รีวิว Bluesound รุ่น NODE Nano

ต้องยอมรับก่อนว่า ความเก่าใหม่ของ ชิป DAC คือ ตราชั่งที่ใช้วัดคุณภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทที่มีภาค DAC ในตัว อย่างเช่น สตรีมเมอร์ หรืออินติเกรตแอมป์แบบ 2-in-1 ที่มีภาค DAC ฝังมาให้ในตัว คือถ้าไปเลือกเอาสตรีมเมอร์หรืออินติเกรตแอมป์แบบ 2-in-1 ที่มีราคาใกล้เคียงกันมากองรวมกัน แล้วค่อยๆ งัดเข้าไปส่องดู ชิป DAC ที่ใช้อยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้น จะพบว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเป็นสตรีมเมอร์ หรืออินติเกรตแอมป์ที่มี DAC ในตัวรุ่นเล็กๆ ราคาไม่เกิน 2 หมื่นบาท แม้ว่าเครื่องเหล่านั้นจะเป็นรุ่นใหม่ แต่เพื่อลดงบ ผู้ผลิตเครื่องเสียงเหล่านั้นมักจะไปหยิบเอา ชิป DAC เบอร์รองรุ่นเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นเบอร์ที่ตกรุ่นไปแล้วมาใช้ใน ภาค DAC ของเครื่องเสียงเหล่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันคือธุรกิจ เครื่องราคาไม่แพงถ้าใส่ชิปใหม่ๆ ลงไปแล้วจะไปเอากำไรมาจากไหน.?

แต่ Bluesound กำลังทำอะไรที่ต่างออกไป พวกเขากำลังทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ นั่นคือ ไปเอา ชิป DAC ของ ESS Technologies เบอร์ใหม่ล่าสุดคือ ES9039Q2M มาประกอบเป็นภาคดีทูเอฯ ใส่ลงไปในสตรีมเมอร์รุ่น NODE Nano ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุดในจำนวนสามรุ่นที่เพิ่งออกมาล่าสุด.!! (อีกสองรุ่นก็คือ NODE 2024 กับ NODE ICON ซึ่งก็ใช้ ชิป DAC รุ่นเดียวกัน)

BluesoundNODE Nano
เรียบง่าย.. แต่ตั้งใจทำ.!!

1. ช่องเอ๊าต์พุต อะนาลอกแชนเนลขวา
2. ช่องเอ๊าต์พุต อะนาลอกแชนเนลซ้าย
3. ช่องเอ๊าต์พุต ดิจิตัล coaxial
4. ช่องเอ๊าต์พุต ดิจิตัล optical
5. ช่องเสียบสาย LAN (Ethernet)
6. ช่องเสียบสัญญาณอินฟราเรดของรีโมทภายนอก
7. ช่องเสียบสาย USB-C สำหรับไฟขาเข้า DC 5V/2A
8. ช่องเอ๊าต์พุต สัญญาณ Trigger
9. ช่องเสียบแฟรชไดร้ USB พกพา

10. & 11. ปุ่มเลือก Presets (การทำงานที่ปรับตั้งล่วงหน้า)
12. ไฟ LED หลากสี แสดงสถานะต่างๆ และใช้ควบคุมการเล่น/หยุดเพลงด้วย
13. ช่องรับคลื่นอินฟราเรด
14. ปุ่มปรับลดความดัง
15. ปุ่มปรับเพิ่มความดัง

ตัวเครื่อง NODE Nano มาในขนาดกระทัดรัด รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างและลึกเท่ากัน แต่บางแค่ 3.6 .. เท่านั้น แผงหน้าทำสโลปเฉียงๆ ติดกระจกดำแอบซ่อนไฟ LED กับปุ่มกดแบบสัมผัสจำนวน 5 ปุ่มเอาไว้ด้านล่าง ส่วนขั้วต่อสำหรับเชื่อมโยงกับโลกภายนอกถูกติดตั้งไว้ที่แผงหลังของตัวเครื่องทั้งหมด

NODE Nano ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์ คือ มิวสิค สตรีมมิ่ง + DAC ในตัวที่ไม่ได้เป็น external DAC คือไม่มีช่องดิจิตัล อินพุตไว้ให้รองรับสัญญาณดิจิตัลจากภายนอกเข้ามาใช้บริการของภาค DAC ในตัวมัน ให้มาแต่ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตสำหรับส่งสัญญาณดิจิตัลจากภายในตัวมันออกไปอาศัยภาค DAC ภายนอกให้ทำหน้าที่ช่วยแปลงเป็นอะนาลอกให้ (ในกรณีที่ต้องการอัพเกรดคุณภาพเสียงให้สูงกว่าภาค DAC ในตัว NODE Nano เอง) ด้วยเหตุนี้ NODE Nano จึงมีสถานะที่เป็น สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตอยู่ในตัวเดียวกันด้วย ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะนำมันไปเชื่อมต่อในระบบแบบไหน

ความสามารถในการรองรับ และส่งออกสัญญาณ

ช่องดิจิตัล เอ๊าต์ของ NODE Nano ให้มาทั้งหมด 3 ช่อง คือ coaxial, optical และ USB น่าสังเกตว่าไม่มีช่องหูฟังมาให้ แต่สามารถใช้งานร่วมกับหูฟังแบบไร้สายได้โดยต่อเข้าทาง Bluetooth รวมถึงเอ๊าต์พุตที่จะต่อไปที่ลำโพงซับวูฟเฟอร์ด้วยในกรณีที่คุณต้องการเสริมความถี่ต่ำก็ต้องต่อผ่าน Bluetooth เหมือนกัน ส่วนช่องทางอินพุตที่ใช้รองรับสัญญาณดิจิตัลขาเข้ามีแต่ช่อง Ethernet กับ Wi-Fi แค่สองช่องทาง ซึ่งความสามารถในการรองรับสัญญาณจากภายนอกระดับสูงสุดอยู่ที่ 24/192 ทั้งระบบแบบ ‘native converionความหมายคือถ้าคุณเล่นไฟล์ฟอร์แม็ตที่ห่อหุ้มสัญญาณ PCM ที่มีรายละเอียดไม่เกิน 24/192 อยู่ข้างใน ภาค DAC ในตัวของ NODE Nano จะทำการแปลงสัญญาณอินพุตนั้นให้ออกไปเป็นสัญญาณอะนาลอกตรงๆ โดยไม่มีการอัพแซมปลิ้งหรือแปลงเป็นฟอร์แม็ตอื่นก่อน แต่ถ้าคุณเล่นไฟล์เพลง DSF หรือ DFF ที่แพ็คสัญญาณ DSD อยู่ข้างใน กรณีนี้ภาค DAC ในตัว NODE Nano จะแปลงสัญญาณ DSD ไปเป็นสัญญาณอะนาลอกแบบ non-native conversion คือภาคดิจิตัลอินพุตของ NODE Nano จะทำการแปลงสัญญาณ DSD ที่รับเข้ามาให้เป็นสัญญาณฟอร์แม็ต PCM ก่อนจะส่งให้ชิป ES9039Q2M ในภาค DAC ของ NODE Nano ทำการแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอก (สามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้สูงสุดถึงระดับ DSD256 หรือ DSD11.2MHz) ซึ่งกระบวนการนี้จะกระทำโดยอัตโนมัติภายในตัวเครื่อง

ฟอร์แม็ตของไฟล์เพลงที่ NODE Nano รองรับได้ก็มีไฟล์ MP3, AAC, WMA-L, OGG, ALAC, OPUS, DSF และ DoP นอกจากนั้น NODE Nano ยังมีดีโค๊ดเดอร์ MQA อยู่ในตัวด้วย สามารถถอดรหัสไฟล์เพลงที่เข้ารหัส MQA ได้ หรือคุณจะปรับตั้งให้ปล่อยโค๊ด MQA ออกไปทางช่องดิจิตัล เอ๊าต์เพื่อไปอาศัยดีโค๊ดเดอร์ MQA จาก DAC ภายนอกช่วยถอดรหัสให้ก็ได้ (ปรับตั้งผ่านเมนู settings บนตัวแอพ BluOS)

การเชื่อมต่อใช้งาน

ในการทดสอบครั้งนี้ ผมเริ่มต้นทดลองฟังเสียงของ NODE Nano ผ่านทางเอ๊าต์พุต อะนาลอกเป็นอันดับแรก ด้วยการเชื่อมต่อ NODE Nano เข้ากับอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 (REVIEW) ทางช่องอะนาลอก อินพุตด้วยสายสัญญาณอะนาลอก

หลังจากทดลองฟังเสียงจากเอ๊าต์พุต อะนาลอกเสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนมาทดลองฟังเสียงของช่องเอ๊าต์พุต ดิจิตัลของอินติเกรตแอมป์ LEAKStereo 230โดยเลือกใช้เอ๊าต์พุตจากช่อง coaxial เชื่อมต่อไปยังอินพุต coaxial ของอินติเกรตแอมป์ LEAKStereo 230

NODE Nano ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์คได้ 2 ทาง คือทาง Wi-Fi แบบไร้สายก็ได้ ซึ่งจะสะดวกกับการใช้งานที่ไม่ได้เน้นคุณภาพเสียงถึงที่สุด ซึ่งถ้าคุณต้องการเน้นคุณภาพเสียงเป็นเรื่องแรก แนะนำให้เชื่อมต่อ NODE Nano เข้ากับเน็ทเวิร์คผ่านทางสาย LAN จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมาดีกว่ามาก และจะทำให้การเชื่อมต่อมีเสถียรภาพมากกว่าต่อแบบไร้สายด้วย ซึ่งจากการทดลองเชื่อมต่อด้วยการใช้สาย LAN ผมพบว่า NODE Nano ใช้เวลาในการเชื่อมด้วยตัวเองเร็วมาก แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไฟ LED ตรงกลางเครื่องก็เป็นสีฟ้านิ่งๆ พร้อมใช้งานแล้ว..

พูดถึงไฟ LED ดวงนี้ มันถูกออกแบบมาให้สามารถแสดงสถานะของเครื่องได้หลายความหมาย โดยสังเกตที่สีและลักษณะการกระพริบ (ดูตามตารางข้างบน)

และอ่านเจอในคู่มือว่า NODE Nano ออกแบบมาให้สามารถติดตั้งแบบแขวนตัวเครื่องไว้แนบกับตู้หรือผนังได้ด้วย ที่ด้านล่างของตัวถัง ถ้าคุณหงายท้องขึ้นมา บริเวณตรงกลางจะเห็นว่ามีแผ่นยางนิ่มๆ อยู่แผ่นหนึ่งที่เขาใช้ปิดกั้นช่องเสียบหัวตะปู (ศรชี้ ในภาพข้างบน) สำหรับยึดติดบนผนังเอาไว้ ถ้าต้องการติดตั้ง NODE Nano ลักษณะที่ว่า คุณก็แกะเอาแผ่นยางนิ่มๆ นั้นออกแล้วยกเครื่องขึ้นไปเสียบหัวตะปูแขวนบนผนังได้เลย คนที่ทำงานติดตั้งระบบเสียงก็สามารถเอา NODE Nano ไปใช้เป็นแหล่งต้นทางสำหรับสตรีมสัญญาณเสียงไปใช้กับระบบเสียงตามสาย หรือระบบเสียงมัลติโซนได้ด้วย เพราะ NODE Nano ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับระบบ Home Automation แบรนด์มาตรฐานอย่าง Creston, Control4, RTI, ELAN, URC และ Lutron ได้ โดยมีทั้งช่อง Trigger และช่องรับสัญญาณ IR มาให้เสร็จสรรพ

การควบคุมสั่งงาน

เผื่อคุณไม่ได้เป็นแฟนของแบรนด์ Bluesound อาจจะไม่รู้ คือ NODE Nano ไม่มีรีโมทไร้สายมาให้นะ การควบคุมสั่งงานและควบคุมการเล่นไฟล์เพลงต้องทำผ่านทางแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า BluOS ทั้งหมด ซึ่งมีให้โหลดมาใช้ฟรีทั้งเวอร์ชั่น Android และ iOS แถมยังมีเวอร์ชั่นที่เปิดบนคอมพิวเตอร์ได้ด้วย

BluOS เป็นแอพฯ ที่รวบรวมความสามารถ 2 อย่างในตัว เป็น แอพฯ 2-in-1 ที่ทำได้ทั้งการปรับตั้งค่าและปรับตั้งฟังท์ชั่นการทำงานของตัวเครื่อง รวมถึงควบคุมการเล่นไฟล์เพลงที่สตรีมมาจากแหล่งต่างๆ ด้วย ซึ่งแหล่งต้นทางที่เก็บไฟล์เพลงที่ NODE Nano สามารถสตรีมมาเล่นได้มีอยู่หลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เพลงใน NAS ที่คุณเก็บไว้, ไฟล์เพลงที่อยู่ในแฟรชไดร้ หรือ USB ฮาร์ดดิสแบบพกพาที่เสียบเข้าที่ช่อง USB-A และไฟล์เพลงที่สตรีมมาจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น TIDAL และไฟล์เพลงจากสถานี internat radio จำนวนมาก นอกจากนั้น NODE Nano ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเอ๊าต์พุตให้กับการเล่นไฟล์เพลงจากระบบ (ฮาร์ดแวร์+แอพลิเคชั่น) ของ Roon ได้ด้วยเพราะ NODE Nano มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ในตัว สุดท้ายคือสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลทางคลื่น Bluetooth ที่ได้มาจากการเล่นไฟล์เพลงบนมือถือหรือแท็ปเล็ตด้วย

เตรียมฟังเสียงของ NODE Nano

หน้าตาฟังท์ชั่นปรับตั้งระบบวอลลุ่มของ NODE Nano (ปรับผ่านเมนู Settings > Audio > Output Level Fixed)

NODE Nano มีฟังท์ชั่นให้ปรับระดับเอ๊าต์พุตในตัวมันได้ 2 รูปแบบ แบบแรกคือ ‘Output Level Fixedเป็นการปรับตั้งสัญญาณอะนาลอกขาออกให้ออกมาเต็มที่ 100% ตลอดเวลา ซึ่งใช้ในกรณีที่คุณนำเอา NODE Nano ไปเชื่อมต่อกับระบบแอมป์ที่มีวอลลุ่ม อย่างเช่น อินติเกรตแอมป์หรือปรีแอมป์ ซึ่งในการทดลองฟังเสียงของ NODE Nano ครั้งนี้ ผมจับคู่ NODE Nano เข้ากับอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 โดยทดลองฟังเสียงจากการต่อผ่านทางช่องอะนาลอก เอ๊าต์ สลับกับช่องดิจิตัล coaxial

กับอีกแบบคือ ทดลองฟังผ่านวอลลุ่มในตัว NODE Nano ซึ่งใช้ในกรณีที่คุณต้องการปรับตั้งความดังจากการเล่นไฟล์เพลงผ่าน NODE Nano ไปยังเพาเวอร์แอมป์โดยตรง จากการทดลองจับคู่ NODE Nano เข้ากับเพาเวอร์แอมป์ของ NAD รุ่น C298 พบว่ามันไปกันได้ดีพอสมควร เพราะเพาเวอร์แอมป์ C298 มีอ๊อปชั่นให้สามารถปรับตั้งเกนอินพุตได้

ศรชี้ในภาพข้างบนนั้นคือปุ่มวอลลุ่มที่ใช้ปรับตั้งระดับ gain input ของ C298 ซึ่งทำให้สามารถแม็ทชิ่งกับวอลลุ่มของ NODE Nano ได้ ซึ่งจะใช้ได้ผลดีมากในกรณีที่คุณใช้ลำโพงที่มีความไวค่อนข้างสูง ประมาณ 89 – 92dB และแนะนำกำลังขับ ไม่เกินกำลังขับที่ C298 ให้ได้สูงสุด นั่นคือ 185W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม

เสียงของ NODE Nano

บอกตรงๆ ว่า ช่วงแรกที่ผมเอา NODE Nano ไปเซ็ตอัพไว้ทดลองฟังในห้องรับแขก ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากเสียงของสตรีมเมอร์ตัวนี้ เพราะเห็นว่าเป็นรุ่นเล็กสุด และก่อนหน้านี้ผมได้ทดสอบรุ่น NODE ICON (REVIEW) ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของซีรี่ย์นี้ไปแล้วด้วย แต่พอตั้งใจฟังจริงๆ ต้องบอกเลยว่า เซอร์ไพร้มาก.!!

อย่างแรกคือ เสียงมันออกมา เต็มมาก.! คือส่วนมากแล้ว สตรีมเมอร์ราคาไม่สูงมักจะให้เสียงออกมาบางๆ เบาๆ แต่เสียงของ NODE Nano ตัวนี้มันออกมามีเนื้อมีมวลผิดวิสัยสตรีมเมอร์ราคาถูกทั่วไป ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักเสียงที่ทิ้งตัว ไม่ล่องลอย ในขณะเดียวกัน พื้นเสียงก็ไม่ขุ่นซะด้วย มีความใสโปร่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทำให้สามารถรับรู้ถึงความลึกของเวทีเสียงที่ทอดตัวเป็นเลเยอร์ลงไปด้านหลังของระนาบลำโพงได้อย่างชัดเจน

ชิป DAC ที่ใช้ในตัว NODE Nano เป็นชิป ESS Technologies เบอร์ ES9039Q2M เป็นชิปรุ่นใหม่ที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ซึ่งคนที่มาสายคอมพิวเตอร์ย่อมรู้ดีว่า โปรเซสเซอร์ชิปรุ่นใหม่ๆ จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสนนราคาของชิปรุ่นใหม่จะอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกับชิปรุ่นเก่ากว่าก็ตาม (กฏของมัวร์ยังใช้ได้) อาจจะเป็นเหตุนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า เสียงของ NODE Nano ตัวนี้มันให้ รายละเอียดที่เจาะลึกลงไปในแต่ละตัวเสียงได้มากกว่าเสียงของสตรีมเมอร์ตัวเล็กๆ สมัยก่อน ซึ่งในยุคก่อนนั้น ถ้าจะจูนให้ได้รายละเอียดของตัวเสียงเด่นๆ หน่อย ก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา นั่นคือเนื้อเสียงจะบาง ในขณะเดียวกัน ถ้าต้องการจูนให้เสียงโดยรวมออกมาทางนุ่มนวล อิ่มหนา ก็มักจะได้ลักษณะของเสียงที่บวมเบลอตามมา อิมเมจจะไม่คม แต่มาถึงเวอร์ชั่นนี้ ต้องยอมรับว่า ชิป DAC รุ่นใหม่ๆ มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สตรีมเมอร์รุ่นใหม่ๆ อย่าง NODE Nano ตัวนี้สามารถจูนให้ได้เสียงที่มีจุดเด่นทั้ง 2 ด้านออกมาในอัตราเฉลี่ยที่น่าพอใจ นั่นคือ ได้ทั้งรายละเอียดและเนื้อเสียงที่นุ่มเนียนออกมาพร้อมกัน

ใครชอบฟังเพลงร้องเป็นหลัก ต้องขอบอกเลยว่าเป็นโชคดีของคุณแล้ว เพราะไม่ต้องลงทุนกับสตรีมเมอร์แพงๆ ขอแค่ NODE Nano ตัวนี้ก็ได้เสียงร้องที่ให้คุณภาพสูงถึงระดับที่ฟังแล้วอินไปกับอารมณ์เพลงได้อย่างดื่มด่ำแล้ว เพราะเสียงร้องมันออกมาเนียนและมีความละมุนละมัยมากพอ ผมฟังแล้วนึกถึงเสียงของสตรีมเมอร์ราคา 2 – 3 หมื่นที่ได้ยินเมื่อสองสามปีที่แล้ว ซึ่งรวมๆ แล้วออกมาใกล้เคียงกัน แต่จริงๆ แล้วอยากกระซิบบอกว่า เสียงของ NODE Nano มีความเนียนกว่าสตรีมเมอร์ราคาสองสามหมื่นที่ออกมาเมื่อสองสามปีที่แล้วซะด้วยซ้ำไป.!

ถ้าคุณใช้ช่องเอ๊าต์พุต อะนาลอกของ NODE Nano จะบอกว่า สายสัญญาณมีผลกับเสียงที่ได้ค่อนข้างชัดเจน จากการทดลองใช้สายสัญญาณ 3 คู่ ลองฟังกับช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ NODE Nano ผมพบว่า สายสัญญาณแต่ละเส้นมันส่งผลกับเสียงโดยรวมของ NODE Nano ออกมาชัดเจนมาก โดยเฉพาะในแง่ บุคลิกของเสียงซึ่งสายสัญญาณแบรนด์ Atlas รุ่น Equator MK III เมื่อใช้กับ NODE Nano จะให้เสียงที่ออกไปทางเนียนนวล สะอาด และผ่อนคลาย ส่วนสายสัญญาณของแบรนด์ Kimber Kable รุ่น Timbre นั้นจะให้โทนเสียงที่ต่างออกไปอีกแบบ นั่นคือโดยรวมจะออกไปทางสด พื้นเสียงใสปลายเสียงเปิด อิมเมคคม บอดี้กระทัดรัด ซึ่งสายสัญญาณทั้งสองรุ่นนี้มีราคาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลสำหรับเจ้าของ NODE Nano ที่ต้องการรีดคุณภาพเสียงของ NODE Nano ออกมาให้ได้มากที่สุดภายใต้งบประมาณสูงสุดเมื่อเทียบสัดส่วนกับราคาค่าตัวของ NODE Nano ส่วนสายสัญญาณ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif3 ราคาเมตรละ 29,000 บาท ซึ่งสูงเกินระดับราคาของ NODE Nano ไปพอสมควร แต่เหตุผลที่ผมนำมาทดลองจับคู่กับ NODE Nano ครั้งนี้ก็เพื่อเช็คดูว่า ประสิทธิภาพของ NODE Nano จะทะยานไปได้ไกลขนาดไหน แต่ผลที่ออกมากลายเป็นว่ามันไม่แม็ทฯ กัน คือเสียงที่ออกมาจะมีคุณสมบัติทางด้านโทนัลบาลานซ์ที่เอนเอียงไปทางกลางขึ้นไปแหลมมากกว่ากลางลงมาทุ้ม ความหมายคือได้ปริมาณเสียงในย่านทุ้มน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบส่วนกับเสียงในย่านกลางแหลม แม้ว่า Blue Heaven Leif3 + NODE Nano จะให้มวลเสียงที่เข้มข้นมากกว่า และให้รายละเอียดของเสียงแต่ละเสียงที่มีความเข้าใกล้เสียงจริงในธรรมชาติมากกว่าตอนที่ NODE Nano จับคู่กับสายสัญญาณอีกสองเส้นก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่จะมีอาการอั้นนิดๆ ทางด้านไดนามิกที่สวิงได้ไม่เต็มที่ เมื่อพิจารณาผลรวมโดยเฉลี่ยแล้วผมถือว่า Blue Heaven Leif3 + NODE Nano ไม่แม็ทชิ่งกัน (ซึ่งต่างจากตอนทดลองใช้ Blue Heaven Leif3 กับตัว NODE ICON ที่ให้เสียงออกมาดีมาก.!)

NODE Nano รองรับสัญญาณ DSD ได้.!!!

เกือบลืมไปเลยว่า NODE Nano รองรับสัญญาณ DSD ผ่านทางแอพ BluOS ได้ด้วย ซึ่งเวอร์ชั่นแรกๆ ของสตรีมเมอร์แบรนด์ Bluesound จะไม่รองรับ DSD เพิ่งจะมารองรับกันแบบเปิดเผยเต็มๆ ตัวก็คราวนี้ ผมทดลองใช้แอพ BluOS สตรีมไฟล์ DSF64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD เก็บไว้ใน NAS ที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกัน ปรากฏว่า แอพ BluOS สามารถสตรีมไฟล์ DSF ขึ้นมาเล่นได้อย่างลื่นไหล (ดูในวงรีสีแดง) และที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เสียงออกมาดีด้วย.!!

ปกติแล้ว สตรีมเมอร์กับภาค DAC ส่วนใหญ่ที่มีราคาไม่สูงมักจะให้เสียงของฟอร์แม็ต DSD ออกมาไม่ดีเท่ากับฟอร์แม็ต PCM ซึ่งต้องเป็นสตรีมเมอร์กับภาค DAC ที่มีราคาสูงๆ ถึงจะรีดคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของฟอร์แม็ต DSD ออกมาได้เต็มที่ แต่กับ NODE Nano ตัวนี้ถือว่าเล่นกับสัญญาณ DSD ออกมาได้น่าฟัง ได้ความลื่นไหลที่เป็นเอกลักษณ์ของสัญญาณ 1-bit ออกมาในระดับที่น่าพอใจ แถมด้วยความเนียนละมุนของเสียงที่กลมมน ซึ่งผมลองฟังเทียบกับไฟล์ FLAC 24/88.2 ที่เป็นอัลบั้มเดียวกันแล้ว พบว่า เสียงโดยรวมออกมาในลักษณะที่ได้อย่างเสียอย่าง คือเวอร์ชั่นที่เป็นไฟล์ DSF64 จะได้เสียงที่สะอาด เนียน แต่ปลายแหลมโรยตัวทำให้ติดนุ่ม ในขณะที่ไฟล์ FLAC 24/88.2 ที่เป็นอัลบั้มเดียวกันจะได้เสียงโดยรวมที่มีลักษณะพุ่งเปิดมากกว่า ออกไปแนวสด คึกคัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าเนื้อเสียงไม่เนียนเท่าเวอร์ชั่นที่เป็นฟอร์แม็ต DSD

NODE Nano กับบทบาทของ Streaming Transport

ความแซ่บอีกอย่างหนึ่งของเจ้าจิ๋ว NODE Nano ตัวนี้ก็คือว่ามันมีอ๊อปชั่นที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถอัพเกรดคุณภาพเสียงของมันได้ด้วยการใช้งาน NODE Nano ในสถานะของ Streaming Transport คือบายพาสภาค DAC ในตัวมันเพื่อดึงสัญญาณดิจิตัลจากตัวมันออกไปส่งให้ภาค DAC ภายนอกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าภาค DAC ในตัว NODE Nano ช่วยแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณอะนาลอกให้

ผมทดลองเอาอินติเกรตแอมป์ของ Audiolab รุ่น 9000A (REVIEW) ที่มีภาค DAC ประสิทธิภาพสูงกว่าภาค DAC ในตัว Stereo 230 (*9000A ใช้ชิป ES9038Pro ในขณะที่ Stereo 230 ใช้ชิป ES9038Q2M) เข้ามาทดลองฟังเทียบโดยดึงสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จากช่อง coaxial กับช่อง USB ของ 9000A มาสลับฟัง พบว่า สัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตของ NODE Nano สามารถไปกับภาค DAC ของทั้ง Stereo 230 และ 9000A ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ (*ผมปิดฟังท์ชั่น ‘Audio Clock Trimไว้) และเมื่อจับกับภาค DAC ของ 9000A พบว่าเสียงโดยรวมออกมาดีกว่าตอนจับกับภาค DAC ของ Stereo 230 ในระดับที่รู้สึกได้ ความเคลียร์ชัดของตัวเสียงดีกว่า ความเข้มของตัวเสียงก็ดีกว่า และพื้นเสียงใสกว่า รวมๆ ประมาณ 20-30% และเสียงที่ได้จากการเชื่อมต่อผ่าน coaxial กับ USB ก็มีความแตกต่างกัน โดยรวมๆ เชื่อมต่อทางช่อง USB ให้เสียงที่สดกว่า เปิดกว่า จริงจังกว่า ในขณะที่เชื่อมต่อทางช่อง coaxial จะได้โทนเสียงมีติดนุ่มกว่า ปลายเสียงหม่นลงเล็กน้อย โดยรวมๆ รู้สึกได้ว่ามีความรอมชอม ฟังสบาย ใครชอบโทนเสียงแบบไหนก็เลือกได้เลย..

สรุป

ณ ตอนนี้ต้องยอมรับว่า TIDAL เป็นเหมือนสวรรค์สำหรับคนที่ชอบฟังเพลง เพราะนอกจากจะมีเพลงทุกแนวเก็บอยู่ในคลังมากนับสิบล้านเพลงแล้ว การสตรีมไฟล์เพลงเหล่านั้นมาฟังก็แสนง่ายอยู่แค่ปลายนิ้ว ในขณะที่ค่าบริการก็แสนถูกแค่ เดือนละ 139 บาท เท่านั้น.!!

สิ่งที่คนชอบฟังเพลงตามหามาตลอดก็คือสตรีมเมอร์ที่รองรับการสตรีมไฟล์เพลงได้หลากหลายแหล่ง, สามารถรองรับความละเอียดของไฟล์เพลงได้ถึงระดับ Hi-Res คือ 24/192 ตามยุคสมัย และให้คุณภาพเสียงที่มี ความเป็นดนตรีสูงพอที่จะทำให้คนชอบฟังเพลงรู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ทุกแนว และที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องมี ราคาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่คนชอบฟังเพลงยอมจ่ายเพื่อคุณสมบัติข้างต้นนั้น

กับราคา 12,000 บาท ต่อเครื่อง กับความสามารถรอบด้านของ NODE Nano ตัวนี้ รวมถึงคุณภาพเสียงที่ให้ความเป็นดนตรีในระดับที่คนทั่วไปต้องการ (และผมยอมรับได้.!) ผมคิดว่า NODE Nano ตัวนี้เหมาะสมที่จะเป็นตัวเลือกนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทั่วไปที่ชอบฟังเพลงในห้องรับแขกและอยากจะเน้นคุณภาพเสียง, หรือเป็นนักติดตั้งระบบเสียงที่ต้องการสตรีมเมอร์ที่เหมาะกับระบบเสียงขนาดย่อม (อย่างเช่น ในบ้านพักอาศัย, ในร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ, ในคลีนิค, ในร้านตัดผม, ในห้องประชุม ฯลฯ) และมีความสามารถในการรองรับกับการสตรีมไฟล์เพลงได้หลากหลาย ทั้งสตรีมผ่านสาย LAN และสตรีมผ่านคลื่นไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth รวมถึงนักเล่นเครื่องเสียงที่ต้องการตัวสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตเพื่อไปใช้งานร่วมกับภาค DAC ที่มีคุณภาพสูงด้วย.!!

NODE Nano เป็นสตรีมเมอร์ราคาไม่แพงที่คุณไม่ควรมองข้าม ถ้ามีโอกาสได้ทดลองฟังเสียงของมัน คุณอาจจะประหยัดงบสำหรับแหล่งต้นทางไปได้หลายตังค์..!!!

*************************
ราคา : 12,000 บาท / เครื่อง
*************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Conice Electronic
โทร. 02-276-9644

สั่งซื้อได้ที่ conice.co.th

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า