รีวิว SONSMITH (ซง สมิธ) รุ่น BRIO Series สายหูฟัง 3 รุ่น 3 สไตล์เสียง

สายหูฟังทำหน้าที่เหมือนสายลำโพง แต่มันส่งผลชัดเจนมากกว่าเพราะตัวลำโพงคือหูฟังมันฝังตัวอยู่ชิดติดอยู่กับหูโดยตรง โดยเฉพาะหูฟังแบบ IEM (In-Ear Monitor) ที่อยู่ภายใต้สภาพที่ชีลด์มิดชิด เสียงที่ได้ยินจึงไม่มี roommode ของห้องเข้ามาปน ซึ่งในสภาพนั้น สายหูฟังจึงมีอิทธิพลสูงกับคุณภาพและลักษณะเสียงที่ผู้ใช้หูได้ยิน

คนที่มีใจรักในเสียงดนตรี และร่ำเรียนดนตรีมา เมื่อเขาหรือเธอลุกขึ้นมาลงมือออกแบบและผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงขึ้นมาสักชิ้น ผลลัพธ์สำหรับคนที่ชอบเสียงดนตรีด้วยกันแล้ว มันย่อมไม่ธรรมดา เพราะมันถูกปรับจูนมาโดยคนที่มีเสียงดนตรีอยู่ในหัวใจ

แบรนด์ SONSMITH (ซง สมิธ) คือแบรนด์ของผู้ผลิตสายหูฟังที่ผมเกริ่นถึงข้างต้น คนออกแบบไม่ใช่มือใหม่ เธอคลุกคลีอยู่ในวงการหูฟังมานานหลายปีแล้ว แต่แบรนด์นี้คือผลงานชิ้นใหม่ของเธอ เปิดตัวออกมาด้วยสายหูฟังซีรี่ย์ Brio* ที่มีให้เลือก 3 รุ่น ดีไซน์ด้วยเทคนิคตีเกลียว (twist) ตัวนำเหมือนกันทั้งสามรุ่น ในขณะที่ความแตกต่างไปอยู่ที่วัสดุตัวนำที่ใช้ในแต่ละรุ่น (*Brio เป็นศัพท์ทางดนตรี ที่สื่อถึงพลัง วิญญาณ และจิตวิญญาณ)

เริ่มด้วยรุ่น BRIO Copper ที่ใช้ตัวนำทองแดง OCC (Ohno Continuous Cast) ที่มีความบริสุทธิ์อยู่ที่ระดับ 7N (99.99999%)

ส่วนรุ่นที่สอง BRIO Hybrid ที่ใช้ตัวนำทองแดง OCC 7N ชนิดเดียวกัน แต่เพิ่มเติมด้วยการเคลือบผิวด้วยโลหะเงินเข้ามาเสริมเพื่อให้การส่งผ่านความถี่ในย่านสูงได้มากขึ้น

ส่วนรุ่นที่สามคือ BRIO Hybrid Plus ตัวนี้มีความแตกต่างของวัสดุที่ซับซ้อนมากกว่า คือใช้วัสดุเงินที่มีความบริสุทธิ์อยู่ที่ระดับ 6N (99.9999%) ผสมกับทองแดง OCC ที่เคลือบผิวด้วย Palladium โดยมี Graphene กับ cotton fiber ซ้อนทับมาอีกชั้น ตัวนำทั้งหมดนั้นมีขนาด 21 AWG นับเส้นตัวนำได้ทั้งหมด 48 เส้น บิดเกลียวกันมา ส่วนแจ๊คที่ติดมาเป็นหัว TRS 3.5mm ชุบทองที่ตัวนำเหลืองอร่ามเหมือนกันทั้งสามรุ่น

“.. หนูส่งทั้ง 3 รุ่นให้ อ. ลองฟังและวิเคราะห์เสียง ดูว่า อ. จะชอบรุ่นไหนมากที่สุด.” เป็นคำกล่าวของน้องนุ้ย หรือ Anyapas Asvasirayothin คนออกแบบและผลิตสายหูฟัง SONSMITH สามเส้นนี้พร้อมยื่นถุงกระดาษที่บรรจุกล่องใส่สายหูฟังทั้งสามเส้นมาให้..

ความยาวของสายหูฟังทั้งสามรุ่นนี้อยู่ที่ 120 .. โดยประมาณ ปลายด้านที่เสียบเข้ากับตัวหูฟังเป็นแบบสองขาเล็กๆ ซึ่งหูฟังอินเอียร์ที่ผมมีอยู่เป็นของ Meze Audio รุ่น RAI Solo (REVIEW) ติดตั้งขั้วต่อแบบ MMCX มาให้ เมื่อนำมาใช้กับสายหูฟังของ SONSMITH สามเส้นนี้ ผมก็ต้องต่อผ่านอะแด๊ปเตอร์ MMCX > 2Pin ซึ่งน้องนุ้ยก็ได้จัดมาให้พร้อมสรรพ

ทดลองฟัง กับเพลงที่เตรียมไว้

ผมใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพา (DAP) รุ่น SE180 ซึ่งอยู่ในไลน์ A&futura หนึ่งในเลือดเนื้อเชื้อไขของ Astel&Kern ยืนพื้นทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณเพื่อป้อนให้กับหูฟัง Meze AudioRAI Soloแล้วสลับเปลี่ยนสายหูฟังทั้ง 3 ตัว ของ SONSMITH เพื่อทดลองฟังเทียบ โดยมีสายหูฟังที่แถมมากับหูฟัง RAI Solo เป็นตัวเทียบ

เพลงแรกที่ผมเลือกมาใช้ฟังเปรียบเทียบคุณภาพเสียงของสายหูฟัง SONSMITH ทั้ง 3 เส้นนี้เป็นเพลง Pop/Rock ที่ผมชอบโดยส่วนตัว นั่นคือเพลง The Logical Song เป็นงานเพลงของคณะ Supertramp จากเกาะอังกฤษ เป็นแทรคที่สองในอัลบั้มชุด Breakfast in America ซึ่งผมริปมาจากแผ่นซีดีเวอร์ชั่นพิเศษที่เป็นฟอร์แม็ต Platinum SHM ซึ่งใช้แผ่นเปล่าที่ผลิตจากวัดุโพลีฯ ชนิดพิเศษที่ช่วยให้การ tracking ของลำแสงเลเซอร์ที่ใช้ในการอ่านแผ่นมีความแม่นยำมากกว่าแผ่นเปล่าที่ทำมาจากวัสดุแบบธรรมดาทั่วไป โดยที่ผมเก็บไฟล์เพลงนี้ไว้ในฮาร์ดดิสของตัวเครื่องโดยตรง

เพลงที่สองเป็นเพลงที่เน้นเสียงร้องโดยเฉพาะ ชื่อเพลงว่า The William Tell Overture เป็นงานเพลงแนวอะแคปเปลล่า ที่มีแต่เสียงร้องประสานของนักร้องชายหญิงจำนวน 5 คน ปกติแล้วจะไม่มีเสียงดนตรีประกอบ แต่แทรคที่นำมาใช้ทดสอบนี้จะมีเสียงซาวนด์เอ็ฟเฟ็คตอนขึ้นต้นนิดหน่อย เป็นไฟล์เพลงที่ผมสตรีมมาจาก TIDAL ผ่านทางแอพฯ TIDAL บนเพลเยอร์ SE180

เพลงที่สามเป็นเพลงแจ๊สชื่อว่า OP & D เป็นงาน Duets ที่บรรเลงประชันกันระหว่างอะคูสติกเบสของ Dave Young กับเปียโนของ Oscar Peterson แทรคนี้ใช้ทดสอบความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของเสียงเครื่องดนตรีสองชิ้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และใช้ทดสอบความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ต่ำที่เกิดจากเครื่องดนตรีอะคูสติกด้วย

เพลง : The Logical Song
อัลบั้ม : Breakfast in America (Platinum SHM HR Cutting/WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Supertramp
สังกัด : A&M Records / Made in Japan

ที่จริงแล้ว เพลง The Logical Song ที่ว่านี้ก็ไม่ได้ดีเลิศในแง่ของการบันทึกเสียง แถมยังมีตำหนิอยู่หลายจุดด้วย แต่ทางด้านคุณค่าเพลงแล้วถือว่าอยู่ในระดับสุดยอด มีการเรียบเรียงดนตรีที่สละสลวย เลเยอร์ดนตรีมีความซับซ้อนแต่สอดรับกันได้อย่างลงตัว จังหวะสนุก ท่อนฮุคมีเสน่ห์ ส่วนในแง่ของเสียงนั้นก็มีอยู่หลายช่วงที่มิกซ์ความดังมาพีคซะจนปริ่มๆ ที่จะเกิด overshoot โดยเฉพาะช่วงที่มีเสียงดนตรีดังกันออกมาพร้อมกันหลายชิ้น เป้าหมายที่ผมต้องการจากสายหูฟังที่จะเอามาจับคู่กับหูฟัง Meze AudioRAI Soloของผมก็คือต้องสามารถปลดปล่อยพลังงานจากเพลงนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ คือต้องไม่มีการอั้นไดนามิก (เพลงแนวนี้ถ้าไดนามิกอั้นก็เสียเลย!) แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ไปกระตุ้นให้ตรงจุดที่เกือบจะ overshoot อยู่แล้วนั้นเกิดอาการแตกปลาย และในขณะเดียวกัน จะต้องสามารถรักษาเลเยอร์ที่ซับซ้อนของภาคดนตรีเอาไว้ได้ โดยที่ยังคงได้ยินเสียงร้องที่ชัดถ้อยชัดคำมากที่สุด ซึ่งสายหูฟังที่แถมมากับตัวหูฟังสามารถรักษาคุณสมบัติที่กล่าวมาของเพลงนี้ไว้ได้หลายๆ ข้อ ถือว่าทำได้ดี แต่ยังมีข้อด้อยอยู่ที่เสียงโดยรวมยังไม่เปิดกระจ่างออกมาเท่าที่ต้องการ พลังของเพลงยังออกมาไม่เต็ม เหมือน gain ของสัญญาณน้อยไป ผมลองเร่งวอลลุ่มเพิ่มก็ทำให้ปลายเสียงแตก และสูญเสียการเรียงตัวของเลเยอร์ดนตรีลงไปด้วย

เพลงแรก ‘The Logical Song
and the winner is…

BRIO Copperสายหูฟังตัวนี้ใช้ตัวนำทองแดงล้วน สิ่งแรกที่รับรู้ได้หลักจากลองฟังครั้งแรกก็คือ เนื้อมวลของเสียงมีความเข้มข้น แน่นและกระชับมีน้ำหนัก โดยเฉพาะในย่านกลางและทุ้ม ซึ่งทำให้โทนัลบาลานซ์ที่ออกมาจะเน้นหนักไปทางด้านกลางลงไปทางทุ้ม ส่วนในย่านแหลมจะให้ปริมาณออกมาน้อยกว่า ซึ่งสายตัวนี้ให้ออกมาในลักษณะของเสียงแหลมที่ roll-off ในส่วนของปลายเสียงให้หม่นลง ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ดีตรงที่เปิดได้ดังโดยไม่รู้สึกแสบหู แต่ก็รู้สึกได้ว่ารายละเอียดของเสียงในย่านแหลมกับส่วนที่เป็นบรรยากาศที่มาพร้อมกับความโปร่งใสจะไม่ค่อยออกมาให้ได้ยิน

BRIO Hybridรู้สึกได้ทันทีว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่พุ่งเปิดมากกว่าตัว BRIO Copper ทั้งๆ ที่ใช้วอลลุ่มเท่ากัน และตัวไฮบริดจ์นี้ให้โทนเสียงที่รู้สึกถึงความสมดุลมากกว่าตัวคอปเปอร์ คือมันให้เสียงแหลมที่มีปริมาณมากกว่าตัวคอปเปอร์ประมาณ 20% แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเสียงโดยรวมมีมากกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ คือนอกจากความรู้สึกพุ่งเปิดแล้ว ยังรับรู้ได้ถึงรายละเอียดของเสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้เสียงของเครื่องดนตรีหลายชิ้นฟังดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ที่ชัดมากก็คือโซโล่แซ็กโซโฟนของ John Helliwell ที่มีลักษณะฟูเต็มมากขึ้น มีอาการกัดหูเพิ่มขึ้นนิดๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่า

BRIO Hybrid Plusโอ้ววว… สายหูฟังไฮบริดจ์ พลัสตัวนี้ขยายรูปวงของเพลงนี้ให้แผ่กว้างขึ้นมาอีกระดับ และรู้สึกได้ถึงความฟูเต็มของเสียงที่เพิ่มขึ้นมาอีก เหมือนเอาเวทีเสียงที่ได้จากตัวไฮบริดจ์มา ฉีด” มวลอากาศเพิ่มเข้าไป ทำให้ช่องว่างระหว่างชิ้นดนตรีและเสียงร้องมีอากาศเข้าไปแทรกซึมมากขึ้น ส่งผลให้ฟังแล้วรู้สึกถึงความโปร่งโล่งมากขึ้น (ความแออัดน้อยลง) ในแง่ของปริมาณความถี่ในย่านแหลมอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่รับรู้ได้ถึงความละเอียดของปลายเสียงแหลมที่ทอดเนียนมากกว่า อาการแตกปลายเกิดขึ้นน้อยลงในขณะที่ยังคงใช้วอลลุ่มเท่าเดิม ไดนามิกของเสียงก็สวิงได้กว้างโดยไม่รู้สึกว่ามีอาการอั้น สรุปแล้ว ตัวไฮบริดจ์ พลัส ฟังดีที่สุดในจำนวนสามเส้นนี้สำหรับเพลงนี้

เพลง : The William Tell Overture
อัลบั้ม : An A Cappella Trek (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Voice Trek
ลิ้งค์ TIDAL : (https://tidal.com/browse/track/29270831?u)

จุดเด่นของเพลง The William Tell Overture ในอัลบั้มนี้อยู่ที่เสียงร้องของนักร้องทั้ง 5 คน ชาย 2 หญิง 3 ที่มีโทนเสียงต่างกัน แต่เสียงร้องของทั้ง 5 คน นั้นยังอยู่ในโทนเสียงกลางทั้งหมด เพลงนี้จึงใช้เป็นตัวตรวจวัดความสามารถในการ แยกแยะความถี่ในย่านกลางของสายหูฟังแต่ละเส้น ว่าสายเส้นไหนสามารถ แจกแจงเสียงร้องของทั้ง 5 คนออกมาให้ได้ยินได้ชัดเจนมากกว่ากัน

เพลงที่สอง The William Tell Overture
and the winner is..

BRIO Copperสำหรับเพลงนี้ ตัวคอปเปอร์ทำคะแนนออกมาได้แย่ที่สุดในจำนวนสายหูฟังทั้งสามเส้นนี้ และแย่ได้ชัดเจนมากด้วย โดยเฉพาะเสียงร้องผู้ชายที่มีมวลออกมาน้อย ไม่อิ่มข้น แสดงว่าสายเส้นนี้ไม่ได้เน้นมวลเสียงในย่านกลางต่ำออกมามาก ในขณะที่เสียงในย่านกลางสูงก็ยังไปได้ไม่สุด แต่มีข้อดีที่ได้เป็นความสะอาดเข้ามาแทนเพราะเสียงแหลมไม่เยอะมาก สามารถเร่งวอลลุ่มขึ้นมาได้เยอะเพื่อดึงไดนามิกและรายละเอียดของเสียงขึ้นมาในกรณีของเพลงที่ฟังมี gain ต่ำอย่างเช่นเพลงคลาสสิกส่วนใหญ่

BRIO Hybridสายหูฟังไฮบริดจ์ตัวนี้ช่วนคืนชีวิตให้กับเพลงนี้ได้ดีมาก เสียงของนักร้องชายยืดขยายลงไปได้ต่ำกว่าตัวคอปเปอร์ รู้สึกได้ถึงเสียงลูกคอที่สั่นตามมา ส่วนเสียงนักร้องหญิงก็มีความกังวานมากขึ้น รู้สึกได้ถึงมวลแอมเบี้ยนต์บางๆ ที่ทอดขยายต่อเนื่องออกไปจากปลายเสียงร้อง ช่วยให้บรรยากาศของเพลงเปิดโล่งออกไปมากขึ้น

BRIO Hybrid Plusถ้าเพลงที่คุณชอบคือเพลงนี้เพลงเดียว หรือถ้าคุณเป็นคนที่ชอบฟังเพลงร้องของนักร้องชายหญิงมากเป็นพิเศษ คุณควรจะให้ความสนใจสายหูฟังตัวนี้ให้มากเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้ใช้ฟังเพลงนี้แล้วสะท้อนความรู้สึกเหมือนกำลังฟังการบรรเลงสดจริงๆ มากที่สุดในจำนวนสายหูฟังทั้งสามเส้นนี้.! ซึ่งความรู้สึกที่ว่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เริ่มเสียงเอ็ฟเฟ็คตอนต้นเพลงนั่นเลย คือฟังผ่านสายหูฟังไฮบริดจ์ พลัสตัวนี้แล้วทำให้เกิดการรับรู้ขึ้นมาทันทีว่าเป็นเอ็ฟเฟ็คที่บันทึกมาจากบรรยากาศในฮอลล์ก่อนการแสดงจริง ซึ่งน่าจะเป็นเสียงที่บันทึกมาจากงานบรรเลงเพลงคลาสสิกชิ้นอื่นที่นำมาใช้เป็นแปะอินโทรของเพลงนี้เท่านั้น ตอนฟังผ่านตัวไฮบริดจ์และตัวคอปเปอร์ก็พอจะรู้ว่า (คือเดาว่า) เป็นเสียงบรรยากาศในฮอลล์ก่อนการบรรเลง แต่เมื่อฟังผ่านตัวไฮบริดจ์ พลัส มันมีรายละเอียดในเสียงนั้นที่แสดงตัวออกมาให้รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงบรรยากาศก่อนการแสดงจริงๆ โดยไม่ต้องเดาว่า ซึ่งประเด็นนี้แสดงถึงความสามารถในการแยกแยะและแจกแจงรายละเอียดของเสียงในระดับที่ซับซ้อนออกมาให้ได้ยิน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหนือชั้นกว่าสายหูฟังทั้งสองเส้นที่เหลือ

เพลง : OP & D
อัลบั้ม : Two By Two: Piano Bass Duets, Vol. I (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Dave Young & Oscar Peterson
ลิ้งค์ TIDAL : (https://tidal.com/browse/track/241373709?u)

อัลบั้มนี้เป็นเพลงแนวแจ๊สที่เป็นการ duet หรือเล่นประชันกันระหว่างอะคูสติกเบสโดย Dave Young กับเปียโนโดย Oscar Peterson ซึ่งเป็นยอดฝีมือทั้งคู่ และซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่ดูแลการบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้ก็มีฝีมือ สามารถจัดระดับความสำคัญของเสียงเครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นให้มีความชัดเจนอยู่ในระดับที่ไม่ต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะเสียงโน๊ตของเปียโนมันครอบคลุมย่านความถี่เสียงกว้างมาก คือตั้งแต่โน๊ต A0 ที่มีความถี่หลัก (fundamental) อยู่ที่ 27.5Hz ขึ้นไปจนถึงโน๊ต C8 ที่มีความถี่หลักอยู่ที่ 4186Hz ในขณะที่เสียงโน๊ตของอะคูสติกเบสครอบคลุมความถี่อยู่ระหว่าง 40Hz – 100Hz ซึ่งซ้อนทับอยู่ในย่านความถี่ที่โน๊ตบางส่วนของเปียโนครอบคลุมอยู่ด้วย ในช่วงที่เครื่องดนตรีทั้งสองเล่นโน๊ตที่อยู่ในเร้นจ์ความถี่เดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ถ้าการบันทึกเสียงไม่สามารถเก็บเอารายละเอียดทางด้านฮาร์มอนิก+เรโซแนนซ์ตามธรรมชาติของทั้งเสียงเปียโนและอะคูสติกเบสมาได้อย่างครบถ้วน จะมีผลให้ไม่สามารถแยกแยะเสียงโน๊ตของทั้งสองเครื่องดนตรีช่วงที่ดังพร้อมกันออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่บันทึกเสียงอัลบั้มนี้ทำงานของพวกเขาออกมาได้ดี ที่เหลือก็ต้องมาดูว่า สายหูฟังทั้งสามเส้นนี้จะสามารถแยกแยะเสียงโน๊ตของเปียโนกับอะคูสติกเบสออกมาได้ดีแค่ไหน

เพลง OP & D
and the winner is..

BRIO Copperว้าวว.. คุณคงเคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า ตัวนำทองแดงให้เบสได้ดีกว่าเงินมาแล้วนะ กับเพลงนี้ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการทดลองฟังตัวไฮบริดจ์ พลัสก่อนและเปลี่ยนมาฟังตัวคอปเปอร์ คุณจะรู้สึกได้เลยว่า ตัวคอปเปอร์ให้เสียงอะคูสติกเบสที่มีความกังวานของฮาร์มอนิกด้านต่ำออกมาได้เต็มกว่าตัวไฮบริดจ์ พลัส (ต้องเร่งวอลลุ่มของตัวคอปเปอร์ขึ้นมามากกว่าตัวไฮบริดจ์ พลัสนิดนึง) ในช่วงที่เครื่องดนตรีทั้งสองบรรเลงไปพร้อมกัน ตัวคอปเปอร์จะแยกแยะเสียงทั้งสองออกมาได้ง่ายกว่า

BRIO Hybridอือมม.. ไอ้ที่คิดว่า ตัวคอปเปอร์ให้เสียงเบสออกมาได้ดีแล้ว พอเปลี่ยนมาตัวไฮบริดจ์ปรากฏว่า เสียงเบสดียิ่งขึ้นไปกว่าอีก ไฮบริดจ์ให้ตัวเบสที่มีโฟกัสชัดเจน มีความเป็นตัวเป็นตนมากกว่า มีพลังที่รู้สึกได้ถึงแรงดีดตัวของหัวโน๊ตที่เด้งดึ๋ง ในขณะที่ฮาร์มอนิกอาจจะหดสั้นลงกว่าตัวคอปเปอร์นิดนึง จึงทำให้หางเบสไม่แผ่ขยายไปเท่ากับตัวคอปเปอร์ (อย่าลืมว่าต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นมาพอสมควรเลยถ้าฟังตัวคอปเปอร์ แสดงว่า gain ของตัวคอปเปอร์เบากว่าไฮบริดจ์กับตัวไฮบริดจ์ พลัสอยู่พอสมควร) แต่พอมาถึงเสียงเปียโนต้องยอมรับเลยว่า ตัวคอปเปอร์สู้ไม่ได้เลย ซึ่งตัวไฮบริดจ์ให้เสียงหัวโน๊ตเปียโนที่มีน้ำหนักมากกว่า ชัดกว่า และให้ฮาร์มอนิกที่เคลียร์ชัดมากกว่าด้วย สามารถแยกหัวโน๊ตกับปลายเสียงที่สั่นกระพรือออกจากกันได้ชัด ให้หางเสียงที่ทอดไปได้ไกลกว่า ฟังเพลงนี้ผ่านสายตัวไฮบริดจ์รวมๆ จะดีกว่าตัวคอปเปอร์กับตัวไฮบริดจ์ พลัส

BRIO Hybrid Plusฟังทีแรกเหมือนจะดีที่สุดสำหรับเพลงนี้ แต่ฟังไปฟังมาพบว่า ตัวไฮบริดจ์ พลัสมันให้เสียงโดยรวมๆ ออกไปทางสุภาพเรียบร้อยไปนิด ทั้งเสียงเบสและเปียโนมีลักษณะกระชับสั้นไปหน่อย คือหัวโน๊ตกับบอดี้ถือว่าดี แต่ให้ความรู้สึกตึงตัวเกินไป เก็บตัวมากเกินไป ฮาร์มอนิกแผ่ออกมาจากตัวโน๊ตทั้งสองน้อยมาก น่าแปลกใจ.! เหมือนตัวสายจะมีการแด้มป์มากไป.? ฟังเผินๆ จะรู้สึกว่าพื้นเสียงของสายไฮบริดจ์ พลัสมีความสะอาดหมดจด เก็บกวาดเรียบร้อย แต่ขาดความสมจริงไปหน่อย ณ จุดนี้ถ้ากลับไปฟังตัวไฮบริดจ์จะเห็นได้ชัดว่าตัวไฮบริดจ์ให้มูพเม้นต์ที่เป็นธรรมชาติมากกว่า

สรุป

จริงๆ แล้ว ราคาขายของสายหูฟังแต่ละรุ่นน่าจะเป็นตัวกำหนดระดับคุณภาพของเสียงที่สายแต่ละรุ่นให้ออกมา ซึ่งอาจจะดูเหมือนไม่ยุติธรรมนักที่เอาสายหูฟังทั้งสามรุ่นนี้มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งถ้ามองจากมุมของการปรับจูนแล้ว ก็ต้องถือว่าคนออกแบบทำการปรับจูนเสียงของแต่ละเส้นออกมา ตามความสามารถของวัสดุที่ใช้เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลต่อ คุณภาพเสียงโดยรวมของสายทั้งสามเส้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของวัสดุตัวนำกับรูปแบบโครงสร้างของสายทำให้มันแสดงคุณสมบัติทางด้าน โทนเสียงที่แตกต่างกันออกมาให้รับรู้ได้ ซึ่งคุณสมบัติทางด้าน โทนเสียงนี่เองที่อาจจะทำให้คุณตัดสินใจเลือกสายตัวใดตัวหนึ่งโดยไม่อิงกับราคาขาย แต่อิงกับ แนวเพลงที่คุณฟังเป็นสำคัญ

ถ้าชอบฟังเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เน้นคุณภาพการบันทึกเสียง ตัว Copper น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะมันไม่เน้นเสียงแหลมเยอะ ทำให้เพลงทั่วๆ ไปที่ไม่ได้บันทึกเสียงมาดีมากและมักจะให้เสียงแหลมที่กัดหูจะฟังแล้วทุเลาลงได้มากกับสายตัว Copper ส่วนคนที่ฟังเพลงแนวที่ให้ความสำคัญกับการบันทึกเสียงมากหน่อย อย่างเช่น เพลงร้องแนวแจ๊ส เพลงบรรเลงแนวคลาสสิก สายหูฟังตัว Hybrid จะไปกับแนวของคุณได้ดี ในขณะที่ตัว Hybrid Plus แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ต้องการคำว่า เสียงดีเหมาะมากสำหรับคนที่สะสมเพลงที่ดีทั้งตัวเพลงและมีการบันทึกเสียงที่เป็นเลิศ ซึ่งปัจจุบันนี้ คุณสามารถตามล่าและสะสมเพลงที่ดีทั้งตัวเพลงและคุณภาพเสียงโดยไม่ต้องกังวลกับการลบเพลงที่ไม่สมบูรณ์แบบทิ้งไป ด้วยระบบ Playlist ที่มีประสิทธิภาพของ TIDAL

(*** อย่าลืมว่า ผลการรับฟังของผมจากในรีวิวข้างบนนั้นเป็นแค่ผลจากการทดลองฟังกับหูฟังแค่คู่เดียวเท่านั้น และตัดสินจากเพลงแค่ 3 เพลง เท่านั้น ดังนั้น ขอให้ใช้รีวิวนี้เป็นแค่ข้อมูลส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณสนใจสายหูฟังเหล่านี้ แนะนำให้สอบถามผู้ผลิตเพื่อขอทดลองฟังกับหูฟังของคุณก่อนตัดสินใจ)

********************
ราคา :
BRIO Copper = 6,990 บาท / เส้น (จากราคาเต็ม 7,990 บาท)
BRIO Hybrid = 8,990 บาท / เส้น (จากราคาเต็ม 9,990 บาท)
BRIO Hybrid Plus = 18,900 บาท / เส้น (จากราคาเต็ม 19,900 บาท)
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
SONSMITH
(https://bit.ly/3S98Ig4)

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า