ลำโพงคู่นี้มีลักษณะที่แปลกตา แม้ว่าไดเวอร์ที่ใช้ทั้งหมดจะมีลักษณะชินตา แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวตู้ของลำโพงคู่นี้มันดูน่าฉงน เพราะส่วนบนที่ดูเหมือนเป็นตู้ของไดเวอร์กลาง–แหลมมันก็บางมาก ในขณะที่ไดเวอร์ขนาด 12 นิ้ว สองตัวที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านล่างนั้นกลับไม่มีตู้.! คือถ้าแกะเอาหน้ากากที่เป็นผ้าดำๆ ออกมาจะมองเห็นบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าของวูฟเฟอร์ทั้งสองตัวล้อนจ้อนอล่างฉ่างอยู่ตรงนั้น.!!
แต่ละข้างของลำโพงคู่นี้มีไดเวอร์อยู่ทั้งหมด 5 ตัว เรียงกันอยู่ในแนวตั้ง ทั้งหมดเป็นไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก ประกอบด้วยทวีตเตอร์แบบ compression ขนาด 1 นิ้ว จำนวนหนึ่งตัวกับมิดเร้นจ์ขนาด 6 นิ้ว สองตัวติดตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนบนของตัวตู้ในลักษณะที่เรียกว่า MTM (Midwoofer –Tweeter – Midwoofer) ส่วนพื้นที่ด้านล่างของตัวตู้ติดตั้งวูฟเฟอร์ขนาด 12 นิ้ว สองตัว เรียงกันในแนวตั้งเป็นแนวต่อเนื่องลงมาจากไดเวอร์มิดเร้นจ์
ด้านหลังของตัวตู้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือท่อนบนกับท่อนล่าง ส่วนที่เห็นเป็นสีขาวๆ นั้นคือแผ่นโลหะที่หนาประมาณ 4 ม.ม. ดัดขึ้นรูปเป็นเฟรมตัวยู ประกบอยู่บนโครงตู้หลักที่ทำด้วยไม้ MDF หนา 2 ซ.ม. ลงสีดำ ด้านบนเป็นตู้ของมิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ ซึ่งมีความหนาเพียงแค่ 15 ซ.ม. เท่านั้น ในขณะที่ด้านล่างติดตั้งวูฟเฟอร์ทั้งสองตัว โดยไม่มีผนังตู้..!!
เผยให้เห็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนโครงส่วนท้ายของวูฟเฟอร์ทั้งสองตัว ส่วนวงจรครอสโอเวอร์ (ศรชี้) ซึ่งทำหน้าที่ตัดแบ่งความถี่ให้กับไดเวอร์ทั้งห้าตัวถูกติดตั้งไว้ในกล่องที่ทำหน้าที่เป็นฐานล่างของตัวตู้ไปในตัว ด้านบนของกล่องเน็ทเวิร์คเป็นกระจกนิรภัยบานใสเผยให้เห็นคอมโพเน้นต์ที่ใช้ในวงจรเน็ทเวิร์คทั้งหมด
Patent-Pending Midrange Enclosure
ตู้เสียงกลางที่ออกแบบพิเศษ..!!
ถ้าพิจารณาจากนิยามความหมายของลำโพงที่ออกแบบด้วยเทคนิค Open Baffle แล้ว ก็ต้องบอกว่า Challenger II ไม่ใช่ลำโพง Open Baffle ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเรียกว่า Semi-OB หรือ Hy-Brid (OB + Open Box) ก็แล้วแต่ถนัด เหตุผลก็เพราะว่าท่อนบนของตัวตู้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้ติดตั้งไดเวอร์มิดเร้นจ์ (ศรชี้สีเขียว) และทวีตเตอร์ (ศรชี้สีฟ้า) มันมีลักษณะเป็นตู้เปิด (open port, front firing) โดยที่ผนังหลังของตัวตู้จะสะท้อนความถี่ที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของไดเวอร์มิดเร้นจ์ให้วกกลับมาออกทางด้านหน้าผ่านช่องระบายอากาศที่เจาะเป็นรูกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 ม.ม. จำนวน 116 รู ต่อข้าง (กรอบสีแดง)
เห็นช่องระบายอากาศรูเล็กๆ ของลำโพงคู่นี้แล้ว มันทำให้นึกถึงรูระบายอากาศของลำโพง ProAc รุ่น Tablette ยุคแรกๆ ที่คนออกแบบคือ Stewart Tyler* เอาหลอดกาแฟหลายๆ อันไปอัดไว้ในช่องระบายอากาศที่อยู่ด้านหลังจนแน่น นัยว่าเพื่อปรับสปีดในการถ่ายเทมวลอากาศทั้งจากภายในตัวตู้และภายนออกตัวตู้ให้ไหลเข้า/ออกได้เร็วขึ้น ลดแรงต้านของมวลอากาศภายในตัวตู้ขณะที่ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ขยับถอยหลัง ซึ่งส่งผลต่อสปีดในการตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ดีขึ้น เข้าใจว่า คนออกแบบ Challenger II คู่นี้ก็คงคิดอะไรแบบนี้เหมือนกัน (*Stewart Tyler เสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2021)
ลักษณะตู้สำหรับไดเวอร์กลาง–แหลมที่เห็นนั้นเป็นผลมาจากการออกแบบโดยทีมวิศวกรของ Silent Pound เพราะพวกเขารู้ดีว่า ความถี่ในย่านกลางและสูงจะเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติทางด้าน “เวทีเสียง” ที่ลำโพงจะสร้างขึ้นมาในอากาศ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบการทำงานของมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์ซึ่งเป็นตัวกำเนิดความถี่ในย่านกลางและแหลมมากเป็นพิเศษ
ตัวตู้เสียงกลาง–แหลมของ Challenger II ถูกออกแบบขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ครอบคลุมคุณสมบัติถึง 4 ประการ เริ่มจาก Enhanced Directivity and Sound Control = เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการควบคุมลักษณะการแพร่กระจายคลื่นเสียงในย่านกลางทั้งในแนวตั้ง (vertical) และแนวนอน (horizontal) ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการออกแบบที่ “ตั้งใจ” ลดเสียงที่ไปสะท้อนจากผนัง, สะท้อนจากฝ้าเพดาน และสะท้อนจากพื้นให้น้อยที่สุด และพยายามรักษาคุณภาพของคลื่นเสียงที่พุ่งตรงเข้าหาผู้ฟังเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ประการที่สองคือ Increased System Sensitivity = ด้วยการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ต่ำที่ยิงออกไปทางด้านหลังให้วกกลับมาเสริมกับความถี่ต่ำที่ยิงออกมาทางด้านหน้าวูฟเฟอร์ ซึ่งจะทำให้ได้ความไวเพิ่มขึ้นถึง 3dB ส่งผลต่อเนื่องถึงระดับความดัง (SPL = Sound Pressure Level) ที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องการกำลังขับเพิ่มขึ้น ประการที่สามคือ Lower Distortion Levels = ด้วยลักษณะของตัวตู้ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษนี้ มีผลให้สามารถลดพลังงานกดดันของมวลอากาศที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้ลงไปได้มาก ทำให้เกิดอาการสั่นของตัวตู้น้อยลง ส่งผลให้ไดอะแฟรมของไดเวอร์เคลื่อนตัวได้อย่างอิสระ เพราะปราศจากความต้านทานเชิงกล (acoustic loading) เข้ามาขวาง ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเสียงตลอดย่านที่มีลักษณะเปิดโล่ง เป็นอิสระ โดยที่มีความผิดเพี้ยนต่ำมากๆ ประการที่สี่คือ Optimized Front and Rear Wave Alighment = ด้วยการออกแบบตัวตู้ลักษณะที่เห็นนั้น มีผลทำให้คลื่นเสียงที่ครอบคลุมย่านเสียงกลางทั้งหมด คือตั้งแต่ 300Hz ขึ้นไปจนถึง 18000Hz ที่แผ่ออกไปทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวตู้ “ไม่มี” ปัญหาทางด้าน phase ที่เหลื่อมกันเกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลดีโดยตรงต่อคุณภาพเสียงโดยรวมตลอดทั้งย่านความถี่ที่ตอบสนอง
นอกจากนั้น วิศวกรที่ดูแลการออกแบบลำโพงคู่นี้ ยังได้คำนึงถึงความ “ผสมผสาน” ที่ลงตัวระหว่างความถี่ในย่านแหลมตอนล่างของทวีตเตอร์ กับความถี่ในย่านกลางตอนบนของมิดเร้นจ์ไปพร้อมกันด้วย พวกเขาจึงเลือกใช้วิธีออกแบบให้มีปากฮอร์นตื้นๆ (ศรชี้ในภาพข้างบน) ครอบที่ตัวทวีตเตอร์เพื่อปรับมุมกระจายเสียงแหลมของทวีตเตอร์ให้สอดคล้องกับความถี่ในย่านเสียงกลางที่แพร่กระจายออกมาจากตัวมิดเร้นจ์ ซึ่งทางผู้ผลิตเคลมว่า ปากฮอร์นที่ทำขึ้นมาครอบทวีตเตอร์นั้นพวกเขาใช้ความพิถีพิถันละเอียดอ่อนในการออกแบบอย่างมากเพื่อให้ได้มุมกระจายเสียงแหลมที่ให้เฟสออกมา “กลืน” กับเสียงกลางได้อย่างสนิทชิดเชื้อจริงๆ คือมีการจูนโปรไฟล์ (ลักษณะความลาด, หลุม และลึก) ของฮอร์นกันอย่างละเอียดละออ
Open Baffle (OB) & fabric-based suspensions
เสียงทุ้มไร้ตู้ กับขอบผ้า..!!
ส่วนวูฟเฟอร์สองตัวด้านล่างติดตั้งอยู่บนแผงหน้าโดยไม่มีแผงหลังปิด ซึ่งเป็นเทคนิคการออกแบบในลักษณะที่เรียกว่า Open Baffle
นั่นก็หมายความว่า วูฟเฟอร์สองตัวนี้จะกระจายคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (ตั้งแต่ 300Hz ลงไปถึง 30Hz) ออกจากตัวมันไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งเป็นการกระจายคลื่นเสียงที่มีลักษณะเหมือนเลขแปด หรือ figure-8 (ดูจากภาพข้างบน) หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการกระจายเสียงแบบ dipole radiation pattern ซึ่งเหตุผลที่วิศวกรของ Silent Pound เลือกรูปแบบการกระจายเสียงในย่านทุ้มแบบนี้ก็เพราะต้องการควบคุมมุมกระจายเสียงของความถี่ต่ำให้มีทิศทางที่แผ่เข้าหาตำแหน่งฟังให้มากที่สุดและส่งผลกระทบกับผนังห้องให้น้อยที่สุด เพราะพวกเขารู้ดีว่า ปัญหา room modes ที่ส่งผลเสียต่อคุณภาพเสียงของลำโพงนั้นมีต้นเหตุมาจากการก้องสะท้อนของความถี่ต่ำที่ออกมาจากตัวลำโพงนั่นเอง
จากภาพด้านบนจะเห็นว่า คลื่นเสียงทุ้มจากวูฟเฟอร์ของลำโพงคู่นี้จะถูกแพร่กระจายออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้วยลักษณะความถี่ที่เหมือนกันแต่คนละเฟส ในขณะที่ด้านข้างซ้าย–ขวาแทบจะไม่มีความถี่ต่ำแผ่ออกไปเลย
เมื่อไม่มีตู้ จึงไม่มีอากาศภายในตู้คอยช่วยซัพพอร์ตตอนไดอะแฟรมถอยหลัง ผู้ออกแบบจึงเลือกใช้เซอร์ราวนด์ซัสเพนชั่นที่ทำด้วยผ้าอาบน้ำยา (ศรชี้) กับรูปทรงที่ทำเป็นลอนตื้นๆ หลายลอน จึงมี “ความตึงตัว” สูงกว่าเซอร์ราวนด์ซัสเพนชั่นที่ทำด้วยยางที่ให้ความหยุ่นตัวสูง เหตุผลที่ออกแบบเซอร์ราวนด์ซัสเพนชั่นลักษณะนั้นก็เพราะต้องการให้แผ่นไดอะแฟรมหยุดตัวได้เร็วขึ้นนั่นเอง
แม็ทชิ่ง
ลำโพงที่ออกแบบด้วยเทคนิคแปลกๆ มักจะมีอิมพีแดนซ์ต่ำ คือมักจะขับยากกว่าลำโพงทั่วไป โดยเฉพาะแบบที่ใช้หลายเทคนิคผสมกัน แต่พอเปิดเข้าไปดูสเปคฯ ของ Silent Pound ‘Challenger II’ ตัวนี้แล้วค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย เพราะตัวเลขสเปคฯ สำคัญๆ ที่ต้องนำมาใช้วิเคราะห์ในการแม็ทชิ่งแอมป์มันฟ้องว่า พฤติกรรมของลำโพงคู่นี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากลำโพงที่มีดีไซน์แบบทั่วไป อย่างความไวก็อยู่ที่ 88dB แม้ว่าจะค่อนไปทางต่ำ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่ตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่แนะนำไว้ก็อยู่ระหว่าง 100W ถึง 400W โดยอ้างอิงที่โหลด 4 โอห์ม ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลย เพราะถ้าคำนวนกลับไปที่โหลด 8 โอห์ม ก็แค่แอมป์ที่มีกำลังขับ 50W ถึง 200W ที่มีกำลังสำรองเต็ม 100% เท่านั้น คือสามารถปั๊มกำลังขับออกมาได้อีกเท่าตัวเมื่ออิมพีแดนซ์ของลำโพงลดลงไปอยู่ที่ 4 โอห์ม
บนเว็บไซต์ของ Silent Pound ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแอมป์ที่เหมาะสมกับลำโพง Challenger II ไว้ว่า “..The speakers work best with solid-state amplifiers rated between 100 – 400 watts per channel at 4 Ohms. High-quality, stable amplification with a good damping factor will ensure dynamic sound reproduction and maintain speaker integrity.” เขาว่าลำโพงคู่นี้จะทำงานได้ดีกับแอมป์โซลิดสเตทที่มีกำลังขับระหว่าง 100W – 400W โดยอ้างอิงกับโหลด 4 โอห์ม และเขายังเน้นมาด้วยว่า แอมป์ที่นิ่งและให้แด้มปิ้ง แฟคเตอร์ที่ดีจะให้ไดนามิกที่ดีและจะรักษาความสมบูรณ์แบบของลำโพงคู่นี้ไว้ได้
ช่วงแรกๆ ผมทดลองใช้เพาเวอร์แอมป์ของ QUAD รุ่น Artera Stereo ซึ่งให้กำลังขับข้างละ 140W ที่ 8 โอห์ม (ถ้าวัดที่โหลด 4 โอห์ม ก็น่าจะได้กำลังขับสูงกว่านี้ขึ้นไปอีก แต่ผู้ผลิตไม่ได้แจ้งตัวเลขกำลังขับที่เรต 4 โอห์ม เอาไว้) ขับลำโพงคู่นี้ ซึ่งดูจากตัวเลขกำลังขับแล้วก็ถือว่าอยู่ในเรตที่ผู้ผลิตลำโพงแนะนำ ผลที่ออกมาถ้าเป็นเพลงยุค ’70 – ’80 ที่ให้เสียงอยู่ในย่านความถี่กลาง–แหลมเยอะหน่อย เบสไม่เยอะ และไม่ได้กระแทกกระทั้นมาก ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (ถ้าไม่เทียบกับแอมป์อีกสามตัวที่ผมเอามาทดลองขับหลังจากนั้น) แต่ถ้าเล่นเพลงสมัยใหม่ที่อัด gain มาแรง อัดความถี่ต่ำมาแน่นๆ ลึกๆ และหนักๆ จะรู้สึกว่าแอมป์ไม่ไหว กลาง–แหลมพอได้ แต่คุมทุ้มไม่อยู่
จังหวะดีที่ผมได้รับ N-05XD กับ S-05 ของ Esoteric มาทดสอบ (REVIEW) เลยถือโอกาสจัดชุดเข้ากับลำโพง Challenger II แล้วทำการเซ็ตอัพทดลองฟังผล ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ผมพอใจมากทั้งๆ ที่ก่อนลองฟังก็แอบทำใจไว้ว่าไม่น่าจะออกมาดี เพราะตัวเพาเวอร์แอมป์ S-05 ของ Esoteric มันให้กำลังขับแค่ 60W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม เท่านั้น ไม่ถึงขั้นต่ำ 100W ที่ 4 โอห์ม ตามที่ผู้ผลิตลำโพงแนะนำไว้ แต่พอลองฟังของจริง ปรากฏว่า เสียงโดยเฉลี่ยรวมๆ ออกมาดีกว่าตอนขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ QUAD ‘Artera Stereo’ มาก กลาง–แหลมออกมาดีมากๆ ได้ออกมาครบทั้งความลื่นไหล, ความฉ่ำ และเนื้อมวลที่เนียนละเอียด คือได้บุคลิกของความเป็นแอมป์ class-A ออกมาอย่างชัดเจน ปลายแหลมก็พลิ้ว เนียนฉ่ำ และทอดกังวาน กลางต่ำอิ่มหนา มวลแน่น ติดอวบนิดๆ (แต่ผมชอบ โดยเฉพาะทำให้เพลงร้องน่าฟังมากขึ้น) ซึ่งถ้าเป็นคนที่ชอบฟังเพลงช้าๆ ที่เน้นความละมุนละมัยเป็นหลักน่าจะจบได้เลยกับชุด N-05XD/S-05 + Challenger II เซ็ตนี้
ส่วนคุณสมบัติที่คู่ N-05XD/S-05 + Challeger II ยังทำได้ไม่เพอร์เฟคก็คือย่านต่ำที่ยังขาดความเด็ดขาดไปหน่อย (ประเด็นนี้ถ้าเต็ม 100% ก็ทำได้ประมาณ 6 – 70% แต่อย่าลืมว่าเป็น 60 – 70% ของลำโพงราคาคู่ละล้านกว่านะ.!!) คนที่ชอบฟังเบสที่นุ่มและแผ่จะรับได้ แต่ถ้าชอบทุ้มแน่นๆ กระชับๆ กระแทกกระทั้น ออกแนวหนักหน่วงรุนแรงน่าจะยังไม่ถูกใจนัก ซึ่งก็น่าจะเป็นผลมาจากกำลังขับ+แด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์นี่เอง แต่ถ้าชอบกลาง–แหลมที่เมลืองมลัง หวานฉ่ำ พลิ้วไสว อยากให้ไปลองฟัง Esoteric ‘N-05XD’ + ‘S-055’ + Silent Poud ‘Challeger II’ ชุดนี้ดูสักหน่อย คุณอาจจะได้ชุดจบที่ให้เสียงถูกใจโดยใช้งบที่ไม่สูงมากได้เลย
หลังจากนั้นผมก็ได้รับปรี+เพาเวอร์แบรนด์ CH Precision รุ่น L1 + A1.5 เข้ามาเพื่อทำการทดสอบ ซึ่งเพาเวอร์แอมป์ A1.5 ให้กำลังขับ 150W ที่ 8 โอห์ม และขยับขึ้นไปได้สูงถึง 275W ที่ 4 โอห์ม ซึ่งดูจากสเปคฯ แล้ว ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับลำโพง Silent Pound คู่นี้หน่อย ผมมีโอกาสทดลองฟังเซ็ตนี้อยู่นานพอสมควร พบว่าผลลัพธ์ที่ออกมาก็ตรงตามคาด ทุกเสียงที่ออกมามันยกระดับคุณภาพขึ้นไปอีกหลายเปอร์เซ็นต์.!
ในย่านกลาง–แหลม เมื่อเทียบกับตอนขับด้วย N-05XD/S-05 ของ Esoteric พบว่า L1/A1.5 + Challeger II จะให้บุคลิกของเสียงที่มีความสมจริงมากขึ้น คือลดความฉ่ำหวานออกไปนิดนึง แล้วเอาความกระชับกับน้ำหนักย้ำเน้นเพิ่มเข้ามาแทน ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นลักษณะเสียงที่เข้าใกล้กับความเป็น “มอนิเตอร์” มากขึ้น แยกแยะคุณภาพเสียงของแต่ละเพลงออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น และสิ่งที่ L1 + A1.5 ทำหน้าที่ออกมาได้ดีมากๆ เมื่อจับคู่กับลำโพง Silent Pound คู่นี้ก็คือ ได้ย่านเสียงทุ้มที่ดีขึ้นมาก สามารถ “ขุด” ลึกลงไปถึงรายละเอียดของโน๊ต bass ขึ้นมาให้ได้ยินชัดขึ้น.!!
ได้ฟัง CH Precision ‘A1.5’ ขับ Silent Pound ‘Challeger II’ แล้ว ทำให้รู้เลยว่า ถ้าคิดจะเล่นลำโพงคู่นี้จริงๆ แอมป์ต้องถึงไว้ก่อน ซึ่งไม่ใช่จะดูแค่ตัวเลขกำลังขับอย่างเดียวนะ แต่ต้องเอา “ราคาขาย” ของแอมป์มาพิจารณาด้วย ในขณะที่ Challenger II ตั้งราคาไว้ที่ 1,350,000 บาท ต่อคู่ ส่วน A1.5 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,600,000 บาท ต่อตัว ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกันดี
ตอนท้ายของการทดสอบฟังเพลงเพื่อสรุปแนวเสียงของ Silent Pound ‘Challeger II’ ผมได้รับเพาเวอร์แอมป์ CH Precision รุ่น M1.1 ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่กว่า A1.5 มาจับคู่กับลำโพงคู่นี้เพื่อทดลองฟังเสียงด้วย (*เอามาฟังเปรียบเทียบกับเสียงของรุ่น A1.5) พบว่า เสียงโดยรวมที่ได้จากชุด L1 + M1.1 + Challeger II มีความกระชับแน่นและคมเข้มมากขึ้น แต่ละเสียงมีความเป็น “ตัวตน” สูงขึ้นไปอีกขั้น โดยรวมดีขึ้นทุกด้าน ฟังแล้วเข้าใจเลยว่า ถ้ามีใครถามว่า เสียงที่ดีกว่าเสียงที่คุณกำลังฟังอยู่และคิดว่าดีแล้วนั้นเป็นเสียงแบบไหน.? ไม่มีทางตอบได้เลย นอกจากจะมีโอกาสได้ฟัง “เสียงที่ดีกว่า” นั้นด้วยหูของตัวเองซะก่อน.!!
ช่วงท้ายขณะกำลังฟังเก็บรายละเอียดเพื่อสรุปผลการทดสอบลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้ ทางบริษัท iAV ได้ส่งเพาเวอร์แอมป์ Jeff Rowland รุ่น Model 555 มาให้ทดสอบ ผมเลยลองเอามาขับลำโพงคู่นี้แล้วฟังเสียง พบว่าแอมป์กับลำโพงคู่นี้มันไปกันได้ดีทีเดียว เสียงโดยรวมออกมาในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก แม้ว่าจะยังไม่เท่ากับตอนขับด้วย Ch Precision ‘A1.5’ แต่เมื่อเทียบกับราคาของ Model 555 ที่ตั้งไว้ 700,000 บาท/ตัว กับเสียงที่ได้ออกมาก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาค่าตัวของแอมป์ตัวนี้แล้ว พอใช้เป็นแนวทางได้ว่า ใครที่ใช้เพาเวอร์แอมป์ของ Jeff Rowland (ที่มีกำลังขับ 150W ขึ้นไป) อยู่ ถ้าอยากเล่นลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้ก็ยกไปจับกับแอมป์ของคุณได้เลย ไปกันได้ดีแน่นอน.!!
เซ็ตอัพตำแหน่งของ Silent Pound ‘ Challenger II ’
ในสมุดคู่มือของลำโพง Silent Pound คู่นี้ มีคำแนะนำสำหรับการเซ็ตอัพตำแหน่งวางไว้ด้วย เริ่มด้วยระบุ “ขนาดห้องฟัง” ในอุดมคติซึ่งควรจะเป็นห้องที่มีสัดส่วนสี่เหลี่ยมผืนผ้า เริ่มต้นด้วยขนาดพื้นที่ 25 ตรม. ขึ้นไป คือประมาณ 4 x 6 ตรม. ขึ้นไป แถมยังระบุไว้ด้วยว่าควรจะเป็นห้องที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ปรับอะคูสติก ผนังห้องควรจะมีลักษณะเรียบแข็งและมีสัมประสิทธิ์ไปทางสะท้อนเสียง (sound-reflecting surfaces) มากกว่าซับฯ
นอกจากนั้น ผู้ผลิตยังได้แนะนำลักษณะการวางตำแหน่งไว้ด้วย คือ แนะนำให้วางลำโพงไว้ในลักษณะที่ขนานไปกับผนังด้านยาว นั่นคือฝั่งตรงข้ามกับลำโพงเป็นด้านแคบของห้อง จากตัวอย่างข้างต้นสมมุติว่าสัดส่วนห้องเป็น 4 x 6 ตรม. เขาแนะนำให้วางลำโพงไว้ในแนวขนานไปกับผนังด้าน 4 เมตร ซึ่งก็หมายความว่า ลำโพงยิงเสียงออกไปทางด้านยาวคือด้านที่มีระยะ 6 เมตร นั่นเอง แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่ได้มีห้องโล่งๆ ที่พร้อมสำหรับการเลือกตำแหน่งวางได้อย่างอิสระ คุณก็คงจะไม่สามารถวางลำโพงคู่นี้ไว้ตามคำแนะนำของผู้ผลิตได้ ในชีวิตจริงก็คงต้องทดลองวางและปรับจูนไปตามสภาพ
ผู้ผลิตยังแนะนำให้วางลำโพงทั้งสองข้างไว้ห่างผนังด้านหลัง อย่างต่ำ 60 ซ.ม. ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100 ซ.ม. และควรจะห่างจากผนังด้านข้างเท่ากันทั้งสองข้าง โดยมีระยะห่างจากผนังข้างที่เหมาะสมคืออย่างน้อยข้างละ 100 ซ.ม. ขึ้นไป และแนะนำให้ปรับหน้าลำโพงโท–อินให้อยู่ในลักษณะเอียงเฉียงเข้าหาตำแหน่งนั่งฟัง (turn the speakers towards the listener) ซึ่งจะส่งผลกับความกว้างของเวทีเสียง และสุดท้ายแนะนำด้วยว่า นั่งฟังที่จุด sweet spot จะให้คุณภาพเสียงของลำโพงคู่นี้ออกมาดีที่สุด
ห้องฟังของผมมีขนาดกว้างฝั่งครึ่งห้องด้านวางลำโพงอยู่ที่ 3.6 เมตร ส่วนครึ่งห้องด้านหลังที่เป็นฝั่งนั่งฟังมีความกว้างอยู่ที่ 3.8 เมตร ส่วนความสูงของห้องมีอยู่ 2 ระดับ ครึ่งหน้า 2.5 เมตร สโลปมาที่ 2.6 เมตร ตรงกลางห้อง ส่วนครึ่งห้องฝั่งนั่งฟังมีความสูงเท่ากับ 3.0 เมตร ในช่วงแรก ผมทดลองปรับตั้งตำแหน่งลำโพงตามรูปแบบที่ผู้ผลิตแนะนำไว้ คือดันลำโพงทั้งสองข้างเข้าไปชิดผนังด้านหลังเท่ากับ 100 ซ.ม. และจัดลำโพงทั้งสองข้างให้ห่างผนังข้าง (ลำโพงซ้ายห่างผนังซ้ายของห้อง, ลำโพงขวาห่างผนังขวาของห้อง) อยู่ที่ข้างละ 100 ซ.ม. นั่นทำให้ลำโพงซ้าย–ขวาวางห่างกันเท่ากับ 3.6 – 2.0 = 1.6 เมตร เสียงที่ออกมาหนักไปทางทุ้มนำ รับรู้ได้ว่าเสียงทุ้มมีลักษณะที่เอ่อขึ้นมา “บ่าท่วม” กลาง–แหลม แม้ว่าเสียงโดยรวมจะแสดงอาการว่าควบคุมได้ เบสลูกใหญ่ แต่กลาง–แหลมสวิงไดนามิกได้ไม่เต็มสเกล พอเร่งวอลลุ่มให้สูงขึ้นเพื่อหวังขยายวงสวิงของไดนามิก ทั้งหมดก็จะเริ่มแสดงอาการ “ล้น” การควบคุมแย่ลง เสียงทุ้มมีลักษณะที่หลวมและขยายฐานกินขึ้นมาท่วมกลาง–แหลมมากขึ้น
ผมลดวอลลุ่มลงให้เสียงเฉลี่ยอยู่ระดับที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป จากนั้นก็ทดลองขยับลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกไปทีละ 5 ซ.ม. จากระยะห่างซ้าย–ขวาที่ 1.6 เมตร เดิม โดยที่ยังคงรักษาระยะหางหลังไว้เท่าเดิมคือ 100 ซ.ม. พบว่า ที่ระยะ 5 ซ.ม.ที่ถ่างออกไปทั้งสองข้าง (รวม = 10 ซ.ม. จากตำแหน่งเดิม) มีผลให้เสียงโดยรวมเปิดโปร่งมากขึ้น แต่โฟกัสของเสียงกลาง–แหลมเริ่มเบลอ และเสียงทุ้มจะเริ่มเบอะบะ หัวเสียงบานใหญ่และคลายตัวออก ขณะที่โฟกัสแย่ลง ณ จุดนี้ พลังดึงดูดในความเป็นดนตรีของเพลงลดถอยลงไปเยอะ สุดท้ายผมก็ต้องตัดสินใจขยับลำโพงซ้าย–ขวาให้ชิดกันกลับเข้าไปทีละ 2 ซ.ม. จนได้ระยะห่างที่ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงที่ไม่แย่คือ 167 ซ.ม. ซึ่ง ณ จุดนี้คุณสมบัติสอง–สามอย่างอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับผม
ขั้นตอนต่อไปผมก็ทดลองเอียงหน้าลำโพงทั้งสองข้างให้ยิงเข้าหาตำแหน่งนั่งฟังมากขึ้น โดยยึดมุมหลังด้านในของลำโพงทั้งสองข้างไว้เป็นจุดหมุน (มุมหลังด้านในของลำโพงห่างจากผนังหลัง = 100 ซ.ม. ตลอดเวลา) ผลคือเวทีเสียงหดแคบลง มิติเสียงตรงกลางระหว่างลำโพงมีความเข้มข้นมากขึ้น ความโปร่งใสของพื้นเสียงลดลง อัตราสวิงไดนามิกหดแคบลง และเมื่อปรับโทอินเข้ามาหาจุดนั่งฟังเกิน 10 องศา ผมก็ได้ยินบางเสียงมีอาการ compress หัวโน๊ตถูกกดแบนอยู่กับที่ ไม่พุ่งออกมา เสียงโดยรวมเหมือนจะถูกควบคุมมากขึ้น หางเสียงสั้นลง ในขณะที่ความเป็นอิสระ+ความเป็นดนตรีหายไปเยอะ ฟังแล้วไม่รู้สึกเพลินไปกับเพลง ผมผายหน้าลำโพงทั้งสองข้างให้กลับมาอยู่ในลักษณะยิงตรงออกมาในแนวขนานไปกับผนังห้องซ้าย–ขวา อาการอั้นๆ หายไป โดยรวมดีขึ้น จากนั้นผมก็ทดลองขยับลำโพงทั้งสองข้างให้เดินหน้า หนีผนังหลังออกมาทีละ 5 ซ.ม. ทุกห้าเซ็นติเมตรที่ขยับหนีผนังหลังออกมา (โดยคงระยะห่างซ้าย–ขวาเอาไว้) ผมพบว่า เวทีเสียงเริ่มขยายตัวออกไปมากขึ้น วงใหญ่ขึ้น ผมขยับลำโพงหนีผนังหลังขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระยะห่างประมาณ 175 ซ.ม. ผมพบว่า จุดนี้ให้เสียงทุ้มดีขึ้นมาก แยกตัวออกจากเสียงกลาง–แหลมมากขึ้น เสียงเบสลึกๆ ในหลายๆ เพลงรวมถึงเสียงตีกลองจีนใบใหญ่ในอัลบั้มชุด Poems of Thunder – The Master Chinese Percussionist ก็มีตำแหน่งที่หลุดไปอยู่ด้านหลังระนาบลำโพงอย่างชัดเจน.! รูปวงมีลักษณะของความเป็นสามมิติมากขึ้น มีการเรียงเลเยอร์ของความลึกที่แยกแยะระนาบได้ชัดขึ้น อัตราสวิงไดนามิกดีขึ้นตลอดทั้งย่าน
ณ จุดนี้มีเรื่องน่าแปลกเกิดขึ้น คือในการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงนั้น มีความจริงอยู่ว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะค้นหาอะไร ถ้าเรารู้ว่าเสียงที่ดีเป็นแบบไหน ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นวางลำโพงไว้ ณ จุดใดในห้อง พอถึงขั้นตอนไฟน์จูนด้วยการขยับตำแหน่งลำโพง เสียงในหัวเราจะคอยบอกให้เรารู้เองว่า ตำแหน่งไหนของลำโพงที่ให้เสียงออกมาตรงกับเสียงที่เราต้องการมากที่สุด ตรงกับ “เสียงที่ดี” ตามความหมายของเรา ถ้าเสียงยังไม่ใช่ เราควรจะขยับลำโพงไปในทิศทางใด หลังจากใช้ความหมายของเสียงดีตามประสบการณ์ของผมนำทางไปขณะไฟน์จูนไปเรื่อยๆ ผมพบว่า ระยะตำแหน่งลำโพง Silent Pound ‘Challenger II‘ ณ จุดที่ให้เสียงโดยรวมออกมาอยู่ในระดับที่ผมพอใจมากที่สุดก็คือระยะห่างซ้าย–ขวาอยู่ที่ 152.5 ซ.ม. x ระยะห่างผนังหลังอยู่ที่ 180 ซ.ม. โดยที่ลำโพงทั้งสองข้างวางหน้าตรง ไม่โทอิน (ขับด้วย CH Precision ‘L1 + A1.5’)
ลำโพงตัวใหญ่ แถมใช้วูฟเฟอร์ 12 นิ้ว ข้างละตั้ง 2 ตัว ทำไมถึงวางได้ใกล้กันขนาดนั้น.? ขณะไฟน์จูนเสียงของลำโพงด้วยการขยับตำแหน่งลำโพงไปเรื่อยๆ นั้น ผมจะมองหาตำแหน่งลำโพงที่ทำให้ได้คุณสมบัติทางด้าน “โฟกัส” ออกมาก่อนเป็นอย่างแรก เพราะโฟกัสเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของคำว่าเสียงดี โฟกัสที่ดีจะให้ “หัวเสียง” ของแต่ละโน๊ตที่คมชัด หลังจากได้โฟกัสของเสียงที่คมชัดมากที่สุดแล้ว คุณสมบัติข้ออื่นๆ นั่นคือ “ไทมิ่ง” กับ “เวทีเสียง” จะปรากฏตามมาเองโดยอัตโนมัติซึ่ง “ไทมิ่ง” ที่ลงตัวจะทำให้เราได้ยิน “บอดี้” ที่อิ่มเต็ม รวมถึงคุณสมบัติทางด้าน ความหนา + ความเข้ม + ความอิ่ม + ความเนียน ของ “มวลเนื้อเสียง” และได้ยิน “หางเสียง” ที่ทอดกังวานออกมาครบ ส่วนลักษณะของ “โทนัลบาลานซ์” ก็จะปรากฏออกมาเท่าที่คุณภาพและระดับชั้นของเครื่องเสียงในระบบจะสามารถให้ได้
เหตุผลที่ทำให้สามารถวางลำโพงทั้งสองข้างให้ชิดกันได้มาก ก็เป็นเพราะว่า เสียงทุ้มของลำโพงคู่นี้ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบไม่มีตู้ ซึ่งทำให้มุมกระจายเสียงในย่านต่ำมีลักษณะที่ยิงออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังเหมือนเลข 8 (หรือ dipole radiation pattern) ซึ่งมวลเสียงส่วนใหญ่จะพุ่งเป็นลำออกไปข้างหน้าและข้างหลังมากกว่าที่จะแผ่ออกไปทางด้านข้างซ้าย–ขวา ด้วยเหตุนี้ การที่จะทำให้คลื่นเสียงจากลำโพงซ้าย–ขวาแผ่เข้าหากันโดยที่มีมุมเฟสที่สอดคล้องกัน (in-phase กัน) จึงใช้ระยะห่างระหว่างข้างซ้ายกับข้างขวา “น้อยกว่า” ลำโพงที่ออกแบบมุมกระจายเสียงให้แผ่ออกทางด้านข้างมากกว่านี้ ใครที่มีห้องขนาดใหญ่ และชอบนั่งฟังไกลๆ คุณสามารถฉีกลำโพงซ้าย–ขวาให้ห่างกันออกไปได้มากถึง 152.5 x 2 = 305 เมตร เพื่อให้คลื่นเสียงจากลำโพงทั้งสองข้าง in-phase กันในลูปที่สอง แต่ก็ต้องใช้แอมป์ที่มีกำลังขับเยอะมากๆ เพื่อเพิ่มความเข้มให้กับเสียงที่อยู่ระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง ซึ่งห้องของผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะมีความกว้างเพียงแค่ 360 ซ.ม. เมื่อลองขยับลำโพงคู่นี้ให้ห่างกัน 305 เมตร ทำให้เหลือระยะห่างผนังด้านข้างเพียงแค่ข้างละ 27.5 ซ.ม. เท่านั้น ซึ่งทำให้ต้องเจอกับปัญหาเสียงสะท้อนผนังด้านข้าง (early reflection) เข้ามาหักล้างรบกวนกับคลื่นเสียงที่เดินทางตรง (direct sound) จากหน้าไดเวอร์ของลำโพงมาที่จุดนั่งฟัง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าแย่ เสียงตีกันมั่วไปหมด สุดท้ายก็ต้องหุบกลับเข้ามาจนถึงระดับที่เสียงโดยรวมออกมาดีที่สุดตามภาพชาร์ตข้างบนนั่นเอง
การไฟน์จูนก่อนฟังจริง.!
ก่อนจะไปสรุปแนวเสียงของลำโพงคู่นี้ ผมได้ทำการ fine tune ไป 2 จุด ที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แสดง “ตัวตน” ของลำโพงคูนี้ออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น..
ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้ได้ออกแบบอ๊อปชั่นที่ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับ “ปริมาณ” ของความถี่ต่ำจากวูฟเฟอร์และความถี่สูงจากทวีตเตอร์ได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับใช้อ๊อปชั่นนี้ผ่านทางสวิทช์โยกที่ซ่อนอยู่ตรงส่วนฐานของตัวลำโพง ซึ่งจะส่งผลการปรับตั้งไปที่วงจรเน็ทเวิร์ค เมื่อดูจากวงกลมสีแดงในภาพข้างบน ทางซ้ายนั้นสำหรับโยกเลือกปรับความถี่ย่านแหลม (treble) ซึ่งเลือกได้ 2 อ๊อปชั่น คือ 0dB (โยกขึ้น / ปริมาณเสียงแหลมปกติ) กับ +2dB (โยกลง / เพิ่มแหลมขึ้น 2 ดีบี) ส่วนสวิทช์ทางขวาสำหรับโยกเลือกปรับความถี่ในย่านทุ้ม (bass) ก็ปรับเลือกได้ 2 อ๊อปชั่น เหมือนกัน คือ 0dB (โยกขึ้น / ปริมาณเสียงทุ้มปกติ) กับ -3dB (โยกลง / ลดทุ้มลง 3 ดีบี)
อ๊อปชั่นนี้มีมาให้ใช้สำหรับปรับแต่งโทนัลบาลานซ์ของเสียง ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับเพิ่ม/ลดได้ทั้งทางด้านแหลมและด้านทุ้ม ซึ่งผมพยายามที่จะไม่ใช้ฟังท์ชั่นเหล่านี้ เพราะต้องการได้ยินประสิทธิภาพเต็มๆ ของเสียงตามที่ผู้ออกแบบปรับจูนมาให้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เมื่อได้ตำแหน่งลำโพงที่ลงตัวแล้ว ผมพบว่า เพลงสมัยใหม่บางเพลงที่มิกซ์เสียงทุ้มมาเยอะๆ จะได้ยินอาการล้นๆ ของเสียงทุ้มออกมาบ้าง (คิดว่าเป็นเพราะขนาดห้อง) แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหา เมื่อทดลองโยกสวิทช์ปรับ Bass ไปที่ -3dB พบว่าเสียงทุ้มล้นๆ หายไป แต่ความอิ่มเต็มของมวลความถี่ต่ำกับมวลของแอมเบี้ยนต์ที่ระดับ sub-bass ก็เจือจางลงไปด้วย สุดท้ายแล้วผมยอมล้นนิดๆ กับบางเพลงดีกว่าเพราะอยากได้เสียงที่อิ่มเต็ม
ลำโพงคู่นี้ให้ขาตั้งมาข้างละ 4 ขา เป็นขาเกลียวที่มีแป้นยางกลมๆ ขนาดใหญ่อยู่ที่ปลาย (ศรชี้ในภาพข้างบน) ซึ่งพอขันเกลียวสวมเข้าไปที่ฐานของตัวลำโพงแล้ว แป้นยางกลมๆ นี้จะทำหน้าที่สัมผัสกับพื้นห้อง ซึ่งขาตั้งตัวนี้จะให้ผล “ดี” ถ้าพื้นห้องฟังของคุณเป็นไม้, ปูน หรือกระเบื้อง แต่จะส่งผล “ไม่ดี” ถ้าพื้นห้องของคุณปูทับด้วยพรมหนาๆ เพราะแป้นยางที่ด้านล่างของขาจะทำให้ตัวลำโพงไม่แนบแน่นไปกับพื้น
โชคดีที่พื้นห้องผมเป็นไม้เอ็นจิเนียร์วู๊ดที่ปูไว้ค่อนข้างแน่น ทำให้รองรับกับขาตั้งของลำโพงคู่นี้ได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือผมไม่สามารถขยับตัวลำโพงให้เลื่อนไปทีละนิดได้ เพราะแผ่นยางที่อยู่ด้านล่างของขาตั้งมันจะฝืดไม่ลื่นไหลไปบนแผ่นไม้ เวลาเซ็ตอัพและไฟน์จูนจึงต้องใช้วิธียกเขยิบไปทีละนิด แต่สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งที่ให้เสียงออกมาน่าพอใจมากที่สุด
หลังงาน BAV2025 คุณวี จากบริษัท WE Soundlab ผู้นำเข้าลำโพง Silent Pound ควงคู่คุณหน่อย เจ้าสำนัก Life Audio แวะเข้ามาที่ห้องฟังของผมพร้อมกับไอเต็มลับ เป็นตัวรองขาตั้งของลำโพง Challenger II ที่คุณหน่อยออกแบบและผลิตให้ในนามของ Life Audio ซึ่งคุณวีแจ้งว่า จะขายขาตั้งตัวนี้เป็นอ๊อปชั่นให้กับผู้ที่ซื้อลำโพง Challenger II ที่ต้องการอัพเกรดคุณภาพเสียงของลำโพงรุ่นนี้.. อัพเกรดคุณภาพเสียง..?? แสดงว่าใช้ตัวรองขาตั้งของ Life Audio ตัวนี้แล้วช่วยให้เสียงของลำโพงคู่นี้ดีขึ้น.? ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่คุณวีกับคุณหน่อยต้องหอบหิ้วขาตั้งตัวนี้มาหาผมเพื่อเอามาให้ทดลองฟังนั่นเอง
คุณหน่อยเป็นคนติดตั้งขาตั้งตัวนี้เข้าไปกับลำโพง Challenger II ให้ผมทดลองฟังด้วยตัวเอง ซึ่งแค่เอาขาตั้งเข้าไปติดตั้งเท่านั้น เสียงโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ตำแหน่งลำโพงยังคงอยู่ที่เดิม สิ่งแรกที่ชัดมากคือความนิ่งและความกระชับตรึงของเสียงที่ส่งผลให้โฟกัสคมขึ้น ช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีมีความโปร่งโล่งมากขึ้น เพราะเป็นผลมาจากความถี่ในย่านทุ้มที่กระชับแน่นมากขึ้นหลังจากใส่ขาตั้งของ Life Audio เข้าไป เมื่ออาการฟุ้งของความถี่ต่ำลดลง ก็ทำให้เสียงทุ้มและเสียงในย่านอื่นๆ มีลักษณะที่ขึ้นรูปเป็นตัวเป็นตนมากขึ้น จึงทำให้ช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีมีความโล่งเคลียร์มากขึ้น และที่สำคัญก็คือ พอรองขาตั้งของ Life Audio เข้าไปแล้ว ผมสามารถดันให้ลำโพงเลื่อนขยับทีละนิดได้ สามารถปรับจูนเสียงอย่างละเอียดได้ด้วยตัวเองคนเดียว. ชอบมาก.!!
เสียงของ Silent Pound ‘Challenger II’
ลักษณะการจัดวางไดเวอร์มิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ให้เรียงกันอยู่ในแนวตั้ง และการออกแบบตู้เสียงกลางโดยดึงความถี่ในย่านกลางที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้ให้พุ่งออกมาเสริมกับความถี่เดียวกันที่แผ่ออกมาจากหน้าดอก มีผลทำให้ได้เสียงกลางที่มีลักษณะ full body อย่างมาก ใครที่เคยได้ยินคำว่า ‘full body’ มาก่อน แต่ยังไม่เคยฟังเสียงแบบนั้นเลย หรือไม่รู้ว่ามันหมายความอย่างไร ต้องหาโอกาสทดลองฟังเสียงของลำโพง Silent Pound คู่นี้แล้วจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง.!
เพลง : Jacob’s Dream (https://tidal.com/browse/track/39119864?u)
อัลบั้ม : A Hundread Miles Or More: A Collection (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Allison Krauss
เพลง : Hoist The Colours (A Cappella)(https://tidal.com/browse/track/350788226?u)
อัลบั้ม : Hoist The Colours (A Cappella)(TIDAL HD/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : The Wellermen
ในการวิเคราะห์คุณภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงนั้น โดยส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญกับ “เสียงกลาง” มากที่สุด โดยพิจารณาที่ “เสียงร้อง” ของศิลปินชาย–หญิงก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นนั้นถ่ายทอดเสียงกลางออกมาได้ไม่ดี ไม่สามารถถ่ายทอด “อารมณ์” ของศิลปินออกมากับเสียงร้องได้ ก็คงไม่ต้องคาดหวังกับคุณภาพทางด้านอื่นกันแล้ว
“อารมณ์” ของเสียงร้องเกิดจาก “โฟกัส” คือความคมชัดของตัวเสียง และ “ไทมิ่ง” คือลีลาขยับเคลื่อนของไดนามิกที่เกิดขึ้นในย่านเสียงกลางที่ดี ซึ่งหลังจากเซ็ตอัพค้นหาตำแหน่งระหว่างลำโพงซ้าย–ขวาที่ลงตัวเจอแล้ว เสียงที่ลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้ปลดปล่อยออกมามันมีมากกว่าคำว่า “อารมณ์” ของศิลปินที่ถ่ายทอดออกมากับเนื้อหาของเพลง แต่มัน (ลำโพงคู่นี้) ยังได้ถ่ายทอด “รายละเอียด” ที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังฟังศิลปินผู้นั้นบรรจงขับร้องให้ฟังอยู่ต่อหน้า เพราะเสียงที่ออกมามันมี “แรงปะทะ” ของมวลอากาศที่นำพาคำร้องแต่ละคำ แต่ละประโยคให้พุ่งตรงเข้ามาถึงตัว ทะลุถึงประสาทหู และสาดเอนเนอร์จี้ให้ไล้สัมผัสไปบนร่างกาย ไม่ใช่แค่เสียงร้องแผ่วๆ ที่ลอยมาเข้าหูเท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเสียงร้องของ The Wellermen ในเพลง Hoist The Colours (A Cappella) ที่หอบเอามวลความถี่ต่ำๆ ของลูกคอมากับเสียงร้องพุ่งออกมาปะทะถึงตัว ช่วยให้รู้สึก “อิ่มเอิบ” ไปกับอารมณ์ของเพลงได้อย่างลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าแค่ได้ยินเพลงแว่วมาเข้าหู ส่วนเสียงร้องของ Allison Krauss ในเพลง Jacob’s Dream นั้นทำให้ผมรู้ว่า ลำโพงคู่นี้ให้เสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมที่มีอัตราสวิงของ “ไดนามิกเร้นจ์” ที่เปิดกว้างมากเป็นพิเศษ สามารถถ่ายทอดเสียงร้องของ Allison Krauss ออกมาได้ชัดเจนทั้งในช่วงที่เธอร้องแผ่วๆ เหมือนกระซิบ ไปจนถึงช่วงที่เธอแผดพลังเสียงขึ้นไปแบบสุดๆ จากที่เคยฟังเพลงนี้มากับลำโพงหลายๆ คู่ ผมจะรู้สึกเสมอว่า เสียงร้องของ Allison Krauss ในเพลงนี้เป็น “งานยาก” สำหรับลำโพงในการที่จะสามารถควบคุมไดนามิกเร้นจ์ของเสียงร้องให้ “เปิดกระจ่าง” ออกมาอย่างเท่าเทียมกันแบบนิ่งๆ ทั้งในช่วงแผ่วและช่วงโหม บางคู่นั้นพอคุมช่วงที่โหนขึ้นไปสูงๆ ไม่ให้เป๋ ช่วงแผ่วก็มักจะจางหายจมลงไปกับแบ็คกราวนด์ พอพยายามขุดเอาช่วงที่เธอร้องแผ่วๆ ให้ลอยออกมา พอถึงช่วงโหนขึ้นไปสูงๆ ก็จะออกมาเฟี๊ยวฟ๊าว หวีดหวิวฟังไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาผมแอบติเสียงของเธอมาตลอด คิดว่าเธอร้องไม่ไหว คุมเสียงไม่อยู่ หรืออัดมาไม่ดี แต่พอได้ยินเพลงนี้ผ่านลำโพง Silent Pound คู่นี้อีกที ผมถึงกับต้องลบความทรงจำเดิมๆ ทิ้งไปทันที.!!
ความน่าทึ่งของลำโพง Silent Pound ‘Challenger II‘ คู่นี้อยู่ที่วูฟเฟอร์ 12 นิ้ว ทั้งสี่ตัวกับระบบการกระจายคลื่นเสียงแบบ dipole ที่ยิงออกไปทางด้านหน้าและด้านหลัง เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ลงตัว ผมพบว่า มวลคลื่นความถี่ต่ำที่ลำโพงคู่นี้สร้างขึ้นมาในห้องมันมี “คุณมหันต์” ช่วงความถี่ตั้งแต่ 300Hz ลงไปจนถึง 30Hz มันมีพลังมากพอที่จะสามารถควบคุม room modes ของห้องได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อ room modes ถูกเกลี่ยจนไม่มีเหวและภูเขาเกิดขึ้นภายในห้อง ก็เปิดโอกาสให้คลื่นเสียงที่แผ่กระจายออกมาจากไดเวอร์สามารถสวิงไดนามิกออกมาได้อย่างเต็มที่ คุณสมบัติทางด้านเฟสของแต่ละความถี่ที่ลำโพงสร้างขึ้นมาก็ไม่ถูกทำลาย ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้คุณสมบัติทางด้าน “โฟกัส” และ “ไทมิ่ง” ที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงคุณสมบัติทางด้าน “โทนัลบาลานซ์” และ “เวทีเสียง” ที่เยี่ยมยอดอีกด้วย
เพลง : Pillar I (https://tidal.com/browse/track/196421286?u)
อัลบั้ม : Seven Pillars (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Andy Akiho
เพลง Pillar I ในอัลบั้มเพลงแค่เพลงเดียว มันช่วยเผยคุณสมบัติหลายๆ อย่างของ Silent Pound ‘Challenger II’ ออกมาให้ได้ยินแบบเต็มๆ ชนิดที่ไม่มีอั้น ซึ่งบางอย่างที่ได้ยินออกมาจากเพลงนี้ ผ่านลำโพงคู่นี้ มันทำให้ถึงกับอ้าปากค้าง..!!
ก่อนจะได้ลองฟังด้วยเพลงนี้ ผมยอมรับว่าแอบกังวลใจอยู่เหมือนกันว่า ลำโพงใหญ่ขนาดนี้ ใช้วูฟเฟอร์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเจอกับเพลงที่เน้นเบสหนักๆ เสียงมันจะ “หลุดตู้” มั้ยน้าา.. ?? แต่พอได้ยินเสียงเพอร์คัสชั่นแค่ไม่กี่โน๊ตช่วงขึ้นต้นเพลงนี้ก็ทำเอาขนลุกซู่แล้ว.! เสียงตีกลองใหญ่ที่มีทั้งความหนักแน่น กระชับตึงของเพลงนี้มันถอยหลุดเข้าไปอยู่ด้านหลังของระนาบลำโพงอย่างชัดเจน เรียกว่าถอยกรูดลงไปทั้งยวง ไม่เหลือติดคาอยู่บนลำโพงเลยแม้แต่น้อย.!! พูดสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้ให้เสียงทุ้มที่ “หลุดตู้” แบบไม่มีข้อสงสัยคาใจแม้แต่น้อย.!
และไม่ใช่แค่เสียงทุ้มเท่านั้นที่ “หลุดตู้” กระจุยกระจาย เสียงเครื่องเคาะในย่านกลางและแหลมก็ถูกดีดกระจายออกไปทั่วห้อง แผ่กว้างกินอาณาเขตออกไปทางด้านข้างซ้าย/ขวา และหน้า/หลัง โดยไม่มีอาการ “ห่วงตู้” เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่คงเป็นผลมาจากการที่ผู้ผลิตเคลมว่าสามารถขจัดเรโซแนนซ์ของตู้ลงไปได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับลำโพงขนาดพอๆ กันที่มีตู้ทั่วไป
เสียงเครื่องเคาะออกมากลม ใส ลอยอยู่ในอากาศเป็นเม็ดๆ แถมด้วยสำเนียงของ “ความสด” ที่ฉาบเคลือบอยู่กับทุกเม็ดเสียง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นอิทธิพลของทวีตเตอร์ทรงฮอร์นคอมเพรสชั่นนั่นเองที่สามารถ “รีด” เนื้อมวลของเสียงแหลมออกมาได้เข้มข้นและพุ่งฉีดเยี่ยงนี้ เป็นลักษณะของเสียงแหลมที่ช่วยเติมความรู้สึก “สมจริง” ให้กับเครื่องดนตรีที่ให้โน๊ตเสียงขึ้นไปถึงระดับกลางสูงและแหลมได้เป็นอย่างดี ใครที่คุ้นชินกับเสียงปลายแหลมของลำโพงฮอร์นได้ยินเสียงแหลมของลำโพง Challenger II คู่นี้แล้ว เชื่อเลยว่า ความสดของปลายเสียงแหลมที่ลำโพงคู่นี้ปลดปล่อยออกมาจะต้องสะดุดหูคุณอย่างแน่นอน
เพลง : แค่นั้น (Live) (https://tidal.com/browse/track/255470111?u)
อัลบั้ม : บันทึกการแสดงสดคอนเสิร์ต ปู.. อยากร้อง เพื่อนพ้องอยากฟัง 2 (Live)(TIDAL MAX/24-96)
ศิลปิน : พงษ์สิทธิ คำภีร์
พูดถึง “ความสด” ก็ต้องนึกถึงเพลงที่มาจากการบันทึกการแสดงสด ซึ่งในปัจจุบันมีงานเพลงประเภทบันทึกการแสดงสดที่มีคุณภาพดีออกมามากมาย ทั้งของศิลปินต่างประเทศและที่เป็นงานของศิลปินไทยเราเอง ตัวอย่างที่ดีของงานเพลงบันทึกการแสดงสดที่ทำออกมาได้ดีมากก็คือ อัลบั้มบันทึกการแสดงสดของพงษ์สิทธิ คำภีร์ชุด ‘ปู.. อยากร้อง เพื่อนพ้องอยากฟัง 2 (Live)’ ชุดนี้
เพลงที่โชว์ศักยภาพของลำโพงออกมาได้มากหน่อยก็คือเพลง “แค่นั้น.. (Live)” ซึ่งทางค่ายวอเนอร์ฯ ปล่อยลง TIDAL เป็นไฟล์ FLAC 24/96 เสียงที่ออกมาจึงมีคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิกเร้นจ์” ที่เปิดกว้างมาก ซึ่งคุณสมบัติทางด้านไดนามิกเร้นจ์นี่แหละคือหัวใจของ “ความสด” ของเพลง คือว่าซาวนด์เอ็นจิเนียร์สามารถบันทึกเก็บช่วงสวิงไดนามิกของเสียงมาได้เต็มๆ แบบไม่คอมเพรส และปล่อยมาลง TIDAL แบบไม่บีบอัดลดบิตเรตลง เมื่อสตรีมมาฟังผ่าน DAC ที่แปลงสัญญาณถึงระดับ 24/96 ได้แบบเต็มประสิทธิภาพจริงๆ รวมถึงแอมป์และลำโพงก็มี bandwidth ที่เปิดกว้างสำหรับการถ่ายทอดไดนามิกเร้นจ์ได้เต็มสเกล คุณก็จะได้ยินเสียงที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับไปนั่งฟังคอนเสิร์ตสดๆ อยู่หน้าเวที.!
ที่ว่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้น คือตั้งใจจะบอกว่า Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้สามารถ “นำ” บรรยากาศของคอนเสิร์ตนี้กลับมาให้ฟังในห้องของผม เสียงที่ออกมามันมี “ความสด” อย่างมาก สดจนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งฟัง ปู พงษ์สิทธิ เล่นเพลงให้ฟังอยู่ในห้อง.!!
ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง, เสียงกีต้าร์โปร่ง และเสียงคนดูที่ร่วมร้อง และเสียงบรรยากาศรอบข้าง มันมีความสมจริงจนขนลุก ลำโพงคู่นี้ปลดปล่อยเสียงร้องของพงษ์สิทธิที่สวิงไดนามิกออกมาได้อย่างเป็นอิสระ ไม่มีอาการอั้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเปิดดังยิ่งมันตราบที่ยังไม่ล้นห้อง ความสามารถในการถ่ายทอดความถี่สูงไปได้ไกลถึง 18kHz ของทวีตเตอร์ฮอร์นโหลดของลำโพงคู่นี้มีส่วนช่วยขยายบรรยากาศให้แผ่คลุมพื้นที่อากาศในภายในห้องเอาไว้ได้หมดทุกตารางนิ้ว มวลแอมเบี้ยนต์แผ่คลุมมาถึงตำแหน่งนั่งฟัง ทำให้รู้สึก “มีส่วนร่วม” ไปกับเพลงที่ฟังอย่างแนบแน่น เป็นประสบการณ์ระดับที่เรียกว่า ‘immersive’ ที่เป็นโจทย์ยากสำหรับลำโพงที่มีขนาดเล็กจะสามารถทำได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าลำโพงคู่นี้จะสามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างมาก คือตั้งแต่ 30Hz – 18kHz เท่านั้น แต่ความถี่ตลอดทั้งย่านที่ตอบสนองนั้น โดยเฉพาะความถี่ต่ำ มันถูกสร้างออกมาจากไดเวอร์ที่มีพื้นที่ไดอะแฟรมขนาดใหญ่ จึงสามารถผลักมวลอากาศที่นำพาคลื่นความถี่ต่ำระดับ sub-bass ให้ไหลเวียนอยู่ภายในห้องได้อย่างทั่วถึง สามารถสร้างเนื้อมวลที่มี “ความเข้มข้น” สูงออกมาได้ ส่งผลให้ได้โฟกัสของเสียงที่นิ่ง และมีรายละเอียด เป็นผลดีกับการฟังในลักษณะของการ “เสพเพลง” อย่างยิ่ง.!
เพลง : Kradem ti se u veceri (https://tidal.com/browse/track/114542272?u)
อัลบั้ม : Bass Room (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Nanad Vasilic
ถ้าไม่ทดสอบความสามารถในการถ่ายทอด “เสียงทุ้ม” ของลำโพงคู่นี้ บททดสอบนี้ก็คงจะไม่สมบูรณ์แน่ๆ เพราะเชื่อว่า หลายคนที่เห็นวูฟเฟอร์ 12 นิ้ว ถึง 4 ตัว แถมด้วยดีไซน์แบบไม่มีตู้แบบนี้ คงอดสงสัยไม่ได้ว่า มันจะให้เสียงทุ้มออกมาแบบไหน.? ดีหรือแย่แค่ไหน.? ส่วนตัวของผมไม่ได้สงสัยในเชิง “ปริมาณ” เพราะเชื่อว่ามันให้ปริมาณเบสได้มากพอแน่ๆ แต่ยอมรับว่าอดสงสัยไม่ได้ในเชิง “คุณภาพ” เพราะจากที่ผ่านมาผมยอมรับว่า ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทดสอบลำโพงที่ใช้ดีไซน์แบบนี้มาก่อน พอเห็นว่า วูฟเฟอร์มันไม่มีตู้มาช่วยอัดมวลความถี่ต่ำ ก็เลยเกิดความสงสัยว่า เสียงเบสของลำโพงคู่นี้มันจะมีความกระชับหรือเปล่า.? หรือจะเป็นเสียงเบสหย่อนๆ ย้วยๆ ..??
เนนาด วาซิลิซ เป็นนักแต่งเพลง, นักเรียบเรียงเสียงประสาน และเป็นนักดนตรีที่เล่นดับเบิ้ลเบสเป็นเครื่องดนตรีหลัก เขาเป็นคนเซอร์เบีย แนวเพลงที่เขาเล่นจะเน้นไปทางแจ๊ส มีผลงานอัลบั้มออกมาเยอะมาก ซึ่งชุด Bass Room ที่ผมสตรีมมาจาก TIDAL เพื่อใช้อ้างอิงในการทดสอบประสิทธิภาพในการถ่ายทอดเสียงทุ้มของลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้เป็นงานเพลงที่เขาทำออกมาเมื่อ ปี 2019 กับค่ายเพลง Galileo
นานาด ทำอัลบั้มชุด Bass Room ชุดนี้ออกมาเพื่อสานต่อจากอัลบั้มชุด ‘The Art of the Balkan Bass’ ที่เขาทำออกมาเมื่อ ปี 2014 ซึ่งเป็นงานเพลงที่ใช้อะคูสติกเบสในการบรรเลงล้วนๆ ทั้ง 13 แทรค ในอัลบั้มนี้คุณจึงได้ฟังเสียงอะคูสติกเบสอย่างเต็มอิ่ม ส่วนตัวผมชอบอยู่ 2 – 3 เพลง แต่ที่ฟังบ่อยที่สุดคือเพลง Kradem ti se u veceri ซึ่งเป็นแทรคที่ 5 เพราะในเพลงนี้คุณนานาดแกโชว์เล่นอะคูสติกเบสโดยเริ่มด้วยการดีดด้วยนิ้ว ก่อนจะสลับมาใช้คันชักสี ซึ่งลำโพงคู่นี้สามารถแสดงรายละเอียดทั้งการดีดด้วยนิ้วและสีด้วยคันชักออกมาให้รับรู้ได้อย่างชัดเจน เสียงดีดสายเบสด้วยนิ้วนั้นให้เสียงออกมากระชับ เร็ว และดีดเด้งมาก หัวเสียงขมวดตึงดีมาก ตามด้วยบอดี้ที่อวบหนาและเนื้อแน่น ส่วนปลายเสียงก็เก็บตัวได้อย่างหมดจด ไม่มีอาการคราง หรืออื้ออึงออกมาเลย.. แม้แต่น้อย.!!
แต่ละโน๊ตที่เขาดีดออกมาสามารถแยกแยะได้เด็ดขาด รับรู้ได้ชัดเลยว่า โน๊ตไหนที่เกิดจากการดีดสายล่าง โน๊ตตัวไหนเกิดจากการดีดสายบน เพราะขนาดของหัวเสียง+บอดี้+หางเสียงของแต่ละโน๊ตมันมีลักษณะที่ต่างกัน ส่วนตอนที่เขาใช้คันชักสีลงไปบนสายเบสก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นเครือของเสียงที่เกิดจากคันชักที่ถูกลากและกดให้บดขยี้ลงไปบนสายเบส ด้วยคุณภาพของการบันทึกเสียง บวกกับคุณภาพในการถ่ายทอดรายละเอียดของลำโพง Silent Pound คู่นี้ ทำให้เสียงที่ออกมามีความชัดเจนมาก ฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวคุณนานาดเข้ามานั่งเล่นสดๆ ให้ฟังอยู่ในห้องเลย.!
สรุป
เมื่อจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ที่เหมาะสมกันอย่าง CH Precision รุ่น A1.5 (+ปรีแอมป์รุ่น L1) ทำให้ลำโพงคู่นี้สามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาให้ได้ยินอย่างเต็มที่ ทำให้เห็นว่า การออกแบบที่ผสมผสานเอาเทคนิคของลำโพงตู้เปิดสำหรับกลาง–แหลม กับลำโพงไร้ตู้ (open baffle) สำหรับเสียงทุ้มเข้ามาทำงานร่วมกัน มันให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมาก.! ทั้งความถี่ในย่านกลาง–แหลม และความถี่ในย่านทุ้มที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมา มันคือ “คุณภาพ” ล้วนๆ มันทำให้เพลงทุกเพลงที่ฟังผ่านลำโพงคู่นี้มีลักษณะที่ “เข้าใกล้” กับเสียงตอนเล่นสดๆ ต่อหน้าไมโครโฟนขณะบันทึกลงมาสเตอร์มาก
เสียงทุ้มที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมา ถือว่าเป็นประจักษ์พยานสำคัญที่ยืนยันให้เห็นว่า เทคนิคการออกแบบให้วูฟเฟอร์ทำงานในลักษณะไม่มีตู้แบบนี้ เป็นเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีจริงถ้าออกแบบได้อย่างถูกต้อง เสียงทุ้มที่ได้ออกมาจากการทดสอบด้วยเพลงหลากหลายแนว พบว่า มีคุณสมบัติของความเป็นเสียงทุ้มที่ดีอยู่ครบถ้วน ไม่มีอาการบวมเบลออย่างที่กังวล มิหนำซ้ำ เสียงเบสที่ได้ยินผ่านลำโพงคู่นี้ยังเป็นเบสที่มีคุณภาพ มีความเป็นตัวเป็นตนสูง มีมวลที่อิ่มเข้ม มีความกระชับสะอาด สามารถเก็บรวบหางเสียงได้ดี และที่สำคุณคือ เป็นเสียงทุ้มที่มีพลังดีดตัว สามารถสวิงไดนามิกได้อย่างอิสระและเต็มสเกล เป็นเสียงเบสที่มีเนื้อหนา อิ่มเข้ม ไม่ใช่เบสบางๆ แผ่วๆ เหมือนลำโพงตู้บางคู่
Silent Pound ‘Challenger II’ คู่นี้เป็นลำโพงที่ให้ประสบการณ์ในการฟังเพลงที่แตกต่างไปจากลำโพงทั่วไป ผมเชื่อเลยว่า หลายๆ อย่างที่ได้ยินจากลำโพงคู่นี้คือ “เสียงในฝัน” ที่นักเล่นหลายๆ คนที่ประสบการณ์ในการฟังเดินทางมาถึงจุดตกผลึกกำลังค้นหากันอยู่ แนะนำเลย.. ถ้ามีโอกาส คุณควรหาเวลาทดลองฟังมันสักครั้งในชีวิต.!!!
*************************
ราคา : 1,350,000 บาท / คู่
*************************
สนใจติดต่อ
WE Soundlab
โทร. 098-554-2561
facebook: WE Soundlab