เคยมีคนถามว่า ถ้าเล่น “สตรีมเมอร์” กับ “ปรีแอมป์” แบบแยกชิ้นระดับกลางๆ ที่มีราคาชิ้นละเฉียดแสนบาท เทียบกับเล่นพวก “สตรีมเมอร์/ปรีแอมป์” ที่รวมสตรีมเมอร์กับปรีแอมป์ไว้ในเครื่องเดียวกันที่มีราคาใกล้ๆ สองแสนบาท แบบไหนน่าจะให้เสียงดีกว่ากัน.?
จะตอบคำถามนี้ได้ต้องหวนกลับไปดูแอมป์กับลำโพงที่ใช้ด้วยว่าอยู่ในระดับ mid-end (เครื่องละไม่เกินหนึ่งแสนบาท) หรือระดับ mid-to-high (เครื่องละเกินแสนบาทขึ้นไป) คือถ้าอยู่ในระดับ mid-end อ๊อปชั่นแรก “น่าจะ” ให้เสียงโดยรวมออกมาดีกว่า แต่ถ้าแอมป์กับลำโพงอยู่ในระดับเครื่องละเกินแสนบาทปลายๆ ขึ้นไปเฉียดสองแสน แบบนี้อ๊อปชั่นหลังน่าจะให้เสียงโดยรวมออกมาดีกว่า แต่อันนี้เป็นแค่การประเมินเท่านั้น ในชีวิตจริงแล้ว ถ้ามีโอกาสฟังเทียบจะดีที่สุด
Esoteric ‘N-05XD’
สตรีมเมอร์–ดีทูเอฯ/ปรีแอมป์ ระดับไฮเอ็นด์ฯ.!!
ยังมีความจริงอยู่อีกเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั่นคือ ต่อให้เครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ที่แสดงศักยภาพออกมาแค่ 80% บ่อยไปที่ให้ “คุณภาพเสียงโดยรวม” ออกมาดีกว่าเครื่องเสียงระดับกลางๆ ที่แสดงศักยภาพออกมาเต็ม 100%
โดยโครงสร้างแล้ว ซีรี่ย์ 05 มีตำแหน่งเป็นซีรี่ย์เล็กสุดของแบรนด์ Esoteric แต่ถ้าเอาราคาขายของ N-05XD (ราคา 420,000 บาท/ตัว) ไปจัดเข้ากลุ่มกับราคาเครื่องเสียงมาตรฐานทั่วไปแล้ว ต้องจัด N-05XD ตัวนี้เข้าไปอยู่ในระดับไฮเอ็นด์ฯ ได้เลย (1 – 5 แสนบาท/ชิ้น) ส่วนอีกสองซีรี่ย์ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปก็คือ ซีรี่ย์ 03 กับ ซีรี่ย์ 01-02 ก็ต้องถือว่าอยู่ในระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ ในขณะที่ระดับสูงสุดคือ ซีรี่ย์ Grandioso ที่มีราคาต่อเครื่องทะลุหลักล้านบาทขึ้นไปนั้นก็ต้องจัดเข้ากลุ่มอัลตร้าไฮเอ็นด์เท่านั้น
สวยกว่าเดิมเยอะ..!!
1. ปุ่ม STANDBY/ON
2. ช่องเสียบแจ๊คหูฟังมาตรฐาน TRS ขนาด 6.3mm
3. ช่องเสียบหูฟังแบบบาลานซ์ 4-pin XLR
4. จอแสดงผล
5. ปุ่มเลือก OUTPUT, ปุ่มเลือก INPUT, ปุ่ม MENU และ ปุ่มเลือกหัวข้อตอนปรับตั้งค่า
6. ช่องเสียบแฟรชไดร้ USB หรือ USB ฮาร์ดดิสแบบพกพา
7. ปุ่มวอลลุ่ม
8. ไฟแสดงสภาวะการใช้งานระบบ clock
ผมเคยทดสอบ Esoteric รุ่น N-05 ไปเมื่อ กลางปี 2019 (REVIEW) จากนั้นก็ทิ้งช่วงมานานถึง 6 ปี ผมถึงได้กลับมาทดสอบ N-05 อีกครั้ง แต่คราวนี้มาในเวอร์ชั่น ‘XD’ ซึ่งจริงๆ แล้วทางผู้ผลิตตั้งใจจะวางตลาด N-05XD ในเดือน May 2021 แต่ต้องดีเลย์ไปจนถึงเดือนกันยายน ปี 2021 ถึงได้ปล่อยตัวออกมาจริงๆ สาเหตุนั้นทางผู้ผลิตอ้างว่ายังปรับจูนเสียงไม่เสร็จ ส่วนผมกว่าจะได้มาทดสอบก็หลังจากที่มันออกมาจริงๆ ถึง 4 ปี..!!
รูปร่างหน้าตาของ N-05XD ดูสวยกว่า สง่างามกว่ารุ่น N-05 เวอร์ชั่นก่อนมากทีเดียว ตัวถังก็หนากว่า ส่วนโค้งส่วนเว้าบนตัวบอดี้ก็ดูโฉบเฉี่ยวมากกว่า ซึ่งโฉมหน้าของ N-05XD โดยรวมๆ จะกระเดียดไปทางซีรี่ย์ใหญ่ๆ มาก การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ดูลงตัว บนแผงหน้านอกจากจะมีจอแสดงผลขนาดใหญ่ (4) แล้ว นอกนั้นก็จะเป็นปุ่มกด (1) และปุ่มหมุน (7) อย่างละปุ่ม ที่เหลือก็เป็นรูเสียบแจ๊คหูฟัง 2 ช่อง (2, 3) กับรูปเสียบแท่ง USB แฟรชไดร้/ฮาร์ดดิสพกพา (6) อีกหนึ่งช่องแค่นั้น
A. ช่องรับสัญญาณอะนาลอก ซิงเกิ้ลเอ็นด์ อินพุตข้างขวา
B. ช่องรับสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์ อินพุตข้างขวา
C. ช่องรับสัญญาณดิจิตัล AES/EBU อินพุต
D. ช่องรับสัญญาณดิจิตัล Ethernet อินพุต
E. ช่องเสียบแฟรชไดร้ USB หรือฮาร์ดดิสพกพาที่ใช้ขั้วต่อ USB
F. ช่องต่อสำหรับสัญญาณ trigger และสัญญาณคอนโทรลจากภายนออก
G. ช่องต่อสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์ (ESL-A) ขาออก สำหรับข้างขวา
H. ช่องต่อสัญญาณอะนาลอก ซิงเกิ้ลเอ็นด์ ขาออก สำหรับข้างขวา
I. ช่องต่อสัญญาณปรีเอ๊าต์ อะนาลอก บาลานซ์ (ESL-A) สำหรับข้างขวา
J. โมดูลสำหรับรับคลื่น Bluetooth
K. ช่องรับสัญญาณดิจิตัล อินพุต USB จากคอมพิวเตอร์/สตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต
L. ช่องเชื่อมต่อสัญญาณ Clock 10MHz จากภายนอก
M. ช่องดิจิตัล อินพุต coaxial (x2) กับ optical (x2)
N. ช่องรับสัญญาณอะนาลอก ซิงเกิ้ลเอ็นด์ อินพุตข้างซ้าย
O. ช่องรับสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์ อินพุตข้างซ้าย
P. ช่องเสียบปลั๊กของสายไฟเอซี
Q. ช่องต่อสัญญาณอะนาลอก ซิงเกิ้ลเอ็นด์ ขาออก สำหรับข้างซ้าย
R. ช่องต่อสัญญาณอะนาลอก XLR (ESL-A) ขาออก สำหรับข้างซ้าย
S. ช่องต่อสัญญาณปรีเอ๊าต์ อะนาลอก บาลานซ์ (ESL-A) สำหรับข้างซ้าย
T. จุดเชื่อมต่อกราวนด์
แผงหลังของ N-05XD เต็มพืดไปด้วยขั้วต่อสารพัดรูปแบบ ครบเครื่องทั้งขั้วต่อสัญญาณอะนาลอกขาเข้าและขาออก, ขั้วต่อสัญญาณขาเข้าดิจิตัล, ขั้วต่อสำหรับไฟเอซี และขั้วต่อสัญญาณ trigger กับสัญญาณรีโมทจากภายนอก
ช่องสัญญาณ “อะนาลอก เอ๊าต์พุต“
ที่ช่องสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ N-05XD มีอ๊อปชั่นอยู่อย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือ ES-LINK Analog (I, S) ซึ่งเป็นขั้วต่อที่ N-05XD ให้มาเพื่อการเชื่อมต่อ (transmission) ด้วยวิธีจัดวงจร HCLD buffer (High Current Line Driver) หรือวงจรบัฟเฟอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับเอ๊าต์พุตของภาค DAC (ซึ่งคั่นอยู่หน้าวงจรอะนาลอก เอ๊าต์พุต) ให้ทำงานในโหมดไฮเคอเร้นต์ ซึ่งเป็นวิธีเชื่อมต่อที่ทำให้ได้ประสิทธิภาพทางด้านไดนามิกเร้นจ์ระดับสูงสุดจากวงจร HCLD buffer นั่นเอง แต่วิธีใช้งานขั้วต่อ ES-LINK Analog ของ N-05XD แบบนี้ต้องใช้คู่กับแอมปลิฟายที่มีอินพุต ES-LINK Analog เท่านั้น โดยเชื่อมต่อระหว่างกันผ่านขั้วต่อ XLR แต่ต้องสลับข้างระหว่างฝั่งขาออกกับฝั่งขาเข้าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ XLR แบบธรรมดาทั่วไป
นอกจากช่องเอ๊าต์พุต ES-LINK Analog แล้ว N-05XD ยังให้เอ๊าต์พุตอันบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ RCA กับเอ๊าต์พุตบาลานซ์ XLR แบบมาตรฐานทั่วไปอีกชุด ซึ่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ N-05XD จะถูกควบคุมผ่านหัวข้อเมนู LOUT> ซึ่งในเมนูนี้มีอ๊อปชั่นให้เลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ ESLA, XLR2, XLR3 และ RCA โดยปรับตั้งไว้ที่ XLR2 มาจากโรงงาน ดังนั้น ถ้าคุณเลือกใช้อะนาลอก เอ๊าต์พุตช่องอื่นที่ไม่ใช่ XLR2 แล้วปรากฏว่าไม่มีเสียง อย่าลืมเข้าไปเช็คดูที่เมนู LOUT> (ไลน์เอ๊าต์) ด้วยว่าปรับเลือกเอ๊าต์พุตไว้ตรงกับที่คุณเชื่อมต่อสายสัญญาณไว้หรือเปล่า อีกกรณี ถ้าคุณเชื่อมต่อเอ๊าต์พุตของ N-05XD ไว้ที่ช่อง XLR ไม่ว่าที่เมนู LOUT> จะถูกเลือกไว้ที่ XLR2 หรือ XLR3 ก็จะมีเสียงออกทั้งคู่ แต่ความแตกต่างระหว่างการปรับตั้งสองอ๊อปชั่นนี้จะอยู่ที่ “เฟส” ของเสียง คือถ้าปรับตั้งไว้ที่ XLR2 สัญญาณซีกบวกจะถูกเชื่อมต่อออกไปที่ ขา 2 ของขั้วต่อ XLR ถ้าปรับตั้งไว้ที่ XLR3 สัญญาณซีกบวกจะถูกเชื่อมต่อออกไปที่ ขา 3 ของขั้วต่อ XLR ซึ่งคุณต้องเลือกให้ตรงกับลักษณะการเชื่อมต่อสัญญาณซีกบวกของขั้วต่อ XLR ทางฝั่งแอมป์ด้วยเพื่อรักษาเฟสของสัญญาณให้ถูกต้องเอาไว้ตลอดทาง
ความสามารถในการรองรับสัญญาณอินพุต
ช่องดิจิตัล อินพุต coaxial x2, optical x2 (M) และ XLR (AES/EBU) x1 (C) ทั้ง 5 ช่องนี้สามารถรองรับสัญญาณ PCM ที่มีอัตราแซมปลิ้งเรตตั้งแต่ 32kHz – 192kHz กับความละเอียด 16 – 24บิต และสามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้ถึงระดับ DSD2.8MHz ที่อยู่ในแพ็คเกจฟอร์แม็ต DoP (*ช่อง AES/EBU ของ N-05XD ยังสามารถรองรับสัญญาณ DSD ที่เป็นฟอร์แม็ต ES-LINK1 และ ES-LINK2 ซึ่งเป็นฟอร์แม็ตเฉพาะของ Esoteric เองได้ด้วย)
ช่องอินพุต USB-B กับอินพุต NET (Ethernet) สามารถรองรับสัญญาณ PCM ที่มีแซมปลิ้งเรต 44.1kHz – 384kHz กับความละเอียด 16 – 32บิต และสามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้ตั้งแต่ระดับ DSD2.8MHz – DSD22.5MHz ซึ่งฟอร์แม็ตของไฟล์ที่อินพุต 2 ช่องนี้รองรับได้ก็มีทั้งแบบ uncompress file formats และ compressed file formats คือ WAV, AIFF, FLAC, ALAC, MQA, DSF, DIFF, DoP, MP3 และ AAC
ส่วนช่องอินพุต USB-A ที่มีอยู่ 2 ช่อง คือที่แผงหน้ากับที่แผงหลังจุดละช่องนั้น มีความสามารถในการรองรับสัญญาณเท่ากัน คือ สามารถรองรับสัญญาณ PCM ที่มีแซมปลิ้งเรต 44.1kHz – 384kHz กับความละเอียด 16 – 32บิต และสามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้ตั้งแต่ระดับ DSD2.8MHz – DSD22.5MHz ผ่านไฟล์ฟอร์แม็ตทั้งแบบ uncompress file formats และ compressed file formats ได้แก่ WAV, AIFF, FLAC, ALAC, MQA, DSF, DIFF, DoP, MP3 และ AAC
อินพุตสำหรับ “สัญญาณ Clock”
และที่พิเศษกว่าสตรีมเมอร์ทั่วไปก็คือ อินพุตสำหรับสัญญาณ clock จากภายนอก (L) ซึ่งรองรับสัญญาณ clock ระดับ 10MHz ที่ทำหน้าที่สร้างสัญญาณ master clock ที่ส่งไปควบคุมการทำงานในภาค D-to-A ให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น (*ใช้กับอินพุต coaxial, อินพุต optical และอินพุต XLR (AES/EBU) เท่านั้น ไม่ได้ใช้กับอินพุต NET และ USB-B)
ดีไซน์ภายใน
ทางผู้ผลิตคือ Esoteric ตั้งสโลแกนแสดงคุณสมบัติของ N-05XD ไว้ว่า ‘Master Class Sound & Ultimate Versatility’ ความหมายคือเน้นทั้งด้าน “คุณภาพเสียง” และ “ความเปิดกว้างทางการเชื่อมต่อ” ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็พอจะมองเห็นแล้วว่าพวกเขาให้ความสามารถในการเชื่อมต่อของ N-05XD มากว้างขนาดไหน ส่วนทางด้าน “คุณภาพเสียง” ก็มีเรื่องของ ภาค DAC ที่ใช้ discrete DAC (กรอบสีแดง ในภาพข้างบน) ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานที่ใช้ในรุ่นใหญ่ และออกแบบภาคจ่ายไฟลิเนียร์ขึ้นมาพิเศษเพื่อใช้กับภาคสตรีมมิ่งโดยเฉพาะ (กรอบสีฟ้า ในรูปข้างบน)
Master Sound Discrete DAC
ภาค DAC ของสตรีมเมอร์ตัวนี้เป็นแบบ discrete ไม่ได้ใช้ชิปสำเร็จรูป ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไล้ท์ของ N-05XD ตัวนี้ เพราะเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันแล้วว่า ภาค DAC ที่ออกแบบโดยใช้ resistor “ตัวเป็นๆ” ทำหน้าที่หลักในการแปลงสัญญาณดิจิตัล–เป็น–อะนาลอก จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมาดีกว่าภาค DAC ที่ออกแบบโดยใช้ชิปสำเร็จของค่ายต่างๆ
แต่ก็ใช่ว่าทุกแบรนด์จะสามารถทำ discrete DAC ขึ้นมาใช้ได้ง่ายๆ นะครับ เพราะนอกจากจะออกแบบยากแล้ว การออกแบบ DAC แบบนี้มันมีกระบวนการที่ซับซ้อนตั้งแต่เริ่มต้นคัดอุปกรณ์คือตัว resistor ไปจนถึงคอมโพเน้นต์อื่นๆ ที่ใช้ออกแบบวงจรรายรอบ และที่สำคัญที่สุดก็คือ “ซอฟแวร์” ที่ใช้ควบคุมการทำงานของภาค DAC ที่ผู้ออกแบบจะต้องเขียนขึ้นมาแล้วนำไปบันทึกลงบนชิป FPGA ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนภาค input ของ DAC อีกทีหนึ่ง สุดท้ายคือ “เวลา” ที่ใช้ไปในการปรับจูนจนกว่าทั้งระบบจะทำงานได้ผลตามที่ต้องการ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้ “ต้นทุน” ในการทำ discrete DAC พุ่งสูงกว่าการออกแบบโดยใช้ชิปสำเร็จมากหลายเท่า ซึ่ง DAC ที่ใช้ภาคแปลงสัญญาณ D-to-A แบบ discrete จึงมักจะพบเห็นอยู่ในเครื่องที่มีราคาสูงๆ ทั้งนั้น
discrete DAC ที่ใช้ในตัว N-05XD ออกแบบการทำงานของภาค D-to-A มาในลักษณะบาลานซ์ โดยใช้ resistor แยกเป็นสองแชนเนล แชนเนลละ 16 ตัว โดยแยก เฟสละ 8 ตัว (พื้นสีแดง) แล้วใช้ซอฟท์แวร์โมดูเลเตอร์เดลต้า/ซิกม่าที่ฝังอยู่ในชิป FPGA ซึ่งพวกเขาเขียนขึ้นมาเอง โดยอัพฯ สัญญาณอินพุตขึ้นไปที่ระดับ 1024 เท่า ของ ฐาน 44.1kHz โดยมีสัญญาณ clock ที่ระดับ 45.1584MHz คุมเป็นเป้าหมายอยู่ และ 1024 เท่า ของ ฐาน 48kHz โดยมีสัญญาณ clock ที่ระดับ 49.152MHz คุมเป็นเป้าหมายอยู่
ซึ่งจะเห็นว่า อัลกอรึธึ่มที่ใช้ในขั้นตอนเดลต้า/ซิกม่าร์ โมดูเลเตอร์ที่อยู่ก่อนหน้า DAC มีความสามารถสูงมากในการอัพแซมเปิ้ลสัญญาณอินพุตที่ครอบคลุมได้ทั้งสัญญาณอินพุตที่เข้ามา (ทางช่อง USB-B และ Ethernet) เป็นตระกูล PCM (สูงสุดถึงระดับ 352.8/384kHz) และตระกูล DSD (สูงสุดถึงระดับ 22.5MHz หรือ DSD512) ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตามมาตรฐานปัจจุบัน
Fully Balanced Dual Mono Preamplifier
ภาคปรีแอมป์ดีไซน์วงจรเป็น ฟูลลี่บาลานซ์ และจัดวงจรเป็นแบบ ดูอัล โมโน
N-05XD ระบุชัดเจนว่าตัวเองมีสถานะเป็น ‘Pre-amp’ อยู่ในตัวด้วย และข้อมูลในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Esoteric ก็แจกแจงรายละเอียดของภาคปรีแอมป์ของตัว N-05XD เอาไว้ชัดเจนว่าออกแบบการทำงานในลักษณะที่เรียกว่า fully balanced dual mono ความหมายคือ จัดวงจรการทำงานของภาคปรีแอมป์ออกเป็น 2 ชุด ที่แยกกันชัดเจนระหว่างแชนเนลซ้ายกับแชนเนลขวา (dual mono) โดยที่แต่ละชุดก็ออกแบบให้แยกลักษณะการจัดการกับสัญญาณซีกบวก–ซีกลบ และกราวนด์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด ตามรูปแบบการจัดวงจรบาลานซ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ (fully balanced) ซึ่งตามหลักการแล้ว ลักษณะการออกแบบวงจรแยกแชนเนลแบบ dual mono จะส่งผลดีต่อคุณสมบัติของมิติ–สเตริโอที่มีการแยกแยะที่ดี เพราะจะไม่มีปัญหากวนข้ามแชนเนล (crosstalk) ส่วนการจัดวงจรแต่ละแชนเนลเป็นแบบบาลานซ์ก็มีส่วนช่วยลด noise ในระบบลงไปได้เยอะ
ระบบวอลลุ่มดีไซน์พิเศษ
QVCS Attenuator System
นักออกแบบแอมปลิฟายทุกคนรู้ดีว่า หน้าที่อย่างหนึ่งของปรีแอมป์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อคุณภาพเสียงมากที่สุดก็คือการควบคุมความดัง–เบาของเสียงที่กระทำผ่านระบบ “วอลลุ่ม” ถ้าจะพูดกันถึงระดับอุดมคติของวอลลุ่มที่ดีก็คือ ต้องทำให้การปรับดัง–เบาของเสียงไม่กระทบกับ “คุณภาพ” ของเสียง อย่างเช่น แม้ว่าจะหรี่วอลลุ่มให้เสียงเบาลง แต่ก็ต้องไม่ทำให้ “ความโปร่งใส” ของพื้นเสียงด้อยลง อีกอย่างคือ ระบบวอลลุ่มที่ดี ต้องจัดการกับ “โทนัลบาลานซ์” ได้ดีทั้งในช่วงเบาและช่วงดัง แม้ว่าในธรรมชาตินั้น เวลาที่เสียงโดยรวมลดความดังลง เราจะได้ยินเสียงในย่านทุ้มลดระดับความดังลงไปมากกว่าเสียงในย่านกลางและแหลม อันนี้เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดทางระบบการรับฟังของมนุษย์ที่มีความไวต่อความถี่ไม่เท่ากัน ระบบวอลลุ่มที่ดีจะต้องออกแบบให้การลดทอนความดังของความถี่เสียงทั้งย่านเสียงมีลักษณะที่สอดคล้องกับลักษณะการได้ยินของมนุษย์ด้วย และชดเชยให้ทุกความถี่มีความดังที่ลดลง (เมื่อเราลดวอลลุ่มลง) ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับความไวของหูมนุษย์ที่มีต่อความถี่ต่างๆ และทำให้ทุกความถี่ดังขึ้นในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเราเร่งวอลลุ่มขึ้น
ขณะที่มีการปรับลดหรือเพิ่มความดัง ระบบวอลลุ่มที่ดีจะต้องทำให้เสียงนั้นเปลี่ยนไปเฉพาะในแง่ของ “ความดัง” เท่านั้น ส่วนความชัดเจน และความโปร่งใสของพื้นเสียงจะต้องถูกรักษาไว้ให้ใกล้เคียงกันมากที่สุดโดยไม่มีสัญญาณรบกวน (noise) เข้ามาแทรกปนจนทำให้ลักษณะเสียงเกิดความแตกต่างไป (โดยเฉพาะในช่วงความดังตั้งแต่ 30dB ขึ้นไปจนถึง 80dB โดยประมาณ ซึ่งเป็นระดับความดังที่ไว้ต่อการรับฟังของมนุษย์โดยปกติ)
ภาคปรีแอมป์ของ N-05XD ใช้ระบบวอลลุ่มที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษซึ่งให้ชื่อเรียกว่า QVCS หรือ Quad Volume Control System โดยใช้วงจรเพิ่ม/ลดความดังจำนวน 4 วงจร แยกกันควบคุมระดับความดังของเสียงแชนเนลซ้ายและแชนเนลขวา แชนเนลละ 2 วงจร โดยที่ทั้งสองวงจรจะถูกแยกกันให้ควบคุมความดังของสัญญาณเฟสบวกกับเฟสลบของแต่ละแชนเนล (เป็นระบบวอลลุ่มแบบบาลานซ์) ซึ่งทำให้สามารถควบคุมความดังของเสียงได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ทำให้คุณภาพของเสียงโดยรวมแย่ลง ให้การแยกแชนเนลที่เด็ดขาด และไม่ทำให้เฟสของสัญญาณเสียงเคลื่อน นอกจากนั้น พวกเขายังจัดการให้ทางเดินสัญญาณเสียงมีลักษณะที่สั้นที่สุด เพื่อให้เกิดความสูญเสีย gain น้อยที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณเสียงให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับให้มากที่สุดนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เสียงถูกปรับให้เบาลง หรือถูกปรับให้ดังขึ้น
ปุ่มวอลลุ่มของ N-05XD ให้สัมผัสที่ละมุนมือมาก และขณะหมุนปรับวอลลุ่มมันก็เคลื่อนขยับได้อย่างเบามือโดยปราศจากความหนืด แค่หมุนเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความละเอียดและพิถีพิถันในการออกแบบของแบรนด์นี้ได้อย่างชัดเจน
Fully Balanced Dual Mono Headphone Amplifier
ภาคขยายเสียงของหูฟังด้วยวงจรขยายฟูลลี่บาลานซ์ ดูอัล โมโน
พิจารณาจากช่องเสียบแจ๊คหูฟังที่ให้มาก็พอดูออกว่า N-05XD ให้ความสำคัญกับหูฟังมากเป็นพิเศษเช่นกัน จะเห็นได้จากการติดตั้งช่องเสียบแจ๊คหูฟังที่ตั้งใจเอามาไว้ด้านหน้าของตัวเครื่องเพื่อให้ง่ายต่อการเสียบใช้งาน แถมยังให้มาทั้งช่องเสียบแบบมาตรฐาน TRS ขนาด 6.3 ม.ม. และช่องเสียบบาลานซ์ XLR 4 pin ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณกับหูฟังแบบบาลานซ์ที่ใช้กันในวงการโปรเฟสชั่นแนล ซึ่งให้คุณภาพเสียงเหนือกว่าช่องเสียบมาตรฐาน 6.3 ม.ม. ขึ้นไปอีกขั้น
ในชาร์ตข้างบนนั้นแสดงถึงวงจรขยายที่ใช้สำหรับขับหูฟังของ N-05XD ซึ่งก็คือวงจรเดียวกันกับภาคปรีแอมป์นั่นเอง คือเป็นวงจรขยายแบบ fully balanced dual mono ที่ให้กำลังขับสูงถึง 1500mW (ที่โหลด 32 โอห์ม) ซึ่งจากที่ผมใช้หูฟังของ Sennheiser รุ่น HD 650 ที่มีโหลดอิมพีแดนซ์สูงถึง 300 โอห์ม ทดลองใช้กับภาคขยายหูฟังของ N-05XD โดยใช้สายหูฟังแบบบาลานซ์ของ Nordost ในการเชื่อมต่อระหว่างช่องเสียบหูฟังบาลานซ์ XLR 4-pin ของ N-05XD กับหูฟัง HD 650 ของ Sennheiser แล้วลองฟัง พบว่า ภาคขยายหูฟังในตัว N-05XD สามารถขับดันหูฟัง HD 650 ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉลี่ยผมใช้วอลลุ่มจาก N-05XD อยู่ในช่วงระหว่าง 45 – 50 (ตั้งวอลลุ่มเป็น step ซึ่งแบ่งระดับตั้งแต่ 0 – 100 ขั้นในอัตรา 0.5 ต่อสเต็ป) ซึ่งก็แค่ประมาณ 45 – 50% ของกำลังขับทั้งหมดที่ N-05XD มีอยู่เท่านั้นเอง และเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้หูฟัง ทางผู้ผลิตได้ออกแบบให้สามารถกำหนดระดับความดังสูงสุดของภาคขยายหูฟังได้ด้วย เผื่อผู้ใช้เผลอไปเร่งวอลลุ่มขึ้นมาเยอะๆ อาจจะทำให้ประสาทหูเสียหายได้ อย่างในกรณีของหูฟัง HD 650 ที่ผมทดลองใช้ หลังจากประเมินระดับความดังโดยเฉลี่ยได้แล้ว ผมก็ตั้งล็อคความดังของภาคขยายหูฟังของ N-05XD เอาไว้ที่ระดับ 60 เท่านั้น
คุณคงอยากรู้ว่า เสียงของภาคขยายหูฟังของ N-05XD เป็นอย่างไรบ้าง.? อยากจะบอกแบบนี้ คือว่า น้อยครั้งที่ผมจะได้ยินเสียงที่มีลักษณะเปิดกระจ่างผสมกับลักษณะที่ผ่อนคลายมากๆ จากหูฟัง Sennheiser ตัวนี้ ที่ผ่านๆ มาถ้าขับกับแอมป์ที่ไม่ถึงจริงๆ หูฟังตัวนี้มักจะให้เสียงออกไปทาง dark คือติดมืดๆ ทึมๆ เสียงแหลมจะมีลักษณะโรยตัว ในขณะที่เสียงทุ้มจะหนาทึบและติดนุ่ม น้อยครั้งที่จะได้เสียงที่มีลักษณะเปิดกระจ่างแบบนี้ โทนเสียงที่ N-05XD ให้ออกมามีลักษณะที่สด ไทมิ่งดี ฟังเพลงได้หลากหลาย กลาง–แหลมโอเคเลย แต่เบสก็ยังติดนุ่มๆ อยู่นิดๆ ซึ่งน่าจะเป็นบุคลิกของหูฟังตัวนี้ สรุปแล้วรวมๆ ถือว่าดีเลย ถ้าได้หูฟังที่มีระดับสูงกว่า HD 650 ตัวนี้น่าจะไปได้อีกเยอะ ใครที่ชอบฟังเพลงด้วยหูฟังน่าจะแฮ้ปปี้กับภาคขยายหูฟังที่ N-05XD ให้มา
จัดเซ็ตเตรียมทดสอบ
ชุดทดสอบชุดแรกกับลำโพง Canton รุ่น Reference 5 (REVIEW)
ชุดทดสอบชุดที่สองกับลำโพง Silent Pound รุ่น Challenger II (Review coming soon!)
ตอนที่ได้รับ N-05XD เข้ามาทดสอบ ผมไม่มีแอมป์ที่มีราคาเหมาะสมที่จะจับคู่กับ N-05XD เพื่อตรวจเช็คประสิทธิภาพของมัน ผมจึงขอยืมเพาเวอร์แอมป์รุ่น S-05 ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่ Esoteric ออกแบบมาเพื่อให้ใช้คู่กับ N-05XD ตัวนี้มาด้วย ส่วนลำโพงที่ผมนำมาจัดชุดในการฟังทดสอบประสิทธิภาพของ N-05XD มีอยู่ 3 คู่ คู่แรกคือ Wharfedale รุ่น Super Linton ที่มีราคาคู่ละ 85,000 บาท (REVIEW) ซึ่งเสียงที่ออกมาต้องถือว่าดีที่สุดเท่าที่ผมได้ฟังเสียงของลำโพงคู่นี้มา ส่วนคู่ที่สองคือ Canton รุ่น Reference 5 ซึ่งมีราคาคู่ละ 400,000 บาท เสียงที่ได้ออกมาอยู่ในระดับที่ก้าวข้ามตอนที่ N-05XD + S-05 ขับ Super Linton ขึ้นไปอีกหลายเปอร์เซ็นต์ พูดได้ว่า Reference 5 ทำให้ N-05XD แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่มากกว่า และสุดท้ายคือ Silent Pound รุ่น Challenger II ราคาคู่ละ 1,350,000 บาท ซึ่งก็เป็นลำโพงที่ช่วยให้ N-05XD สามารถคลี่คลายความสามารถของมันออกมาให้ได้ยินมากขึ้นไปอีกระดับ
ส่วนของ source ที่ผมติดตั้งขึ้นมาใช้งานในการทดสอบร่วมกับ N-05XD ครั้งนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ สตรีมเมอร์กับเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD โดยเริ่มด้วยการสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL และไฟล์เพลงจาก NAS ผ่านเข้าทางอินพุต NET ของ N-05XD โดยใช้แอพลิเคชั่น Sound Stream ของ Esoteric เอง สลับกับสตรีมด้วยระบบของ Roon โดยใช้ฟังท์ชั่น Roon Ready เพื่อเข้าไปใช้ภาค DAC ในตัว N-05XD ในการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอก กับอีกช่องทางคือใช้ Innuos รุ่น PULSE ซึ่งเป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตทำหน้าที่สตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL และ NAS แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลผ่านเข้าทางอินพุต USB-B ของ N-05XD เพื่ออาศัยภาค DAC ในตัว N-05XD ในการแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอก ช่วงท้ายๆ ผมก็เปลี่ยนมาใช้วิธีเล่นเพลงจากแผ่น CD และแผ่น SACD ด้วยเครื่องเล่นของ Arcam รุ่น CDS27 โดยใช้ภาค DAC ในตัว CDS27 แล้วส่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์ไปที่อินพุตอะนาลอก XLR ของ N-05XD ด้วยสายสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์ XLR ของ Nordost รุ่น Valhalla
ขาตั้งพิเศษ..!!
ก่อนจะไปพูดถึงเสียงของ N-05XD ผมอยากจะขออนุญาตพูดถึง “ขาตั้ง” ของสตรีมเมอร์ตัวนี้สักหน่อย เพราะผมพบว่ามันมีความพิเศษในการออกแบบมาก
ผู้ผลิตติดตั้งขาที่ว่านี้มาให้ 3 ขา เพื่อยกบอดี้ของ N-05XD ให้ลอยพ้นพื้นขึ้นมา โดยติดตั้ง 2 ขา เยื้องมาทางด้านหน้า และอีกขาที่ด้านหลัง ความพิเศษอยู่ที่ลักษณะโครงสร้างที่แยกเป็นสองชิ้น (ดูภาพข้างบน) โดยที่ตรงกลางของชิ้นบนเขาทำเป็นเดือยแหลมที่จิกลงไปตรงกลางของชิ้นล่างที่ทำเป็นเบ้ารับ เวลายกเครื่องขึ้นจะได้ยินเสียงที่ส่วนประกอบทั้งสองชิ้นนี้กระทบกันเบาๆ เพราะทั้งสองชิ้นนี้จะแยกห่างจากกัน แต่พอวางเครื่องลงก็เงียบและนิ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถทดลองฟังเปรียบเทียบกับขาแบบทั่วไปได้ แต่จากการทดลองฟังเสียงของ N-05XD ตัวนี้มานานแรมเดือน ผมก็เชื่อว่าขาตั้งทั้งสามขานี้มีส่วนช่วยให้ได้เสียงที่ดีแน่ๆ โดยเฉพาะในแง่ของความโปร่งแต่มีรายละเอียด คือผมเทียบกับประสบการณ์ที่ได้จากที่เคยทดลองใช้อุปกรณ์รองใต้เครื่องประเภทเดือยแหลมที่ชื่อว่า Sort Kone ของ Nordost ซึ่งทำด้วยวัสดุอะลูมิเนียมลักษณะคล้ายกัน
เสียงจากภาค สตรีมเมอร์ + DAC + ปรีแอมป์ ของ N-05XD
การใช้งาน N-05XD ในลักษณะ 3-in-1 คือใช้งานภาค สตรีมเมอร์ + DAC + ปรีแอมป์ ในตัว N-05XD ทั้งสามหน้าที่พร้อมกันแบบนี้ถือว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ออกแบบจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจับคู่ N-05XD เข้ากับเพาเวอร์แอมป์รุ่น S-05 ที่เขาทำออกมาด้วยกัน ผมพบว่า ทั้ง 4 ภาค ของ N-05XD + S-05 มันทำงานประสานกันออกมาได้ลงตัวมาก “ในทุกด้าน” ไม่ว่าจะเป็นทางด้านฟังท์ชั่นใช้งานและด้านคุณภาพเสียง
ซึ่งเสียงที่ได้ยินออกมานั้น มันให้คุณภาพที่น่าพอใจในทุกด้าน ลบล้างข้อกังขาที่ว่า “3-in-1 แบบนี้มันจะดีเหรอ.?” ออกไปได้จนหมดสิ้น ซึ่งผมยอมรับว่าก่อนทดลองฟังจริงผมมีคำถามอยู่ในใจอย่างนั้นจริงๆ แต่พอได้มีโอกาสลองฟังเสียงของมันด้วยความตั้งใจ และฟังมานานหลายวันติดต่อกัน ผมก็ต้องยอมรับว่า N-05XD เป็น 3-in-1 ที่ปรับจูนเสียงโดยรวมออกได้ดีในระดับที่น่าพอใจสำหรับมาตรฐานของคำว่า “ไฮเอ็นด์” แล้ว
เพลง : The William Tell Overture (https://tidal.com/browse/track/29270831?u)
อัลบั้ม : An A Cappella Trek (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Voice Trek
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/29270826?u)
เพลง : Danny Boy (https://tidal.com/browse/track/30612009?u)
อัลบั้ม : Three Shades of Gray (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Betty Johnson, Elisabeth Gray & Lydia Gray
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/30611997?u)
เพลง : Hoist The Colours (A Cappella) (https://tidal.com/browse/track/350788226?u)
อัลบั้ม : Hoist The Colours (A Cappella)(TIDAL HD/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : The Wellermen
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/350788225?u)
อุปกรณ์ที่จะได้รับคำชมว่า “เสียงดี” สำหรับผมจะต้องผ่านมาตรฐานของการทำให้เสียงร้องของนักร้องหญิงและนักร้องชายออกมา “มีชีวิต” เป็นอย่างแรก ผมเลยเลือกเพลง The William Tell Overture ขึ้นมาลองฟังเป็นเพลงแรก ซึ่งเพลงนี้จะมีเสียงร้องของนักร้องชาย 2 คน หญิง 3 คน และพวกเขาร้องเพลงนี้ด้วยสปีดที่เร็ว สลับกันปล่อยเสียงออกมาในบางช่วงและร้องพร้อมกันในบางช่วง ด้วยเหตุนี้ เครื่องเสียงที่ดีจะต้องสามารถ “คลี่คลาย” และ “ตีแผ่” แต่ละเสียงของนักร้องทั้ง 5 คน ออกมาให้ได้ยินได้ชัด ไม่ปนกันมั่วออกมาเป็นก้อนเดียวกัน ซึ่ง N-05XD สอบผ่านด่านนี้ไปด้วยคะแนนค่อนข้างสูง เพราะมันแยกเสียงร้องของนักร้องทั้ง 5 คน นั้นออกมาให้ผมได้ยินครบ แถมยังสามารถแจกแจงส่วนที่เป็น “คุณสมบัติเฉพาะ” ของเสียงร้องแต่ละคนออกมาให้รับรู้ได้ด้วย อย่างเช่น ตอนนักร้องผู้ชายร้องเสียงที่ออกมาผมได้ยินชัดว่ามีความถี่ในย่านกลางต่ำออกมาด้วย ในขณะที่เสียงกลางต่ำของนักร้องหญิงจะมีลักษณะบางกว่า
จากนั้นผมก็เปลี่ยนมาลองฟังเสียงร้องของผู้หญิงล้วนๆ เพื่อเช็คความสามารถในการแยกแยะเสียงกลางขึ้นไปกลางสูงของนักร้องหญิง โดยเลือกเพลง Danny Boy เวอร์ชั่นที่นักร้องหญิง 3 คน คือ Betty Johnson, Elisabeth Gray และ Lydia Gray ร้องประสานเสียงกัน ซึ่งในแง่ของการแยกเสียงของทั้งนักร้องทั้งสามคนนั้น N-05XD สอบผ่านสบายๆ อยู่แล้ว แต่ที่มันทำให้ผมรู้สึกผิดคาดก็คือ “มวลเนื้อ” ของเสียงร้องของทั้งสามคนที่ออกมาแน่นหนาและเข้มข้นกว่าที่ผมคาดไว้ เพราะจำได้ว่า โทนเสียงของ Esoteric ยุคเก่าๆ จะมีบุคลิกของโทนเสียง “แบบญี่ปุ่น” อยู่ นั่นคือ เสียงกลางขึ้นไปถึงกลางสูงที่มีลักษณะโปร่งๆ บางๆ ซึ่งเครื่องเสียงของญี่ปุ่นเกือบทุกแบรนด์ (Denon, Marantz, Onkyo, Sony, Pioneer ฯลฯ) มักจะเป็นแบบนี้ แต่ผิดคาดที่ Esoteric ‘N-05XD’ ตัวนี้ให้เสียงกลางสูงออกมาในลักษณะที่มีเนื้อ มีมวล ฟังแล้วไม่รู้สึกว่าบาง นี่น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ภาค DAC แบบ discrete นี่เอง
ส่วนการทดสอบเสียงในย่านกลางต่ำผมเลือกใช้เพลง Hoist The Colours (A Cappella) ที่ร้องโดยกลุ่มนักร้องชายที่ใช้ชื่อวงว่า The Wellerman ซึ่งในวงนี้มีนักร้องที่เสียงร้องอยู่ในโทน bass ที่ต่ำมากๆ อยู่ด้วย และเขาก็ร้องเพลงนี้ด้วยโทนที่ต่ำมากๆ นั้น ช่วงที่เขาร้องจะมีเรโซแนนซ์ของเสียงที่เขาร้องโน๊ตต่ำๆ กระพรือออกมาด้วย ฟังแล้วขนลุกมาก.!
ตอนที่อ่านรายละเอียดของภาค DAC แบบ discrete กับเทคนิคในการอัพแซมเปิ้ลขึ้นไปที่ระดับ 45.1584MHz และ 49.152MHz ที่ N-05XD ใช้อยู่ข้างในตัวมันนั้น ผมบอกตามตรงว่านึกเดาแนวเสียงไว้ในใจเลยว่า อัพฯ ไปสูงขนาดนั้นเสียงน่าจะออกมาบางๆ ใสๆ กระมัง.? แต่พอได้มาลองฟังของจริงแล้วบอกเลยว่า “ผิดคาด” มากๆ คือในแง่ความโปร่งใสซึ่งเป็นข้อดีของการอัพแซมปลิ้งนั้น สตรีมเมอร์ตัวนี้ทำออกมาได้ดีมากอยู่แล้ว แต่ที่ได้มาด้วยคือ “รายละเอียด” ที่เป็นข้อดีอีกประเด็นจากการอัพแซมปลิ้ง ซึ่งทำให้ผมสามารถรับรู้ถึงองค์ประกอบย่อยของเสียงที่ครบถ้วนแม้ในระดับของสัญญาณที่เบามากๆ ขึ้นไปจนถึงระดับความดังที่พีคสุดๆ แสดงว่า N-05XD เขา “ทำถึง” กับการอัพแซมปลิ้งจริงๆ
เพลง : Tinyela (The Sting) (https://tidal.com/browse/track/339548356?u)
อัลบั้ม : Africa Drums & Voices (TIDAL HIFI/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Tinyela, African Work
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/8092457?u)
ตอนทำ playlist รวมเพลงชอบจาก TIDAL ใหม่ๆ เพลง Tinyela (The Sting) เป็นเพลงที่ผมชอบฟังบ่อยมาก แต่หลังๆ มานี้พอมีเพลงที่ชอบเพิ่มเข้าในลิสต์มากขึ้น ผมก็ไม่ได้ฟังเพลงนี้มานาน วันนี้ใช้นิ้วรูดๆ หน้าจอ iPad มาเห็นเพลงนี้ รู้สึกคิดถึงเลยลองจิ้มฟังผ่าน N-05XD ตัวนี้ เสียงที่ออกมามันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม คือฟังดูมีระเบียบมากกว่าที่เคยฟังมา แต่ละเสียงมันมีจังหวะจะโคนที่แม่นยำ รับ/ส่งกันได้อย่างลงตัว อิมเมจคม ช่องไฟโปร่งสะอาด มีน้ำหนักย้ำเน้นที่หนักแน่นมาก หัวเสียงเบสที่แผ่อยู่ลึกๆ ด้านหลังของเวทีเสียงมันตรึงตัวได้อย่างมั่นคง และผ่อนน้ำหนักให้แผ่กระจายเป็นหางเสียงต่ำๆ ออกมาถึงข้างหน้า แสดงถึงความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงที่เปิดกว้างมาก ตั้งแต่ปลายแหลมลงไปถึงก้นบึ้งของเสียงทุ้ม แสดงให้เห็นว่าตัวเลข frequency response หรือความสามารถในการถ่ายทอดความถี่เสียงที่ระบุไว้ในสเปคฯ ว่าทำได้ตั้งแต่ 5Hz – 75kHz (-3dB) หรือตั้งแต่ห้าเฮิร์ตขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่เจ็ดหมื่นห้าพันเฮิร์ตนั้นไม่ใช่ของเล่น Esoteric เขาทำได้ตามนั้นจริงๆ .!! คือนอกจากจะได้รายละเอียดเสียงออกมาครบตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้มแล้ว N-05XD ยังให้ความรู้สึก “เปิดโล่ง” ของเสียงออกมาด้วย..
เพลง : Limit To Your Love (https://tidal.com/browse/track/5256198?u)
อัลบั้ม : James Blake (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : James Blake
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/5256192?u)
ถ้าสังเกต คุณจะพบว่า อัลบั้มใหม่ๆ ที่ทำออกมาหลัง ปี 2000 จะมีคุณสมบัติอยู่ 2 อย่าง ที่ต่างจากเพลงที่ทำมาช่วงตั้งแต่ ยุค ’70 ลงไปอย่างชัดเจน คุณสมบัติแรกคือ gain ที่แรงกว่ากันเยอะ ส่วนอีกอย่างคือ เพลงสมัยใหม่ที่ทำออกมาช่วงหลังปี 2000 จะมีการ “เล่น” กับความถี่ต่ำเยอะกว่าช่วงยุค ’70 ถอยหลังลงไป เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของแนวเพลง อีกส่วนเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากเทคโนโลยีในการทำเพลงเปลี่ยนจากพื้นฐาน analog มาเป็น digital คือหลัง ยุค ’80 เป็นต้นมาจะพบว่า เพลงใหม่ๆ หลัง ยุค ’80 เป็นต้นมาซึ่งทำด้วยมาตรฐาน digital (DDD) ทั้งระบบก็เริ่มมีสีสันที่ฉูดฉาดมากขึ้น จนถึง ปี 2000 ความแหวกแนวของเพลงก็เริ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้เทคนิคในการบันทึกและมิกซ์เสียงที่ทำให้เพลงมีความหวือหวามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเพลง Limit To Your Love ของ James Blake ที่ให้ gain ของเพลงสูงกว่าเพลงยุคเก่ามาก ผมต้องลดวอลลุ่มลงมาหลายคลิ๊กเพื่อให้ได้ความดังอยู่ในเกณฑ์ที่พอดีต่อการฟังปกติ ซึ่งน่าแปลกตรงที่แม้จะลดวอลลุ่มลงมาหลายคลิ๊ก แต่เสียงที่ออกมาก็ยังให้ไดนามิกที่เปิดกว้างมาก ไม่ได้มีอาการสลดลงไปเลย N-05XD ให้เสียงร้องและเสียงเปียโนตอนขึ้นต้นเพลงนี้ออกมาในลักษณะที่เปิดกระจ่าง รายละเอียดชัดมาก ไดนามิกไม่ล้นแต่สวิงได้เต็มสเกล ไทมิ่งสุดยอด และที่สำคัญคือเสียงทุ้ม (เริ่มตั้งแต่นาทีที่ 0:56) ที่ได้ยินแล้วแทบตกเก้าอี้.! มันเป็นเสียงทุ้มลึกๆ ที่มีทั้งพลังที่แน่นกระชับ แผ่ลอยกระเพื่อมออกมากระแทกผ่านตัวผมไปเป็นระลอกๆ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไล้ท์ของเพลงนี้ จะตีความว่าเจ้าของเพลงต้องการสื่ออะไรออกมากับเสียงทุ้มนี้ก็ยากจะเดา แต่เสียงทุ้มที่มีพลังล้นทะลักของเพลงนี้ช่วยยืนยันให้เห็นถึงความสามารถในการแปลงความถี่ต่ำออกมาจากไฟล์เพลงได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์มาก.! เพราะผมเคยทดลองฟังเพลงนี้ผ่านสตรีมเมอร์ที่มีราคาสี่หมื่นกว่าบาทพบว่าเสียงทุ้มของเพลงนี้ออกมาไม่แน่นหนึบขนาดนี้ ไม่เก็บตัวกระชับเท่านี้
ช่วงที่ทดสอบอินพุต NET ของ N-05XD นี้ ผมก็ลองสลับด้วยการทดสอบอินพุต USB-B ของ N-05XD ไปด้วยโดยการเปลี่ยนมาใช้สตรีมเมอร์ของ Innuos รุ่น PULSE (REVIEW) เล่นไฟล์เพลงแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลมาที่อินพุต USB-B ของ N-05XD ผ่านสาย USB รุ่น Blue Heaven ของ Nordost (โดยมี Phoenix USB ของ Innuos ช่วยลด noise ของ USB) ด้วย เมื่อลองฟังอัลบั้มเดียวกันจากแผ่นซีดีเทียบกับไฟล์เพลง FLAC 16/44.1 ที่สตรีมมาจาก TIDAL พบว่า อินพุต USB-B ของ N-05XD ให้เสียงออกมาไม่แพ้ช่อง NET ที่สตรีมไฟล์เพลงด้วยแอพ Sound Stream ของ Esoteric เองเลย คุณภาพเสียงออกมาใกล้เคียงกัน โดยรวมแล้วผมให้คะแนนเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ของ PULSE เข้าทางอินพุต USB-B ของ N-05XD สูงกว่าประมาณ 10-15% ที่เด่นชัดมากคือความนิ่งของเสียง (ถ้ามีโอกาสแม็ทชิ่งสาย USB ที่ดีกว่า Blue Heaven ขึ้นไปอีกก็น่าจะได้เสียงโดยรวมที่ดีขึ้นไปอีก) ใครที่ใช้สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตที่ส่งออกสัญญาณทาง USB อย่างเช่นของแบรนด์ Innuos ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกับภาค DAC ในตัว N-05XD ผ่านเข้าทางอินพุต USB-B ของ N-05XD ได้เลย
เสียงจากภาคปรีแอมป์ของ N-05XD
ทดลองฟังแผ่น SACD
ผมทดสอบประสิทธิภาพของภาคปรีแอมป์ของ N-05XD โดยใช้เครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของ Arcam รุ่น CDS27 เล่นแผ่น CD และแผ่น SACD แล้วต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจากช่อง XLR out ของ CDS27 ไปที่ N-05XD ทางช่องอินพุต LINE 1 (XLR) ด้วยสายสัญญาณอะนาลอก XLR ของ Nordost รุ่น Valhalla
ทดลองฟังแผ่น CD
หลังจากลองฟังเสียงจากแผ่น CD และแผ่น SACD ผ่านเข้าทางอินพุต LINE 1 (XLR) ของ N-05XD แล้ว พบว่ามันให้คุณภาพเสียงออกมาในเกณฑ์ที่น่าพอใจ (ตัว CDS27 ราคาสี่หมื่นกว่าบาท) เสียงโดยรวมมีความนุ่มนวลและเนียนสะอาด เสียงกลางมีเนื้อมวล โดยรวมติดนุ่มนิดๆ เมื่อเทียบกับเสียงที่ได้จากไฟล์เพลงเดียวกันที่สตรีมจาก TIDAL เข้าทางอินพุต NET ที่โดยรวมจะออกไปทางเปิดกระจ่างมากกว่า เมื่อเปลี่ยนมาฟังแผ่น SACD พบว่า เสียงโดยรวมยิ่งมีความนวลเนียนมากขึ้นไปอีก เนื้อเสียงมีความเข้มข้นมากกว่าเวอร์ชั่นซีดีอย่างชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่าภาคปรีแอมป์ของ N-05XD มีความเที่ยงตรงสูง สามารถแยกแยะความแตกต่างของสัญญาณอะนาลอกที่ป้อนเข้ามาที่อินพุตของมันออกมาให้เห็น (ได้ยิน) ได้อย่างชัดเจน.. อย่างที่สัญญาณจาก “ต้นทาง” ควรจะเป็น ใครใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ก็น่าจะได้มรรคผลจากภาคปรีแอมป์ของ N-05XD ตัวนี้ไปเต็มๆ เพราะผมฟังแล้วเชื่อเลยว่าภาคปรีแอมป์ในตัว N-05XD เป็นปรีแอมป์อะนาลอกเต็มตัวจริงๆ ..!!!
เสียงของภาค DAC จากอินพุต Coaxial ของ N-05XD
ผมทดลองเล่นแผ่นซีดีด้วย Arcam ‘CDS27’ แล้วต่อเชื่อมสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จากช่อง coaxial out ของ CDS27 ไปที่อินพุต coaxial 1 ของ N-05XD ปรากฏว่าช่องอินพุต coaxial ของ N-05XD ให้เสียงออกมานุ่มๆ ฟังสบายๆ โดยรวมๆ ไม่ค่อยโดดเด่นนัก..
แต่ที่น่าสนใจก็คือ N-05XD รองรับการถอดรหัสฟอร์แม็ต MQA ที่ส่งเข้ามาทางอินพุต coaxial ได้ จากการทดลองเล่นแผ่น MQA-CD ชุด Somethin’ Else ของ Cannonball Adderley บนเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของ Arcam ‘CDS27’ แล้วต่อเชื่อมสัญญาณดิจิตัลเข้าไปที่อินพุต coaxial 1 ของ N-05XD ปรากฏว่า ภาคถอดรหัส MQA ในตัว N-05XD สามารถตรวจจับโค๊ด MQA ที่มากับสัญญาณ PCM 16/44.1 ได้ และนำมาถอดรหัสออกมาได้ถึง 352.8kHz เต็มๆ (ดูในวงกลม) ซึ่งเป็นระดับแซมปลิ้งเรตของสัญญาณใน MQA-CD แผ่นนี้ซึ่งอัดลงแผ่นมาจากสตูดิโอ เสียงที่ออกมาเหมือนฟังจากไฟล์ Hi-Res ที่ให้โทนเสียงออกไปทางเปิดกระจ่าง เต็มไปด้วยรายละเอียด (*ผมลองเล่นไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ผมริปออกมาจากแผ่น MQA-CD ชุดเดียวกันนี้ผ่านเข้าทางอินพุต NET ของ N-05XD พบว่าก็ถอดรหัส MQA ออกมาได้ถึงระดับ 352.8kHz เหมือนกัน เสียงที่ออกมาก็คล้ายกัน)
สรุป
สตรีมเมอร์ที่ปรับวอลลุ่มได้มีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือสตรีมเมอร์ที่มี “แค่” ฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับระดับความแรง (gain) ของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ส่งออกมาจากภาค DAC จุดประสงค์ที่ให้มาก็เพื่อใช้ทำ “เกนแม็ทชิ่ง” กับอินพุตของภาคปรีแอมป์ภายนอก ซึ่งจริงๆ แล้วผู้ผลิตไม่ได้ตั้งใจให้ใช้แทนอะนาลอกปรีแอมป์ จะสังเกตได้ว่า ถ้าทำการปรับลดวอลลุ่ม (gain) ของสตรีมเมอร์แบบนี้แค่นิดเดียว เสียงมักจะแย่ลงมากจนรู้สึกได้ชัด ซึ่งไม่ใช่แค่ความดังลดลงอย่างเดียวแต่ไดนามิกของเสียงกับช่วงความถี่ตอบสนองจะหดแคบลงไปด้วย ในขณะที่เร้นจ์ที่จะใช้เพิ่มความดังจะมีจำกัด (ปรับดังสุดมักจะดีที่สุด)
กับอีกแบบคือสตรีมเมอร์ที่มีภาคปรีแอมป์จริงๆ อยู่ในตัว ซึ่งการปรับความดังจะกระทำผ่านภาคปรีแอมป์ที่มีภาคจ่ายไฟกับภาค gain stage ที่ช่วยขยายสัญญาณเอ๊าต์พุตจากภาค DAC ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับ Line Level ก่อนจะไปผ่านวอลลุ่มของภาคปรีแอมป์อีกที ซึ่งการปรับลดวอลลุ่มของสตรีมเมอร์แบบหลังนี้จะส่งผลกับระดับความดังโดยไม่ทำให้รู้สึกว่าไดนามิกหดแคบลงไปมาก และมีเร้นจ์ให้ปรับเพิ่มความดังได้เยอะ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสตรีมเมอร์แบบไหน.? จุดสังเกตง่ายๆ คือ สตรีมเมอร์ที่มีภาคอะนาลอก ปรีแอมป์อยู่ในตัวมักจะมีอินพุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกมาให้ด้วย
ดูจาก signal blockdiagram ของ N-05XD ที่ให้มาตามรูปข้างบน จะเห็นว่า เอ๊าต์พุตของภาค DAC ของ N-05XD จะถูกส่งไปผ่านระบบวอลลุ่ม (Line Volume Control แบบบาลานซ์) แล้วไปผ่านภาคขยายอะนาลอก เอ๊าต์พุตด้วยวงจร HCLD (High Current Line Drive) ก่อนส่งออกไปทางช่องเอ๊าต์พุต ในขณะที่อินพุต LINE 1 กับอินพุต LINE 2 (ในกรอบสีแดง) จะไม่ผ่านภาค DAC ของ N-05XD ทำให้สัญญาณอะนาลอกอินพุตที่ส่งเข้ามาทางอินพุต LINE 1 กับ LINE 2 ตัดตรงไปที่ระบบวอลลุ่ม Line Volume Control และไปผ่านภาคขยายอะนาลอก เอ๊าต์พุตด้วยวงจร HCLD ก่อนส่งออกไปที่เอ๊าต์พุต ด้วยเหตุนี้ สัญญาณอะนาลอก อินพุตที่คุณป้อนเข้าไปทางอินพุต LINE 1 หรืออินพุต LINE 2 จะมีความบริสุทธิ์โดยไม่ถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยวงจรดิจิตัลของภาค DAC เลย ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า N-05XD มีภาคปรีแอมป์ที่เป็นอะนาลอกแท้ๆ อยู่ในตัวจริงๆ
N-05XD ให้ช่องอะนาลอก อินพุตมี 2 ช่อง ผ่านขั้วต่อ XLR และ RCA อย่างละช่อง ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานร่วมกับแหล่งต้นทางสัญญาณ (source) ในปัจจุบัน ซึ่งนอกเหนือจากสตรีมเมอร์ที่ให้มาในตัวแล้ว ถ้าในซิสเต็มของคุณมีเครื่องเล่นแผ่นเสียง คุณก็สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงของคุณเข้ามาที่ช่องอะนาลอก อินพุตของ N-05XD ได้เลย ส่วนใครที่มีเครื่องเล่นซีดีใช้อยู่ก็สามารถเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จากเครื่องเล่นซีดีของคุณมาเข้าที่อินพุต coaxial หรือ optical ของ N-05XD เพื่ออาศัยภาค DAC ในตัว N-05XD อัพเกรดคุณภาพเสียงของฟอร์แม็ตซีดีได้ด้วย
พิจารณารอบด้านแบบนี้แล้ว ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า N-05XD คือ “ตัวจบ” สำหรับคนที่ต้องการทั้งฟังท์ชั่นการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนที่มาพร้อมคุณภาพเสียงระดับไฮเอ็นด์จริงๆ สมกับสโลแกน Master Class Sound & Ultimate Versatility ที่ผู้ผลิตว่าไว้จริงๆ ถ้าสนใจ แนะนำให้หาโอกาสทดลองสัมผัสกับประสิทธิภาพของ Network DAC/Preamp ตัวนี้ด้วยตัวของคุณเองสักครั้ง..!!!
*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ
Network DAC/Preamp ระดับราคา “ไม่เกิน 500,000 บาท“
************************
ราคา : 420,000 บาท / ตัว
************************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
บ. Inventive AV
โทร. 02-238-4079
facebook: inventiveAV