ผมเชื่อมาเสมอว่า “เครื่องเสียง” คือศิลปะ มันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความผสมผสานที่มหัศจรรย์ เป็นผลรวมระหว่างศาสตร์หลายแขนงที่ประสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เครื่องเสียงไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่มันมี “ชีวิตและจิตวิญญาณ”
คุณสามารถสัมผัสถึง “จิตวิญญาณ” ของเครื่องเสียงได้ทุกชิ้น ถ้าผู้ให้กำเนิดชิ้นนั้น รังสรรมันขึ้นมาด้วยจิตและวิญญาณของพวกเขาเอง..!
ตำนานของ Dynaudio
Dynaudio เป็นชื่อของบริษัทผู้ผลิตลำโพงที่เริ่มต้นมาจากผู้ผลิตไดเวอร์คุณภาพสูงจากประเทศเดนมาร์ก ความพยายามที่จะสร้างลำโพงที่ให้เสียงดีที่สุดตามอุดมคติของ Dynaudio เกิดขึ้นในยุคที่คำว่า “เสียงดี” ยังเป็นความลับดำมืด ผู้ผลิตลำโพงหลายๆ ยี่ห้อที่อยู่ร่วมสมัยยุค ’70 ด้วยกันต่างก็มีแนวทางและทฤษฎีในการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป คำว่า innovations กระจัดกระจายไปทุกหย่อมหญ้า ใครๆ ก็นำเสนอสิ่งนี้ออกมา มีทฤษฎีแปลกๆ เกิดขึ้นรายวัน บ้างก็เดินหน้าไปด้วยความเชื่อ ในขณะที่บางคนพยายามจับแพะชนแกะ

กลยุทธที่วิศวกรของ Dynaudio ยึดมั่นในการออกแบบก็คือ “phase” และ “transient response” ในขณะที่นักออกแบบลำโพงหลายๆ คนไม่ใส่ใจกับมัน แต่พวกเขากลับทุ่มเทความพยายามที่จะทำให้คุณสมบัติทั้งสองนี้ผนึกเข้าไปอยู่ในทุกอณูของลำโพงที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ในขณะที่นักออกแบบกำลังเห่อศัพท์แสงสวยๆ อย่าง linear frequency response ที่อวดกันด้วยผลการวัดเส้นกราฟจากเครื่องมือพื้นๆ อยู่นั้น ทีมมันสมองของ Dynaudio กลับไปให้ความสำคัญกับคุณสมบัติทางด้าน “timing” (ซึ่งเกี่ยวข้องกับ phase) และ “dynamic characteristics” (ซึ่งเกี่ยวข้องกับ transient response) ซะมากกว่า
ก่อนจะมาถึงซีรี่ย์ “Contour“
ถึงจะคิดให้เลิศหรูเพียงใด แต่สิ่งที่จับต้องได้จริงๆ ก็คือผลงานจากความคิดนั้นซึ่งมีความสำคัญมากกว่า ทีมวิศวกรของ Dynaudio ไม่ใช่แค่คิด แต่พวกเขาเริ่มทำลำโพงจากแนวคิดของพวกเขาออกมาเพื่อพิสูจน์ความคิดเหล่านั้นตั้งแต่ปี 1977 ด้วยผลงานรุ่น P-Series ต่อเนื่องมาถึงรุ่น Dynaudio 80, 100 และ Dynaudio 200 ผลลัพธ์คือทำให้ทีมออกแบบของ Dynaudio เริ่มมีตัวตนขึ้นมาในสายตาของนักเล่นฯ และนักออกแบบลำโพงในสมัยนั้น ทว่า เหตุการณ์สำคัญที่เป็นเสมือนแรงดันที่ขับเคลื่อนให้แบรนด์ Dynaudio พุ่งทะยานขึ้นไปติดลมบน ประกาศตัวเป็นผู้ผลิตลำโพงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์อย่างเต็มภาคภูมิเกิดขึ้นเมื่อปี 1983 คือเวลาที่พวกเขาผลิตลำโพงรุ่น The Consequence ออกมาให้โลกทั้งโลกได้อ้าปากค้าง

The Consequence เป็นลำโพงที่สร้างขึ้นโดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีในการออกแบบโดยแท้ ซึ่งผลลัพธ์นั้นอยู่ในระดับเอกอุ คือมิใช่ลำโพงที่ให้คุณภาพเสียงดีจนน่าตื่นตะลึงเท่านั้น หากแต่ The Consequence ยังเป็นหนึ่งในลำโพงไฮเอ็นด์ที่มียอดขายอยู่ในระดับ best-selling อีกด้วย.!
Dynaudio Compound Series ก็เป็นอีกซีรี่ย์หนึ่งที่สูงล้ำด้วยเทคนิคการออกแบบ มันถูกประกอบขึ้นด้วยนวัตกรรมมากมาย อาทิ internal bass driver กับเทคโนโลยี acoustic airflow resistor ที่เรียกว่า “Variovent” ผนวกกับตัวตู้ที่ประกอบขึ้นมาจากไม้จริง ผลิตจากโรงงานทำตู้ของ Dynaudio เองที่เมือง Urhoj ประเทศเดนมาร์ก สำเร็จออกมาเป็นลำโพงที่มีความงดงามบรรจงเยี่ยงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหรูที่หายากในปัจจุบัน
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ cjm-audio.de
ในปี 1989 พวกเขาที่ Dynaudio ได้นำเสนอโปรเจคพิเศษออกมา เป็นลำโพงที่ถึงพร้อมซึ่งความโดดเด่นทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นไดเวอร์ที่ดีที่สุด, อุปกรณ์และวัตถุดิบชั้นยอด ภายใต้รูปลักษณ์ของตัวตู้ขนาดเล็ก ผลลัพธ์คือลำโพงที่มีความพิเศษอย่างยิ่งยวด เป็นลำโพงมอนิเตอร์ขนาดกระทัดรัดตัวแรก และต่อมาอีกหนึ่งโปรเจคที่มีคอนเซ็ปต์คล้ายกัน แต่ใช้ไดเวอร์ที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า..

นั่นคือจุดเริ่มต้นของลำโพงวางหิ้งระดับมอนิเตอร์ในตำนาน Dynaudio “Contour 1.3 SE”
จุดเริ่มต้นของ “Contour 20“
ผมชอบสตอรี่ที่พวกเขาใช้บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น+ที่มาของ Contour 20 จะขออนุญาต เรียบเรียงมาให้อ่าน ดังนี้

“มันกลายเป็นการประชุมยาวเลย.!
เมื่อเจอกับคำถามที่ว่า คุณจะทำให้เหนือกว่าตำนานได้อย่างไร.?”
เรื่องนี้เริ่มขึ้นด้วยคำถามที่ถูกโยนลงไปบนโต๊ะประชุม
“.. เราควรจะหยุดทำรุ่น Contour แล้วหันไปทุ่มเทความใส่ใจกับการออกแบบลำโพงใหม่กันดีมั้ย.?” วินาทีนั้น มันเงียบจนคุณแทบจะได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้น “.. เราควรทำอย่างนั้น ดีมั้ย.?”
คำถามแรกไม่ได้ถูกตอบ แต่มันถูกแทนที่ด้วยคำถามถัดมา “..เราจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าเราคิดจะทำลำโพง Contour ขึ้นมาใหม่วันนี้.?” เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยมั้ย.? นั่นทำให้การประชุมวันนั้นยืดยาวออกไปอย่างมาก
คำตอบสุดท้ายห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายออกไปไกลทีเดียว เราจะสามารถปรับปรุงสิ่งที่เรารักและชื่นชอบมานานเกือบ 30 ปีได้อย่างไร.? เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเราเอาไว้ให้ได้.? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำมันพัง.?
Dynaudio ไม่เคยหยุดสร้างสิ่งใหม่ๆ เพราะมันคือสิ่งที่เรารักและหลงไหล แม้ว่าเราจะมีความกลัวก็ตาม แต่ก็แฝงความตื่นเต้นอยู่ด้วย เราตัดสินใจที่จะสร้าง Contour ขึ้นมาใหม่ ทำให้มันเป็นพื้นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ไปเลย ด้วยปรัชญาการออกแบบใหม่ๆ ที่มุ่งหน้าไปสู่อนาคต และนั่นหมายถึงการออกแบบใหม่หมดนั่นเอง
รสนิยมในรูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไป เราก็เช่นเดียวกัน นั่นหมายความว่าต้องมีการร่างแบบคอนเซ็ปต์กันใหม่ เทคโนโลยีของไดเวอร์ก็ก้าวหน้ามากขึ้น เราจึงควรใช้กรวย MSP ของเราเองในวิถีที่สร้างสรร และความเข้าใจเรื่อง psychoacoustics ของเราที่หยั่งลึกลงไปมากขึ้น ทำให้เราสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพของเสียงออกมาได้มากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากประมวลประเด็นต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว คำถามก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิม “เราควรหยุดทำรุ่น Contour ดีมั้ย.?” กลายเป็น “เราจะเริ่มต้นทำตัวใหม่กันเมื่อไหร่ดี.?” ไปจนถึง “เราจะเปิดตัวมันได้เมื่อไหร่?”
ทำไมถึงทำ Contour ตัวใหม่.? เหตุผลก็เพราะว่าเรารักในวัตถุดิบ, เรารักงานฝีมือ, เรารักในนวัตกรรม, เรารักในเสียงที่น่าตื่นตะลึง และรักในเสียงเพลงที่น่าพิศมัย และเรารักในความท้าทายด้วย
Dynaudio : Contour 20
“More than the sum of its parts”
จากเรื่องราวที่บอกถึงที่มาของ Contour 20 ทำให้รู้ว่า Contour 20 คือโจทย์สำคัญที่ท้าทายให้ทีมออกแบบของ Dynaudio ต้องทำงานกันหนัก เพราะพวกเขาต้อง “คิดใหม่–ทำใหม่” ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ Re-thought, Re-designed, Re-engineered ไปจนถึง Re-built กันเลยทีเดียว!
จุดแรกที่พวกเขาเริ่มต้นคิดใหม่ก็คือทวีตเตอร์ ซึ่งคนที่รู้จักลำโพงยี่ห้อ Dynaudio มาก่อนต้องรู้ว่า ทวีตเตอร์ที่มีนามว่า Esotar ที่ออกแบบและผลิตโดย Dynaudio เป็นทวีตเตอร์ซอฟท์โดมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า Esotar เป็นหนึ่งในไดเวอร์ขับเสียงแหลมที่ดีที่สุดในโลก.! ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ตัวของมันเองมาแล้วอย่างโชกโชน เพราะลำโพงรุ่นดังๆ ของโลกจำนวนมากที่ใช้ทวีตเตอร์ Esotar ตัวนี้ รวมถึงลำโพงรุ่นดังๆ ของ Dynaudio เองด้วย โดยเฉพาะในรุ่น Contour 1.3 SE ที่เป็นตำนานนั้น ต้องนับว่า Esotar มีความสำคัญและมีบทบาทมากกว่าตัววูฟเฟอร์ซะด้วยซ้ำไป

แทนที่จะเปลี่ยน พวกเขากลับใช้วิธีปรับปรุง Esotar ตัวเดิมให้ดีขึ้น ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กลายเป็น Esotar2 ด้วยการเสริมแม่เหล็กเหลวลงไปหล่อเลี้ยงส่วนของว๊อยซ์คอย เพื่อลดความร้อนที่เกิดจากการขยับตัว มีผลช่วยลดอาการเครียดของชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนขยับตัวอย่างเช่นกระบอกว๊อยซ์คอย ทำให้สามารถรองรับกำลังได้มากขึ้น ตอบสนองความถี่เสียงได้กว้างขึ้น


อีกจุดหนึ่งที่ส่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนมากเมื่อเทียบกับรุ่น Contour 1.3 SE เดิม ปรากฏชัดอยู่บนแผงหน้าของตัวตู้ของ Contour 20 นั่นคือ มีแผงโลหะอะลูมิเนียมที่หล่อขึ้นรูปมาอย่างปราณีตประกบอยู่ตรึงไดเวอร์ทั้งสองตัวเอาไว้ ซึ่งคุณคงไม่เถียงว่ามันดูดีมาก.. แต่จุดประสงค์ที่พวกเขาทำมันขึ้นมาไม่ได้มีอยู่แค่ให้ดูดีเท่านั้น หากแต่ว่าแผงหน้าโลหะตัวนี้ยังช่วยยึดตรึงสร้างความมั่นคงให้กับตัวไดเวอร์ทั้งสองตัวไปด้วย แม้ในยามที่ขยับเพื่อปั๊มมวลเสียงออกไปในอากาศก็มั่นใจได้ว่า ส่วนโครงสร้างฐานรากของตัวไดเวอร์จะยังคงยึดแน่นมั่นคงอยู่กับแผงหน้าแผ่นนี้ตลอดเวลา นั่นทำให้คลื่นเสียงที่ถูกปั๊มออกไปจากไดอะแฟรมของตัวทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์มีความเสถียร พุ่งตรง มีพลัง และไม่วูบวาบตลอดการทำงาน ทั้งช่วงหนักและช่วงเบา

และเพื่อให้ปลอดจากปัญหารบกวนของคลื่นเรโซแนนซ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างเด็ดขาด พวกเขายังได้ออกแบบตัวโครงที่รองรับชิ้นส่วนของวูฟเฟอร์ทั้งหมดขึ้นมาเป็นพิเศษอีกด้วยเพื่อให้ทำงานสอดประสานไปกับแผงหน้าอะลูมิเนียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวโครงของวูฟเฟอร์ที่หล่อขึ้นรูปด้วยอะลูมิเนียมได้ถูกเชื่อมติดกับแผงหน้าโดยตรง ทำให้การควบคุมการทำงานของไดอะแฟรมของตัววูฟเฟอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก

ถ้าเข้าไปสังเกตใกล้ๆ คุณจะเห็นว่า ขอบตู้ Contour 20 ถูกลบมุมให้มีลักษณะโค้งมน ซึ่งไม่ใช่จะดีต่อสายตาที่แลดูนุ่มนวลลงเท่านั้น หากแต่ทางเทคนิคของการกระจายตัวคลื่นเสียง โดยเฉพาะเสียงแหลมแล้ว การทำให้ขอบตู้มีลักษณะโค้งมนแบบนี้จะช่วยลดการสะท้อนกลับของคลื่นความถี่สูงที่แผ่ออกมาจากตัวทวีตเตอร์ลงไปได้อีกด้วย ส่งผลให้เสียงแหลมมีคุณภาพมากขึ้น ช่วยกระจายเสียงออกไปด้านข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ความกว้างของมิติเสียงที่แผ่ขยายออกไปด้านข้างได้มากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะของตัวตู้ที่ลาดสโลปลู่ลงไปทางด้านหลัง ก็ทำให้ผนังในตัวตู้ไม่ขนานกัน ช่วยลดปัญหาเรโซนแนซ์ลงไปได้ระดับหนึ่ง และเมื่อผสานกับการคาดโครงภายในที่แข็งแรง และบวกกับความสามารถในการดูดซับพลังงานคลื่นของเส้นใยและถุงใส่ปุยฝ้ายที่กรุอยู่ภายในตัวตู้เพื่อจูนเสียง ก็ยิ่งทำให้ปัจจัยภายในตัวตู้ที่อาจส่งผลก่อกวนการขยับตัวของไดอะแฟรมถูกขจัดลงไปได้อีกระดับหนึ่ง

สไปเดอร์ใหม่ของวูฟเฟอร์
ผมเชื่อว่า เมื่อคุณได้พิจารณาปัจจัยทั้งหมดข้างต้นมาแล้ว คุณคงเกิดความรู้สึกเหมือนผมตอนนี้ นั่นคือ อยากจะลองสัมผัสกับเสียงของมันดูสักครั้ง ซึ่งผมขอบอกคุณเลยว่า ตอนนี้ Contour 20 ตกอยู่ในตำแแหน่ง “สาวเนื้อหอม” ที่มีคนรอคิวที่จะสัมผัสกับตัวเธอจำนวนมาก ฉนั้น ถ้าคุณมีเวลา แนะนำให้หาโอกาสไปฟังเสียงของเธอให้ได้ ก่อนที่จะต้องรอไปอีกนาน… เหมือนผม! /
**********
สนใจ สอบถามได้ที่ :
Bulldog Audio
โทร. 081-454-0078
Link | Bulldog Audio



