำแหน่งเซ็ตอัพใหม่เป็นตัวสรุปผลการทดสอบครั้งนี้

เสียงของ E1 TX

ลำโพงคู่นี้มีพฤติกรรมที่แปลกกว่าลำโพงส่วนใหญ่ คือมันสามารถปรับตัวเข้ากับขนาดของพื้นที่ในห้องฟังได้ เป็นความสามารถที่ได้มาจากคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่ที่กว้างขวางของมันนั่นเอง..

นอกจากขนาดห้องแล้ว กำลังขับของแอมป์ก็เป็นอีกตัวแปรที่ส่งผลกับเสียงของลำโพงคู่นี้ ตอนขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ V-3 ของ Ayre Acoustic เสียงของ E1 TX จะออกไปทางเข้มข้น เนื้อเสียงอัดแน่น ปลายเสียงทั้งทางด้านแหลมและทุ้มทอดประกายออกไปพอประมาณ ไม่ยืดยาวออกไปมาก แต่พอเปลี่ยนมาขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ Progression Stereo ของ Dan D’Agostino พิกัดที่ลงตัวของลำโพงคู่นี้ก็เปลี่ยนไป คือต้องขยายระยะห่างออกไปมากขึ้น ทั้งระยะห่างระหว่างลำโพงทั้งสองข้างและระยะห่างระหว่างลำโพงกับผนังห้องด้านหลังและด้านข้าง ซึ่งมีผลให้เสียงของลำโพงคู่นี้ขยายตัวออกไปทั้งทางด้านเวทีเสียงที่แผ่ขยายออกไปมากขึ้น รอบด้าน กลายเป็นซาวนด์สเตจที่ใหญ่โตมโหฬารมากขึ้น รวมถึงไดนามิกคอนทราสน์ก็แผ่ยืดออกไปมากขึ้นด้วย หัวเสียงคมและได้โฟกัสที่ชัดขึ้นเพราะหัวเสียงกับบอดี้และหางเสียงถูกแยกตัวห่างออกจากกัน ไม่อัดเบียดกัน

อัลบั้ม : AYA – Authentic Audio Check (DSD64)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Stockfisch

เพลง Sharpening A Knife ของศิลปิน Carl Cleve, Parissa Bouas ซึ่งเป็นแทรคที่ 3 ในอัลบั้มชุดนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดเวทีเสียงที่แผ่กว้างและความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ที่เปิดกว้างออกมาในคราวเดียวกัน เสียงกีต้าร์ที่ทอดปลายหางเสียงที่กังวานยาวกับเสียงทุ้มต่ำๆ ที่แผ่ลึกๆ อยู่ที่ด้านหลังของเวทีเสียงเป็นหลักฐานพยานสำคัญ เสียงทุ้มของแทรคนี้ฉีกตัวทิ้งห่างจากเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ลงไปฝังตัวอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีเสียง ลึกลงไปทะลุผนังห้องอย่างชัดเจน ซึ่งเสียงทุ้มที่ว่านี้นอกจากจะมีมวลอิ่มแล้ว มันยังมีความนุ่มนวลอยู่ในตัวด้วยเนื่องจากหางเสียง

ในอัลบั้มเดียวกันนี้ ยังมีอีกแทรคที่ผมชอบใช้ทดสอบคุณสมบัติในการให้โฟกัสของเสียง นั่นคือแทรคที่ชื่อว่า (Improvisation) เป็นแทรคที่ 4 โชว์มิติด้วยเสียงเพอร์คัสชั่นของเครื่องดนตรีประเภทที่ใช้วิธีเขย่าเหมือนกระพรวน ถ้าลำโพงให้โฟกัสแม่นๆ จะได้ยินลักษณะการเคลื่อนตัวของเสียงเขย่าจากซ้ายไปขวาและขวาไปซ้ายที่ชัดเจนมาก ซึ่ง E1 TX คู่นี้ไม่ได้แค่โชว์การเคลื่อนที่ของเสียงกระพรวนที่ชัดเจนทุกอากัปกิริยาเท่านั้น ยังมีอีกอย่างที่ลำโพงคู่นี้ทำได้ดีมากกับแทรคนี้ คือมันทำให้ผมได้ยินเสียงกระพรวนที่มีรายละเอียดมากกว่าที่เคย มันไม่แค่ทำให้ผม ได้ยินเสียงกระพรวนนั้น แต่มันยังทำให้ผมรู้สึกถึงลักษณะการกระทบกันของลูกกระพรวนด้วย คือรู้สึกได้ว่า เม็ดกระพรวนมีความหนา มีน้ำหนักของเนื้อมวลของแต่ละเม็ดที่กระแทกกัน เป็นรายละเอียดที่ผมไม่เคยสังเกตได้ชัดขนาดนี้ แสดงว่าลำโพงคู่นี้ให้เฟสในย่านกลางแหลมที่เป๊ะมาก.!!

อัลบั้ม : Breaking Silence (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Janis Ian
สังกัด : Analogue Productions

E1 TX คู่นี้ถ่ายทอดเสียงกลางได้เยี่ยมยอดมาก มันให้มาครบทั้งโฟกัสและดีเทล จากการทดลองฟังเพลงร้องกับลำโพงคู่นี้มาหลายเพลง ผมพบว่าไดเวอร์ CST ของลำโพงคู่นี้มันเปิดเผยรายละเอียดในย่านเสียงกลางของหลายๆ เพลงออกมาให้ได้ยินแบบที่ไม่ต้องเพ่งเลย ผมคิดว่าเป็นเพราะเฟสสัญญาณระหว่างมิดเร้นจ์กับตัวทวีตเตอร์ที่ถูกแพ็คอยู่ในจุดกำเนิดเดียวกัน ทำให้ความถี่ตลอดทั้งย่านกลางและสูงผูกพันเป็นเนื้อเดียวกันตลอดเวลา ส่งผลให้โฟกัสของตำแหน่งที่แม่นยำตลอดเวลา

ในจำนวนหลายๆ เพลงที่ผมทดลองฟังกับ E1 TX มีอยู่เพลงหนึ่งที่โดดเด่นมาก นั่นคือเพลง “Breaking Silenceแทรคสุดท้ายของอัลบั้มชื่อเดียวกันจากผลงานของ Janis Ian (แผ่นทองรีมาสเตอร์โดยสังกัด Analogue Productions) ตอนอินโทรของแทรคนี้จะมีเสียงร้องประสานที่ค่อยๆ ประกบขึ้นมากับเสียงร้องหลักทีละเสียงๆ จากหนึ่งเป็นสอง, เป็นสาม และเป็นสี่ ซึ่ง E1 TX คู่นี้แสดงรายละเอียดของเสียงประสานที่ซ้อนอยู่ด้านหลังของเสียงร้องหลักในลักษณะที่เหลื่อมกันไปทางซ้ายและทางขวาออกมาให้รับรู้ได้ชัด และไม่แค่ได้ยินเสียงประสานเหล่านั้น แต่ยังรู้สึกได้ถึง ตัวตนของเสียงร้องเหล่านั้นที่แผ่เป็นฮาร์มอนิกออกมาด้วย

อัลบั้มนี้มีเพลงดีๆ หลายเพลงนอกจากเพลง Breaking Silence แล้ว เพลง Tattoo แทรคที่สามในอัลบั้มนี้ก็โชว์อารมณ์ของเสียงร้องออกมาได้ดี ซึ่งลำโพง E1 TX คู่นี้ก็ไม่ได้พลาดกับการถ่ายทอดอารมณ์ของเจนิส เอียนออกมากับเสียงร้องในแทรคนี้ได้อย่างน่าฟัง และเสียงทุ้มในแทรคนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี หัวเสียงคมชัดมีพิกัดอยู่เยื้องไปทางแชนเนลซ้าย ในขณะที่หางเสียงทุ้มมีลักษณะนุ่มกระจายตัวออกไปโดยรอบ ซึ่งจากที่ผมเคยได้ยินจากลำโพงหลายๆ คู่พบว่าเสียงทุ้มของแทรคนี้มักจะออกมาเบลอ ระบุตำแหน่งเสียงไม่ได้ชัด แต่ลำโพงคู่นี้ให้พิกัดของเสียงทุ้มที่ชัดเจน และทำให้รู้ว่า เสียงทุ้มในบางเพลงเป็นแค่หางเสียงทุ้มลึกๆ ที่แผ่กระจายออกไปโดยรอบเหมือน dry ice ที่ใช้บนเวทีคอนเสิร์ต ในขณะที่เสียงทุ้มบางเสียงมีหัวเสียงและบอดี้ที่ระบุตำแหน่งได้ เสียงทุ้มบางเพลงมีลักษณะทอดปลายเสียงให้ค่อยๆ แผ่หายไป ในขณะที่เสียงทุ้มของบางเพลงมีลักษณะกระชั้น เก็บตัวเร็ว เสียงทุ้มบางเพลงมีลักษณะบางและเบา แผ่วๆ แต่ลงลึก ในขณะที่เสียงทุ้มของบางเพลงมีมวลหนาและมีน้ำหนัก มีพลังกระแทกกระทั้นสูง ซึ่งไม่ใช่ลำโพงทุกคู่ที่มีความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงทุ้มออกมาได้เที่ยงตรงตามต้นฉบับแบบนี้..

อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSF64)
ศิลปิน : John Lanchbery& The Royal Opera House
สังกัด : Analogue Productions

อัลบั้ม : Cantate Domino (DSD64)
ศิลปิน : Torsten Nilsson, Marianne Mellnas, Alf Linder
สังกัด : Proprius (PROP 7762)

อัลบั้ม : Folk Singer (WAV 24/96)
ศิลปิน : Muddy Waters
สังกัด : Classic Records

สามอัลบั้มนี้โชว์สมรรถนะของ E1 TX ออกมาได้เด่นชัดมาก.!! ได้ยินแล้วรู้สึกได้เลยว่าลำโพงคู่นี้ชอบอัลบั้มที่บันทึกสดในสภาพอะคูสติกที่มีมวลแอมเบี้ยนต์หนาแน่นแบบนี้เป็นพิเศษ พอเสียงเพลงแทรคแรกของอัลบั้มชุด “Cantate Dominoเริ่มต้นขึ้นมา ห้องฟังของผมก็แปรสภาพเป็นโบถส์ไปในทันที นักร้องประสานเสียงทั้งหญิงชายและเด็กยกขบวนมากันเต็มห้อง แต่พอเปลี่ยนอัลบั้มเป็น “Folk Singerห้องฟังของผมก็เปลี่ยนไปเป็นห้องอัดเสียงในสตูดิโอ และพอจอห์น แลนเบอรี่ยกไม้บาตองของเขาขึ้นเหนือหัว ห้องฟังของผมก็กลายสภาพเป็นเดอะ รอยัล โอเปร่าเฮ้าส์ไปในทันที.!

หลังจากทดลองฟังมาหลายอัลบั้มจนถึงสองอัลบั้มข้างต้นนี้ ผมก็พอจะมองเห็นบุคลิกในการถ่ายทอดความถี่ย่านทุ้มของลำโพงคู่นี้ชัดเจนมากขึ้น คือเบสของ E1 TX จะมีความนุ่มติดปลายนวมอยู่ตลอด ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงแนวไหน ซึ่งบุคลิกนั้นน่าจะเป็นผลมาจากท่อระบายเบสแบบ Bi-Directional ADS ของลำโพงคู่นี้ อันนี้ส่งผลให้แต่ละเพลงที่ฟังจะมีความ นวลในน้ำเสียงตั้งแต่ทุ้มไล่ขึ้นไปถึงกลางต่ำๆ ด้วย ในขณะที่กลางและแหลมก็มีความสดกระจ่างและพลิ้วกังวานอยู่ในน้ำเสียง ซึ่งน่าจะเป็นอิทธิพลจากวัสดุแม็กนีเซียมกับแบริเลี่ยมที่ใช้ทำไดอะแฟรมของมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์ ผนวกกับความสามารถในการถ่ายทอดความถี่สูงที่ทะลุไปถึง 60kHz นั่นเอง ทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติที่เหมาะมากกับการฟังไฟล์ไฮเรซฯ ให้ได้อรรถรสออกมาเต็มที่มากที่สุด

สรุป

สังเกตมั้ยครับว่า.. เราไม่ค่อยเห็นลำโพงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ที่เป็นแบรนด์ของญี่ปุ่น นอกจาก TAD แล้วแทบจะไม่มีแบรนด์ไหนทำออกมา เหตุผลก็เพราะว่า ลำโพงเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้ know-how ในการออกแบบที่แตกต่างไปจากอุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิคมาก การออกแบบลำโพงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านอะคูสติกและฟิสิกส์มากเป็นพิเศษ

เหตุผลที่ TAD สามารถมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคลุกคลีอยู่กับวงการโปรเฟสชั่นแนลมาก่อนนั่นเอง เคยร่วมทีมอยู่กับ Bart N. Locanthi ในการออกแบบระบบลำโพงให้กับวงการโปรเฟสชั่นแนลในยุค ’70 พวกเขาเลยมี know-how ที่ลึกซึ้งมากพอที่จะนำทักษะเหล่านั้นมาออกแบบลำโพงให้กับวงการเครื่องเสียง เสียงของลำโพง TAD มีความแตกต่างไปจากเสียงของลำโพงไฮเอ็นด์ทั่วไป มันส่งมอบคุณสมบัติของเสียงในลักษณะที่ผสมผสานระหว่างความแม่นยำถูกต้องแบบอย่างโปรเฟสชั่นแนลกับความมีชีวิตชีวาแบบอย่างของมิวสิคเลิฟเวอร์ออกมาได้อย่างกลมกล่อมกำลังดี และยังมีทีเด็ดอีกสองอย่างสำหรับ Evolution One TX คู่นี้ อย่างแรกคือมันเป็นลำโพงที่รองรับมาตรฐานไฮเรซฯ ได้อย่างเต็มสเปคฯ กับอย่างที่สองคือความสามารถในการปรับเสียงเข้ากับขนาดห้องได้อย่างน่าทึ่ง เสียงดีได้ทั้งในห้องเล็กและห้องใหญ่ คือตั้งแต่ 4×6 ตรม. ถ้าใช้แอมป์ระดับกลางๆ ไปจนถึง 5×7 ตรม. ถ้าใช้กับแอมป์ขนาดใหญ่ /

**********************
ราคา : 890,000 บาท / คู่
**********************
สนใจติดต่อที่
AudioRevolution Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า