เครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการเล่นแผ่นเสียง เป็นสิ่งที่คุณต้องมีถ้าคิดจะเล่นแผ่นเสียง เพราะเครื่องเล่นแผ่นเสียงจะเป็นตัวดึง “สัญญาณเสียงเพลง” ออกมาจากแผ่นเสียง ซึ่งในตลาดมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้คุณเลือกซื้อจำนวนมาก มีให้เลือกหลายระดับราคา
ก่อนจะไปเลือกซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียง เราไปทำความรู้จักกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงกันก่อน ซึ่งเครื่องเล่นแผ่นเสียงโดยมาตรฐานทั่วไปจะมีส่วนประกอบหลักๆ เหมือนกันดังนี้
A – แพลตเตอร์ (platter)
เป็นชิ้นส่วนที่ใช้รองรับแผ่นเสียง มีลักษณะเป็นจานทรงกลมแบน ขนาดใหญ่กว่าตัวแผ่นเสียง 12 นิ้วนิดหน่อย อาจจะทำจากโลหะ อย่างเช่นอะลูมิเนียมหรือทองเหลือง ทำด้วยอโลหะก็มี อย่างเช่นอะครีลิคหรือกระจก ในรุ่นที่อยู่ในระดับไฮเอ็นด์ฯ ราคาสูงๆ จะมีการออกแบบที่สลับซับซ้อนแตกต่างกันไป อย่างเช่น ใช้วัสดุหลายชนิดซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก็มี
ขณะทำงาน แผ่นแพลตเตอร์จะหมุนไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกา ด้วยความเร็ว (สปีด)(รอบต่อนาที) ตามที่ผู้ใช้เลือก ระหว่าง 33 1/3 RPM, 45 RPM หรือ 78 RPM ในเครื่องเล่นแผ่นเสียงยุคโบราณ (ปัจจุบันจะมีให้เลือกแค่ 2 สปีดคือ 33 1/3 RPM กับ 45 RPM)
B – ก้านมอเตอร์ (motor pulley)
เป็นชิ้นส่วนที่ต่อเชื่อมออกมาจากมอเตอร์ ลักษณะเป็นแกนโลหะ ในกรณีที่เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบ “ไดเร็กต์ ไดร้” (direct drive) ตัวมอเตอร์จะไปอยู่ใต้แพลตเตอร์ ส่วนก้านมอเตอร์ที่เป็นแกนโลหะนี้จะโผล่ขึ้นมาตรงกลางของแผ่นแพลตเตอร์และถูกใช้ในการหมุนแผ่นแพลตเตอร์โดยตรง โดยอาศัยแรงหมุนของมอเตอร์ แต่ถ้าเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบ “เบลท์ ไดร้” (belt drive) ที่ใช้สายพานยางเป็นตัวดึงแผ่นแพลตเตอร์ให้หมุน สายพานจะถูกคล้องเข้ากับแกนโลหะที่เป็นก้านมอเตอร์ที่ว่านี้ ในขณะที่ตัวมอเตอร์จะออกไปอยู่นอกแกนของแพลตเตอร์
C – กล่องใส่มอเตอร์ (moter housing)
ป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปในตัวมอเตอร์
D – สายพาน (rubber belt)
ส่วนมากจะทำด้วยยาง มีทั้งแบบเส้นโค้งกลมและเส้นเหลี่ยม
E – แกนหมุน (spindle)
ลักษณะเป็นก้านโลหะที่แตะอยู่บนลูกปืนที่แผ่นแพลตเตอร์วางทับอยู่ ซึ่งแกนหมุน “สปินเดล” นี้จะโผล่ขึ้นมาตรงจุดศูนย์กลางของแผ่นแพลตเตอร์ เมื่อสวมแผ่นแพลตเตอร์ที่มีรูอยู่ตรงกลางให้แกนหมุนสอดเข้าไปในรูของแผ่นแพลตเตอร์แล้ว ตัวแกนหมุนจะโผล่สูงขึ้นมากว่าความสูงของแผ่นแพลตเตอร์ ซึ่งส่วนของแกนหมุนที่โผล่พ้นความสูงของแผ่นแพลตเตอร์ขึ้นมาจะเป็นตัวล็อคยึดแผ่นเสียงให้นิ่งสนิทอยู่บนแผ่นแพลตเตอร์ขณะหมุนด้วย
F – แผ่นรองแผ่นเสียง (turntable mat)
เป็นแผ่นบางๆ ที่ทำมาจากวัสดุประเภทที่มีคุณสมบัติในการดูดซับความสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นแพลตเตอร์ไม่ให้ส่งผ่านไปถึงตัวแผ่นเสียงขณะที่แผ่นแพลตเตอร์กำลังหมุน ในเครื่องเล่นแผ่นเสียงบางยี่ห้อ ผู้ผลิตอาจจะทำการยึดแผ่รองนี้ติดถาวรอยู่กับแผ่นแพลเตอร์ก็มี แต่ส่วนมากแล้ว แผ่นรองกับแพลตเตอร์จะถูกแยกออกจากกัน ผู้ใช้สามารถซื้อแผ่นรองจากผู้ผลิตอื่นมาใช้ได้ เพราะส่วนมากแล้ว ขนาดของแผ่นรองจะมีมาตรฐานเหมือนกัน คือมีขนาดเล็กกว่าแผ่นแพลเตอร์เล็กน้อย (เส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึง 12 นิ้ว) ส่วนวัสดุที่ใช้ทำแผ่นรองก็มีหลากหลาย ซึ่งนักเล่นแผ่นเสียงให้การยอมรับว่า แผ่นรองนี้มีผลกับเสียง เพราะนอกจากจะช่วยดูดซึบแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นแพลตเตอร์ไม่ให้ส่งผ่านไปถึงแผ่นเสียงแล้ว แผ่นรองที่มีคุณภาพดี ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันไฟฟ้าสถิตย์อีกด้วย
G – ปุ่มเปิด/ปิด (moter power on/off)
ใช้เปิด/ปิดไฟเข้าที่มอเตอร์ เมื่อกดสวิทช์เปิด (on) มอเตอร์จะเริ่มทำงาน > ก้านมอเตอร์จะเริ่มหมุน > ดึงให้สายพานหมุนตาม > สายพานจะส่งแรงดึงไปที่ขอบของแผ่นแพลตเตอร์ > แผ่นแพลตเตอร์จะเริ่มหมุนไปตามแรงดึงของสายพาน ซึ่งในขณะเริ่มต้น รอบหมุนของแผ่นแพลตเตอร์จะยังไม่ได้สปีดตรงตามที่ผู้ใช้เลือกไว้ (33 1/3 RPM หรือ 45 RPM) ต้องรอเวลาประมาณ 3 – 4 วินาทีจึงจะได้รอบตามสปีดที่เลือกไว้ ซึ่งความช้า/เร็วของเวลาเข้ารอบของแผ่นแพลตเตอร์จะขึ้นอยู่กับพลังของมอเตอร์กับระบบล็อคความเร็ว ถ้าเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นใหญ่ๆ จะใช้เวลาน้อยกว่า เพราะมอเตอร์มีพลังสูงกว่า แต่ก็ไม่ตายตัวเสมอไป ความสำคัญของมอเตอร์นอกจากจะอยู่ที่ความเงียบและไม่มีความสั่นสะเทือนแล้ว ความแม่นยำและความสามารถในการรักษารอบหมุนให้คงที่ตลอดเวลาก็เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงมาก
เครื่องเล่นแผ่นเสียงส่วนใหญ่ จะติดตั้งปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของมอเตอร์ไว้บนตัวเครื่อง ในขณะที่บางรุ่นจะเอาปุ่มหรือสวิทช์เปิด/ปิดการทำงานของมอเตอร์ไปไว้ที่ตัวมอเตอร์ก็มี
H – ปุ่มเลือกสปีด (speed selection)
เครื่องเล่นแผ่นเสียงต่างยี่ห้อกัน อาจจะออกแบบฟังท์ชั่นที่ใช้เลือกสปีดรอบหมุนของแผ่นแพลตเตอร์ที่มีลักษณะแตกต่างกันได้ บ้างก็เป็นปุ่มกดสูง/ต่ำ บ้างก็เป็นก้านโยกก็มี
I – ตุ้มน้ำหนัก (counterweight)
เอาไว้ปรับตั้งน้ำหนักในการทำบาลานซ์โทนอาร์มเพื่อปรับจูนโทนอาร์มให้มีแรงกดบนปลายเข็มที่เหมาะสมกับหัวเข็มแต่ละรุ่น
J – จุดหมุน (Pivot)
เป็นตำแหน่งที่โทนอาร์มถูกหนุนลอยขึ้นมาเหนือฐานเครื่อง และเป็นจุดที่โทนอาร์มสวิงเข้าหาและสวิงออกจากจุดศูนย์กลางของแผ่น
K – ที่ปรับแอนตี้ สเก็ตติ้ง (anti-skating control)
ใช้ปรับตั้งสมดุลของแรงต้านโทนอาร์มขณะเล่น ไม่ให้โทนอาร์มลื่นไถลเข้าหาศูนย์กลางของแผ่น และไม่ให้โทนอาร์มถูกดันออกไปจากศูนย์กลาง ซึ่งการปรับตั้งค่าแอนตี้ สเก็ตติ้งนี้เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงอย่างมาก
L – ก้านยก/ปล่อยโทรนอาร์ม (cueing lever)
เป็นกลไกที่ใช้พยุงโทนอาร์มให้ลอยขึ้นมาและยกหัวเข็มให้ลอยขึ้นจากร่องแผ่นขณะเล่นเสร็จหรือต้องการจะหยุดเล่นกลางคัน และใช้ปล่อยโทนอาร์มลงเพื่อให้ปลายเข็มตกลงไปสัมผัสกับร่องแผ่นเสียงเมื่อต้องการเริ่มเล่น กลไกนี้ออกแบบมาใช้แทนการใช้นิ้วมือยกไปที่โทนอาร์มโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อแผ่นเสียงและหัวเข็มได้มาก
M – ตัวล็อคโทนอาร์ม (tonearm lock)
ป้องกันไม่ให้โทนอาร์มเลื่อนออกไปขณะไม่ได้ใช้งาน หรือขณะเช็ดทำความสะอาดปลายเข็ม ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายกับหัวเข็ม และใช้ล็อคอาร์มไว้กับที่กรณีขนย้ายตัวเครื่องเล่น
N – โทนอาร์ม (tonearm)
เป็นส่วนที่ใช้ติดตั้งหัวเข็ม โทนอาร์มจะสัมผัสโดยตรงอยู่กับส่วนที่เป็นจุดหมุน (pivot = J) ขณะเล่นเพลง โทนอาร์มจะทำหน้าที่นำพาหัวเข็มให้เคลื่อนที่เซาะไปตามร่องแผ่นเสียง ซึ่งโทนอาร์มที่มีอยู่ในตลาดจะมีรูปทรงแตกต่างกันอยู่ 3 ประเภทหลักๆ คือ อาร์มโค้งรูปตัว S (S-shape), อาร์มตรง (Straight arm) และอาร์มรูปตัว J (J-Shape) ก้านอาร์มโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นท่อที่มีช่องว่างอยู่ด้านในไว้ร้อยสายสัญญาณที่ต่อมาจากหัวเข็มไปที่ขั้วเอ๊าต์พุต ส่วนวัสดุที่ใช้ผลิตโทนอาร์มส่วนใหญ่จะเป็นโลหะ แต่ก็มีบ้างที่ทำด้วยวัสดุประเภทอโลหะ
O – เฮดเชล (headshell)
เป็นชิ้นส่วนที่เชื่อมอยู่ที่ส่วนปลายของโทนอาร์ม ในโทนอาร์มบางรุ่นส่วนของเฮดเชลสามารถหมุนถอดออกมาจากโทนอาร์มได้ บางรุ่นก็เชื่อมต่ออยู่กับโทนอาร์มมาตายตัวเป็นเนื้อเดียวกัน เฮดเชลทำหน้าที่ปกป้องหัวเข็ม และยึดบอดี้ของหัวเข็มให้นิ่งและได้มุมที่ถูกต้องตลอดเวลา
P – หัวเข็ม (cartridge)
ภายในตัวหัวเข็มประกอบด้วยส่วนประกอบย่อยๆ อีกหลายชิ้น อาทิเช่น ขดลวดทองแดง, แท่งแม่เหล็ก, ก้านเข็ม และปลายเข็ม
ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันในการสร้างสัญญาณเสียงขึ้นมาจากลักษณะการเคลื่อนที่ของปลายเข็มที่เซาะไปในร่องแผ่นเสียงแล้วแปลงการเคลื่อนที่นั้นให้ออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำ (ก็คือสัญญาณเสียงนั่นเอง) ก่อนจะส่งไปตามสายสัญญาณที่ร้อยอยู่ในท่อโทนอาร์ม
Q – แท่นเครื่อง (plinth)
เป็นฐานหลักที่ใช้ติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการหมุุนของแผ่นแพลตเตอร์ และตัวแท่นเครื่องนี้จะเชื่อมต่อโดยตรงอยู่กับระบบที่ใช้ควบคุมแรงสั่นสะเทือน (suspension) ใต้ฐานเครื่องที่ช่วยป้องกันไม่ให้แรงสั่นสะเทือนจากภายนอกที่เกิดขึ้นบนพื้นที่วางเครื่องเล่นแผ่นเสียงสามารถเล็ดลอดเข้าไปถึงตัวแผ่นเสียง ส่วนวัสดุและรูปแบบของแท่นเครื่องจะมีความหลากหลายมาก โดยเฉพาะเครื่องเล่นแผ่นเสียงระดับไฮเอ็นด์ ที่มีราคาสูงๆ มักจะใช้เทคนิคและเทคโนโลยีในการออกแบบแท่นเครื่องที่มีความซับซ้อนและวิลิศมาหรามากกว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นถูกๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีสมรรถนะสูงที่สุดในการป้องกันคลื่นความสั่นสะเทือนจากภายนอกนั่นเอง
เอ๊าต์พุตของเครื่องเล่นแผ่นเสียง
จะเห็นว่าขั้นตอนการดึงสัญญาณเสียงออกมาจากแผ่นเสียงจะอาศัยการทำงานของชิ้นส่วนแมคคานิกซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ขั้นตอนที่เป็น output ของเครื่องเล่นแผ่นเสียงจะอาศัยการทำงานของชิ้นส่วนที่เป็นอิเล็กทรอนิคทั้งหมด
R – จุดเชื่อมต่อกราวนด์ (grounding terminal)
เชื่อมต่อสัญญาณกราวนด์ส่วนเกินในระบบออกไปที่ earth ground ในการใช้งานจริง อาจจะต่อหรือไม่ต้องต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาฮัมในระบบ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในซิสเต็ม อย่างเช่นแอมปลิฟาย จนครบทั้งระบบแล้ว
S – สวิทช์เปิด/ปิด (power on/off switch)
เครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยใหม่ ถ้าเป็นเครื่องที่อยู่ในระดับเริ่มต้นหรือปานกลาง ส่วนใหญ่จะติดตั้งภาคขยายสัญญาณหัวเข็มมาให้ด้วย เนื่องจากการทำงานของภาคขยายหัวเข็ม (บอร์ดโฟโนในตัว) ต้องใช้ไฟเลี้ยง ผู้ผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียงบางรายจึงเอาสวิทช์เปิด/ปิดการทำงานของเครื่องทั้งระบบ (ควบคุมมอเตอร์ + จ่ายไฟเลี้ยงให้กับบอร์ดโฟโน) มารวมกันไว้ที่สวิทช์ตัวเดียวกัน ในขณะที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงบางตัวก็แยกสวิทช์สำหรับเปิด/ปิดการทำงานของภาคโฟโน กับสวิทช์เปิด/ปิดการทำงานของมอเตอร์เป็นคนละอันก็มี
T – ช่องเสียบไฟเลี้ยง (12V DC terminal)
จุดเสียบต่อกับเพาเวอร์ซัพพลายจากภายนอก
U – สวิทช์เลือกใช้/ไม่ใช้ภาคขยายหัวเข็มในตัว (pre amp on/off selector)
เครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยใหม่ที่มีภาคขยายหัวเข็มติดตั้งมาให้ในตัว มักจะมีฟังท์ชั่นให้เลือกว่าจะใช้ภาคขยายหัวเข็มในตัวหรือไม่ใช้ก็ได้ การเลือกจะผ่านสวิทช์โยก สำหรับคนที่ต้องการใช้งานเครื่องเล่นแผ่นเสียงร่วมกันภาคขยายหัวเข็ม (โฟโน ปรีแอมป์) จากภายนอกที่มีคุณภาพสูงกว่าจะเลือก “ปิด” การทำงานของภาคขยายหัวเข็มในตัว (ในภาพตัวอย่างใช้คำว่า “THRU”)
V – ขั้วต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต (analog output terminal)
จุดเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงไปที่แอมปลิฟาย
W – ขั้วต่อกับคอมพิวเตอร์ (computer interface)
ขั้วต่อ USB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์สำหรับดึงสัญญาณเสียงจากภาคขยายหัวเข็มของเครื่องเล่นแผ่นเสียงไปแปลงเป็นไฟล์ดิจิตัลผ่านโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์
********************
บทความต่อเนื่อง
– ตอนที่ ๑ > อินโทร
– ระหว่างหัวเข็ม MM กับหัวเข็ม MC ดี–ด้อยต่างกันอย่างไร.?
– แผ่นเสียงมีกี่ประเภท.? แบบไหนบ้าง.?