รีวิว CH Precision รุ่น L1 + A1.5

ต้องยอมรับจริงๆ ว่า รูปร่างหน้าตาของแอมป์มีผลเยอะมากกับ ความรู้สึกอยากฟังหรือไม่อยากฟังเสียงของแอมป์ตัวนั้น.! แต่ในความเป็นจริงแล้ว รูปร่างหน้าตาของแอมป์แทบจะไม่มีผลอะไรกับ คุณภาพเสียงของแอมป์ตัวนั้นเลย ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ผมเกือบจะพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดในการฟังแอมป์ของแบรนด์ CH Precision ไปอย่างเฉียดฉิว.!!

เหตุผลที่ทำให้ผมมองข้ามแบรนด์ CH Precision ไปในตอนแรกเป็นเพราะว่า รูปร่างหน้าตาของผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้นี่เอง คือแต่ละตัวมันดูทื่อๆ แข็งๆ ตัวถังมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมคมๆ แทบจะไม่มีความอ่อนช้อยเลย ด้วยลักษณะของรูปร่างหน้าตาแบบนั้นเลยทำให้ มโนไปเองว่า เสียงของแบรนด์นี้ก็น่าจะออกมาแข็งๆ คมๆ เหมือนรูปร่างหน้าตาของมันละมั้ง.??

พอเห็นหน้าตาแล้วไม่รู้สึกดึงดูดความสนใจ ความพยายามขวนขวายที่จะหาโอกาสทดลองฟังก็เลยไม่มี โชคดีที่ช่วงที่ผ่านมาผมได้รับลำโพงยี่ห้อ Silent Pound รุ่น Challenger II ราคาคู่ละล้านกว่าบาทเข้ามาทดสอบ (REVIEW) เลยต้องติดต่อขอยืมแอมป์ที่มีสมรรถนะและราคาสูสีกันมาจับคู่เพื่อลองฟังเสียงของลำโพงคู่นั้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับแอมป์ของแบรนด์ CH Precisionอย่างเป็นทางการครั้งแรก.! หลังจากมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับปรี+เพาเวอร์แอมป์ของ CH Precision คู่นี้เกือบเดือน มีโอกาสได้ทดลองปรับจูนจนเริ่มคุ้นมือ จากความรู้สึกไม่น่าสนใจเพราะหน้าตา กลับกลายเป็นความประทับใจในน้ำเสียงและฟังท์ชั่นใช้งานของแอมป์คู่นี้ สุดท้ายแล้ว ผมจึงตัดสินใจขอยืดเวลายืมกับทางบริษัทผู้นำเข้าเพื่อทำการทดสอบปรี+เพาเวอร์ฯ ของ CH Precision คู่นี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว นั่นคือที่มาของรีวิวครั้งนี้..

CH Precision
จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์

แบรนด์นี้ยังสดใหม่ อายุของแบรนด์ยังไม่ถึง 20 ปี กำเนิดขึ้นมาในโลกครั้งแรกเมื่อ ปี 2009 ก่อตั้งโดย Florian Cossy ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของแบรนด์ จริงๆ แล้ว เขาคนนี้ก็ไม่ใช่คนนอกวงการ ต้องถือว่าเป็นลูกหม้อในวงการเครื่องเสียงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์คนหนึ่ง เขาเคยทำงานอยู่กับแบรนด์ Goldmund มาก่อนที่จะออกมาตั้งแบรนด์ CH Precision ใน ปี 2009

ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ CH Precision มีอยู่ 2 แค็ตตากอรี่ ได้แก่ แอมปลิฟายที่ประกอบด้วยปรีแอมป์และเพาเวอร์แอมป์ กับ แหล่งต้นทางสัญญาณที่ประกอบด้วย ดิจิตัล ทรานสปอร์ต (SACD/CD Transport), DAC และ Phono Stage ส่วนลำดับชั้นของผลิตภัณฑ์ตอนนี้มีอยู่ 2 ระดับ แยกเป็น 2 ซีรี่ย์ ได้แก่ 10 Series ซึ่งเป็นซีรี่ย์ใหญ่สุด กับ 1 Series ซึ่งเป็นซีรี่ย์รองลงมา ส่วนระดับชั้นของแบรนด์นี้ต้องถือว่าอยู่ในระดับ อัลตร้าไฮเอ็นด์ได้เลยเพราะผลิตภัณฑ์หลักๆ แต่ละชิ้นมีราคาเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไปทั้งนั้น

Technology..
เทคโนโลยีเบื้องหลังแบรนด์ CH Precision

คอนเซ็ปต์ หรือจะเรียกว่าเป็นปรัชญาในการออกแบบของแบรนด์นี้ก็คือ มุ่งเน้นไปที่ความพยายามรักษา ความบริสุทธิ์ของสัญญาณอินพุตเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งฟังดูก็เป็นอะไรที่คุ้นๆ หู เคยได้ยินหลายแบรนด์ก็ตั้งปรัชญาไว้แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ใครจะ ทำถึงแค่ไหน จะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณไว้ได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

ถ้าเราลองมองข้ามคำว่า ความบริสุทธิ์ของสัญญาณที่เป็นภาษาสวยๆ ไปที่ ความเป็นจริงในการที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามนั้นมันมีรายละเอียดที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบอีกเยอะแยะมากมาย คือไม่ใช่แค่ทำให้ทางเดินสัญญาณสั้นๆ ด้วยการตัดวงจรยิบย่อยที่จะเข้าไปขวางทางสัญญาณออกไปเท่านั้น แต่ยังมีบริบทของการป้องกันสัญญาณรบกวนทั้งภายในตัวเครื่องและภายนอกตัวเครื่องไม่ให้เข้ามาสัมผัสกับสัญญาณที่เดินทางอยู่ในตัวเครื่องอีกเรื่องนึงที่มีผลอย่างมากต่อความบริสุทธิ์ของสัญญาณ..

ดีไซเนอร์ของ CH Precision อาศัย ซอฟท์แวร์เข้ามาช่วยในการจัดระเบียบทางเดินของสัญญาณเพื่อให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ คือรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณไว้ตาม ต้นฉบับที่รับเข้ามาทางอินพุตเอาไว้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

L1 Dual Monaural Line-Stage
ปรีแอมป์ไลน์สเตจ รุ่น L1

1. ไฟ LED แสดงสภาวะการทำงานของตัวเครื่อง
2. หน้าจอแสดงผล
3. วงแหวนควบคุมสั่งงานวงนอก
4. ปุ่มควบคุมสั่งงาน
5. กลุ่มของขั้วต่อสำหรับสัญญาณ input ข้างซ้ายและข้างขวา
6. กลุ่มของขั้วต่อสำหรับสัญญาณ output ข้างซ้ายและข้างขวา
7. จุดต่อกราวนด์ของสัญญาณ
8. จุดเชื่อมต่อภาคจ่ายไฟจากภายนอก
9. สวิทช์เมนสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง
10. จุดเชื่อมต่อสำหรับสายไฟเอซี และที่เก็บฟิวซ์

เอ็นจิเนียร์ที่ CH Precision ออกแบบไลน์สเตจ ปรีแอมป์ด้วยวิธีที่เริ่มจากวิเคราะห์ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับหน้าที่ของไลน์สเตจปรีแอมป์ในอุดมคติออกมาก่อน ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของไลน์สเตจปรีแอมป์มีอยู่แค่ 2 อย่าง เท่านั้น หน้าที่แรกคือ รวบรวมแหล่งอินพุตทั้งหมดไว้ให้คุณเลือกใช้งาน กับอีกหน้าที่คือ มีระบบวอลลุ่มไว้ให้คุณใช้ปรับระดับความดัง ซึ่งไลน์สเตจปรีแอมป์ที่ดีในอุดมคติจะต้องทำหน้าที่ทั้งสองนั้นบนพื้นฐานของ ความโปร่งใส” (transparency) อย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้สัญญาณที่รับเข้ามาทางอินพุตถูกทำให้บิดเบือนไปจากต้นฉบับเดิม

เอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ที่มากับ L1 ระบุว่า L1 ถูกสร้างขึ้นมาด้วยปรัชญาเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ของ CH Precision ตัวอื่นๆ นั่นคือ ใช้วงจรแบบแยกชิ้น (discrete) ดีไซน์วงจรเป็นแบบบาลานซ์ คอมพรีเม้นต์ทารี่, จัดทางเดินสัญญาณให้สั้นที่สุด และคัดสรรคอมโพเน้นต์ที่ใช้ในแต่ละจุดด้วยความพิถีพิถัน, ใช้ภาคจ่ายไฟที่มีพลังสูงและมีระบบฟิลเตอร์อย่างดี ให้แบนด์วิธที่เปิดกว้าง จ่ายกระแสได้เร็ว และมีการป้องกันไม่ให้เกิด DC offset ที่อินพุตที่จะเป็นต้นเหตุของ noise, แยกแผงวงจรสำหรับแชนเนลซ้ายและขวาออกจากกันอย่างเด็ดขาดในลักษณะที่เรียกว่า Dual Monaural เพื่อขจัดปัญหากวนข้ามแชนเนล (crosstalk) และใช้ระบบวอลลุ่มแบบดีสครีต R-2R ที่มีความละเอียด 20bits ออกแบบโดยใช้รีซีสเตอร์เมทัลฟิล์มแยกแต่ละแชนเนล ทำให้สามารถปรับความดังได้อย่างละเอียดที่ระดับ 0.5dB ต่อคลิ๊ก ตั้งแต่ -100dB ถึง +18dB ที่ความดังรวม 118dB และยังได้มีการตรวจเช็ค DC offset ตลอดทั้งเส้นทางตั้งแต่อินพุตมาจนถึงระบบวอลลุ่ม มีผลให้ L1 เป็นไลน์สเตจปรีแอมป์ที่มีความสงัดสูงมาก

ให้การเชื่อมต่อสำหรับสัญญาณอะนาลอก อินพุต/เอ๊าต์พุต มาครบทั้งแบบบาลานซ์ XLR (จำนวน 4 ชุด สำหรับอินพุต และ 2 ชุด สำหรับเอ๊าต์พุต), ซิงเกิ้ลเอ็นด์ RCA (จำนวน 2 ชุด สำหรับอินพุต และ 1 ชุด สำหรับเอ๊าต์พุต) และ BNC (จำนวน 2 ชุด สำหรับอินพุต และ 1 ชุด สำหรับเอ๊าต์พุต) โดยออกแบบภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตด้วยวงจรขยายแบบ Pure class-A ที่เป็นแบบ fully symmetrical ตลอดทั้งวงจร จ่ายกระแสได้สูงจึงสามารถรองรับการส่งสัญญาณผ่านสายสัญญาณที่มีความยาวมากๆ หรือกรณีที่ต่อเอ๊าต์พุตพร้อมกันมากกว่าหนึ่งชุดได้โดยที่เกนสัญญาณไม่ตก

Florian Cossy รับรู้สัจจะธรรมที่ว่า one-size fits allไม่มีอยู่จริงในวงการเครื่องเสียง เขารู้ว่าไม่มีแอมป์ชุดไหนที่สามารถขับลำโพงทุกคู่ออกมาได้ดีที่สุด ลำโพงเล็กขับง่ายก็ต้องการแอมป์เล็ก ลำโพงใหญ่ขับยากกว่าก็ต้องใช้แอมป์ใหญ่ขับถึงจะได้เสียงออกมาดี ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ของ CH Precision จึงถูกออกแบบขึ้นมาบนพื้นฐาน modular ทำให้สามารถคัทต้อมได้หลากหลายอ๊อปชั่น

สำหรับซิสเต็มที่ต้องอัพเกรดกำลังขับให้สูงขึ้นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นออกมาจากลำโพง เป็นความจำเป็นที่ต้องอัพเกรดภาคปรีแอมป์ขึ้นมาด้วย พวกเขาจึงออกแบบปรีแอมป์รุ่น L1 ให้มีอ๊อปชั่นที่สามารถอัพเกรดประสิทธิภาพขึ้นไปได้ถึง 4 สเต็ป

สเต็ปที่ 1 : L1 Line-Stage
= ใช้ L1 ตัวเดียว + บอร์ดอินพุต 2 ชุด ทำงานเหมือนปรีแอมป์สเตริโอทั่วไป

สเต็ปที่ 2 : L1 Line-Stage + X1 External Power Supply
= ใช้ L1 ตัวเดียว + บอร์ดอินพุต 2 ชุด แต่เพิ่มภาคจ่ายไฟจากภายนอกรุ่น X1 เข้ามาเสริมประสิทธิภาพ

สเต็ปที่ 3 : L1 Mono, Dual-Chasis Line-Stage + X1 Twin Output External Power Supply
= ใช้ L1 สองตัว แต่ละตัวติดตั้งบอร์ดอินพุตแค่ชุดเดียว ทำงานเป็นโมโน แยกสำหรับแชนเนลซ้าย/ขวา + ภาคจ่ายไฟภายนอกรุ่น X1 จำนวน 1 ตัวที่ให้เอ๊าต์พุต 2 ชุด

สเต็ปที่ 4 : L1 Mono, Dual-Chasis Line-Stage + X1 External Power Supply x2
= ใช้ L1 สองตัว แต่ละตัวติดตั้งบอร์ดอินพุตแค่ชุดเดียว ทำงานเป็นโมโน แยกสำหรับแชนเนลซ้าย/ขวา + ภาคจ่ายไฟภายนอกรุ่น X1 จำนวน 2 ตัวแยกกันจ่ายไฟตัวละแชนเนล

คุณสามารถเริ่มต้นด้วยอ๊อปชั่นไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับสมรรถนะของซิสเต็มของคุณ ณ ขณะนั้น ซึ่งในอนาคตเมื่อคุณขยับลำโพงที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปจากเดิม คุณก็สามารถอัพเกรดปรีแอมป์ L1 ตามประสิทธิภาพของเพาเวอร์แอมป์และลำโพงขึ้นไปได้เรื่อยๆ

เมนูของ L1

ปรีแอมป์ L1 มีเมนูให้ปรับตั้งค่าอยู่ในตัวมันจำนวน 6 เมนูหลัก (ตามภาพข้างบน) ซึ่งคุณสามารถเข้าไปทำการปรับตั้งค่าได้ผ่านทางแอพลิเคชั่นบนอุปกรณ์พกพา Android ก็ได้ หรือจะปรับตั้งผ่านปุ่มหมุนบนแผงหน้าปัดเครื่องก็ได้ ซึ่งในจำนวนหัวข้อเมนูหลักทั้ง 6 หัวข้อ นั้น แต่ละหัวข้อหลักก็จะมีหัวข้อย่อยอยู่ในนั้นอีกจำนวนหนึ่ง นับรวมๆ ทั้งหมดก็หลายสิบหัวข้อ แต่มีอยู่เพียง 3 – 4 หัวข้อย่อย ที่ส่งผลกับเสียงโดยตรง ได้แก่

1. AUDIO SETTINGS > Phase Polarity
2. AUDIO SETTINGS > Input Impedance
3. AUDIO SETTINGS > Input Gain
4. DISPLAY SETTINGS > Display mode

ที่หัวข้อ ‘Phase Polarityนั้นมีอ๊อปชั่นให้เลือก 2 อย่าง คือ In Phase กับ Out Of Phase ซึ่งถ้าเป็นกรณีปกติ ไม่มีเหตุให้ต้องกลับเฟส ก็ให้ตั้งไว้ที่ In Phase แต่สมมุติว่าใช้เครื่องเล่นซีดีของแบรนด์ Accuphase เป็นต้นทาง ก็ต้องปรับไปที่ Out Of Phase เพื่อชดเชยเฟส ส่วนหัวข้อ ‘Input Impedanceนั้น คุณสามารถปรับตั้งของแต่ละอินพุตแยกกันได้เลย กรณีที่เป็นอินพุต RCA กับ BNC จะมีอ๊อปชั่นให้เลือกอยู่ 2 อ๊อปชั่น คือ High Impedance กับ 300 โอห์ม ส่วนอินพุต XLR จะมีอ๊อปชั่นให้เลือก 2 อ๊อปชั่น คือ High Impedance กับ 600 โอห์ม ซึ่งตอนทดสอบ ผมใช้อินพุต XLR และทดลองสลับเลือกระหว่างตั้งเป็น High Impedance กับ 600 โอห์ม พบว่า ถ้าตั้งไว้ที่ High Impedance จะได้เสียงที่เปิดกระจ่าง แต่ถ้าเลือกไว้ที่ 600 โอห์ม เสียงจะออกนุ่มนวล ปลายเสียงแหลมไม่เปิดกระจ่างเท่ากับ High Impedance คำถามคือ เลือกตั้งไว้ตรงไหนดีกว่ากัน.? ต้องตอบว่า ขึ้นอยู่กับอิมพีแดนซ์รวมของซิสเต็ม ให้ฟังเสียงเป็นหลัก โดยแนะนำให้เลือกตั้งไว้ที่ High Impedance ก่อนแล้วฟังเสียงดู ถ้าปลายเสียงออกมาจัดจ้าน แผดสะบัด ไม่นิ่ง แสดงว่าซิสเต็มของคุณให้แบนด์วิธไม่กว้าง ให้เปลี่ยนไปที่ 600 โอห์ม

ที่หัวข้อ ‘Input Gainเขามีระดับเกนสำหรับขยาย/ลดความแรงของสัญญาณอินพุตไว้ให้เลือกปรับตั้งอยู่ทั้งหมด 12dB โดยแยกเป็น +6dB ไปถึง -6dB โดยมีอัตราเพิ่ม/ลด แบ่งออกเป็น 24 สเต็ป สเต็ปละ 0.5dB ซึ่งประโยชน์ของเมนูนี้คือใช้ปรับจูนเพื่อดึงอัตราสวิงไดนามิกของซิสเต็มให้ออกมาเต็มสเกลมากที่สุด ผู้ผลิตออกแบบมาให้สามารถปรับตั้งแยกแต่ละอินพุตได้ จึงมีประโยชน์อีกอย่างคือ ปรับเกลี่ยให้เกนหรือความแรงของแต่ละอินพุตอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เวลาเปลี่ยนอินพุตจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับการคอยเพิ่ม/ลดวอลลุ่ม ในการทดลองใช้จริง กรณีที่ใช้งาน L1 คู่กับ A1.5 ผมพบว่า ไปปรับจูน gain ที่เพาเวอร์แอมป์ A1.5 ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คือถ้าปรับเพิ่ม/ลดเกนที่ปรีแอมป์จะส่งผลกระทบกับคุณภาพเสียงของสัญญาณอินพุตมากกว่าการปรับจูนเกนขยายที่เพาเวอร์แอมป์ กรณีใช้งาน L1 กับเพาเวอร์แอมป์อื่นที่ไม่มีอ๊อปชั่นปรับเพิ่ม/ลดเกนได้แบบนี้ พบว่า การปรับเพิ่ม/ลดเกนบนตัว L1 เพียงเล็กน้อยคือ +0.5 ถึง +1.0dB ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ถ้าอินพุตเกนของเพาเวอร์แอมป์อยู่ในระดับที่ต่ำมาก สุดท้ายคือการปรับตั้ง display หรือจอแสดงผลที่อยู่บนแผงหน้าของ L1 ซึ่งในเมนูมีให้เลือกสั่ง Off หรือปิดจอได้ ผมทดลองสั่งปิดจอแล้วพบว่า เสียงดีขึ้นเล็กน้อย โดยส่วนตัวชอบที่จะเลือกปิดจอไว้ขณะใช้งาน

L1 มีรีโมทไร้สายตัวเล็กๆ มาให้ใช้งานด้วย บนนั้นมีปุ่มกดควบคุมสั่งงานฟังท์ชั่นพื้นฐานได้จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีคำสั่งสำหรับปรับเมนู

A1.5 Two Channel Power Amplifier
เพาเวอร์แอมป์ 2 แชนเนล รุ่น A1.5

11. ไฟ LED แสดงสภาวะการทำงานของตัวเครื่อง
12. หน้าจอแสดงผล
13. ปุ่ม power เปิด/ปิดการทำงาน
14. ปุ่มกดเลือกอ๊อปชั่นในเมนู
15. ปุ่มกดเข้าเมนูเครื่อง
16. ปุ่มกดยกเลิก / เปลี่ยนโหมดระหว่าง menu mode/normal mode
17. ช่องเก็บฟิวส์สำหรับภาคเพาเวอร์
18. เต้ารับ 20Amp สำหรับสายไฟเอซี
19. เมนเพาเวอร์สวิทช์
20. ขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตข้างซ้ายและข้างขวา รวมช่องส่งผ่านเอ๊าต์พุต (pass-through) สำหรับพ่วงไปที่เพาเวอร์แอมป์อีกตัว
21. ขั้วต่อสายลำโพงข้างซ้ายและข้างขวา

บอดี้ของ A1.5 ทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมกับแผ่นโลหะคุณภาพสูง ประกอบขึ้นเป็นตัวถังด้วยเทคนิคพิเศษที่ไม่เห็นร่องรอยของน็อตที่ใช้ยึดเลยแม้แต่ตัวเดียว.! น้ำหนักของตัวเครื่องจะค่อนมาทางด้านหน้าเพราะเทอรอยด์ทรานฟอร์เมอร์ขนาดใหญ่ถึง 1,700VA กับวงจรเลคติฟายกับคาปาซิเตอร์ถูกติดตั้งอยู่บริเวณกลางตัวถังเยื้องมาทางด้านหน้าของตัวเครื่อง และตัวทรานฟอร์เมอร์มีชีลด์ป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EM) ด้วย

แผงหน้าดูเรียบง่าย มีแค่จอ AMOLED ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ตรงกลางของแผงหน้า นอกจากนั้นก็มีปุ่มกดเล็กๆ อีก 5 ปุ่ม เรียงอยู่ที่ด้านข้างขวามือของหน้าปัด ซึ่งปุ่มทั้งห้านั้นถูกออกแบบไว้ให้ทำหน้าที่ต่างกัน ปุ่มบนสุดใช้สำหรับกดเพื่อเปิด (operate) และปิด (standby) เครื่อง (13) โดยทำงานเกี่ยวเนื่องอยู่กับเมนสวิทช์ที่ด้านหลัง ขณะกดให้เครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย ไฟ LED ที่อยู่ตรงโลโก้ที่มุมซ้ายบนของหน้าปัด (11) จะสว่างเป็นสีแดงเพื่อแสดงให้รู้ว่าตัวเครื่องกำลังอยู่ในโหมดสแตนด์บาย ส่วนที่เหลืออีก 4 ปุ่มที่อยู่ถัดลงไป (14, 15, 16) ใช้ในการปรับตั้งในเมนู

ขั้วต่อสัญญาณอินพุตจากปรีแอมป์ (20) กับขั้วต่ออื่นๆ อยู่ที่ด้านหลังเครื่องทั้งหมด ซึ่งนอกจากขั้วต่อสำหรับสายไฟเอซี (18), ขั้วต่อสำหรับภาคจ่ายไฟจากภายนอก (17) และขั้วต่อสายลำโพง (21) แล้ว ขั้วต่อ LAN กับขั้วต่อ USB ที่เห็นนั้นไม่ได้ให้มาเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณแต่อย่างใด เพราะ A1.5 ไม่มีสตรีมเมอร์และ DAC ในตัว ขั้วต่อ LAN นั้นมีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับสัญญาณคอนโทรลจากภายนอกผ่านทางระบบเน็ทเวิร์ค ในขณะที่ช่อง USB นั้นเป็นช่องทางอัพเกรดซอฟท์แวร์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ ภายในตัวเครื่องเท่านั้น

ทางผู้ผลิตได้ว่าจ้างแบรนด์ Argento Audio จากประเทศเดนมาร์กให้ออกแบบและผลิตขั้วต่อสายลำโพง (21) ที่ใช้กับเพาเวอร์แอมป์และอินติเกรตแอมป์ของ CH Precision โดยเฉพาะ เป็นขั้วต่อที่ดูดีมากและใช้งานได้ดีด้วย

Four Adjustment steel spikes
แท่งเดือยแหลมปลายโลหะ 4 แท่งที่สามารถปรับระดับได้

ทั้งปรีแอมป์ L1 และเพาเวอร์แอมป์ A1.5 (รวมถึงผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ CH Precision) จะมีระบบป้องกันเรโซแนนซ์ที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนทั้งจากภายนอกและที่เกิดจากการทำงานของภายในตัวเครื่องมาด้วย

ที่ใต้ขาตั้งของทั้งตัวปรีและเพาเวอร์ฯ จะมีวงแหวนยาง (ศรชี้ภาพข้างบน) ติดตั้งอยู่ทั้ง 4 ขา ซึ่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างขาตั้งกับพื้นที่ใช้วางเครื่องได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องการลดแรงสั่นสะเทือนที่ว่านี้ได้มากขึ้นในระดับที่เรียกว่าหวังผลทางเสียงได้ ทางผู้ผลิตได้ออกแบบระบบแมคคานิคออกมาให้ใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือเขาจะให้แท่งเพลา (shaft) ยาวๆ ที่ทำด้วยโพลีเมอร์และติดโลหะปลายแหลมมา 4 แท่ง ต่อเครื่อง พร้อมทั้งจานที่ใช้รองรับปลายแหลมของแท่งเพลามาด้วย 4 ชิ้น โดยให้เครื่องมือที่ใช้ในการติดตั้งแท่งเพลากับจานรองมาในกล่องเสร็จสรรพ

ลักษณะของแท่งเพลาที่จะใช้เป็นแกนยกตัวเครื่องให้ลอยขึ้นจากพื้น ด้วยการสอดแท่งเพลานี้ลงไปในแกนกลางของขาตั้งทั้ง 4 ขา สังเกตตรงปลายแท่งจะมีโลหะปลายแหลมติดตั้งอยู่ซึ่งเป็นส่วนที่จิกลงบนจานรอง

ตรงตำแหน่งที่จะสอดแท่งเพลาลงไปจะมีแผ่นโลหะที่มีลักษณะเป็นแผ่นแป้นกลมๆ ปิดทับอยู่ วิธีการสอดแท่งเพลาเข้าไปในแกนกลางของขาตั้ง เริ่มด้วยการหมุนเอาแผ่นโลหะที่ว่านี้ออกมาก่อนโดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า suction cup (อันสีฟ้าๆ ในรูปข้างบน) ดูดลงบนแผ่นโลหะแล้วหมุนเกลียวให้คลายออกมา

ศรชี้ในภาพข้างบนนี้คือรูที่จะสอดแท่งเพลาลงไป ซึ่งรูนี้จะทะลุจากด้านบนลงไปจนถึงพื้นล่างของขาตั้ง

ภาพข้างบนคือลักษณะของแผ่นรองใต้เดือยแหลมที่อยู่ตรงปลายของแท่งเพลา จะสังเกตว่า ตรงกลางแผ่นจะมีเซาะเป็นรูตื้นๆ เอาไว้รองรับปลายแหลมของแท่งเพลานั่นเอง

ลองทำให้ดูว่า หลังจากสอดแท่งเพลาลงไปในรูที่อยู่ใจกลางของขาตั้งแล้ว ปลายแหลมของแท่งเพลาจะลงไปอยู่ในรูเล็กๆ บนแผ่นรองแบบนี้

รูปบนสุดเป็นเครื่องมือที่ผู้ผลิตให้มา ลักษณะเป็นประแจที่ใช้ขันเกลียวให้แท่งเพลาทั้ง 4 มุมให้จมลงไปจนยกตัวเครื่องลอยขึ้นจากพื้นจนเกิดช่องว่างระหว่างขาตั้งกับจานรองประมาณ 2 – 3 .. (ศรชี้ ในภาพกลางข้างบนนั้น) จากนั้นก็ใช้ประแจนี้ค่อยๆ หมุนปรับระดับของตัวเครื่องให้ได้ระนาบโดยใช้ระดับน้ำเช็คระดับ

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำไมต้องเอามาพูดถึง.? ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเรื่องๆ เล็กๆ น้อยๆ เหมือนกัน แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าผู้ผลิตเครื่องเสียงที่มีความแน่นทางด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์อย่างแบรนด์ CH Precision กลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากถึงขนาดลงทุนออกแบบกลไกที่มีความละเอียดซับซ้อนแบบนี้ขึ้นมาใช้เพื่อลดปัญหาจากแรงสั่นสะเทือนแบบนี้ เพราะถ้าพิจารณาจากน้ำหนักของตัวเครื่องแต่ละชิ้นที่แบรนด์นี้ทำออกมาซึ่งมีน้ำหนักเยอะมาก ดูแล้วไม่น่าจะเกิดแรงสั่นอะไรมากมาย แต่ทำไมพวกเขาถึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดนี้.?

ตอนที่ช่างเทคนิคของบริษัท Deco2000 ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ของ CH Precision นำ A1.5 มาส่งที่ห้องฟังของผม ทีมช่างได้ทำการติดตั้งแท่งเพลาพร้อมจานรองให้กับ A1.5 ไว้ด้วย เมื่อผมทำการเซ็ตอัพและปรับจูนซิสเต็มจนลงตัวแล้วและได้ทำการฟังเก็บรายละเอียดจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว ผมได้ทดลองเอาแผ่นแท่งเพลากับแผ่นรองเดือยแหลมออก แล้ววางขาตั้งลงไปบนชั้นวางโดยตรงปล่อยให้วงแหวนยางที่อยู่ใต้ขาตั้งทำหน้าที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนไปตามลำพัง ผลลัพธ์.? เป็นไปอย่างที่เขาพูดกันเลยว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณได้ยินเสียงที่ดีระดับหนึ่งแล้ว คุณจะรับรู้ได้ทันทีถึงสิ่งที่แย่ลงเมื่อซิสเต็มนั้นถูกลดระดับลงมา ตอนแรกผมก็บอกไม่ได้ว่า กลไกที่ใช้แท่งเพลายกเครื่องลอยขึ้นจากพื้นให้เหลือแค่ปลายแหลมของแท่งเพลาจิกอยู่บนแผ่นรองแบบนั้นมันช่วยให้เสียงดีขึ้นตรงไหนบ้าง แต่พอเอากลไกนั้นออกไป ผมพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรกเลยซึ่งชัดเจนที่สุดก็คือ เวทีเสียงหุบลง หางเสียงที่เป็นความกังวานของปลายเสียงโน๊ตต่างๆ หดสั้นลง อัตราสวิงของไดนามิกแคบลง โทนัลบาลานซ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าย่านทุ้มหนาแน่นมากขึ้น.. ในขณะที่ความโปร่งกังวานของย่านกลางแหลมลดน้อยลง

แย่ลงมากมั้ย.? ไม่ถึงกับทำให้คุณภาพเสียงโดยรวมเสียทรงไปจนถึงขนาดที่รับไม่ได้ ถ้าจะให้ประเมินแบบที่ให้เห็นภาพชัดก็น่าจะประมาณ 5-10% คิดว่าถ้ายึดเอาลักษณะเสียงแบบนั้นไว้แล้วไปปรับจูนแก้ด้วยการใช้อุปกรณ์ตรงจุดอื่นเสริมเข้ามาเพื่อ เกลี่ย” (compensate) ให้ได้สมดุลของเสียงกลับมาก็อาจจะทำได้ แต่สำหรับผม ยอมที่จะเอาแท่งเพลากับจานรองกลับเข้าไปติดตั้งไว้เหมือนเดิม เพราะรู้เลยว่า ถ้าไม่ติดตั้งแท่งเพลากับจานรองเข้าไปแล้วหาอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาจูนก็ไม่น่าจะทำให้ได้เสียงที่เหมือนกับการใช้แท่งเพลากับจานรองแน่ๆ อีกเหตุผลก็คือ แท่งเพลากับจานรองเขาให้มาฟรีพร้อมแอมป์อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเพิ่ม จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้มัน.??

Operation modes
โหมดการทำงานของ A1.5 รูปแบบต่างๆ

A1.5 เป็นเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทที่ใช้วงจรขยายเอ๊าต์พุต class-AB แต่ใช้วงจรขยายสัญญาณที่อินพุตสเตจ (ภาคไดร้ว์) เป็น class-A สามารถปรับลักษณะการทำงานได้ถึง 4 โหมด ซึ่งให้กำลังขับต่างกันไปตามรูปแบบ หรือการทำงานแต่ละโหมดตามนี้

1. Stereo mode = ใช้ A1.5 ตัวเดียวทำงานในโหมดสเตริโอ ให้กำลังขับข้างละ 150W ที่ 8 โอห์ม, 275W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม และ 450W ต่อข้างที่ 2 โอห์ม

2. Active & Passive Bi-amp mode = ใช้ A1.5 สองตัว ทำงานในโหมดสเตริโอพร้อมกันทั้งสองตัว โดยที่แต่ละตัวให้กำลังขับข้างละ 150W ที่ 8 โอห์ม, 275W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม และ 450W ต่อข้างที่ 2 โอห์ม (Active Bi-amp mode ต้องมีแอ๊คทีฟ ครอสโอเวอร์เข้ามาช่วยตัดแบ่งความถี่ด้วย)

3. Monaural mode = ใช้ A1.5 สองตัว ทำงานในโหมดโมโนพร้อมกันทั้งสองตัว โดยที่แต่ละตัวจะให้กำลังขับข้างละ 275W ที่ 8 โอห์ม, 450W ที่ 2 โอห์ม และ 700W ที่ 1 โอห์ม

4. Bridged mode = ใช้ A1.5 สองตัว บริดจ์เป็นโมโนทั้งสองตัว โดยที่แต่ละตัวจะให้กำลังขับข้างละ 550W ที่ 8 โอห์ม, 800W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม และ 1200W ต่อข้างที่ 2 โอห์ม

Monaural mode vs. Bridge mode
การทำงานแบบ Monoblock สองแบบ

ทั้ง 2 โหมดนี้ใช้พื้นฐานของซิสเต็มแบบเดียวกัน คือปรับให้เพาเวอร์แอมป์ทำงานเป็น mono ทั้งสองตัว ส่วนที่ต่างกันอยู่ที่ลักษณะการปรับตั้งการทำงานของตัวเพาเวอร์แอมป์ กับลักษณะการเชื่อมต่อสายลำโพง เท่านั้นเอง

ภาพข้างบนเป็นการเชื่อมต่อระบบโดยจัดให้ A1.5 ทำงานในโหมด Monaural mode ซึ่งโหมดนี้จะทำให้ A1.5 สามารถจ่าย กระแสได้สูง (high current) เหมาะใช้กับลำโพงที่มี ความไวต่ำ + อิมพีแดนซ์ต่ำภายในห้องขนาดใหญ่ที่ต้องเปิดดังๆ

ส่วนภาพข้างบนเป็นการเชื่อมต่อระบบโดยจัดให้ A1.5 ทำงานในโหมด Bridge mode กรณีปรับให้ A1.5 ทำงานเป็นโมโนด้วยวิธีบริดจ์โมโน จะทำให้ A1.5 สามารถจ่าย โวลเตจได้สูง (high voltage) โหมดนี้เหมาะใช้งานกับลำโพง ความไวต่ำ + อิมพีแดนซ์สูงๆและใช้ในห้องขนาดใหญ่ที่ต้องเปิดดังมากๆ จะเห็นว่า ช่วงที่ต่อสัญญาณจากปรีแอมป์ L1 มาที่ A1.5 ทั้งสองตัวจะเหมือนกันทั้งสองโหมด ที่ต่างกันอยู่ที่การเชื่อมต่อสายลำโพงจาก A1.5 ทั้งสองตัวไปที่ลำโพง

นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มเพาเวอร์แอมป์เข้าไปในระบบได้อีกด้วยวิธี เชื่อมโยง” (daisy-chained) ซึ่งข้อดีของการใช้เพาเวอร์แอมป์หลายตัวแยกกันขับลำโพงทุ้มและกลางแหลมคือ คุณสามารถปรับจูนเสียงของแอมป์ที่ใช้ขับทุ้มและกลางแหลมแยกกันได้ อย่างเช่นปรับ gain กับปรับ feedback ให้แม็ทชิ่งกับไดเวอร์ที่ทำหน้าที่ขับทุ้มและส่วนที่ขับกลางแหลมให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดได้

ฟีเจอร์พิเศษของ A1.5

มีอยู่ 3 ฟีเจอร์ ที่ให้มาเพื่อใช้ในการปรับจูนการทำงานของ A1.5 ให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของสัญญาณอินพุตจากปรีแอมป์ และพฤติกรรมทางไฟฟ้าของลำโพง

1. Feedback control = เป็นฟีเจอร์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับเลือกระดับของ feedback (global feedback + local feedback) ที่ใช้อยู่ในตัว A1.5 ได้ตั้งแต่ 0% ถึง 100% โดยแบ่งระดับการปรับจูนไว้ให้เลือกใช้อยู่ทั้งหมด 6 ระดับ คือ 0, 10%, 20%, 40%, 70%, 100%

2. Gain Control = เป็นฟีเจอร์ที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถปรับจูน เกนของ A1.5 ให้แม็ทชิ่งกับ A) ความแรงของสัญญาณอินพุตจากปรีแอมป์, B) ความไวของลำโพง และ C) ขนาดของห้อง ซึ่งจัดมาให้เลือกปรับจูนไว้ทั้งหมด 24dB คือ +12dB ถึง -12dB โดยแบ่งเป็น 48 สเต็ปๆ ละ 0.5dB

3. ExactBias = เป็นวงจรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากความล่าช้าในการปรับไบอัสที่ไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งจะส่งผลเสียกับเสียง วงจรนี้จะช่วยทำให้ระดับไบอัสปรับตัวไปตามอุณหภูมิได้เร็วขึ้นเพื่อลดผลกระทบนั้น และวงจรนี้ยังได้ตรวจเช็คอัตราสวิงไดนามิกของสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่เกิดขึ้นในสัญญาณเสียงเพื่อให้ภาคขยายของ A1.5 สามารถตอบสนองกับสัญญาณทรานเเชี้ยนต์เหล่านั้นได้เร็วทันอีกด้วย

นอกจากนั้น ได้มีการติดตั้ง DSP ไว้ในภาคขยายของเพาเวอร์ในตัว A1.5 เพื่อคอยตรวจวัดระดับ แรงดัน (voltage) และปริมาณ กระแส (current) ที่ส่งไปให้กับลำโพงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระดับของกำลังขับที่ส่งออกไปจะถูกแสดงด้วยการแทนค่าด้วยแซมปลิ้งที่เร็วถึง 100kHz ทำให้สามารถแสดงอัตราของกำลังขับได้มทันท่วงที แม้จะเป็นช่วงพีคก็ตาม และ DSP ชุดนี้ยังคอยติดตามระดับของอุณหภูมิของทรานซิสเตอร์และฮีทซิ้งค์ที่ใช้ระบายความร้อนด้วย ถ้าความร้อนขึ้นสูงเกินจุดที่ตั้งไว้ วงจรป้องกันความเสียหายก็จะทำงานด้วยการสั่งปิดการทำงานของเครื่องลง

ภาคจ่ายไฟ

ภาคจ่ายไฟของเพาเวอร์แอมป์ระดับอัลตร้าไฮเอ็นด์แบบนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่ง เพราะผู้ออกแบบต้องทำให้การทำงานของส่วนนี้มีความเสถียรสูงและต้องทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ซึ่งศูนย์กำลังของ A1.5 ประกอบด้วยทรานฟอร์เมอร์เทอรอยด์ที่มีกำลังสูงถึง 1,700 VA ที่มีไว้สำหรับจ่ายกำลังให้กับภาคขยายอย่างเดียว โดยมีทรานฟอร์เมอร์เทอรอยด์อีกลูกที่เอาไว้ใช้สำหรับป้อนไฟเลี้ยงให้กับฟังท์ชั่น standby โดยเฉพาะ นอกจากนั้นก็มีคาปาซิเตอร์แบบอิเล็กโตรไลติค ขนาดความจุ 82,000 ไมโครฟารัด จำนวน 2 ตัว เอาไว้ทำหน้าที่เก็บประจุ และกรองไฟให้กับภาคเพาเวอร์ซัพพลาย ซึ่งคาปาซิเตอร์ทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติในการจ่ายกระแสได้สูงเป็นพิเศษ และสามารถจ่ายได้เร็วมาก สามารถตอบสนองได้ทันกับสปีดของสัญญาณฉับพลันที่รุนแรงได้อย่างสบาย

ติดตั้งเพื่อทดสอบ

จริงๆ แล้ว L1 + A1.5 เข้ามาที่ห้องฟังของผมเพราะลำโพง Silent PoundChallenger IIโดยแท้ ผมขอยืมปรี+เพาเวอร์แอมป์มาจากบริษัท Deco2000 เพื่อนำมาใช้ทดสอบลำโพงคู่นั้น แต่หลังจากได้ฟังเสียงของมันแล้ว ผมติดใจกับเสียงที่ได้ยินมาก จึงตัดสินใจขอยืดเวลายืมเพื่อทำการทดสอบปรี+เพาเวอร์ฯ ของ CH Precision คู่นี้ด้วย

ในการแม็ทชิ่งแอมป์กับลำโพงจะมีสเปคฯ ให้พิจารณาอยู่ 2 ตัว นั่นคือ ความถี่ตอบสนองกับ กำลังขับซึ่งลำโพง Silent PoundChallenger II’ (REVIEW) ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 30Hz ขึ้นไปจนถึง 18kHz ถือว่ากว้างมากพอที่จะถ่ายทอดเสียงของโน๊ตของเครื่องดนตรีออกมาได้ เกือบทั้งหมดที่เครื่องดนตรีมาตรฐานสากลสามารถให้ออกมาได้ ในขณะเดียวกัน สเปคฯ ในการตอบสนองความถี่ของ L1 อยู่ที่ DC (0Hz) ถึง 1MHz ส่วน A1.5 อยู่ที่ DC หรือ 0Hz ขึ้นไปจนถึง 450kHz จะเห็นว่า แบนด์วิธของแอมป์ กว้างกว่าแบนด์วิธของลำโพงเยอะมากทั้งด้านทุ้มและด้านแหลม จึงมั่นใจได้ว่า L1 + A1.5 จะไม่ทำให้รายละเอียดของเสียงเพลงตกหล่นสูญหายไปแม้แต่เฮิร์ตเดียว.! (*แม็ทชิ่งระหว่างแอมป์กับลำโพงที่ให้ผลลัพธ์สมบูรณ์แบบ นอกจากกำลังขับของแอมป์ต้องมากพอในการขับลำโพงแล้ว ทางด้านแบนด์วิธหรือความถี่ตอบสนองของแอมป์ก็ต้องกว้างกว่าความถี่ตอบสนองของลำโพงด้วย)

ลำโพง Challenger II สามารถรองรับกำลังขับสูงสุดได้ 400W โดยอ้างอิงที่โหลด 4 โอห์ม ในขณะที่เพาเวอร์แอมป์ A1.5 ให้กำลังขับอยู่ที่ 275W เมื่อวัดที่โหลด 4 โอห์ม เมื่อใช้งานในโหมด stereo ซึ่งเป็นกำลังขับที่เกือบถึง 75% x กำลังขับสูงสุดที่ลำโพงแนะนำ ก็ถือว่ามากพอที่จะคาดหวังคุณภาพเสียงจากลำโพงคู่นี้ได้ มองอีกมุมหนึ่ง สามารถพูดได้ว่า ลำโพง Challenger II คู่นี้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะใช้เป็น มอนิเตอร์ในการถ่ายทอดสมรรถนะที่แท้จริงของ L1 + A1.5 ออกมาให้สัมผัสได้อย่างหมดจด

ทางด้าน source หรือแหล่งต้นทางสัญญาณนั้น ผมใช้ Innuos รุ่น PULSE (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต จับคู่กับ Ayre AcousticQB-9 DSD Twentyทำหน้าที่เป็น DAC ผ่านการเชื่อมต่อระหว่างกันด้วยสาย USB ของ Nordost รุ่น Blue Heaven และมีตัวกรอง noise ของ Innuos รุ่น PhoenixUSB เข้ามาช่วยกรอง noise จากการเชื่อมต่อผ่าน USB ด้วย ส่วนสายสัญญาณระหว่าง DAC มาที่ L1 และจาก L1 ไปที่ A1.5 ผมใช้สายบาลานซ์ XLR ของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif3’ (REVIEW) ในขณะที่สายลำโพงผมใช้ Nordost รุ่น Tyr 2 ซึ่งเป็นของแบรนด์เดียวกันทั้งหมดจึงให้โทนเสียงไปในทางเดียวกัน วิเคราะห์บุคลิกของแอมป์ได้ง่ายขึ้น

เสียงของ L1 + A1.5

เมื่อพูดถึงการเล่นเครื่องเสียง เรามักจะใช้คำว่าท่องไปใน โลกของเครื่องเสียง” ซึ่งผมว่าน่าจะยังไม่กว้างใหญ่พอกับความหมายจริงๆ ส่วนตัวแล้วผมอยากจะใช้คำว่าท่องไปใน จักรวาลของเครื่องเสียงมากกว่า เพราะตั้งแต่พาตัวเองตะลุยเข้ามาในวงการเครื่องเสียงแล้ว ผมพบว่า ในวงการเครื่องเสียงมันประกอบด้วยระดับขั้นของการเล่นเครื่องเสียงที่หลากหลายมาก เหมือนในจักรวาลที่มีหลากหลายแกแล็กซี่อยู่ในนั้น แม้ว่าแต่ละระดับขั้นจะให้ความบันเทิงเริงรมย์กับคนเล่นได้ตามอัตภาพโดยไม่รู้สึกขาดความสนุกสำหรับคนที่เล่นอยู่ในระดับขั้นนั้นๆ แต่ถ้ามีโอกาสนำพาตัวเองเข้าไปสัมผัสกับระดับขั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่เราเล่นอยู่ เราจะพบว่า ณ ระดับขั้นสูงๆ ของการเล่นเครื่องเสียงมันให้ ประสบการณ์ที่นอกเหนือจินตนาการที่จะสามารถคาดเดาได้ ผมยอมรับว่า เสียงที่ผมได้ยินจากซิสเต็มระดับอัลตร้าไฮเอ็นด์ชุดที่กำลังทดสอบนี้มันให้ ประสบการณ์ใหม่กับผมหลายอย่าง ซึ่งคุณสมบัติของเสียงหลายๆ อย่างที่หาไม่ได้จากระดับขั้นที่ต่ำกว่าลงมา

“ At CH Precision, we’ve never forgotten that the glass might be elegant and beautifully crafted, but it’s the wine – or the performance – that matters เป็นประโยคที่ Florian Cossy ซีอีโอของ CH Precision กล่าวทิ้งท้ายไว้ในถ้อยแถลงที่เขาเขียนไว้ในแค๊ตตาล็อกที่รวบรวมข้อมูลผลิตภัณฑ์ ปี 2019-2020 “..เราไม่เคยลืมว่า ไม่ว่าแก้วจะดูสวยและวิจิตรแค่ไหน แต่คุณภาพของไวน์ที่อยู่ในแก้วต่างหากล่ะที่เป็นสาระสำคัญ 

สิ่งที่ L1 + A1.5 ถ่ายทอดออกมาจากเพลงเดิมๆ ที่เคยฟังมาแล้วนับร้อยนับพันครั้งก็คือ รายละเอียดที่แอบแฝงอยู่ในซอกหลืบที่ไม่เคยถูกตีแผ่ออกมาให้สัมผัสก่อนหน้านี้ ซึ่ง บางอย่างนั้นเป็น รายละเอียดระดับที่สามารถได้ยินผ่านหู ในขณะที่บางอย่างนั้นเป็น รายละเอียดที่ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้ เพราะเป็นประสบการณ์ที่อยู่นอกเหนือการได้ยิน

หลังจากได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ L1 + A1.5 ถ่ายทอดออกมาแล้ว มันทำให้ผมหวนคิดถึงความรู้สึก ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพของทีวีที่มีความละเอียดที่ระดับ 4K หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับทีวีที่มีความละเอียดระดับ Full HD 1080p มานานหลายปี ผมยังจำความรู้สึกครั้งนั้นได้ดี ในฐานะของสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญจากแบรนด์ผู้ผลิตทีวีให้ไปสัมผัสกับทีวี 4K ครั้งแรกในงานเปิดตัวที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้าวันนั้นผมพยายามนึกจินตนาการว่า ภาพของทีวีที่มีความละเอียดสูงกว่า 1080p ขึ้นไปจะให้อะไรกับเราบ้าง.? เพราะก่อนที่จะได้สัมผัสกับภาพ 4K ด้วยตาของตัวเองจริงๆ นั้น ผมก็ได้รับทราบแต่ความหมายของภาพที่มีรายละเอียดระดับ 4K ทางด้าน นามธรรมทั้งนั้น เวิร์ดดิ้งที่พูดถึงคุณงามความดีของระบบภาพ 4K ต่างๆ นานาน มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนตอนที่สายตาของผมได้เห็นภาพตัวอย่างบนจอทีวี 4K จริงๆ ครั้งแรก ซึ่งยอมรับว่า วินาทีที่ยืนอยู่หน้าทีวี 4K ครั้งแรกในชีวิตมันคือประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้ผมถึงกับต้องสงบนิ่ง ควบคุมลมหายใจ หรี่ประสาทสัมผัสอื่นๆ ลงเพื่อใช้ประสาทสัมผัสของสายตาซึมซับเก็บเกี่ยวสิ่งที่ระบบภาพ 4K ถ่ายทอดออกมาไว้ให้ได้มากที่สุด

เมื่อ L1 + A1.5 + Challenger II อยู่ในตำแหน่งที่เซ็ตอัพลงตัวแล้ว สิ่งที่แอมป์ CH Precision ชุดนี้ถ่ายทอดผ่านลำโพงคู่นี้ออกมา มันทำให้ผมหวนนึกถึงความรู้สึกคล้ายกับตอนที่ได้เห็นภาพ 4K ครั้งแรกขึ้นมาทันที.!!

เพลง : Volver, Volver (https://tidal.com/browse/track/2073069?u)
อัลบั้ม : Nina de fuego (Standard version)(HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Buika

เพลงนี้ผมใช้ทดสอบเครื่องเสียงบ่อยในช่วงที่ผ่านมา ได้ยินเพลงนี้ผ่านซิสเต็มต่างๆ มาแล้วหลายชุด ซึ่งเป็นซิสเต็มที่อยู่ต่างระดับขั้นกัน วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงกีต้าร์โปร่งโน๊ตแรกของเพลงนี้ดังขึ้น มันทำให้ประสาทหูของผมตื่นตัวขึ้นมาทันที เป็นความรู้สึกที่ต่างจากหลายๆ ครั้งที่ฟังเพลงนี้ กล่าวคือ ที่ผ่านๆ มา ผมต้องได้ยินเพลงนี้ผ่านไปสัก 20 – 30 วินาที ถึงจะค่อยเริ่ม อินไปกับเพลง นั่นเท่ากับว่า ซิสเต็มนั้นต้องใช้เวลา 20 – 30 วินาที ถึงจะสามารถ ดึงดูดความสนใจของผมให้เข้าไปเชื่อมกับอารมณ์ของเพลง ในขณะที่ L1 + A1.5 ใช้เวลาแค่โน็ตเดียวเท่านั้นก็สามารถกระตุกให้ผมพุ่งความสนใจไปที่เสียงโน๊ตนั้นทันที.!!!

เป็นความจริงที่ว่า สมองของเราจะใช้เวลา ไม่เท่ากันในการแปลความหมายของเสียงที่ได้ยินก่อนที่จะถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่เป็น อารมณ์ร่วมไปกับเสียงนั้น เพลงที่เราฟังก็เป็นเสียงชนิดหนึ่งที่เข้าไปกระตุ้นความรู้สึกของเรา จากประสบการณ์ของผมพบว่า ถ้าซิสเต็มสามารถถ่ายทอด รายละเอียดของเสียงเพลงนั้นๆ ออกมาได้ ครบถ้วนมากพอมันจะสามารถกระตุ้นความรู้สึกของผู้ฟังให้เกิด อารมณ์ร่วมไปกับเพลงนั้นได้ เร็วกว่าซิสเต็มที่ให้รายละเอียดออกมาน้อยกว่า

หลังจากโน๊ตกีต้าร์ตัวแรกที่กระแทกเข้ามาในความรู้สึกของผม ต่อจากนั้นทั้งเสียงกีต้าร์โน๊ตต่อมาและเสียงร้องของ Buika ที่ตามหลังมา มันคือ ประสบการณ์ใหม่ที่ผมได้รับจากการฟังเพลงนี้ในลักษณะที่ไม่เหมือนเพลงเดิมที่เคยฟังมาก่อน.! สิ่งที่ได้ยินมันสะท้อนไปถึงประโยคที่ว่า เหมือนได้ยินศิลปินมานั่งเล่นกีต้าร์และร้องเพลงนี้ให้ฟังอยู่ต่อหน้าซึ่งเป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยจนคุ้นหู แม้แต่ผมเองก็เคยใช้ประโยคนี้อธิบายความรู้สึกที่มีต่อซิสเต็มเครื่องเสียงที่ทดสอบไป แต่.. แม้ว่าจะใช้ประโยคเดียวกัน แต่ต้องเน้นว่า มันมีนัยยะที่ต่างกันในแต่ละซิสเต็ม เหมือนกับคำว่า สวยที่เราใช้กับผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงสวยแต่ละคนก็มีระดับขั้นที่ต่างกัน สวยมาก, สวยน้อย และมีนัยยะของความสวยที่ต่างกันไปคนละแบบ

ประสาทหูและประสาทสัมผัสอื่นๆ บอกให้ผมรู้ว่า L1 + A1.5 ให้เสียงกีต้าร์กับเสียงร้องในเพลงนี้ออกมาในลักษณะที่ เหมือนเสียงของกีต้าร์และเสียงของคนจริงๆ มากกว่าที่ผมเคยได้ยินมาจากซิสเต็มอื่นๆ สิ่งที่โน้มน้าวให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นก็คือ รายละเอียด เล็กๆ น้อยๆ ในระดับ micro detail ของทั้งเสียงกีต้าร์และเสียงร้องที่พรั่งพรูออกมานั่นเอง เสียงกีต้าร์ในเพลงนี้ที่ L1 + A1.5 ถ่ายทอดออกมามันมีความชัดเจนมากจนทำให้รู้เหมือนตาเห็นเลยว่า ในแต่ละครั้งที่เกิดเสียงกีต้าร์ขึ้นมานั้น นักดนตรีเขาใช้วิธีไหนในการทำให้เกิดเสียงนั้นขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วสองสามนิ้วสะกิดสายกีต้าร์จากด้านล่างขึ้นมาด้านบนพร้อมกัน ซึ่งน้ำหนักที่สะกิดสายในแต่ละครั้งก็ต่างกัน บางครั้งดังและเข้ามาใกล้ ในขณะที่บางครั้งเบาและถอยห่างออกไป ซึ่งมูพเม้นต์ของเสียงกีต้าร์มันสอดคล้องไปกับเสียงร้องได้อย่างลงตัว แสดงถึง ไทมิ่งของการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตของแอมป์ที่เป๊ะมาก เมื่อไทมิ่งของ in/out ไม่ตกหล่น รายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในแต่ละเสี้ยววินาทีจึงถูกคลี่คลายออกมาตามไทมิ่งของเพลงได้อย่างต่อเนื่อง รายละเอียดยิบย่อยที่ประกอบอยู่ในแต่ละคำร้องที่เปล่งออกมาจากปากของนักร้องจึงปรากฏออกมาได้อย่างครบถ้วน ต่อเนื่อง และลื่นไหล กอปรเป็นอารมณ์เพลงที่ดึงดูดให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเพลงที่ฟังอย่างแนบแน่นและรับรู้ได้ถึงความลุ่มลึกของอารมณ์ที่ศิลปินพยายามถ่ายทอดออกมา ทั้งหมดนี้มันมากมายและครบถ้วนกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยฟังเพลงนี้มา

เพลง : Pillar I (https://tidal.com/browse/track/196421286?u)
อัลบั้ม : Seven Pillars (MAX/FLAC-24/96)
ศิลปิน : Andy Akiho & Sandbox Percussion

ผมทดลองใช้ฟีเจอร์พิเศษของ A1.5 ที่สามารถปรับอัตรา feedback ได้ พบว่าฟีเจอร์นี้มันมีผลต่อ ความกระชับของเสียงโดยตรง ซึ่งสังเกตได้จาก มูพเม้นต์ของเสียง คือเมื่อปรับใช้ฟีดแบ็ค เสียงโดยรวมจะมีความกระชับมากขึ้น ปิดจบเร็วขึ้น สังเกตได้ง่ายที่เสียงทุ้ม โดยเฉพาะเสียงทุ้มที่มีลักษณะกระชับ ยิ่งใช้ฟีดแบ็คเปอร์เซ็นต์เยอะ ยิ่งกระชับเร็ว ถ้าคุณใช้เพาเวอร์แอมป์ตัวนี้กับลำโพงคู่ไหนแล้วรู้สึกว่าเสียงทุ้มที่ออกมามีลักษณะหลวมๆ หัวเบสไม่กระชับแน่น แนะนำให้ทดลองใช้ฟีเจอร์ feedback ตัวนี้ดู แต่พอเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ เสียงโดยรวมจะกระชับขึ้น หางเสียงจะสั้นลง และมีผลต่อเนื่องที่อาจจะทำให้รู้สึกว่าความดังของเสียงลดลง คุณอาจจะต้องเร่งวอลลุ่มเพิ่มขึ้นมาชดเชยด้วย

ผมใช้เพลง Pillar I ในการทดสอบฟีเจอร์นี้ เริ่มด้วยการปรับตั้งฟีเจอร์นี้ไว้ที่ 0% ก่อน คือไม่เปิดใช้ฟีดแบ็ค จากนั้นก็เปิดเพลงนี้ฟังจับสังเกตลักษณะความกระชับของเสียงเพอร์คัสชั่นทั้งในย่านแหลมและทุ้มในเพลงนี้เอาไว้ จากนั้นก็ทดลองเปิดใช้งานโดยเริ่มจาก 10% แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทีละขั้น จะรู้สึกได้ว่า เมื่อเปิดใช้ฟีดแบ็ค เสียงของเพอร์คัสชั่นจะมีหัวเสียงอิมแพ็คที่กระชับเร็วขึ้น และมวลบอดี้จะผอมบางลง จริงๆ แล้วไม่ได้ต่างกันเยอะ กับลำโพงขนาดใหญ่อย่าง Challenger II ที่ผมใช้ทดสอบแอมป์คู่นี้ มันแสดงความแตกต่างระหว่างตั้งค่า feedback ไว้ที่ 0% เทียบกับ 10% ผมชอบเสียงที่ได้จากค่า feedback ที่ตั้งไว้ 10% มากกว่า คือตอนไม่ใช้ฟีดแบ็ค (คือตั้งไว้ที่ 0%) ส่วนที่เป็น หัวเสียง (attack) จะออกมนๆ ทู่ๆ ความกระชับ (decay) จะหย่อน และ เนื้อมวล (sustain) จะหนา หางเสียง (release) ทอดยาว พอปรับตั้งฟีดแบ็คไว้ที่ 10% หัวเสียงจะกลมและเรียงเล็กลงนิดนึง เนื้อมวลจะบางลงนิดนึง แต่ได้ความกระชับเร็วเพิ่มเข้ามาแทน พอลองเพิ่มฟีดแบ็คไปที่ 20% พบว่า เสียงเครื่องเคาะมันเริ่มห้วน มาไวไปไว ไทมิ่งของเพลงก็เปลี่ยนไปด้วย โดยรวมๆ แย่ลง ไม่ชวนฟัง ยิ่งใช้เยอะยิ่งเละ สรุปแล้ว กับซิสเต็มนี้ ผมว่าตั้ง feedback ไว้ที่ 10% ได้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาดีที่สุด น่าฟังมากที่สุด เมื่อลองเปลี่ยนไปฟังเพลงอื่นๆ รวมถึงเพลง Volver, Volver ของ Buika ด้วย พบว่าก็ให้ความรู้สึกไปทางเดียวกันคือตั้ง feedback ไว้ที่ 10% ให้ค่าเฉลี่ยดีที่สุด

หลังจากนั้นผมก็ลองฟังเพลง Pillar I ยาวๆ จนจบเพลง ทำให้รู้ว่า เพาเวอร์แอมป์ A1.5 มันนิ่งมาก ช่วงที่เสียงเพอร์คัสชั่นต่ำๆ ของเพลงนี้ดังออกมา ผมพบว่า พลังของ A1.5 มันสามารถผลักเสียงความถี่ต่ำให้ถอยลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงได้ทั้งยวง เป็นเสียงทุ้มหนักๆ แน่นๆ แต่ หลุดตู้ไปอยู่หลังระนาบลำโพงอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับลำโพงคู่นี้ แสดงว่ากำลังขับของ A1.5 สามารถควบคุมการขยับตัวของไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ 12 นิ้ว ทั้ง 4 ตัว ของลำโพง Challenger II ได้อยู่หมัดจริงๆ ..!!

เพลง : Desperado (https://tidal.com/browse/track/77633718?u)
อัลบั้ม : Wallflower (Deluxe Edition)(MAX/FLAC-24/96)
ศิลปิน : Diana Krall

ใครที่มีความคิดว่าฟีเจอร์ปรับ Input Gain ของปรี L1 กับปรับ Gain ของเพาเวอร์ฯ A1.5 มันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับแอมป์แบบเห็นหน้าเห็นหลัง เลยคิดว่าจะเอาฟีเจอร์นี้ไปช่วยเพิ่มพลังให้กับแอมป์เล็กๆ กำลังน้อยๆ ให้สามารถขับลำโพงยากๆ ได้ ผมแนะนำให้คิดใหม่นะครับ เพราะมันไม่ได้ไปช่วยเพิ่มพละกำลังของแอมป์ได้มากขนาดนั้น จริงอยู่ว่า การปรับเพิ่ม gain ทั้งอินพุตเกนบนปรีฯ และบนเพาเวอร์ฯ นั้น ผู้ผลิตเขามีเร้นจ์มาให้ปรับเพิ่มตั้ง +12dB (+12dB ถึง -12dB รวม 24dB) แต่ประโยชน์จริงๆ ของฟีเจอร์นี้ก็คือเอาไว้ใช้ปรับ โทนของเสียงมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณรู้สึกว่าซิสเต็มของคุณให้ โทนเสียงออกไปทางหม่นๆ ทึมๆ ไม่ค่อยเปิด ไม่ค่อยใสกระจ่าง อยากจะปรับให้โทนเสียงของซิสเต็มคุณมีลักษณะที่เปิดกระจ่างมากขึ้น การ ปรับเพิ่มInput Gain ของปรีฯ L1 และปรับ Gain ของเพาเวอร์ฯ A1.5 สามารถช่วยปรับโทนเสียงให้คุณได้ หรือในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณรู้สึกว่า เสียงของซิสเต็มของคุณให้โทนเสียงออกไปทางเปิดสว่างมากไป จ้าไป คุณสามารถแก้ไขโทนเสียงนั้นได้ด้วยการ ปรับลดInput Gain ของปรีฯ L1 และปรับลด Gain ของเพาเวอร์ฯ A1.5 จะช่วยปรับโทนเสียงซิสเต็มของคุณได้

ผมมีความรู้สึกตั้งแต่ฟังอัลบั้มชุด Wallflower ของ Diana Krall ครั้งแรกว่าชุดนี้มิกซ์เสียงมานุ่มไป โทนเสียงโดยรวมออกไปทางน่วมๆ เสียงทุ้มเบลอๆ เสียงร้องกับเสียงเปียโนจะมีลักษณะหม่นๆ ไม่ลอยและเปิดกระจ่างขึ้นมา ซึ่งโดยปกติแล้ว งานเพลงของศิลปินสาวผู้นี้มักจะออกมาดี แต่ชุดนี้มีลักษณะอย่างที่ว่า ผมเลือกเพลง Desperado แทรคที่สองของอัลบั้มนี้มาลองฟังกับซิสเต็มนี้ พบว่า อาการน่วมๆ จมๆ ของเสียงเบสขึ้นมาถึงเสียงกลางก็ยังคงปรากฏอยู่ ผมทดลองปรับเพิ่ม Input Gain ที่ปรีแอมป์ L1 โดยเริ่มที่ +0.5dB ก่อน พบว่าเสียงโดยรวมมันมีลักษณะที่เปิดกระจ่างมากขึ้น หัวเสียงเบสมีน้ำหนักย้ำเน้นที่ชัดเจนมากขึ้น เสียงร้องลอยตัวขึ้นมาจากแบ็คกราวนด์มากขึ้น และอารมณ์ของเพลงโดยรวมจะมีความสดมากขึ้น ฟังสนุกขึ้น ผมได้ใจลองปรับเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น +1.0dB พบว่าเสียงโดยรวมเริ่มมีอาการแข็งขึ้น เสียงร้องของไดอาน่า ครอลที่มีลักษณะแหบนิดๆ อยู่แล้วจะเริ่มมีเกรนหยาบๆ ปนเข้ามา ความละมุนของเสียงด้อยลง ผมปรับลดกลับลงมาอยู่ที่ +0.5dB ฟังดีกว่า แต่ก็ยังอยากให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่เปิดเผยมากขึ้นอีกนิด เลยทดลองเปลี่ยนไปปรับเพิ่ม Gain ที่เพาเวอร์แอมป์ A1.5 ขึ้นมา +0.5dB ปรากฏว่าได้ผลอย่างที่ต้องการ มันยกเสียงทั้งหมดให้ลอยตัวขึ้นมามากขึ้น อาการจมๆ ทึบๆ หายไปเกือบหมด หัวเสียงกระชับเร็วมากขึ้น ส่งผลให้อารมณ์ของเพลงมีความสดมากขึ้น แสดงว่าการปรับใช้ฟีเจอร์ Input Gain ของ L1 และฟีเจอร์ Gain ของ A1.5 มีผลไปถึง ไทมิ่งของเสียงด้วย

หลังจากจูนด้วย Input Gain ที่ปรีแอมป์ L1 และ Gain ที่เพาเวอร์ฯ A1.5 แล้ว ผมก็ย้อนกลับไปฟังเพลง Volver, Volver ของ Buika อีกรอบ พบว่า รายละเอียดของเสียงกีต้าร์และเสียงร้องในเพลงนี้ถูกเน้นขึ้นมาให้มีความเด่นชัดและลอยออกมามากขึ้น เหมือนจริงมากขึ้น ยิ่งส่งให้อารมณ์เพลงมันดิ่งลึกมากขึ้นไปอีก ยอดเยี่ยมมาก.!!

โดยส่วนตัวแล้ว ที่ผ่านมาๆ ผมมักจะมองฟีเจอร์ปรับเพิ่ม Gain ของแอมป์ในแง่ร้ายมากกว่าแง่ดี เพราะเคยเจอฟีเจอร์นี้ในแอมป์ราคาไม่แพง ลองปรับเพิ่มดูแล้วพบว่า มันทำให้ฟังดูมีพลังมากขึ้นก็จริง แต่ก็มีผลข้างเคียงตามมาคือเสียงจะแห้งและแข็งหยาบ แต่กับ L1 และ A1.5 ผมกลับไม่พบอาการนั้น นอกจากว่าจะปรับเพิ่มเยอะเกินไป (*เปรียบเทียบคล้ายกับฟังชั่นท์ปรับ sharpness ของทีวี คือปรับมากไปไม่ดี.!) แสดงว่าฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้จริง.!!

สรุป

ตอนเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆ มีนักเล่นรุ่นพี่บอกผมว่า ถ้าผมฟังเครื่องเสียงระดับหนึ่งติดต่อกันนานๆ จะมีผลทำให้มาตรฐานทางด้านทักษะในการฟังของผมหยุดนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ต่อให้ใช้เวลาฟังนานแค่ไหน ทักษะในการฟังของผมก็จะไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปจากเดิม ถ้าต้องการพัฒนาทักษะการฟัง เขาแนะนำให้หาโอกาสฟังเครื่องเสียงที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับขั้นของเครื่องเสียงที่เราใช้อยู่บ่อยๆ จะช่วยพัฒนาทักษะในการฟังของเราได้

หลังจากผมหันมาประกอบอาชีพสื่ออยู่ในวงการเครื่องเสียงเป็นต้นมา มีโอกาสได้สัมผัสกับเครื่องเสียงหลายระดับขั้น ประสบการณ์ที่ผมได้รับมานานหลายปีที่ผ่านมา ช่วยยืนยันได้ว่า สิ่งที่รุ่นพี่เคยแนะนำไว้นั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ และเมื่อผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่กับ CH Precision คู่นี้มาอย่างใกล้ชิดช่วงที่ทำการทดสอบแอมป์คู่นี้ สิ่งที่แอมป์คู่นี้แสดงออกมาให้ผมสัมผัสมันคือมาตรฐานที่สูงกว่าสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้วขึ้นไปอีกขั้น ทุกคุณสมบัติของเสียงที่ผมรู้จักอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโฟกัส, ไทมิ่ง, ไดนามิก, มวล หรือเวทีเสียง ได้ถูกชี้ชัดให้เห็นถึงความหมายของคุณสมบัติเหล่านั้นที่ลึกลงไปมากขึ้น ยกตัวอย่างเรื่อง โฟกัสซึ่ง L1 + A1.5 สอนให้ผมรู้ว่าความหมายของ โฟกัสที่เจาะลึกลงไปมากกว่าความคมชัดที่แอมป์ระดับรองๆ ลงมาทำได้นั้นเป็นแบบไหน ความคมชัดในระดับที่แทบจะมองเห็นด้วยตานั้นเป็นอย่างไร ฯลฯ

ขอแค่คุณมีวิชา เซ็ตอัพที่แม่นๆ อยู่กับตัว ถ้ามีโอกาสเอาแอมป์คู่นี้ไปใช้ในซิสเต็มของคุณ เมื่อบวกกับความสามารถในการเซ็ตอัพของคุณแล้ว มัน (แอมป์คู่นี้) จะทำให้คุณรู้สึกเลยว่า ยิ่งคุณให้ความละเอียดในการเซ็ตอัพมากแค่ไหน แอมป์คู่นี้ก็จะพาคุณไปได้ไกลแบบไม่มีจุดสิ้นสุด แอมป์คู่นี้จะทำให้คุณพบกับ ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แอมป์ระดับขั้นรองๆ ลงไปให้ไม่ได้ ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ทดลองฟังให้ได้ในชีวิตนี้..!!!

********************
ราคา : CH Precision
รุ่น L1 (2-channel line-stage (with 2x ANALOG PRE) = 1,400,000 บาท / ตัว
รุ่น A1.5 (2-channel amplifier (with 2xANALOG BUFFER) = 1,600,000 บาท / ตัว
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: DECO2000Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า