จุดเด่นของแอมป์หลอดอยู่ที่ “น้ำเสียง” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งคนฟังเพลงส่วนใหญ่ชื่นชอบ แต่ในขณะเดียวกัน แอมป์หลอดก็มีจุดด้อยอยู่ในตัวในแง่ของ “กำลังขับ” ที่ค่อนข้างน้อย กับ “แด้มปิ้ง แฟคเตอร์” ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งานร่วมกับลำโพงที่มีความไวต่ำๆ กับลำโพงที่ใช้วูฟเฟอร์ตัวใหญ่ๆ ที่มีน้ำหนักเยอะ ซึ่งประเด็นนี้เป็นปัญหาคาใจของนักออกแบบแอมป์หลอดมาโดยตลอด พวกเขาพยายามหาวิธีสู้กับข้อจำกัดนี้มาเรื่อยๆ บ้างก็เลี่ยงไปใช้วงจรขยายแบบ push-pull เพิ่มจำนวนหลอดเข้าไปเพื่อขจัดจุดอ่อนทางด้านกำลัง แต่ก็ต้องยอมแลกกับคุณภาพเสียงที่ด้อยลงเมื่อเทียบกับการใช้วงจรขยายแบบ class A ร่วมกับหลอดแค่คู่เดียว (Single Ended Class A) ซึ่งยอมรับกันว่าเป็น “ที่สุด” ทางด้านคุณภาพเสียงสำหรับแอมป์หลอด
แอมป์หลอด Single Ended Triode ‘Class A’ กับหลอดเพาเวอร์เบอร์ต่างๆ
อีกสาเหตุที่ซ้ำเติมคุณสมบัติทางด้าน “กำลังขับ” ของแอมป์หลอดให้มีประเด็นทางด้านข้อจำกัดมากยิ่งขึ้น นั่นคือ “รูปแบบของวงจรขยาย” คือถ้าเน้นคุณภาพเสียงในลักษณะบริสุทธิ์นิยมแบบสุดติ่งกันจริงๆ ต้องเป็นแอมป์หลอดที่ออกแบบมาในลักษณะที่เรียกว่า Single Ended Triode ด้วย คือใช้หลอดเพาเวอร์ฯ ไทรโอดแค่คู่เดียว (สองหลอด) แยกขยายสัญญาณหนึ่งหลอดต่อหนึ่งแชนเนล (แชนเนลซ้ายหนึ่งหลอด, แชนเนลขวาหนึ่งหลอด) และแต่ละหลอดนั้นจะต่อเชื่อมด้วยวงจรขยายแบบเพียว Class A ที่ให้อัตราขยายสัญญาณเสียงทั้งซีกบวกกับซีกลบพร้อมกันตลอดเวลา
เหตุผลที่ใช้หลอดเพาเวอร์ขับลำโพงแค่แชนเนลละหลอด บวกกับวงจรขยาย Class A ก็เพื่อให้ได้คุณภาพของสัญญาณที่มีความถูกต้องทางด้านเฟสมากที่สุดนั่นเอง ในขณะที่หลอดเพาเวอร์ฯ ยอดนิยมอย่างเบอร์ 300B แต่ละหลอดก็ให้กำลังขับน้อยนิด ไม่ถึงสิบวัตต์ ถ้าต้องการทำแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาส เอ ที่มีกำลังขับสูงๆ เกินสิบวัตต์ต่อข้างขึ้นไปก็ต้องกระโดดไปใช้หลอดเพาเวอร์ฯ หลอดใหญ่ๆ อย่างพวก 845, 805, 211 หรือหลอดตระกูล KT แทน
นอกเหนือจากเรื่องของกำลังขับแล้ว หลอดเพาเวอร์ฯ แต่ละเบอร์ยังมี “บุคลิกเสียง” ที่แตกต่างกัน ซึ่งในอดีตนั้น หลอดที่นักออกแบบแอมป์ฟังเพลงระดับกลาง (mid-end) นิยมกันมากมีอยู่ 3 เบอร์ คือ EL34, 6L6 และ 6550 ซึ่งคนที่เคยฟังแอมป์หลอดที่ใช้หลอดเพาเวอร์ฯ ทั้งสามตระกูลนี้จะทราบดีว่า หลอดเบอร์ EL34 จะให้เสียงที่เปิดกระจ่าง กลางลอยเด่น เบสเร็ว ในขณะที่หลอด 6L6 กับตระกูล 6550 จะให้เสียงคล้ายกัน คือไม่เปิดเผยเท่ากับ EL34 เพราะปลายแหลมจะโรลออฟเร็ว ทว่าเสียงกลางจะเด่นที่ให้มวลอิ่มหนา เบสจะอวบใหญ่ โอ่อ่า
พัฒนาการของหลอดเพาเวอร์ฯ ตระกูล KT
Mullard เป็นผู้นำหลอดเบอร์ EL34 ออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี 1955 หลังจากนั้น EL34 ก็ได้รับความนิยมในกลุ่มของผู้ผลิตแอมป์ฟังเพลงและแอมป์กีต้าร์อย่างมาก แอมป์ฟังเพลงดังๆ ในอดีตที่ใช้หลอด EL34 ในภาคขยายก็เช่น Dynaco 70 และ Leak รุ่น TL25 ส่วนแอมป์กีต้าร์ชื่อดังที่ใชหลอด EL34 ก็มี Mashall กับ Vox และเนื่องจากความนิยมหลอดเบอร์ EL34 ที่ยังคงพุ่งสูงมาอย่างต่อเนื่อง ประจวบกับความต้องการแอมป์ที่มีกำลังขับสูงๆ มีมากขึ้น ทำให้บริษัท General Electric Co. LTD (GEC) พัฒนาหลอดเพาเวอร์ฯ แบบ beam tetrode เบอร์ KT-88 ออกมาเมื่อปี 1956 โดยตั้งใจปรับจูนมาเพื่อใช้ขยายเสียงสำหรับแอมป์ฟังเพลงโดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างสูงเพราะให้กำลังขับสูงถึง 42W (นำมาทำแอมป์ให้กำลังขับได้ประมาณ 15 วัตต์) มีแบรนด์ผู้ผลิตหลอดสุญญากาศหันมาผลิตหลอด KT-88 ออกมาป้อนตลาดคนทำแอมป์เยอะมาก อาทิเช่น Shuguang, JJ Electronic, Svetlana และ New Sensor Corporation ซึ่งนอกจาก KT-88 แล้ว ทางบริษัท Elektronska Industrija Nis (Ei) ก็ได้ออกแบบหลอดเบอร์ KT-90 ซึ่งก็เป็นหลอดที่เลียนแบบแนวเสียงของ EL34 เหมือน KT-88 ออกมาด้วย

หน้าตาของหลอดเพาเวอร์เบอร์ KT-150 ยี่ห้อ Tung-Sol ผลิตในรัสเซีย
ด้วยความนิยมแอมป์ที่ใช้หลอดสุญญากาศไม่เคยเสื่อมคลายลงไป ส่งผลให้มีการพัฒนาหลอดเพาเวอร์ตระกูล ‘KT’ ขึ้นไปอีกขั้น ออกมาเป็นเบอร์ KT-120 ซึ่งเป็นหลอดเพาเวอร์ที่ให้กำลังสูงกว่า KT-88 และ KT-90 ขึ้นไปอีกระดับ อย่างเช่นหลอด KT-120 ของ Tung-Sol ที่ให้กำลังสูงถึง 60W (ทำแอมป์ได้ประมาณ 20W) มากกว่า KT-88 สิบแปดวัตต์ จนมาถึงพัฒนาการล่าสุดในปัจจุบัน เป็นผลงานจากฝีมือการออกแบบของ “พ่อมดหลอด” ชาวรัสเซียนามว่า Valery Krivtsov ร่วมกับ Irusha Bitukova และทีมออกแบบของ ExpoPUL ได้ออกมาเป็นหลอดเพาเวอร์ตระกูล KT (*** ย่อมาจาก ‘Kinkless Tetrode’) ตัวใหม่ล่าสุด นั่นคือเบอร์ KT-150 ที่มาในบอดี้ครอบแก้วทรงไข่ เป็นหลอดแบบ octal beam tetrode ที่ให้กำลังสูงถึง 70W มากกว่า KT-120 ขึ้นไปอีกสิบวัตต์ แถมด้วยข้อดีที่เกี่ยวกับเสียงมาอีกข้อ ซึ่งเป็นผลพลอยได้มาจากครอบแก้วทรงไข่ของหลอดเบอร์ KT-150 นั่นคือ ปราศจากปัญหา microphonics เพราะไม่มีส่วนใดของผนังหลอดที่ขนานกันนั่นเอง
Dared รุ่น Saturn Signature
ครั้งแรกกับหลอดเพาเวอร์เบอร์ KT-150
Dared เป็นแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงสัญชาติฮ่องกง พวกเขาเริ่มทำธุรกิจมาตั้งแต่ ปี 1995 มีเป้าหมายเพื่อออกแบบและผลิตสินค้าเครื่องเสียงสำหรับตลาดระดับกลางที่เน้นคุณภาพในระดับราคาที่จับต้องได้ สินค้าเด่นของพวกเขาก็มีแอมป์หลอด, แอมป์กีต้าร์ และระบบลำโพงมัลติมีเดีย
แอมป์หลอดของ Dared มีอยู่ทั้งหมด 4 ซี่รี่ย์หลักๆ ได้แก่ Mini High End Series = เป็นแอมป์ตัวเล็กๆ ที่ใช้กับหูฟังได้ ต่อลำโพงได้ และใช้เป็นปรีฯ ได้, Planet Series = เป็นแอมป์ระดับกลางที่มีทั้งหลอดล้วนและไฮบริดฯ, Reference Series = ปรีกับเพาเวอร์แอมป์หลอดรุ่นใหญ่ และสุดท้ายคือ Limited Edition = เป็นอินติเกรตแอมป์หลอด รุ่น VP-845LE ที่ทำออกมาฉลองแบรนด์มีอายุครบ 15 ปี เมื่อปี 2010

ความลึกอยู่ที่ 160mm, น้ำหนักเครื่องเท่ากับ 18 กิโลกรัม
รุ่น Saturn Signature ตัวที่ผมนำมาทำรีวิวครั้งนี้เป็นอินติเกรตแอมป์รุ่นแรกของ Dared ที่ใช้หลอดเพาเวอร์เบอร์ KT-150 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่อัพเกรดมาจากรุ่น Saturn รุ่นธรรมดา เวอร์ชั่นก่อนหน้าที่ใช้หลอดเพาเวอร์เบอร์ KT-120 มีผลให้ KT-150 ทำกำลังขับขึ้นมาได้มากกว่าเวอร์ชั่น Saturn รุ่นก่อนหน้าอีกข้างละ 5W (จาก 20W เป็น 25W) ส่วนหน้าตาของตัวถังก็ยังคงใช้รูปลักษณ์ของเวอร์ชั่นเดิม เปลี่ยนสกรีนบนแผงหน้าเติมคำว่า ‘Signature’ เข้าไปเท่านั้น


ลักษณะการจัดวางหลอดและปุ่มปรับควบคุมการทำงานของตัวเครื่องก็มาในรูปลักษณ์มาตรฐานของแอมป์หลอดทั่วไป ซึ่งบนแผงหน้าคุณจะพบปุ่มกดสำหรับเปิด/ปิดไฟเข้าเครื่องอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหน้าใต้จอ VU meter

โดยมีปุ่มหมุนขนาดกลางสองปุ่มอยู่ทางขวามือของหน้าปัด (หันหน้าเข้าหาเครื่อง) เป็นปุ่มหมุนที่ใช้ปรับเลือกแหล่งอินพุตที่มีให้เลือกใช้ทั้งหมด 5 อินพุต ได้แก่ LINE1, LINE2, LINE3, AUX และ USB ส่วนปุ่มที่อยู่ชิดไปทางขวามือสุดของแผงหน้าปัดเป็นปุ่มวอลลุ่มที่ใช้ปรับระดับความดัง

ส่วนฝั่งซ้ายมือสุดของแผงหน้า มีรูเสียบหูฟังขนาด 6.3mm ให้หนึ่งช่อง
อินพุต+เอ๊าต์พุต


A = จุดต่อเชื่อมสายไฟเอซี
B = สวิทช์เลือกโวลต์ไฟ
C = ช่องอินพุต USB DAC
D = ขั้วต่อสายลำโพงข้างซ้าย–ข้างขวา
E = ช่องอินพุตอะนาอก AUX สำหรับขั้วต่อ mini 3.5mm
F = ช่องอินพุตอะนาลอกสำหรับขั้วต่อ RCA

ความพิเศษของ Saturn Sugnature ที่ทำให้มันแตกต่างจากแอมป์หลอดโบราณทั่วไปก็คือมันมี DAC ในตัวมาให้ด้วย ซึ่งคุณสามารถใช้งานภาค DAC ในตัวแอมป์ตัวนี้ผ่านอินพุต USB ได้อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟล์ด้วยโปรแกรมเล่นไฟล์ผ่านทางคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นการเล่นไฟล์ด้วยตัวสตรีมเมอร์ที่มีเอ๊าต์พุต USB อย่าง Roon Nucleus ที่ผมใช้อยู่ก็ได้
ภาค DAC ในตัว Staurn Signature มีสเปคฯ สูงมาก สูงสุดตามมาตรฐานปัจจุบันคือรองรับสัญญาณ PCM ได้สูงสุดถึงมาตรฐานของฟอร์แม็ต DXD คือไปได้ถึงระดับ 32bit ที่ 384kHz สุดปลายทางของสัยญาณดิจิตัล ออดิโอที่คุณจะหามาฟังได้ในปัจจุบัน (ผู้ผลิตไม่ได้แสดงข้อมูลของชิป DAC ที่ใช้ในแอมป์ตัวนี้ไว้)
ดีไซน์

ในเว็บไซต์ของ Dared มีภาพที่แสดงการจัดวางวงจรภายในไว้ด้วย ซึ่งตำแหน่งศรชี้ตัว A นั้นคือวอลลุ่ม ส่วนตำแหน่ง B เป็นวงจรอิเล็กทรอนิคส์ที่ทำหน้าที่กรองไฟเอซี ประกอบด้วยคาปาซิเตอร์คุณภาพสูงของญี่ปุ่นยี่ห้อ Nichicon และคัปปิ้งคาปาซิเตอร์คุณภาพสูงของ Panasonic ที่ตำแหน่ง C คือหม้อแปลงรูปวงแหวนที่สั่งพันพิเศษ ซึ่งนอกจากจะเน้นทางด้านกำลังแล้ว ยังเน้นที่ความสามารถในการป้องกันสัญญาณรบกวนด้วย ส่วนตำแหน่ง D ในภาพด้านบนคือวงจรของภาค DAC
การเชื่อมต่อระหว่างแผงวงจรภายในเป็นแบบฮาร์ดไวร์ด้วยสายสัญญาณที่ใช้ตัวนำทองแดงเนื้อบริสุทธิ์ที่ปราศจากอ็อกซิเจน (OFC = Oxygen Free Copper) เพื่อให้การรับ–ส่งสัญญาณระหว่างวงจรแต่ละภาคมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนตัวแผงวงจรที่ใช้ภายในก็เป็นแบบที่มีลายทองแดงหนาเพื่อให้มีความต้านทานสัญญาณต่ำและลดสัญญาณรบกวนไปด้วยในตัว ที่ภาคเอ๊าต์พุตไม่มีการใช้ตัวต้านทานเข้าไปขวางทางเดินสัญญาณ และอีกจุดที่มีผลกับเสียงมาก นั่นคือพวกขั้วต่อสัญญาณต่างๆ อย่างเช่นขาขั้วต่อของซ็อกเก็ตที่เสียบหลอด และขั้วต่อ RCA ของอินพุตต่างๆ ก็ชุบทองเพื่อให้การส่งผ่านสัญญาณเป็นไปด้วยความลื่นไหลต่อเนื่องมากที่สุด
หลอดล้วนๆ ..!!!

คุณสามารถเรียกอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นแอมป์หลอดแท้ๆ เพราะนอกจากหลอดเบอร์ KT-150 ที่ใช้ในภาคขยายเอ๊าต์พุตแล้ว ที่ภาคปรีแอมป์กับภาคไดรเวอร์ก็ใช้หลอดเช่นกัน เป็นเบอร์ 12AX7 (ECC83) กับเบอร์ 6N1 (ECC85) โดยใช้แชนเนลละหลอด
แม็ทชิ่ง เพื่อการทดลองฟังเสียง

ด้วยตัวเลขกำลังขับที่แจ้งไว้ในสเปคฯ ของแอมป์ตัวนี้อยู่ที่ 25W ต่อแชนเนล ซึ่งใครที่ไม่คุ้นเคยกับเสียงของแอมป์หลอดมาก่อนจะไปยึดเทียบกับตัวเลขของแอมป์โซลิดสเตทที่ใช้วงจรขยาย Class A/B ไม่ได้ โดยเฉพาะแอมป์หลอดที่ใช้วงจรขยายแบบ Class A (หรือแม้แต่แอมป์โซลิดสเตทที่ใช้วงจรขยาย Class A ก็เช่นกัน) ซึ่งใช้กำลังที่มีทั้งหมดไปกับการขยายสัญญาณทั้งซีกบวกและซีกลบ “พร้อม” กัน ทำให้มีกำลังขับประมาณครึ่งหนึ่งต้องสูญเสียไปเป็นความร้อน ส่งผลให้ตัวเลขกำลังขับที่วัดได้จะออกมาต่ำกว่าวงจรขยายที่เป็น Class B ที่ใช้ทรัพยากรเท่าๆ กัน จากประสบการณ์ของผม ถ้าจะใช้สิ่งที่หูได้ยินมาประเมินกำลังขับของแอมป์ที่ใช้วงจรขยายแบบ Class A เทียบกับแอมป์ที่ใช้วงจรขยายแบบ Class B โดยดูจากตัวเลขกำลังขับที่แจ้งไว้ในสเปคฯ ผมจะเอา 3 คูณกำลังขับของแอมป์ Class A ก่อนจะเอาไปเทียบกับแอมป์ Class B ถึงจะดูสมน้ำสมเนื้อกัน

ตัวเลขกำลังขับของอินติเกรตแอมป์หลอด Saturn Signature ตัวนี้ ผู้ผลิตแจ้งไว้เท่ากับ 25W ที่โหลด 4 และ 8 โอห์ม ดังนั้นถ้าจะเอาไปเทียบกับแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class B โดยฟังจากเสียง ก็น่าจะต้องใช้ตัวเลข 25 x 3 = 75W ถึงจะพอเทียบกันได้ แต่ในโลกความเป็นจริง เสียงที่เราได้ยินจากแอมป์ทั้งสองดีไซน์นี้ไม่ได้แสดงความแตกต่างออกมาในแง่ของ “ความดัง” แต่อย่างใด (เพราะคุณสามารถปรับแต่งด้วยวอลลุ่มและการแม็ทชิ่งอิมพีแดนซ์ให้ได้ความดังออกมาเท่าๆ กันได้อยู่แล้ว) แต่ “ความต่าง” ที่แอมป์สองดีไซน์นี้แสดงออกมามันไปโผล่อยู่ที่ส่วนของ “คุณภาพ” กับ “บุคลิก” ของเสียงต่างหาก (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ “เสียงของ Saturn Signature”)

เพื่อให้เห็นถึงคุณภาพและบุคลิกเสียงของแอมป์หลอดตัวนี้ที่ชัดเจนมากที่สุด ผมจึงเลือกลำโพงให้มันลองขับหลายคู่ มีทั้งราคาคู่ละไม่กี่หมื่นไปจนถึงคู่ละสองแสนกว่าโดยไม่สนใจที่จะเอาสเปคฯ ลำโพงเหล่านั้นมาคำนึงถึง เรียกว่าขอฟังเสียงก่อน แล้วค่อยไปเปิดสเปคฯ วิเคราะห์ผลกันทีหลัง..!! (แอมป์หลอดคุณต้องทำแบบนี้ ถ้าเอาตัวเลขไปคำนวนแม็ทชิ่งอย่างเดียวโดยไม่ลองฟังเสียงมีโอกาสจะพลาดได้ง่าย)


ลำโพงที่ผมทดลองใช้งานร่วมกับ Saturn Signature ตัวนี้มีทั้งรุ่นที่มีอิมพีแดนซ์ 8 โอห์มและ 4 โอห์ม รวมกันทั้งหมด 6 คู่ เริ่มด้วย 8 โอห์ม คู่แรกคือ Usher Audio รุ่น S-520 (8 โอห์ม)(REVIEW) กับรุ่น SD-500 (8 โอห์ม), Mission รุ่น 700 (8 โอห์ม)(REVIEW), Element ‘FIRE’ v.2 (8 โอห์ม) กับลำโพง 4 โอห์มอีก 2 คู่คือ Totem Acoustic รุ่น The One (4 โอห์ม) กับ Audio Physic รุ่น Classic 8 (4 โอห์ม)
“ปรับไบอัส” คือสิ่งที่ต้องไม่มองข้าม.!!
แอมป์หลอดยังมีเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่ออกแบบมาไว้ให้คุณใช้ fine tune เสียงของมันได้ นั่นคือฟังท์ชั่น ‘Bias Adjust’ ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นที่ใช้ในการปรับตั้งแรงดัน “ไฟเลี้ยง” (เรียกสั้นๆ ว่าปรับไบอัส) ของหลอดเพาเวอร์ฯ คล้ายๆ กับการปรับตั้งรอบเดินเบาเครื่องยนต์ของรถยนต์ ซึ่งจุดประสงค์ของการปรับตั้งไบอัสนี้ก็เพื่อปรับการจ่ายกำลังของแอมป์ไปที่ลำโพงให้สอดคล้องตรงกับพฤติกรรมการบริโภคกำลังของลำโพง (โหลด) ให้มากที่สุดนั่นเอง ผลลัพธ์ของมันนั้นบอกเลยว่า.. มหาศาล..!!!

ตำแหน่งของกลไกที่ใช้ในการปรับไบอัสของแอมป์ Dared รุ่นนี้จะถูกซ่อนอยู่ใต้แผ่นโลหะทรงโค้งที่ทำเป็นสันดอนครอบอยู่บริเวณตรงกลางของตัวเครื่อง คุณต้องยกฝาครอบอะครีลิกออกก่อน จากนั้นก็ใช้ไขควงปากแฉกขันน็อตที่ยึดแผ่นโลหะที่ครอบอยู่ออกไป

เมื่อเอาฝาครอบออกไป คุณจะมองเห็นสิ่งที่ถูกครอบอยู่ใต้นั้นซึ่งมีทั้งหม้อแปลงเพาเวอร์, แผงวงจรรีเลย์ และจอสำหรับแสดงปริมาณไฟเลี้ยงตอนปรับตั้ง (ศรชี้)

ที่ขอบล่างจอแสดงอัตราโวลเตจของไบอัสจะมีสวิทช์โยกสีดำๆ อยู่หนึ่งตัว ไว้โยกเลือกแชนแนลซ้าย–ขวา ซึ่งการโยกไปทางใดก็หมายถึงต้องการปรับไบอัสของแชนเนลนั้น ตัวเลขไบอัสของแแชนเนลที่เลือกนั้นจะโชว์ขึ้นมาบนจอ อย่างที่เห็นในภาพคือระดับกระแสไบอัสอยู่ที่ 0.77 Volt

ในภาพคุณป๋อม เพื่อนคุณศักดิ์ กำลังสาธิตวิธีการปรับตั้งไบอัสของหลอดเพื่อจูนเสียงตอนที่เราทดลองฟังกันในห้องทดสอบของผม ซึ่งดูแล้ววิธีปรับตั้งก็ไม่ยาก เริ่มด้วยการเลือกแชนเนลที่จะปรับด้วยการโยกสวิทช์สีดำๆ ไปทางแชนนเนลที่ต้องการปรับแล้วใช้ไขควงปากแบนตัวเล็กๆ จิ้มลงไปในรูเล็กๆ (ศรชี้) ที่อยู่ระหว่างหลอดปรีฯ กับหลอดไดร้ว์ของแชนเนลนั้นแล้วหมุนตามข็มนาฬิกาเพื่อเพิ่ม / ทวนเข็มนาฬิกาเพื่อลด ขณะหมุนไขควงไปค่าของไฟเลี้ยงหลอดจะปรากฏเป็นตัวเลขบนจอให้สังเกต ซึ่งคุณต้องปรับขณะเปิดเครื่องพร้อมทำงาน ถ้าเพิ่งเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ๆ แนะนำให้รอเครื่องวอร์มเข้าที่สักครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มปรับไบอัสจะได้ค่าที่ตรงมากขึ้น ไม่ค่อยสวิงมาก (ตอนปรับถ้าค่ามันแกว่งไป–มาเล็กน้อยถือว่าปกติ)
ก่อนจะเจาะลึกลงไปที่ “ลักษณะเสียง” และ “คุณภาพเสียง” ของแอมป์หลอด Dared ตัวนี้ ผมอยากให้คุณทำความเข้าใจถึงลักษณะแนวเสียงของแอมป์หลอดกันก่อน
“ลักษณะเสียง” ของ แอมป์หลอด vs. แอมป์โซลิดสเตท
“แอมป์หลอด” vs. “แอมป์โซลิดสเตท” เป็นหยิน–หยางคู่สำคัญของวงการเครื่องเสียงมาช้านาน เป็นความแตกต่างสองขั้วที่อยู่กับคนละข้างโดยสิ้นเชิง คนที่ชอบเสียงของแอมป์หลอดก็ (มัก) จะหลงไหลเสียงที่ฉ่ำหวานของแอมป์หลอดสุดชีวิต ปฏิเสธเสียงของแอมป์โซลิดสเตทแบบหัวชนฝา ในขณะที่ฝั่งคนชอบเสียงของแอมป์โซลิดสเตทก็มักจะตำหนิจุดอ่อนของแอมป์หลอดในแง่ของความกระชับ หนักแน่น ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขาให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
จริงๆ แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ “บุคลิกเสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแอมป์ทั้งสองประเภทที่เป็นลายนิ้วมือติดตัวมาตั้งแต่เริ่มกำเนิดแอมป์ทั้งสองประเภทเป็นต้นมา..

จากภาพด้านบน ถ้าพิจารณาจากลักษณะเสียงในธรรมชาติ โดยแบ่งลักษณะเสียงแต่ละเสียงออกมาเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ “หัวเสียง” ซึ่งเป็นเสียงสัมผัสแรกที่เกิดจากนักดนตรีกระทำกับเครื่องดนตรี ในภาพด้านบนแทนที่ด้วยจุดสีดำเข้มที่เป็นนิวเครียสอยู่ตรงกลาง ส่วนวงกลมสีเทาแก่วงที่สองคือส่วนของ “บอดี้” ของเสียงที่เกิดจากส่วนผสมระหว่างฮาร์มอนิก + โอเว่อร์โทน หรือเรโซแนนซ์ที่เกิดจากการสั่นของวัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรีนั้น (natural frequency) ในขณะที่วงกลมที่สาม, สี่ และห้า แสดงแทนหางเสียงที่ค่อยๆ แผ่วเบาลงไป
กลุ่มของวงกลมที่อยู่ตรงกลางแสดงแทนลักษณะเสียงของแอมป์หลอด ส่วนกลุ่มของวงกลมทางขวามือสุดแสดงแทนลักษณะเสียงของแอมป์โซลิดสเตท ซึ่งจะเห็นว่า ถ้ามองในแง่ของการถ่ายทอดรายละเอียดที่เป็นองค์ประกอบทั้ง 3 ของเสียงในธรรมชาติแล้ว แอมป์หลอดจะแสดงรายละเอียดของเสียงออกมาได้ครบถ้วนมากกว่า โดยเฉพาะรายละเอียดส่วนที่เป็น “หางเสียง” ที่แผ่ขยายปลายเสียงออกไปได้ครบถ้วนกว่า (*คนส่วนใหญ่จึงชอบพูดว่าแอมป์หลอดให้เสียงที่ฉ่ำหวานกว่า สาเหตุก็เป็นเพราะว่าแอมป์หลอดให้ฮาร์มอนิกคู่ออกมาช่วยขยายหางเสียงให้ทอดยาวกว่านั่นเอง) ในขณะที่แอมป์โซลิดสเตทจะให้มวลของ “หัวเสียง” กับส่วนของ “บอดี้” ที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับธรรมชาติมากกว่าในขณะที่ปลายเสียงไม่ได้แผ่ไปได้ไกลเหมือนแอมป์หลอด (*คนส่วนใหญ่จึงชอบพูดว่าแอมป์โซลิดฯ ให้มิติคมกว่าแอมป์หลอด แต่เสียงแห้งกว่า) ในขณะที่แอมป์หลอดจะให้อิมแพ็คของ “หัวเสียง” ที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม ไม่เข้มข้น และไม่กระชับหนักแน่นเหมือนเสียงจริงในธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี เป้าหมายปลายทางที่ผู้ออกแบบแอมป์หลอดและผู้ออกแบบแอมป์โซลิดสเตทต้องการเดินไปไม่ใช่การแข่งขันกันเอง แต่สิ่งที่นักออกแบบแอมป์ทั้งสองพยายามทำก็คือ เติมเต็มส่วนที่ยังเป็น “จุดอ่อน” ของตัวเองเพื่อให้เสียงที่ออกมาใกล้เคียงกับเสียงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติมากที่สุด ตามแนวทางเดียวกันกับเส้นทางที่วงการบันทึกเสียงกำลังพัฒนาไปนั่นเอง
โลกไม่เคยหยุดหมุน เช่นเดียวกับวงการอิเล็กทรอสินส์และเทคโนโลยีที่ไม่มีวันหลับไหล ปัจจุบัน แอมป์หลอดที่มีราคาสูงๆ ก็สามารถปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเองให้ดีขึ้นได้มาก หลายแบรนด์สามารถจัดการส่วนที่เป็นอิมแพ็ค “หัวเสียง” ให้มีความหนักแน่นและมีบอดี้ที่เข้มข้นได้มากขึ้น ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาจุดเด่นที่เป็นจุดแข็งของตัวเองเอาไว้ได้ ส่วนทางด้านแอมป์โซลิดสเตท ก็เช่นเดียวกัน สามารถขยายแบนด์วิธของเสียงให้สามารถถ่ายทอดรายละเอียดของ “หางเสียง” ที่ทอดไปได้ไกลมากขึ้น มีความเพี้ยนและน้อยซ์ที่ต่ำลง ผสมกับคุณภาพของแหล่งต้นทางสัญญาณที่มีสเปคฯ สูงขึ้น ผนวกกับการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคขยาย Class ต่างๆ ที่ดีขึ้นเรื่อย อย่างเช่น Class G และ Class D ซึ่งนักออกแบบแอมป์โซลิดสเตทเชื่อว่า ในอนาคจะสามารถพัฒนาให้ได้เสียงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ
มีความคาดหมายกันว่า จุดหมายปลายทางของพัฒนาการทั้งของแอมป์หลอดและแอมป์โซลิดสเตท “น่าจะ” ไปบรรจบพบเจอที่จุดเดียวกัน นั่นคือ เสียงที่เป็นธรรมชาติ ตรงตามต้นฉบับที่รับมาจากแหล่งต้นทางมากที่สุดนั่นเอง ..
เสียงของ Saturn Signature

ลืมบอกไปว่า Saturn Signature มีรีโมทไร้สายสวยๆ มาไว้ให้ใช้ปรับวอลลุ่มด้วย บอดี้ของตัวรีโมททำด้วยไม้สวยงามมาก น้ำหนักเบาน่าใช้ ขณะทดลองใช้พบว่า น้ำหนักมือกับความดัง–เบาในการควบคุมไปด้วยกันได้ดี สเกลฯ ความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ถ้ากดแช่เสียงจะพุ่งขึ้นเร็ว แนะนำให้ค่อยๆ แตะแล้วยกจะดีกว่า
เสียงของ Saturn Signature ที่ได้จากการจับคู่กับลำโพงแต่ละคู่จะออกมาแตกต่างกันไป ถ้าประเมินในเชิง “คุณภาพเสียง” พบว่าแอมป์หลอดตัวนี้มันให้เสียงที่โชว์ “คุณภาพ” ออกมาให้เห็นกับลำโพงทุกคู่ที่มันเข้าไปขับ มากบ้าง–น้อยบ้าง แต่ก็มีคำว่า “คุณภาพเสียงที่ดี” ที่เกิดกับความถี่เสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดแสดงตัวออกมาให้ได้ยินตลอด เมื่อลองปรับไบอัสตอนใช้งานร่วมกับลำโพงทั้ง 6 คู่ที่ผมเอามาลองฟังกับแอมป์ตัวนี้ ผมพบว่า ปริมาณไฟเลี้ยงหลอดระหว่าง 0.64 – 0.68 Volt จะได้ได้ค่าเฉลี่ยออกมาดีที่สุดในระดับความดังที่ทำให้ได้เสียงกระจายตัวออกมาเต็มห้องฟังของผม เป็นระดับที่ “ต่ำกว่า” ระดับไฟเลี้ยงที่ผู้ผลิตแนะนำไว้ (ผู้ผลิตแนะนำไว้ที่ระดับ 0.75 Volt) ซึ่งค่อนข้างแปลก เพราะช่วงกว้างของไฟเลี้ยงที่ผู้ผลิตระบุไว้ว่าสามารถปรับได้อยู่ที่ 0.7V – 1V แต่ในการปรับตั้งจริงๆ เราก็ยังสามารถดึงไฟเลี้ยงลงมา “ต่ำกว่า” 0.7 Volt ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ผู้ผลิตแนะนำ คือปรับลงมาอยู่ที่ 0.64 – 0.68 Volt ได้.?? ซึ่งเป็นระดับไฟเลี้ยงที่ผมชอบน้ำเสียงมากที่สุดในขณะนั้น ไม่แน่ใจว่าการปรับตั้งไว้ที่ระดับต่ำกว่าค่าต่ำสุดที่ผู้ผลิตแจ้งไว้จะมีผลเสียอะไรรึปล่าว.? แต่เท่าที่ผมฟังมานานนับเดือนก็ไม่มีปัญหาอะไร นึกๆ ไปอาจจะเป็นผลดีต่ออายุหลอดก็ได้ สรุปคือผมใช้ไบอัสที่ 0.64 – 0.68 Volt เป็นค่าเฉลี่ยในการจับคู่กับลำโพงหลายๆ คู่สำหรับการทดสอบฟังเสียงครั้งนี้
บุคลิกเสียงของ Saturn Signature ตัวนี้ก็มีลักษณะเด่นของความเป็น “เสียงของแอมป์หลอด” ออกมาชัดเจน สัมผัสแรกที่ชัดโด่มาก่อนเลยคือ “ความพลิ้วกังวาน” ของเสียงในย่านกลางและแหลม ซึ่งเป็นความพลิ้วกังวานที่มี “ความหวานระรื่น” เจือปนมานิดๆ ในขณะเดียวกัน มันก็มีความรู้สึกโอ่อ่า กว้างขวางตามออกมาด้วย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นของ “มวลแอมเบี้ยนต์” ที่ระดับความถี่สูงกว่าความถี่ที่หูได้ยินที่แอมป์ตัวนี้แผ่กระจายมันออกมา หลังจากฟังเพลงหลายแนวผ่านไปสักระยะ ผมก็จับความรู้สึกที่เกิดจากเสียงของแอมป์ตัวนี้ได้ว่า มันมักจะมีแอมเบี้ยนต์แผ่ออกมาจากหลายๆ อัลบั้มที่ฟัง ซึ่งค่อนข้างชัดเจนมาก โดยเฉพาะกับไฟล์ DSD จะยิ่งรู้สึกได้ชัดว่าในอัลบั้มเหล่านั้นมีข้อมูลเสียงที่เป็นบรรยากาศคละคลุ้งอยู่ เมื่อลองพลิกไปพิจารณาจากสเปคฯ frequency response ของแอมป์ตัวนี้ก็พบว่า มันสามารถตอบสนองความถี่ไปได้สูงถึง 40kHz (-0.5dB ที่ 1W) นั่นไง.. ถึงว่าซิ ตอบสนองความถี่ย่านสูงไปได้ไกลขนาดนี้ แอมป์เบี้ยนต์ถึงได้คละคลุ้งซะขนาดนั้น.!!!

อัลบั้ม : Mendelssohn / Tchaikovsky Violin Concertos (DSF64)
ศิลปิน : Isaac Stern, violin & The Philadelphia Orchestra, Eugene Ormandy, conductor
สังกัด : Columbia/Sony

อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSF64)
ศิลปิน : John Lanchbery & The Royal Opera House
สังกัด : Analogue Productions
ใครที่ชอบฟังเพลงคลาสสิกมักจะสยบให้กับแอมป์หลอด โดยเฉพาะแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ เพราะคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่ในย่านสูงที่มีทั้งความต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียว และความอบอวลของมวลฮาร์มอนิกที่ชุ่มฉ่ำ ผสมกับความมลังเมลืองของเสียงกลุ่มเครื่องสายที่โอ่อ่า ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์มันเหมาะเหม็งที่สึดแล้วสำหรับการถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงแนวคลาสสิก
งานเพลงชุด Violin Concertos ของ Mendelssohn กับ Tchaikovsky ที่ Isaac Stern เดี่ยวไวโอลินต่อกรกับวง Philadelphia Orchestra ที่มี Eugene Ormandy ควบคุมวงนั้นเป็นงานเก่าที่บันทึกเสียงมาตั้งแต่ ปี 1959 ด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้นบวกกับอายุของมาสเตอร์เทปที่เสื่อมถอยลงอย่างมาก มีผลให้เสียงไวโอลินและเครื่องสายของอัลบั้มชุดนี้มีลักษณะที่หยาบและแห้ง เวอร์ชั่นที่ผมเก็บไว้นี้เป็นเวอร์ชั่นที่ทาง Sony ทำการถ่ายข้อมูลเสียงจากมาสเตอร์เทปออกมาแปลงเป็นสัญญาณ DSD บันทึกลงบนแผ่น SACD แบบ single layer ออกมาเมื่อ ปี 2000 ซึ่งหลังจากผมนำแผ่น SACD ชุดนี้มาริปเป็นไฟล์ DSF64 แล้วลองฟังกับชุดเครื่องเสียงมาแล้วหลายครั้งผ่าน DAC มาแล้วหลายตัว ผมพบว่า เสียงไวโอลินของ Isaac Stern มักจะมีลักษณะที่แผดกร้าน ขาดความพลิ้วกังวานอย่างที่ควรจะเป็นในธรรมชาติ หลังจากหยิบอัลบั้มนี้ออกมาฟังอีกครั้งวันนี้ ผมพบว่า เสียงไวโอลินของ Isaac Stern วันนี้ฟังดีกว่าที่เคย..!! แม้ว่าเสียงไวโอลินของ Isaac Stern จะมีลักษณะแข็งกร้าว ซึ่งเป็นลักษณะลีลาการบรรเลงของเขาเอง แต่อาการหยาบกร้านของน้ำเสียงที่เกิดจากความเสื่อมของมาสเตอร์ที่เคยได้ยินมันบางเบาลงไปมาก ผมสามารถฟังได้จนจบอัลบั้มด้วยความรู้สึกรำคาญกับเสียงหยาบกร้านน้อยลงมาก
หลังจากตรวจเช็คสเปคฯ ของลำโพง Usher Audio รุ่น SD-500 ที่จับกับ Saturn Signature ใช้เล่นไฟล์เพลง DSF64 ของอัลบั้มนี้ พบว่า ตัวลำโพง SD-500 ก็มีคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่ไปได้ถึง 40kHz เช่นเดียวกับแอมป์ Dared ตัวนี้ ซึ่งผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ผมทำให้เสียงไวโอลินของ Isaac Stern ในอัลบั้มชุดนี้ออกมาดีกว่าที่ผมเคยฟังในอดีตตอนใช้แอมป์กับลำโพงที่ตอบสนองความถี่ย่านสูงไม่ถึง 40kHz
และเพื่อให้แน่ใจ ผมเลยเลือกอัลบั้มชุด La Fille Mal Gardee (เวอร์ชั่น DSF64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ของค่าย Analogue Productions) ที่ผมคุ้นเคยและฟังบ่อยมาทดลองฟังกับซิสเต็มนี้ดู ปรากฏว่าเสียงแหลมออกมาดีมาก พลิ้ว กังวาน และทอดปลายเสียงไปได้สุดโดยไม่มีอาการ roll-off ซึ่งพูดได้ว่าเป็นจุดเด่นสำหรับแอมป์หลอดตัวนี้ เข้าใจว่าเป็นเพราะมันมีภาค DAC ที่รองรับสัญญาณเสียงระดับ Hi-Res มาให้ในตัว ทางผู้ผลิตจึงปรับจูนความสามารถในการตอบสนองความถี่ของแอมป์ตัวนี้ให้ไปไกลถึง 40kHz ตามมาตรฐานของฟอร์แม็ต Hi-Res Audio นั่นเอง ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นการ “เสริมประสิทธิภาพ” ให้กับแอมป์หลอดตัวนี้ขึ้นไปอีกระดับ แทนที่จะ filter ย่านเสียงสูงลงไปเพื่อให้เสียงออกมานุ่ม แต่แอมป์ตัวนี้กลับเปิดย่านสูงขึ้นไปจนสุด มีผลให้ได้เสียงที่มีลักษณะเปิดกระจ่างออกไปจนสุดปลายเสียง เมื่อผสมกับุคลิกของความเป็นหลอด ก็เลยทำให้ปลายเสียงสูงของแอมป์หลอดตัวนี้มีลักษณะที่ฉ่ำและนวล ไม่แห้ง แถมด้วยรายละเอียดที่ออกมาครบเพราะไม่ถูกวงจรฟิลเตอร์ตัดทิ้งไป

อัลบั้ม : Japanese Melodies (DSF64)
ศิลปิน : Yo-Yo Ma
สังกัด : CBS
ชักหลงไหลเสียงแหลมของแอมป์หลอด Dared ตัวนี้ซะแล้ว ผมเลือกอัลบั้มชุด Japanese Melodies ของ Yo-Yo Ma ชุดนี้มาฟังเพราะส่วนตัวชอบเพลง Kojo-No-Tsuki มากเป็นพิเศษ เป็นเพลงบรรเลงที่ใช้เสียงของเครื่องดนตรีญี่ปุ่นกับเสียงของเชลโล่ฝีมือของโย–โย หม่า คลุกเคล้ากับท่วงทำนองพื้นเมืองของญี่ปุ่นออกมาได้ลงตัวมากๆ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในเกียวโต ซึ่ง Dared Saturn Signature + Usher Audio SD-500 ร่วมกันสร้างเสียงของแทรคนี้ให้ออกมาเป็นเสียงสวรรค์.! เสียงแหลมของเครื่องดนตรีญี่ปุ่นลอยออกมาเป็นเม็ด ในขณะที่เสียงทุ้มต่ำๆ ของเชลโล่ฝีมือโย–โย หม่าก็ออกมาครบตัว ซึ่งเสียงเชลโล่ในแทรคนี้ทำให้ผมเห็นถึงประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความถี่ในย่านต่ำที่ดีเยี่ยมของแอมป์หลอดตัวนี้ อย่างแรกที่ดีใจมากๆ คือเสียงทุ้มมันไม่เฉื่อยและไม่บวมเบลอเหมือนที่เคยเจอกับแอมป์หลอดวัตต์ต่ำๆ ตัวอื่น เสียงโน๊ตเชลโล่ในแทรคนี้ออกมากลมและมีความกระชับตึงตัวพอสมควร หางโน๊ตไม่ได้กระชับและหยุดตัวไว เพราะคุณหม่าแกใช้วิธีสีด้วยคันชัก ไม่ได้ใช้ปลายนิ้วกระตุก
จากการฟังอัลบั้ม Japanese Melodies ชุดนี้ ทำให้ผมพบความสามารถในการถ่ายทอดเวทีเสียงที่ดีเยี่ยมของแอมป์หลอดตัวนี้ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง มันวางตำแหน่งของเสียงเครื่องดนตรีญี่ปุ่นให้แยกออกไปทางแนวกว้าง ตัวซ้ายทะลุห่างลำโพงซ้ายออกไปไกล ในขณะที่พื้นที่ตรงกลางระหว่างลำโพงก็ไม่ได้ว่างเปล่า เพราะถอยลึกลงไปหลังระนาบลำโพงมีเสียงเชลโล่ของโย–โย หม่ายึดพื้นที่อยู่ตรงนั้น จากตำแหน่งนั่งฟังหลังจุด sweet spot ออกมาประมาณหนึ่งฟุต เมื่อคะเนเอาจากความกังวานของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ทอดยาวออกมารวมกันเป็นสนามเสียงที่ห่อหุ้มด้วยบรรยากาศที่เปิดโล่งและแผ่กว้างออกไปอีกชั้น มันทะลุเลยผนังห้องฟังของผมออกไปอย่างชัดเจน.!

อัลบั้ม : Love Is The Thing (Mono Version) (DSF64)
ศิลปิน : Nat ‘King’ Cole
สังกัด : Analogue Productions

อัลบั้ม : Come Away With Me (DSF64)
ศิลปิน : Norah Jones
สังกัด : Capital Records
มาถึงไฮไล้ท์ที่ผมคาดหวังมากเป็นพิเศษจากแอมป์หลอดตัวนี้ นั่นคือ “เสียงร้อง” ซึ่งจากที่ได้ทดลองฟังเพลงของนักร้องชาย–หญิงไปหลายคน ผมเลือกข้อสังเกตที่ได้ยินจากเพลง When I Fall In Love ของแน็ต คิง โคล จากอัลบั้มชุด Love Is The Thing กับเพลง Cold Cold Heart จากอัลบั้มชุด Come Away With Me ของ Norah Jones มาเล่าให้ฟัง
ข้อสังเกตแรกที่ผมได้ยินจากเสียงร้องของ Nat ‘King’ Cole ก็คือ “ความสด” ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของเสียงร้องที่ลอยเด่นขึ้นมาในอากาศอย่างชัดเจน ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่า “เสียงนั้น” ถูกบันทึกเอาไว้ตั้งแต่ ปี 1956 .! ซึ่งสิ่งที่แอมป์หลอดตัวนี้ถ่ายทอดออกมามันไม่ได้มีแค่คำร้องที่ทำให้รู้ว่าแน็ต คิง โคลเขากำลังร้องว่าอะไร แต่มันเป็นรายละเอียดที่ลึกลงไปถึงสัญญาณที่บ่งบอกถึง “ความมีชีวิต” ของเสียงร้องนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการเลี้ยงและควบคุมลมหายใจ ลักษณะการปลดปล่อยคำร้องออกมาแต่ละพยางค์ที่บอกให้รู้ว่าเขาขยับริมฝีปากแบบไหน ทั้งหมดนี้มันทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังฟังคนจริงๆ มายืนร้องเพลงอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่การฟังจากงานบันทึกเสียงแห้งๆ ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิส ถ้าผมจะสรุปว่า แอมป์ตัวนี้มัน “ฟื้นคืนชีวิต” ให้กับเสียงของนักร้องคนนี้.. จะมากไปมั้ย.? แต่นั่นคือสิ่งที่ผมรับรู้ และเมื่อเปลี่ยนมาฟังแทรคที่ชื่อว่า Cold Cold Heart ที่ขับร้องโดยโนร่า โจนส์ ความรู้สึกแบบเดียวกันที่เกิดกับเสียงร้องของแน็ต คิง โคลก็หวนกลับมาอีกครั้ง แอมป์ตัวนี้ทำให้เสียงร้องของโนร่า โจนส์แทรคนี้มีพลังดึงดูดความสนใจของผมไปทั้งหมด มันทำให้ผมต้องใจจดใจจ่อไปกับลักษณะการขับร้องของนักร้องผู้นี้ไปทุกขณะจิต เกาะติดทุกคำร้อง ซึมซับทุกอารมณ์ที่นักร้องปล่อยออกมา ตอนจบเพลงผมรู้สึกเหมือนเวลามันเดินไปนานกว่าที่เคย รู้สึกเหมือนเพลงนี้มันยาวกว่าที่เคยฟัง และรู้สึก “อิ่ม” ในอารมณ์มากกว่าทุกที..!

อัลบั้ม : Jazz (DSF64)
ศิลปิน : Queen
สังกัด : Japanese Remastered
หัวใจของการทดสอบก็คือการทดลองเล่นจริงเพื่อสังเกตผลลัพธ์ ทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทดสอบความสามารถในการเล่นเพลงแนวหนักๆ กับแอมป์หลอดตัวนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ในใจแอบสรุปไว้ก่อนแล้วว่ามันไม่น่าจะไปได้ดี เพราะดูจากดีไซน์ที่ใช้หลอดแค่หลอดเดียวในการขยายสัญญาณในแต่ละแชนเนล.. ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่า มันจะพอเหรอ.? ถ้าต้องเจอกับเพลงแนวร็อคที่ต้องเปิดดังๆ ถึงจะได้อารมณ์
แต่เมื่อเพลง ‘Mustapha’ กระหึ่มขึ้นมาในห้องฟังของผม ความสงสัยแคลงใจในเรื่องพลังขับของแอมป์หลอดตัวนี้ก็พลันมลายหายไป เพราะมันสามารถสร้างสนามเสียงที่ตอบรับกับสัญญาณอินพุตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ช่วงที่เพลงแผ่สนามเสียงออกมา เวทีเสียงก็ถูกคลี่ขยายออกไปเกินตำแหน่งลำโพงซ้าย–ขวาอย่างชัดเจน และในอึดใจต่อมา เวทีเสียงก็ถูกกดวูบลงไปอุดอู้อยู่ระหว่างลำโพงทั้งสองข้างสลับกันไปมาแบบนี้ แอมป์หลอดตัวนี้ก็สามารถสวิงเสียงไปตามสัญญาณอินพุตที่ให้สนามเสียงมีลักษณะแผ่ๆ หุบๆ แบบนั้นได้เป๊ะมาก นี่คือเครื่องยืนยันถึงความแม่นยำในการตอบสนองเชิงเฟสของแอมป์ตัวนี้

อัลบั้ม : Misty (DSF64)
ศิลปิน : Tsuyoshi Yamamoto Trio
สังกัด : FIM (First Impression Music)
หลังจากทดลองฟังเพลงมาหลายแนวหลายอัลบั้ม พอจับแนวเสียงของแอมป์หลอด Dared ตัวนี้ได้แล้ว ผมก็เดาได้เลยว่า แนวเสียงที่เปิดโล่ง + ชัดกระจ่างแบบนี้ น่าจะเหมาะกับเพลงแนวไหน ว่าแล้วก็ทดลองเลือกอัลบั้มนี้มาลองฟัง ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ทุกเสียงที่ออกมาจากอัลบั้มนี้ ผ่านแอมป์หลอด Dared ตัวนี้มันอุดมไปด้วยความสด สมจริง และแฝงความดิบที่เป็นเอกลักษณ์จากการบันทึกเสียงของค่าย Three Blind Mice ออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปียโน, อะคูสติดเบส และกลอง มันอัดแน่นไปด้วยพลัง เต็มไปด้วยความตื่นตัว และเปิดเผย ความใสของพื้นเสียงถือว่าเป็นอีกจุดเด่นของแอมป์หลอดตัวนี้ เพราะมันทำให้ได้ยินลึกลงไปถึงรายละเอียดในระดับไมโครดีเทลกันเลยทีเดียว..
สรุป
ถ้าแยกให้คะแนนเฉพาะในย่านกลาง–แหลมต้องบอกว่าแอมป์ตัวนี้ทำได้สูงโด่งมาก ส่วนย่านทุ้มนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควร ไม่ดีเท่ากลาง–แหลม และยังเป็นรองเสียงทุ้มของแอมป์โซลิดสเตทที่ดี แต่ถ้าเทียบกับแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ด้วยกัน ผมว่าเสียงทุ้มของ Dared Saturn Signature ตัวนี้ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ทั้งในแง่ความกระชับตั้งแต่หัวเสียงลงไปถึงหางเสียงถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดเยอะมาก ด้วยความที่เป็นดีไซน์ซิงเกิ้ลเอ็นด์ และใช้วงจรขยาย Class A มีส่วนมากที่ทำให้คุณสมบัติทางด้านโฟกัสของเสียงอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม และด้วยพลังของหลอดเบอร์ KT-150 ช่วยทำให้ได้ไดนามิกเร้นจ์ที่เปิดกว้างกว่าแอมป์ซิงเกิ้ลเอ็นด์ยุคเก่าๆ ที่ใช้หลอด 300B หรือแม้แต่ KT-88 มากมาย
อินพุต USB กับภาค DAC ในตัวที่ให้มาก็ไม่ใช่ของแถม มันถูกปรับจูนมาให้ใช้ด้วยกันกับภาคขยายอย่างลงตัว ใครที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จัด Raspberry Pi4 ที่มีเอ๊าต์พุต USB มาสตรีมไฟล์เพลงเล่นกับอินพุต USB ของแอมป์ตัวนี้ได้เลย ซึ่งภาค DAC ในตัว Saturn Signature ตัวนี้แม้ว่าจะยังเป็นรอง ext.DAC ภายนอกราคา 4-5 หมื่นบาทอยู่บ้างในบางแง่ แต่เสียงโดยรวมที่ให้ออกมาถือว่าไม่ธรรมดา ใช้เป็น source หลักสำหรับแอมป์ตัวนี้ได้เลย
จากการทดลองขับลำโพง 8 โอห์มกับ 4 โอห์มไปหลายคู่ ผมพบว่า Saturn Signature ชอบลำโพง 8 โอห์มมากกว่า 4 โอห์ม ซึ่งจริงๆ แล้ว ตอนขับลำโพง 4 โอห์ม (Totem The One กับ Audio Physic Classic 8) เสียงก็ออกมาดีน่าพอใจเหมือนกัน แต่เสียงโดยรวมยังไม่เต็มร้อยสำหรับลำโพง น่าจะเป็นเพราะว่า ลำโพงที่ออกแบบมาโดยจัดอิมพีแดนซ์ไว้ที่ 4 โอห์มมักจะเป็นลำโพงที่มีความพิเศษในตัว เปิดได้ดังและสวิงไดนามิกได้กว้างแต่ก็ต้องการกำลังสำรองกับแด้มปิ้งแฟ็คเตอร์ของแอมป์เข้ามาช่วยมากหน่อย ลำโพง 4 โอห์มที่มีราคาสูงๆ จึงชอบแอมป์ที่มีกำลังสำรองเยอะๆ มากกว่า

ในการทดสอบครั้งนี้ผมพบว่า ลำโพงที่จับกับ Saturn Signature แล้วได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจมาก เป็นคู่เพอร์เฟ็กต์แม็ทฯ ก็คือ Usher Audio รุ่น SD-500 โดยใช้สายลำโพงของ Furutech รุ่น FS-301 เมตรละไม่กี่ร้อยบาทเป็นสายเชื่อมต่อระหว่างแอมป์กับลำโพง และใช้จั๊มเปอร์ของ Nordost ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างขั้วต่อ High กับ Low ของ SD-500 ส่วนจุดเชื่อมต่อที่ให้เสียงลงตัวมากที่สุดคือต่อสายลำโพงเข้าที่ขั้วต่อ High (คู่บน – ตามภาพประกอบ)
ผมยอมรับว่าหลังจากได้ทดสอบแอมป์หลอดตัวนี้แล้ว รู้สึกประทับใจกับคุณภาพเสียงที่มันให้ออกมาอย่างมาก มันให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาในเกณฑ์ที่สูงกว่าที่ผมคาดคิดไว้ก่อนทดสอบพอสมควร เข้าใจว่าเป็นเพราะอิทธิพลของหลอดเพาเวอร์เบอร์ KT-150 น่าจะมีส่วนอยู่มาก พอกำลังขับมันมากพอถึงจุดหนึ่ง ตัวแอมป์มันก็เลยโชว์จุดเด่นของภาคขยาย Class A ออกมาให้เห็นได้ชัดมากขึ้น ซึ่งในอดีตนั้นผมเคยใช้อินติเกรตแอมป์หลอด 300B ของยี่ห้อนี้เป็นตัวอ้างอิงในการทดสอบอยู่ช่วงหนึ่ง ชื่อรุ่น MP-30B เป็นดีไซน์ซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาส เอ เหมือนกัน กำลังขับตัวนั้นแค่ 9W หลังจากทดสอบแอมป์หลอดของ Dared รุ่น Saturn Signature ตัวนี้แล้วก็ประทับใจกับเสียงของมันมาก และคิดว่าจะหามาไว้ใช้อ้างอิงสักตัว.. /
**********************
ราคา : 55,000 บาท / ตัว
**********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
KTT Audio
โทร. 081-921-3131 (คุณศักดิ์)
facebook: @kttaudio



