รีวิวเครื่องเสียง Accuphase รุ่น E-800 คลาส เอ สเตริโอ อินติเกรตแอมป์

คำว่า เรียบง่ายกับคำว่า สมรรถนะเป็นอะไรที่มักจะเดินสวนทางกันสำหรับวงการเครื่องเสียง ทว่า ด้วยเทรนด์รูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความเรียบง่าย ไม่รุงรัง ทำให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงไฮเอ็นด์ฯ ต้องคิดมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทแอมปลิฟาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่เน้น กำลังขับและในความเป็นจริงก็คือ ขนาดของแอมปลิฟายมักจะสะท้อนถึง สมรรถนะในการขับลำโพงโดยตรงซะด้วย ด้วยเหตุนี้ จะทำ แอมปลิฟายที่มีสมรรถนะสูงถึงระดับมาตรฐานไฮเอ็นด์ ในขณะที่ต้องมีรูปแบบที่เรียบง่าย สอดคล้องไปตามเทรนด์ฯ ของคนยุคปัจจุบัน จึงเป็นโจทย์ที่ไม่ได้ทำให้สำเร็จได้ง่ายๆ

Accuphase รุ่น E-800
เรือธงลำใหม่ในกลุ่มอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase

แอคคิวเฟสเริ่มผลิตอินติเกรตแอมป์ที่ใช้วงจรขยายแบบ class-A (1) ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2002 เปิดตัวด้วยรุ่น E-530 ซึ่งให้กำลังขับเท่ากับ 30W ที่ 8 โอห์ม / 60W ที่ 4 โอห์ม และ 120W ที่ 2 โอห์ม ซึ่งถือว่าเป็นอินติเกรตแอมป์ class-A ที่โดดเด่นมากในยุคนั้น E-530 ยืนเป็นรุ่นท็อปสำหรับอินติเกรตแอมป์ของแอคคิวเฟสในขณะนั้น

(1) ทำความรู้จักกับคลาสต่างๆ ของภาคขยาย

E-800 ถูกกำหนดให้ออกมาเป็น เรือธงรุ่นท๊อปสุดในกลุ่มของอินตเกรตแอมป์ เหนือกว่ารุ่น E-650 ที่ยืนแป้นในตำแหน่งรุ่นท็อปสุดก่อนหน้านี้

หน้าตาของรุ่น E-650

เปรียบเทียบระหว่าง E-800 กับ E-650

ความพิเศษในการออกแบบของ E-800
1. High Power class-A Amplification

นอกจากขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า E-650 แล้ว E-800 ยังมีคุณสมบัติที่เหนือกว่า E-650 อีกหลายประเด็น อย่างแรกที่เห็นในตารางก็คือ กำลังขับซึ่งคนทั้งวงการให้การยอมรับกันว่า วงจรขยาย class-A นั้นมีข้อดีเหนือกว่าวงจรขยายแบบอื่นในเรื่องของคุณภาพเสียง แต่ในขณะเดียวกัน ข้อด้อยของวงจรขยาย class-A เมื่อเทียบกับคลาสอื่นๆ ที่ชัดเจนที่สุดมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือสมรรถนะทางด้านกำลังขับ นั่นคือเมื่อเทียบกับทรัพยากรที่ลงไปในการออกแบบขนาดเท่าๆ กัน แอมป์ฯ ที่ออกแบบด้วยวงจรขยาย class-A จะให้กำลังขับน้อยกว่าแอมป์ฯ ที่ดีไซน์ด้วยวงจรขยาย class อื่นๆ อย่างมาก ส่วนข้อด้อยที่เป็นนิสัยเฉพาะตัวของวงจรขยายแบบ class-A อีกข้อก็คือ damping factor หรือความสามารถในการควบคุมไดเวอร์ของลำโพง ซึ่งวงจรขยายแบบ class-A แท้ๆ จะให้ damping factor ค่อนข้างต่ำ

ลักษณะของแผงวงจรของภาคขยายเอ๊าต์พุตของ E-800 แต่ละข้าง ใช้ทรานซิสเตอร์จับคู่กัน 6 คู่ และมีตัวตรวจจับอุณหภูมิ (7) คอยเช็คอุณหภูมิบนแผงระบายความร้อนแชนเนลละ 2 ตัว เพื่อควบคุมความร้อนให้การทำงานของวงจรขยายมีเสถียรภาพคงที่ตลอดเวลา

เพื่อให้ E-800 มีคุณสมบัติสมกับคำว่า เรือธงตัวใหม่ ทางวิศวกรของ Accuphase จึงได้ตั้งเป้าพัฒนาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนทั้งสองของวงจรขยาย class-A ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่อัดลงไปแบบไม่อั้น อย่างแรกคือ เพิ่มกำลังขับให้สูงกว่ารุ่น E-650 ขึ้นไปอีก จาก 30W ขึ้นไปเป็น 50W โดยยึดแนวทางออกแบบวงจรขยายด้วยการจัดวางวงจรแบบ parallel push-pull เหมือนเดิม ด้วยการใช้ทรานซิสเตอร์ MOS-FET จำนวน 6 คู่ต่อแชนเนลประกบกันในการขยายสัญญาณทั้งซีกบวกและซีกลบ และตัวทรานซิสเตอร์ MOS-FET ที่ใช้ในรุ่น E-800 ก็เป็นแบบที่มีสมรรถนะสูงซะด้วย เป็นของยี่ห้อ Fairchild (ทนกระแสได้สูงถึง 33 แอมป์) ซึ่งมีสมรรถนะสูงกว่ายี่ห้อ Vishay ที่ใช้ในรุ่น E-650 (ทนกระแสได้สูง 21 แอมป์) มาก

ความพิเศษในการออกแบบของ E-800
2. Super High Damping Factor

ส่วนการอุดจุดอ่อนในเรื่องของ damping factor หรือความสามารถในการควบคุมไดเวอร์ของลำโพงนั้น ทางวิศวกรของ Accuphase เลือกใช้เทคนิคที่เรียกว่า Balanced Remote-sensing ซึ่งก็คือการปรับลดเอ๊าต์พุตอิมพีแดนซ์ของแอมปลิฟายด้วยการป้อนกระแส nagative feedback นั่นเอง ซึ่งความพิเศษของการออกแบบเพื่อให้ได้ค่า negative feedback ที่แม่นยำมากที่สุดก็คือใช้วงจรเซ็นเซอร์แบบพิเศษ ไปตรวจจับสัญญาณ EMF ที่ขั้วต่อสายลำโพงโดยตรง ซึ่งวงจรเซ็นเซอร์ที่ใช้ใน E-800 นี้เป็นแบบ Balanced sensor คือมีวงจรตรวจวัดทั้งที่ขั้วบวก (signal) และขั้วลบ (ground)

ผลลัพธ์จากการใช้เทคนิค Balanced Remote-sensing ในการตรวจวัด negative feedback ของ E-800 ทำให้ได้ค่า damping factor สูงถึง 1000 สามารถควบคุมการขยับตัวของไดอะแฟรมได้แม่นยำมากขึ้น หยุดคือหยุด ขยับคือขยับ ผลทางเสียงคือทำให้ได้ความสามารถในการตอบสนองทางด้านฮาร์มอนิกของเสียงที่ดีขึ้น นั่นคือสเปคฯ ทางด้าน Total Harmonic Distirtion (THD) และ Intermodulation Distortion (IMD) ที่ดีขึ้นนั่นเอง

ความพิเศษในการออกแบบของ E-800
3. Fully Balanced Configuration

ถ้าเป็นแฟนของแบรนด์แอคคิวเฟส คุณจะคุ้นกับคำว่า “Low Noiseเพราะแบรนด์นี้ให้ความสำคัญกับเรื่อง noise หรือสัญญาณรบกวนมากเป็นพิเศษ พวกเขาจะหาวิธีทำทุกวิถีทางเพื่อปรับลดสัญญาณรบกวนในระบบออกไปให้ได้มากที่สุด ถือว่าเป็นปรัชญาหลักในการออกแบบของแบรนด์นี้ก็ว่าได้ ซึ่งในการออกแบบรุ่น E-800 ตัวนี้ เรื่องของการลดสัญญาณรบกวนก็ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการออกแบบเช่นเดียวกัน

วิศวกรของแอคคิวเฟสตั้งเป้าหมายในการออกแบบ E-800 ในแง่ของการปรับลดสัญญาณรบกวนไว้สูงมาก คือตั้งใจปรับลด noise ในระบบลงไปถึงระดับ “Ultra Low Noiseกันเลย ในทางปฏิบัติก็อาศัยข้อดีของการออกแบบในจุดต่างๆ เข้ามาผสานกัน เริ่มต้นด้วยการออกแบบเส้นทางเดินของสัญญาณเสียงด้วยรูปแบบวงจรที่เรียกว่า fully balanced คือเป็นบาลานซ์แท้ๆ ตั้งแต่ต้นทาง (inputs) ไปยันปลายทาง (outputs) ซึ่งเป็นดีไซน์วงจรที่มีความสิ้นเปลืองสูงมาก คือคอมโพเน้นต์ทุกจุดในวงจรจะต้องคูณสองตลอดเส้นทาง แต่ได้ผลดีมากในแง่ของสัญญาณรบกวนที่ต่ำ (ได้ S/N ratio สูง) ซึ่งเป็นผลตามธรรมชาติของวงจรบาลานซ์

จะว่าไปแล้ว ภาคเพาเวอร์แอมป์ที่ออกแบบให้ทำงานในโหมด balanced ของแต่ละยี่ห้อแทบจะเหมือนกันหมด เพราะลักษณะการออกแบบจะถูกบังคับให้แยกออกเป็น 2 ชุดสำหรับสัญญาณเฟสบวกและเฟสลบ ในทางปฏิบัติก็ทำตามนั้น คือเบิ้ลทุกอย่างเป็นสองชุดก็จบ แต่การออกแบบภาคปรีแอมป์ให้เป็นบาลานซ์ของแต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างกันได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละแบรนด์ หัวใจคือทำอย่างไรให้สัญญาณเสียงยังคงรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ได้มากที่สุด ตั้งแต่อินพุตผ่านภาคปรีฯ ไปจนถึงภาคขยายก่อนส่งให้เพาเวอร์แอมป์

Balanced AAVA type volume control

นี่คือไม้เด็ดที่ทีมวิศวกรของ Accuphase ช่วยกันคิดค้นขึ้นมา AAVA ย่อมาจากคำว่า Accuphase Analog Vari-gain Amplifier) เป็นระบบวอลลุ่ม คอนโทรลที่ไม่ใช้ตัวต้านทานใดๆ เข้ามาขวางเส้นทางของสัญญาณ ซึ่งเป็นระบบวอลลุ่มที่ต่างจากระบบอะนาลอกในอดีตทั้งหมด

ระบบวอลลุ่มแบบอะนาลอกเดิมๆ นั้นจะใช้วิธี ปรับลดปริมาณของสัญญาณอินพุตลงไปเป็นสัดส่วนผกผันกับปริมาณวอลลุ่มที่ผู้ใช้ปรับใช้ คือถ้าผู้ใช้ปรับเร่งปริมาณวอลลุ่มขึ้นไปสูงๆ สัญญาณอินพุตก็จะถูกปรับลดน้อยลงเรื่อยๆ ที่ระดับวอลลุ่มสูงสุด ก็คือปริมาณของสัญญาณต้นทางถูกนำมาขยายทั้ง 100% ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ฟังไม่มีโอกาสจะได้ยินสัญญาณเสียงอินพุตที่ระดับ 100% เลย

วอลลุ่ม

แผงวงจร AAVA

ลักษณะการทำงานของ AAVA

AAVA ถูกนำไปใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2015 ในปรีแอมป์รุ่น C-3850 ซึ่งเป็นปรีแอมป์รุ่นเรือธงที่ยังคงยืนยงมาถึงปัจจุบัน อาศัยการทำงานของวงจรแปลง voltage-to-current (VI) ทำให้สัญญาณอินพุตแปลงสภาพจากแรงดัน (voltage) ไปเป็นกระแส (current) ที่มีปริมาณต่างกันเป็นขั้นๆ จำนวน 216 ขั้น คือเริ่มตั้งแต่ ½, ¼ไปจนถึง 1/65,536 จากนั้นก็ใช้ CPU จับการหมุนของปุ่มวอลลุ่ม (ชนิดพิเศษที่ Accuphase ผลิตขึ้นมาใช้เอง ให้ความแม่นยำสูง) ในการกำหนดตำแหน่งของปริมาณกระแส หมุนไปตรงกับตำแหน่งไหน ค่าระดับความแรงของสัญญาณที่ตำแหน่งนั้นทั้งซีกซ้ายและขวา (และทั้งสองเฟส) จะถูกส่งต่อไปที่วงจรแปลงกระแส (I) กลับเป็นโวลเตจ (V)(L & R ch circuit) ก่อนส่งออกไปที่เอ๊าต์พุตผ่านไปที่ภาคเพาเวอร์แอมป์ต่อไป ซึ่งในระบบวอลลุ่ม AAVA ที่ใช้ใน E-800 ใช้วงจร AAVA เบิ้ลแชนเนลละสองชุด (2, 3) ทำงานในโหมดบาลานซ์ ซึ่งรวมทั้งฟังท์ชั่นปรับ Tone Control ก็ทำงานในโหมดบาลานซ์เช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกฟังแบบ flat โดยไม่ใช้ฟังท์ชั่นปรับแต่งเสียง หรือจะผ่านการปรับแต่งเสียงด้วยฟังท์ชั่นโทนคอนโทรล สัญญาณเสียงก็จะไม่ถูกทำให้ด้อยลง เพราะ noise ที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางในวงจรจะถูก cancel ด้วยเฟสที่ตรงข้ามกันไปตลอดเส้นทาง

จุดเด่นของเทคโนโลยี Balanced AAVA คือทำให้ได้ค่า S/N ratio ที่สูงมาก หมายความว่า สัญญาณเสียงที่ถูกขยายจากภาคปรีฯ จะมี noise ที่ต่ำมากๆ และเมื่อถูกส่งไปขยายผ่านภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-800 ที่ออกแบบวงจรเป็นบาลานซ์แท้ๆ เหมือนกัน ส่งผลให้สัญญาณแต่ละเฟสของแต่ละแชนเนล เดินทางจากอินพุตตรงไปจนถึงเอ๊าต์พุตโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงรูปแบบแม้แต่จุดเดียว ทำให้อิมพีแดนซ์คงที่ตลอดเส้นทาง สามารถรักษาความคงเส้นคงวาของสัญญาณเอาไว้ได้ใกล้เคียงกับสัญญาณต้นฉบับตลอดเวลา แม้จะถูกขยายเกนขึ้นมาหลายเท่า หรือปรับลดเกนลงไป ก็ยังคงเป็นสัญญาณที่มี noise ต่ำมากๆ เนื่องจากอัตรา S/N ratio จะคงที่ไปตลอดระดับวอลลุ่ม ซึ่งก็คือความหมายของ “Ultra Low Noiseนั่นเอง

รูปร่างหน้าตา
และฟังท์ชั่นใช้งาน

เรื่องดีไซน์รูปร่างหน้าตาคงไม่ต้องพูดถึงกันเยอะ เพราะ Accuphase รักษาแนวดีไซน์หน้าตามาตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งทุกคนยอมรับในความคลาสสิกตรงจุดนี้ เป็นดีไซน์ที่อยู่เหนือกาลเวลาโดยสิ้นเชิง ไม่มีเก่ามีแต่เก๋า นอกจากความเก๋าแล้ว เนื้องานยังเนี้ยบเฉียบขาดไปซะทุกจุดอีกด้วย ใครได้เป็นเจ้าของก็มีแต่ความภาคภูมิใจ

A = ปุ่มหมุนเลือกแหล่งอินพุต
B = ไฟแสดงสถานะกำลังขับข้างซ้ายและขวา
C = ตัวเลข/ตัวอักษร แสดงระดับวอลลุ่ม และความถี่แซมปลิ้งของสัญญาณดิจิตัลอินพุต
D = จุดรับคลื่นจากรีโมทไร้สาย
E = ไฟแสดงฟังท์ชั่นต่างๆ
F = ปุ่มหมุนปรับวอลลุ่ม
G = รูเสียบแจ๊คหูฟัง
H = ปุ่มกด เปิด/ปิด ฟังท์ชั่นปรับลดความดัง (mute)
I = ปุ่มกดเปิดฝา sub panel
J = ปุ่มหมุน และปุ่มกด สำหรับปรับใช้ฟังท์ชั่นต่างๆ ที่อยู่บน sub panel
K = ปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง

ปุ่มปรับฟังท์ชั่นใต้ฝาปิด (sub-panel)

L = ขั้วต่ออะนาลอก อินพุต แบบซิงเกิ้ล เอ็นด์ (RCA)
M = ลูปอินพุต/เอ๊าต์พุต สำหรับบันทึกเสียง
N = ขั้วต่อสัญญาณปรีแอมป์ เอ๊าต์พุต แบบซิงเกิ้ล เอ็นด์ (RCA)
O = ขั้วต่อเพาเวอร์แอมป์ อินพุต แบบซิงเกิ้ล เอ็นด์ (RCA)
P = ขั้วต่อสายลำโพง
Q = ขั้วต่อสายไฟเอซี
R = ขั้วต่อเพาเวอร์แอมป์ อินพุต แบบบาลานซ์ (XLR)
S = สวิทช์เลือกการต่อเฟสของสัญญาณบาลานซ์ สำหรับช่อง เพาเวอร์แอมป์ อินพุต
T = ช่องอินพุตอะนาลอก อินพุต แบบบาลานซ์ (XLR)
U = ขั้วต่อสัญญาณปรีแอมป์ เอ๊าต์พุต แบบบาลานซ์ (XLR)
W = ช่องเสียบการ์ดสำหรับอินพุต Phono input และ Digital input

ใครที่ติดตามงานออกแบบของ Accuphase มาตลอดจะทราบดีว่า Accuphase เป็นแอมปลิฟายไฮเอ็นด์ที่มีลักษณะเป็น “instrumentation amplifierคือมีฟังท์ชั่นที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถปรับแต่งเสียงได้เหมือนเครื่องมือที่ใช้ในสตูดิโอ ไม่ได้เป็นเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ฯ สายบริสุทธิ์นิยมที่ไม่มีฟังท์ชั่นปรับแต่งเสียงมาให้ แต่ฟังท์ชั่นที่ Accuphase ให้มาสำหรับปรังแต่งเสียงอย่างเช่น Tone Control นั้น ถูกออกแบบมาด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้การปรับแต่งส่งผลเฉพาะส่วนที่เป็น tonal balance ของเสียงโดยไม่ส่งผลกระทบกับคุณภาพของเสียง คือการทำงานของวงจรโทนคอนโทรลของตัว E-800 จะไม่เข้าไปเพิ่ม noise ให้กับสัญญาณเสียงนั่นเอง สำหรับคนที่แม็ทชิ่งจนลงตัวด้วยการคัดเลือกอุปกรณ์เครื่องเสียงและสายต่อเชื่อมต่างๆ จนพอใจในน้ำเสียงแล้ว ถ้าไม่ต้องการใช้ฟังท์ชั่นเหล่านั้น คุณก็สามารถเลือกที่จะปิด เพื่อตัดการทำงานของฟังท์ชั่นเหล่านั้นออกไปจากเส้นทางสัญญาณได้

ในขั้นตอนของการทดลองแม็ทชิ่ง E-800 เข้ากับซิสเต็มก่อนการทดสอบฟังเสียง ผมได้ทดลองใช้ฟังท์ชั่นปรับ Tone (ปรับทุ้มแหลม) บนตัว E-800 ดูแล้ว พบว่ามันช่วยปรับโทนเสียงในย่านทุ้มและย่านกลางแหลมให้ได้โทนเสียงที่ถูกใจมากขึ้นได้จริง โดยไม่ทำให้คุณภาพเสียงแย่ลง ต้องยอมรับว่า ฟังท์ชั่นปรับทุ้มแหลมของ E-800 ช่วยทำให้การ fine tune เสียงของซิสเต็มได้จริง และมันจะช่วยได้เยอะมากตอนที่เราแม็ทชิ่งสารพัดกับอุปกรณ์ที่มีทั้งหมดแล้ว รู้สึกว่ายังต้องการปริมาณของเสียงในย่านทุ้มหรือย่านกลางแหลมเพิ่มเติม หรือลดลงอีกนิดหน่อย ซึ่งถ้าใช้วิธีเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งในซิสเต็มจะไม่ตอบโจทย์ที่ต้องการ เพราะวิธีเปลี่ยนอุปกรณ์มันไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงแค่ช่วงย่านเสียงที่ต้องการ แต่จะกระทบไปทั้งหมด กลายเป็นได้อย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา แต่ต้องยอมเสียบางอย่างไป ไม่จบไม่สิ้น

แม้ว่า E-800 จะถูกออกแบบมาให้เป็นอินติเกรตแอมป์ที่มีสเปคฯ สูงมากพอที่จะจบได้ด้วยตัวของมันเอง แต่กระนั้น ทาง Accuphase ยังคิดเผื่ออนาคตไว้ให้ ด้วยการติดตั้งภาค pre-out สำหรับดึงสัญญาณจากภาคปรีแอมป์ของ E-800 ไปใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์จากภายนอกได้ด้วย และมีฟังท์ชั่น main-in เพื่อเปิดโอกาสให้คุณใช้ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-800 ร่วมกับภาคปรีแอมป์จากภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นปรีแอมป์ฟังเพลง 2 แชนเนล หรือจากปรีแอมป์มัลติแชนเนลของโฮมเธียเตอร์ และให้มาทั้งขั้วต่อบาลานซ์ (XLR) และอันบาลานซ์ (RCA) ซะด้วย ยืดหยุ่นสุดๆ

อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบใจ คือที่อินพุต main-in เขาทำสวิทช์โยกสำหรับเลือกขั้วต่อสัญญาณของ XLR ที่ต่างมาตรฐานให้ตรงกันมาด้วย อำนวยความสะดวกกรณีที่เราใช้ปรีแอมป์ที่ใช้ขั้วต่อเอ๊าต์พุตบาลานซ์ XLR แต่มาตรฐานอเมริกันซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณ + สลับขากับมาตรฐานที่ญี่ปุ่นใช้ ผู้ใช้ก็แค่โยกสวิทช์ (S) ที่อยู่ข้างๆ ขั้วต่อ main-in เท่านั้นก็จบ เป็นสมัยก่อนต้องลำบากโมดิฟายสายสัญญาณสลับขั้วกันให้วุ่นวาย ตรงนี้เป็นดีไซน์ต้องอยากจะยกนิ้วโป้งให้เลย

เนื่องจากทั้งวงจรภาคปรีฯ และเพาเวอร์ฯ ของ E-800 ออกแบบบนพื้นฐานบาลานซ์แท้ๆ ตลอดทั้งเส้นทางตั้งแต่อินพุตไปยันเอ๊าต์พุต พวกเขาจึงให้ขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตที่เป็นบาลานซ์ XLR มามากถึง 3 ชุด พอๆ กับอินพุตของปรีแอมป์ดีๆ ทั่วไป นอกจากนั้น ก็มีช่องอินพุตอันบาลานซ์มาให้มากถึง 5 ชุด และให้ช่องใส่บอร์ดอ๊อปชั่นมาอีก 2 ช่อง สำหรับใครที่ต้องการจบที่ E-800 ตัวเดียวก็สามารถเสริมบอร์ด AD-50 สำหรับภาคโฟโน MM/MC กับบอร์ด DAC-50 สำหรับรองรับสัญญาณอินพุตดิจิตัลจากเครื่องเล่นแผ่นและสตรีมเมอร์จากภายนอก ซึ่งมีช่องอินพุต USB สำหรับรองรับการเล่นไฟล์เพลงจากภายนอกได้ด้วย

เลย์เอ๊าต์ภายใน

A = ปุ่มวอลลุ่มที่ Accuphase ออกแบบและผลิตขึ้นมาเอง
B = แผงวงจร AAVA
C = แผงวงจรของเพาเวอร์แอมป์ข้างซ้าย+ฮีทซิ้งค์ระบายความร้อน
D = แผงวงจรของเพาเวอร์แอมป์ข้างขวา+ฮีทซิ้งค์ระบายความร้อน
E = ทรานฟอเมอร์เทอร์รอยขนาดใหญ่
F = คาปาซิเตอร์ขนาด 60000 ไมโครฟารัด สองตัว

เห็นภาพประกอบด้านในของ E-800 แล้วอยากเอามาอวด อยากให้ดูความแน่นและเนี๊ยบ ในภาพจะเห็นแผงวอลลุ่ม AAVA ที่ใช้เป็นภาคปรีแอมป์ถูกแอบซ่อนอยู่หลังบล็อกโลหะที่กั้นขวางระหว่างภาคเพาเวอร์แอมป์เพื่อป้องกันการรบกวน ส่วนวงจรขยายสำหรับแชนเนลซ้ายและขวาถูกจับแยกห่างกันไปคนละซีก เพื่อให้ปลอดจากการรบกวนซึ่งกันและกันให้มากที่สุด

ตัววอลลุ่มเซ็นเซอร์ที่ใช้ในรุ่น E-800 เป็นเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ล่าสุด จากเดิมที่ใช้ในปรีแอมป์รุ่น C-2850 ให้หมุนได้ลื่นมากขึ้น แทรคกิ้งวอลลุ่มได้แม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะตอนใช้กับรีโมทไร้สาย สามารถปรับระดับความดังได้ละเอียดมากขึ้น

รีโมทไร้สายรุ่น RC-240 ที่แถมมาให้ ซึ่งมีแต่ฟังท์ชั่นที่จำเป็น และมีฟังท์ชั่นที่ใช้ควบคุมการเล่นแผ่นเพลงของเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของแอคคิวเฟสเองได้ด้วย

แม็ทชิ่งเตรียมทดสอบ

ผมทราบราคาของ E-800 มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปทำวิดีโอ Unbox แอมป์ตัวนี้แล้ว ก่อนจะถึงคิวที่จะได้รับเครื่องตัวอย่างมาทดสอบ ผมก็เริ่มทำการบ้านด้วยการหาพิจารณาสเปคฯ ของ E-800 เพื่อเตรียมลำโพงไว้แม็ทชิ่งกับมัน เพราะอินติเกรตแอมป์ราคาร่วมๆ ครึ่งล้านบาทอย่างนี้ ต้องจัดซิสเต็มที่เหมาะสมกับมันเพื่อรีดประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ตามที่แอมป์ตัวนี้มีอยู่

ลำโพงที่เหมาะสมกับ E-800 นอกจากจะเป็นเรื่องของ ราคาที่เป็นหนึ่งในตัวกำหนดระดับชั้นคุณภาพแล้ว สมรรถนะทางด้านสเปคฯ ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต่อมา ซึ่งจุดที่อ่อนไหวมากที่สุดในการแม็ทชิ่งลำโพงเข้ากับแอมป์ที่ดีไซน์วงจรขยายแบบ class-A แท้ๆ ก็คือเรื่องของ สมรรถนะในการขับดันลำโพงซึ่งมีตัวเลขสเปคฯ ที่เกี่ยวข้อง สามารถนำมาประกอบการวิเคราะห์พิจารณาอยู่ 2 – 3 ตัว นั่นคือ กำลังขับของแอมป์, กำลังขับที่แนะนำจากลำโพง, ความไวของลำโพง และอิมพีแดนซ์

กำลังขับของ E-800

ทางด้านกำลังขับนั้น เห็นได้ชัดว่าทีมออกแบบของ Accuphase ก็ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากเป็นพิเศษ ดูจากตัวเลขกำลังขับของ E-800 จะเห็นว่าทีมออกแบบได้จัดกำลังสำรองมาคอยหนุนให้กับ E-800 ไล่ไปตามโหลดแบบเต็มพิกัดจริงๆ สามารถเบิ้ลกำลังขับขึ้นไปได้สองเท่าทุกครั้งที่อิมพีแดนซ์ลดระดับลงมาครึ่งหนึ่ง ไล่มาตั้งแต่ 8 โอห์ม ลงมาจนถึง 2 โอห์ม ซึ่งน้อยมากที่ลำโพงคู่ไหนจะขยับอิมพีแดนซ์ลงไปถึง 2 โอห์ม (อย่างมากก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว) เป็นการการันตีความสามารถในการควบคุมลำโพงที่เยี่ยมยอดทรหดของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้

สเปคฯ ของ E-800

ตอนไปถ่ายวิดีโอเปิดตัว E-800 ทางร้าน Hi-End Audio จับ E-800 ขับลำโพงตั้งพื้นรุ่น Spectral 40th เซ็ตอัพในห้องฟังใหญ่ของที่ร้าน ผมลองฟังวันนั้นหลายเพลง เสียงออกมาเต็มห้อง ไดนามิกสวิงได้เต็มสเกลมาก ความต่อเนื่องลื่นไหลดีมากตามสไตล์ของแอมป์ class-A แต่ที่สะดุดหูของผมมากเป็นพิเศษก็คือเสียงทุ้มที่กระชับและเร็วผิดวิสัยของแอมป์ class-A ที่ผมเคยฟังมาที่มักจะออกไปทางหัวเบสนุ่มๆ และหางเบสติดเนิบช้า นี่คงจะเป็นผลมาจากกำลังสำรองที่มากพอกับอีกอย่างก็คือ “damping factorของ E-800 ที่สูงถึง 1000 มันจึงมีพลังในการดันและดึงไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ให้เด้งหน้าเด้งหลังได้อย่างเป็นระเบียบ ไม่วูบวาบ เป๋ไปเป๋มา แม้ในขณะที่เปิดดังๆ

ข้างบนนี้คือสเปคฯ ของลำโพง Focal รุ่น Spectral 40th Anniversary ที่ผมเอ่ยถึง สังเกตว่าความไวสูงถึง 91dB อิมพีแดนซ์ปกติอยู่ที่ 8 โอห์ม E-800 จึงเอาอยู่

สเปคฯ ของลำโพง Focal รุ่น Sopra No.1

ทีแรกผมคิดว่าจะขอยืม Focal Spectral 40th Anniversary มาทดสอบ แต่คะเนจากระยะการจัดวางลำโพง + ระยะนั่งฟังที่บ้านผมแล้ว คิดว่าลำโพงคู่นั้นน่าจะใหญ่เกินไป ผมเลยลองค้นดูรุ่นอื่นของ Focal พบว่ารุ่น Sopra No.1 มีขนาดตู้ที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ที่บ้านผมมากกว่า Spectral 40th Anniversary แม้ว่า Sopra No.1 จะมีความไวต่ำกว่า Spectral 40th Anniversary อยู่ 2dB (ต้องการกำลังผลักดันมากกว่า แต่ Sopra No.1 แนะนำกำลังขับไว้ต่ำกว่า Spectral 40th Anniversary มาก อีกอย่าง อิมพีแดนซ์ปกติของทั้งสองคู่นี้อยู่ที่ 8 โอห์มเท่ากัน หลังจากได้รับทั้ง E-800 และ Sopra No.1 มาถึงบ้าน ทดลองเซ็ตอัพดูแล้ว ปรากฏว่าทั้งคู่ไปด้วยกันได้ดีมาก เสียงออกมาน่าพอใจ หลังจากลองเล่นจาก source ต่างๆ ดูแล้ว พบว่า ผมใช้วอลลุ่มที่ตัว E-800 อยู่ในช่วง 9 โมงถึง 11 โมง ก็ได้ความดังของเสียงอยู่ในระดับที่พอใจแล้ว ไม่เคยต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นไปเกินเที่ยงเลย มีความรู้สึกว่า วอลลุ่มของ E-800 ให้อัตราเพิ่มของความดังที่ค่อนข้างชัน คือรับรู้ถึงระดับวามดังของเสียงที่เพิ่มขึ้นได้เร็วกับการขยับหมุนวอลลุ่มไปแค่นิดเดียว

ทางตัวแทนผู้นำเข้าได้ติดตั้งบอร์ดอินพุต AD-50 และ DAC-50 มาให้ทดสอบไปพร้อมกันด้วย ซึ่งผมใช้อินพุตทั้งสองในการทดสอบเสียงของ E-800 เป็นส่วนใหญ่ แต่ผมก็ได้รับ external DAC รุ่น DC-37 กับ roon รุ่น nucleus (2) มาทดสอบเสียงของช่องอินพุตอะนาลอก XLR ของ E-800

(2) ทางบริษัท Hi-End Audio แจ้งมาว่า พวกเขากำลังจะจัดโปรโมชั่นสำหรับตัว DC-37 ด้วยการแถม roon รุ่น nucleus ให้ฟรี! เพื่อให้ไปจับคู่ ใช้ร่วมกันเป็นสตรีมเมอร์แบบแยกชิ้นระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ในราคาแค่ 260,000 บาท เท่านั้น (ผมได้รับ DC-37 กับ roon nucleus มาแล้ว เดี๋ยวจะทดลองเล่นแล้วเขียนพรีวิวให้อ่านกัน ตอนนี้บอกสั้นๆ ได้ว่าคู่นี้เป็นสตรีมเมอร์แบบแยกชิ้นที่น่าสนใจมากคู่หนึ่งในราคาไม่เกินสามแสนบาท!)

นอกจากนั้น ผมยังได้ปรีแอมป์ใหม่ล่าสุดของ Classe รุ่น Delta Pre มาทดสอบร่วมกับภาค main in ของ E-800 ด้วย ซึ่งผมจะขอพูดรวมๆ ไปในการทดลองฟังเสียงของ E-800

เสียงของ Accuphase E-800

สิ่งที่เครื่องเสียงไฮเอ็นด์ฯ (ดีๆ) ให้ออกมาก็คือ เสียงเพลงหากมองในมุมของอุปกรณ์เครื่องเสียง มันก็คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่เครื่องเสียงระดับมิดเอ็นด์ฯ (ดีๆ) และเครื่องเสียงระดับโลว์เอ็นด์ (ดีๆ) ให้ออกมา นั่นคือ เสียงเพลงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทว่า ถ้ามองย้อนกลับมาที่ผู้ฟัง ที่มีประสบการณ์ในการเล่นและฟังเครื่องเสียงมาเยอะๆ จะสามารถ สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของเสียงเพลง เดียวกันที่ได้ยินจากเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ฯ (ดีๆ) เมื่อเทียบกับที่ได้ยินจากเครื่องเสียงที่มีระดับรองๆ ลงมา

สิ่งที่คนที่เล่นเครื่องเสียงมานาน มีความสามารถในการฟังแยกแยะ+วิเคราะห์ได้ดี แต่ยังไม่เคยฟังเสียงของเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์มาก่อน เมื่อมาได้ยินเสียงจากชุดเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ฯ (ดีๆ) ครั้งแรก พวกเขาสามารถ รับรู้ถึงความแตกต่างได้ เพียงแต่อาจจะไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้อย่างละเอียดละออ นั่นเพราะว่า เสียงของเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ (ดีๆ) นั้นมันให้สิ่งที่เรียกว่า ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เครื่องเสียงระดับมิดเอ็นด์ฯ และระดับโลว์เอ็นด์ฯ ไม่สามารถให้ได้

เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ไปในการทดลองฟังเสียงของ E-800 ผมจะใช้บอร์ด DAC-50 กับบอร์ดอะนาลอก AD-50 ที่เสริมมาในตัวของ E-800 เป็นต้นทาง ถือว่าเป็นช่วงที่ได้พบเห็น ตัวตนของ E-800 ที่ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งคำที่อธิบายบุคลิกเสียงของ E-800 แบบรวบยอดที่สุดเท่าที่ผมนึกออกในขณะนั้นก็คือคำว่า “full bodyมันเป็นลักษณะเสียงที่ผมเชื่อว่าหลายคนกำลังค้นหา แต่ผมคิดว่า คนที่จะรู้คุณค่าของลักษณะเสียงแบบนี้จะต้องเคยผ่านเสียงของแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์มาแล้ว และต้องเคยใช้ชีวิตอยู่กับแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์ (ดีๆ) มานานมากพอที่จะซาบซึ้งจนฝังใจกับจุดเด่นของมัน ในขณะเดียวกัน ก็พอจะค้นพบจุดอ่อนบางอย่างของแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์ ในเวลาเดียวกัน คนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่เคยผ่านเสียงของแอมป์โซลิดสเตจ (ดีๆ) มาแล้วด้วย ต้องเคยใช้ชีวิตอยู่กับมันมานานพอที่จะซึมซับเอาความดรงามของมันเข้ามาไว้ในจิตใจ และได้ล่วงรู้ความจริงที่ว่า ทั้งแอมป์โซลิดสเตจที่ดีและแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ที่ดีต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งอยู่คนละด้าน

ใครตกหลุมรักเสียงของแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์ ที่ความมลังเมลืองของฮาร์มอนิกที่ฉ่ำกังวาน กับเวทีที่ใสและเปิดโล่ง ถ้าได้มีเวลาอยู่กับมันมากพอจะค้นพบว่า ถ้าไม่ใช่ซิงเกิ้ลเอ็นด์รุ่นใหญ่ยักษ์ราคาเหยียบล้าน คุณจะเจอกับจุดอ่อนของแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ตรงความสามารถในการควบคุมลำโพงที่ค่อนข้างจะหย่อนยาน ซึ่งใครที่ผ่านมาถึงจุดที่ว่านี้ แล้วยังไม่มีทางออกให้กับตัวเอง ผมแนะนำให้ลองหันหัวเรือมาทาง Solid-state ที่ดีไซน์ภาคเอ๊าต์พุตเป็นแบบ Balanced Class-A เลยครับ ซึ่งเป็นความพยายามของคนออกแบบที่จะจำลองลักษณะเด่นของเสียงที่ได้จากแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาสเอ มาลงบนแอมป์โซลิดสเตท ซึ่งหากจะทำให้ได้เสียงออกไปทางเดียวกันให้มากที่สุด ก็ต้องเป็นโซลิดสเตทแบบเพียว คลาสเอ ซึ่งก็จะให้กำลังขับต่ำ เครื่องร้อนมาก และแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ไม่ดี เสียงจะออกไปแนวเดียวกับแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาสเอ ทั้งดุ้น คือมีทั้งข้อดีและข้อด้อยไปทางเดียวกัน

E-800 พยายามก้าวข้ามไปอีกขั้น ด้วยการดึงเอาทั้งข้อดีของแอมป์หลอด ซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาสเอ และข้อดีของแอมป์โซลิดสเตท คลาสเอ มารวมไว้ในตัว ด้วยการจัดให้ E-800 ทำงานในโหมดบาลานซ์แท้ๆ ตั้งแต่ต้นทางไปยันปลายทาง และออกแบบระบบวอลลุ่ม AAVA ขึ้นมาใช้ในภาคปรีแอมป์เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณต้นทางเอาไว้ให้ได้มากที่สุด และขจัดสัญญาณรบกวน (noise) ในระบบให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อผลให้ได้พื้นเสียงที่โปร่งใสกับเสียงที่สะอาดใสเหมือนเสียงของแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์นั่นเอง และเพื่อให้ E-800 สามารถขุดรายละเอียดระดับ Low Level ออกมาให้ได้ยินโดยไม่มีอาการ push หรือดันสัญญาณเสียงเหล่านั้นให้พุ่งล้ำขึ้นมา แอคคิวเฟสใช้วิธีเสริมเขี้ยวเล็บให้กับภาคเพาเวอร์แอมป์ด้วยการทำให้มี damping factor สูงขึ้น ควบคุมไดอะแฟรมของไดเวอร์ลำโพงได้ดีขึ้น ดันไดอะแฟรมให้ขยับตัวได้แม้ในขณะที่ขับเสียงที่มีความเบามากๆ เพื่อให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ (micro detail) เผยตัวออกมาให้ได้ยิน วิศวกรของ Accuphase ไม่ได้ใช้ภาคปรีฯ ขยายเกนของรายละเอียดเบาๆ ให้ดังขึ้นมากๆ เพื่อหวังให้ทะลุแหวกผ่านระดับของ noise floor ขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีที่แอมป์ราคาถูกๆ พยายามทำ แบบนั้นจะทำให้สัญญาณอินพุตที่มีความละเอียดอ่อนถูกขยายมากเกินไป เนื้อเสียงจะหยาบ สูญเสียความนวลเนียน และทำให้เลเยอร์ของเวทีเสียงกับแอมเบี้ยนต์แย่ลงไปด้วยเพราะ transparency ด้อยลง

ด้วยคุณสมบัติทางด้าน damping factor ที่สูงถึง 1000 ของ E-800 แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมากับเสียงดนตรีที่มีลักษณะการบรรเลงด้วยวิธีเคาะ, ตี, ทุบ, กระแทก ก็คือ transient dynamic ซึ่ง E-800 ตอบสนองออกมาด้วยความเร็วและแรงอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะในย่านความถี่ต่ำ ซึ่งนี่คือคุณสมบัติของ E-800 ที่ทำได้ดีกว่าแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ทั่วไป เพราะเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยจะได้ยินจากแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ทั่วไป เดาว่านี่คงเป็นผลมาจากตัวเลข damping factor ที่ระดับ 1000 นั่นเอง

เมื่อครั้งที่ผมทดสอบอินติเกรตแอมป์รุ่น E-480 ของแอคคิวเฟส (REVIEW) ครั้งนั้น ผมมีโอกาสได้ลองเล่นฟังท์ชั่น Tone Control ดูนิดหน่อย จำได้ว่าคราวนั้นผมยังไม่ค่อยประทับใจการปรับทุ้มแหลมผ่าน Tone Control ของ E-480 มากนัก แต่คราวนี้ผมได้ลองเล่นฟังท์ชั่นนี้กับ E-800 ด้วย ปรากฏว่าผมได้ยินอะไรที่ต่างกันออกไป คือในย่านความถี่ของสัญญาณเสียงที่ถูกปรับแต่งไปมันแสดงความแตกต่างในแง่มากขึ้นน้อยลงออกมาให้ได้ยิน ในขณะเดียวกัน ผมกลับจับความใสขุ่นของพื้นเสียงไม่ได้ว่าระหว่างใช้ฟังท์ชั่น Tone กับไม่ใช้ พื้นเสียงมันขุ่นทึบลงไปหรือเปล่า ผมลองตั้งใจฟังอยู่หลายครั้ง ระหว่างการใช้/ไม่ใช้ ฟังท์ชั่น Tone ของ E-800 สรุปคือผมไม่รู้สึกว่าเสียงมันทึบลงไปเลย ความใสมันไม่ได้เปลี่ยนไป หรือถ้าเปลี่ยนไปก็น้อยมากๆ ตรงปลายเสียงแหลมที่หดสั้นลงนิดเดียว จับยากมากเพราะเพลงมันเล่นไปเรื่อยๆ ช่วงไม่มีเสียงแหลมก็แทบจะไม่รู้สึกเลย ถ้าไม่ตั้งใจฟังจริงๆ!

จริงๆ แล้ว ฟังท์ชั่นปรับทุ้มแหลมแบบ (Tone Control) นี้ ถ้าออกแบบมาดีพอ การปรับจูนเสียงด้วยฟังท์ชั่น Tone Control สามารถช่วยชดเชยความถี่ที่ถูกฟิลเตอร์ลงไปขึ้นมาได้เหมือนกัน แม้ว่า เครื่องเสียงแต่ละตัวจะออกแบบมาดีมากแล้ว ผ่านการปรับจูนกราฟตอบสนองความถี่เอาไว้ตามที่ผู้ออกแบบต้องการนำเสนอถูกต้องทุกอย่าง แต่เมื่อมาจัดอยู่ในซิสเต็มเดียวกันกับอุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆ มีสายสัญญาณ+สายลำโพง+เน็ทเวิร์คของลำโพงที่ออกแบบมาด้วยการปรับจูนที่ต่างกัน ก็มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาบางความถี่ที่เกิดการหักล้างกันจนเบาลงไปหรือหนุนกันจนโด่งขึ้นมา กรณีนี้ถ้าจะเอาดีจริงๆ ต้องใช้ EQ แบบแยกแบนด์ความถี่เยอะๆ กับซอฟท์แวร์และไมโครโฟนดีๆ เข้ามาช่วยปรับจูน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับการปรับจูนแบบง่ายๆ ใช้ฟังท์ชั่น Tone ที่ออกแบบมาดีก็พอช่วยปรับได้บางส่วน อย่างน้อยก็ทำให้ได้ frequency response ของเสียงทุ้มกลางแหลมที่ถูกใจเรามากขึ้น ใครมีโอกาสเป็นเจ้าของ E-800 ตัวนี้ ผมอยากแนะนำให้ทดลองใช้งานดู คุณอาจจะชอบก็ได้ (ถ้าต้องการความบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ก็สามารถปิดไม่ใช้ได้)

อัลบั้ม : Plays Gershwin (DSF64)
ศิลปิน : The Bassface Swing Trio

นี่เป็นอัลบั้มเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊สที่ใช้วิธีบันทึกสดแล้วตัดลงแผ่นมาสเตอร์โดยตรง ทางค่าย Stockfisch ตัดออกมาเป็นแผ่นเสียงที่มีแผ่น SACD ที่ทำพร้อมกันมาให้ด้วย ผมริปจากแผ่น SACD ชุดนั้นออกมาเป็นไฟล์ DSF64 (DSD2.8MHz) แล้วใช้เป็นเรฟเฟอเร้นจ์ในการทดสอบอยู่นานแล้ว จุดเด่นของอัลบั้มนี้นอกจากจะเป็นเพลงของ Gershwin ที่ฟังง่ายแล้ว ผมพบว่า อัลบั้มชุดนี้มีคุณสมบัติที่ดีเกือบครบทุกคุณสมบัติที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงได้ มันถูกบันทึกมาแบบสดๆ คือไม่ได้ผ่านขั้นตอนการมิกซ์แต่ละชิ้นมารมกัน แต่ทุกชิ้น (เปียโน, กลอง และเบส) เล่นพร้อมกัน อัดพร้อมกัน ด้วยไมโครโฟนสเตริโอ สัญญาณเสียงจากไมโครโฟนถูกส่งเข้าปรีฯ ไมค์เพื่อจัด offset แล้วส่งเข้ามาสเตอร์แบบ realtime ทุกอย่างจึงออกมาดีมากๆ ตั้งแต่โฟกัสของตำแหน่งเสียงแต่ละชิ้นที่แม่นยำมากๆ, ไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่ทั้งเร็วและแรง สุดท้ายคือโทนัลบาลานซ์ที่สมดุลตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ฟังแล้วไม่รู้สึกขาดในส่วนใด ทั้งหมดกลมกลืนและประสานกันได้อย่างลงตัวมากๆ

E-800 แสดงให้ผมได้ยินคุณสมบัติ ทุกอย่างที่พูดถึงข้างต้นทะลักออกมาจากอัลบั้มชุดนี้ครบ อย่างแรกที่ E-800 ฉายภาพออกมาได้โดดเด่นมากๆ คือ รูปวงของแต่ละเพลงที่ฟัง คือถ้านั่งฟังไปเรื่อยๆ จะพบว่า ลักษณะของรูปวงที่ได้ยินจากแอมป์ตัวนี้มันไม่ได้จำกัดอยู่กับสัดส่วนใดตายตัว ความหมายคือ จะพูดว่ามันให้เวทีเสียงกว้างหรือแคบก็ไม่เชิง บางเพลงรู้สึกเหมือนกว้างมาก คะเนจากระยะห่างของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นที่ได้ยิน ในขณะที่บางเพลงก็ไม่ได้กว้างออกไปมากขนาดนั้น แต่ที่มีออกมาทุกเพลงที่ฟังก็คือลักษณะการวางเลเยอร์ของระดับชั้นของความตื้นลึกที่ไล่เรียงกันลงไปเป็นลำดับ ผมเชื่อว่า ใครมาได้ยินแบบนี้แล้วจะเข้าใจคำว่า เลเยอร์ของความตื้นลึกของเวทีเสียงได้ทันที เหมือนภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์เทเลชั้นดี ที่โชว์ foregraoundfocusbackground ออกมาเป็นชั้นๆ นั่นเอง

ผมทดลองฟังอัลบั้มนี้กับ E-800 โดยไม่ใช้ฟังท์ชั่น Tone และเล่นไฟล์ด้วย roon nucleus ส่งเข้าทางช่องอินพุต USB ของการ์ด DAC-50 บน E-800 ผมพบว่า มันให้โทนัลบาลานซ์ของเสียงทุ้มกลางแหลมที่พอดีมากๆ ไม่รู้สึกว่ามีย่านไหนขาดด้อยกว่ากัน ซึ่งเป็นโทนัลบาลานซ์ที่ได้จากตัวไฟล์เพลงตรงๆ เพราะการบันทึกแบบไดเร็กต์คัตลักษณะนี้จะมีการตรวจสอบโทนัลบาลานซ์จากการจัดระยะไมโครโฟนมาแล้ว ไม่เหมือนการบันทึกแบบมัลติแทรคและเอามามิกซ์ทับกันทีหลัง

อีกอย่างที่ E-800 ทำให้ผมรู้สึกประทับใจจากการฟังอัลบั้มชุดนี้ นั่นคือเสียงกระเดื่องกลองกับเสียงเบสของอัลบั้มนี้ ซึ่งผมพอใจทั้งในแง่ของน้ำหนักเสียง, สปีด, ไทมิ่ง และที่สำคัญคือ โฟกัสที่ทำให้เสียงโซโล่กลองตรงช่วงกลางๆ ของแทรคที่สาม “Strike Up the Bandหลุดออกไปจากตู้ลำโพง Sopra No.1 ลอยลงไปอยู่ด้านหลังระนาบวางลำโพง ทั้งชุดเหมือนมือกลองเข้าไปนั่งตีอยู่ด้านหลังลำโพง!

อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSF64)
ศิลปิน : John Lanchbery & The Royal Opera House Orchestra

กระจกเงาชั้นดี ย่อมสะท้อนภาพได้ไม่ผิดเพี้ยนฉันใดก็ฉันนั้น อัลบั้มชุด La Fille Mal Gardee ชุดนี้เป็นงานบันทึกเสียงที่ดีเยี่ยมครบสูตรอีกชุดหนึ่งที่ผมใช้อ้างอิงในการทดสอบอยู่เสมอ เป็นงานบรรเลงแนวออเคสตร้าวงใหญ่ที่เล่นดนตรีประกอบบัลเล่ต์ ลีลาของดนตรีจึงมีทั้งช่วงโหมกระชั้นและช่วงผ่อนคลายอย่างบางเบา ซึ่งจุดเด่นที่ซาวนด์เอ็นจิเนียร์สามารถเก็บมาได้ก็คือบรรยากาศของวงที่เปิดกว้าง และแผ่ขยายออกไปได้รอบด้าน เมื่อนั่งอยู่ตรงจุด sweet spot หันหน้าเข้าหาลำโพง Sopra No.1 ที่เซ็ตอัพจนลงตัวแล้ว ผมก็พบวง The Royal Opera House Orchestra กำลังบรรเลงอัลบั้มชุดนี้อยู่เบื้องหน้า สัณฐานของวงแผ่ลึกลงไปด้านหลังของระนาบลำโพง ฉีกทำมุมกว้างทะแยงออกไปทั้งสองด้านจมลึกเข้าไปถึงมุมห้องทั้งสองข้างที่อยู่ด้านหลังของลำโพง เสียงเครื่องดนตรีนานาชนิดเกลี่ยออกไปตั้งแต่ซ้ายจรดขวา เหมือนนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในฮอลล์ ฟังวงออเคสตร้าบรรเลงสดๆ อยู่ตรงหน้า! ฟังเพลินมากๆ

อัลบั้ม : Reunion At Carnegie Hall 1963 (DSF64)
ศิลปิน : The Weavers

ในจำนวนอัลบั้มที่โชว์บรรยากาศการแสดงสดพร้อมเสียงร้องที่โดดเด่นมีอยู่ 2 ชุดที่ได้รับความนิยมจากนักเล่นเครื่องเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ นั่นคืออัลบั้มชุด Belafonte At The Carnegie Hall ของนักร้อง Harry Belafonte กับอัลบั้มชุด Reunion At The Carnegie Hall ของคณะนักร้องโฟล์คประสานเสียง The Weavers ชุดนี้

เคยมีนักเล่นเครื่องเสียงรุ่นเก๋าบอกผมว่า ถ้าเครื่องเสียงดี ฟังอัลบั้มนี้แล้วจะต้องรู้สึกเหมือนนักร้องมีชีวิต ต้องเหมือนฟังแสดงสดโดยคนจริงๆ ไม่แห้ง ไม่แข็ง รายละเอียดต้องมี บรรยากาศต้องมา โดยเฉพาะเสียงของคนดูที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ซึ่งผมได้ยินรายละเอียดและรับรู้ถึงบรรยากาศทั้งหมดนั้นได้จากการฟังผ่าน E-800 ตัวนี้ครบทุกประเด็น

อัลบั้ม : Cantate Domino (DSF64)
ศิลปิน : Oscars Motettkor Choi; Torsten Nilssoncondictor, Alf Linderorgan & Marianne Mellnassoprano

เสียงร้องประสานเสียงของวง Oscars Motettkor Choi โดยมี Marianne Mellnas ร้องนำในโทนโซฟราโนในแทรคแรกของอัลบั้มนี้ เป็นเสียงกลางถึงกลางสูงที่ทรงพลังอย่างมาก! แต่ก็มีไม่บ่อยครั้งนักที่จะทำให้ผมฟังแทรคนี้แล้วถึงกับขนลุกซู่ เป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนถึงความสามารถในการถ่ายทอดพลังเสียงในย่านกลางที่เยี่ยมยอดของ E-800 ร่วมกับลำโพง Focal Sopra No.1

สนามเสียงโอ่อ่ามากๆ ความต่อเนื่องของเสียงเยี่ยมยอด โดยเฉพาะช่วงที่กลุ่มนักร้องประสานส่งเสียงพีคขึ้นสูงและลากหางให้ทอดยาวออกไปจนจบ พลังเสียงที่แผดกล้ามันเสียดแทรกเข้าไปในความรู้สึกอย่างมาก ปลุกเร้าและฉุดกระชากอารมณ์ให้ลุกโชน ตื่นตัวเหมือนกำลังนั่งฟังอยู่ในโบสถ์ที่สวีเดน แต่พอถึง แทรคที่ 8 อารมณ์ของความลึบลับก็เข้ามาแทน เสียงประสานเปลี่ยนไปในทางโอบอุ้ม กลมกล่อม นุ่มนวล เปิดโปร่ง ให้ความผ่อนคลาย นับเป็นอีกครั้งที่ฟังอัลบั้มนี้ได้ถึงอารมณ์จริงๆ

สรุป

ผลการฟังจากอัลบั้มทั้งหมดที่พูดถึงข้างต้นนั้นคือส่วนหนึ่งที่ผมยกตัวอย่างมาเพราะตั้งใจทดสอบในประเด็นนั้นๆ โดยตรง แต่จริงๆ แล้ว ผมได้มีโอกาสลองฟังเพลงหลากหลายอัลบั้มมากกับ E-800 ตัวนี้ตลอดช่วงเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ที่มีโอกาสได้ทดสอบ (ตัวนี้ Hot มาก ต้องรีบส่งคืน มีคนรอฟังเยอะ)

โทนเสียงของ E-800 มาถึงจุดที่ผสมผสานบางอย่างที่ได้ยินจากแอมป์หลอดดีๆ กับบางอย่างที่ได้ยินจากแอมป์โซลิดสเตทดีๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และแสดงคุณสมบัติเหล่านั้นออกมาในจังหวะที่เราไม่รู้ตัว คือกลมกลืนไปกับลีลาของเพลงไปเลย ความนุ่มเนียนรับรู้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน พอถึงช่วงที่เพลงมีสปีดที่เร็ว มันก็แสดงลักษณะแบบนั้นออกมาโดยไม่มีอาการหน่วงหรืออืด ฟังร็อคก็ได้ซาวนด์แบบร็อคแต่แฝงความสะอาดหู ไม่มีอาการระคายหูให้ได้ยิน ใครที่เคยคิดว่า เพลงร็อคต้องเสียงหยาบๆ กระด้างๆ จริงๆ แล้ว มันต้องออกมาสด กระแทกกระทั้นจริงจัง แต่ต้องไม่หยาบหูครับถ้าฟังด้วยชุดเครื่องเสียงที่ดีพอ

E-800 เป็นอินติเกรตแอมป์ที่มีคุณสมบัติครบเครื่องมาก ผมว่าทีมวิศวกรของ Accuphase ตีโจทย์แตกทุกประเด็น ไม่ว่าคุณจะตั้งใจจบที่ E-800 ตัวเดียว มันก็มีคุณสมบัติมารองรับครบ ทั้งกำลังขับที่สูงพอสำหรับลำโพงดีๆ ทั่วไป สามารถใส่บอร์ดอินพุตได้ หรือใครที่ยังไม่พร้อมกับชุดใหญ่ในวันนี้ แต่ตั้งใจว่าจะอัพเกรดขยายซิสเต็มในอนาคต E-800 ก็เตรียมอ๊อปชั่นสำหรับเพิ่มเติมเพาเวอร์แอมป์เข้ามาสำหรับขับลำโพงที่มีขนาดใหญ่ได้ทันทีเมื่อคุณต้องการกำลังขับที่มากขึ้น ซึ่งเอ๊าต์พุตที่ E-800 เตรียมไว้ให้นั้น รองรับทั้งการเพิ่มแอมป์แบบ Bi-amp คือใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ในตัว และการแยกสัญญาณภาคปรีฯ ของ E-800 ไปใช้ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ภายนอก

เมื่อมองครบทุกแง่ ก็ต้องยอมรับว่า E-800 เป็นอินติเกรตแอมป์ตัวหนึ่งที่มีความโดดเด่นน่าสนใจมากที่สุดในขณะนี้! /

***************
ราคา : E-800 = 450,000 บาท / ตัว (ไม่รวมบอร์ด)
ราคา : บอร์ด DAC-50 = 38,000 บาท
ราคา : บอร์ด AD-50 = 30,000 บาท
***************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
. HI-END AUDIO
โทร. 02-101-1988

facebook: @hiendaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า