เครื่องเสียงแบรนด์จีนทุกวันนี้ ถ้าเป็นระดับทั่วๆ ไป ก็ต้องบอกว่าเดินทางมาถึงจุดที่มีความเป็น “สากล” แล้ว ทั้งทางด้าน “ดีไซน์” และ “คุณภาพเสียง” แถมด้วย “ราคาขาย” ที่เป็นจุดแข็งอีกอย่างที่ทำให้เครื่องเสียงของจีนพุ่งขึ้นมาเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
Edifier รุ่น QD35 ลำโพงบลูทูธแบบตั้งโต๊ะ
ถ้าพูดถึงสินค้าในกลุ่ม CE (Consumer Electronic) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนที่โด่งดังไปทั่วโลกตอนนี้ก็ต้องยกให้ Xiaomi แต่ถ้าโฟกัสลงมาที่อุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทพกพา อย่างเช่นหูฟังและลำโพงบลูทูธ ก็ต้องยกให้แบรนด์ Edifier ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ออกมาช่วงหลังๆ นี้ล้วนแล้วแต่ “โดนใจ” ผู้ใช้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหูฟังไร้สายทั้งแบบอินเอียร์รุ่น Neobuds Pro (REVIEW), แบบออนเอียร์รุ่น Stax Spirit S3 (REVIEW) และล่าสุดคือ WH950NB (REVIEW) ที่ผมเพิ่งทดสอบไปไม่นานมานี้
วันนี้ผมเพิ่งได้รับลำโพงบลูทูธแบบตั้งโต๊ะ (ต้องเสียบไฟเอซี) ของ Edifier มาทดสอบอีกตัวหนึ่ง ชื่อรหัสรุ่นคือ QD35 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมฟังท์ชั่นเด่นๆ หลายอย่าง แต่ที่สะดุดตาก่อนเลยก็คือดีไซน์หน้าตาของมัน

ใครจะชอบหรือไม่ชอบไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวผมชอบหน้าตาของลำโพงบลูทูธตัวนี้มาก มันออกแนวเท่ๆ แมนๆ ขรึมๆ เข้าข่ายอินดัสเตี้ยนดีไซน์นิดๆ แผงหน้าโชว์ดอกลำโพงทั้งสองดอกโทนโท่แบบไม่มีอะไรกั้น วัสดุปิดแผงหน้าเป็นพีวีซีใสๆ มองทะลุเข้าไปเห็นด้านในที่ทำเป็นลวดลายโมเดลคล้ายแผงวงจรอิเล็กทรอนิค มีไฟ LED เดินเป็นเส้น ดูแล้วให้ฟิลลิ่งเหมือนหนังอวกาศสตาร์ เทรค ส่วนตัวตู้ด้านนอกออกทรงสี่เหลี่ยม ด้านบนทำเป็นลายร่องๆ มองผิวเผินคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ (มีสองสีคือตู้สีดำกับตู้สีขาว)


บริเวณส่วนล่างของแผงหลังจะมีช่องอินพุตต่างๆ เรียงอยู่จำนวนหนึ่ง กับท่อระบายเบส 2 ท่อที่วิศวกรของ Edifier ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยตั้งชื่อเรียกไว้ว่า ‘MazeTube Bass Reflex Channels’ เพื่อสร้างความถี่ต่ำเสริมให้กับดอกมิด/วูฟเฟอร์ที่อยู่ด้านหน้า นอกจากนั้น พวกเขายังได้คิดค้นเทคโนโลยีในการขจัดเสียงรบกวน (noise) ที่เกิดจากลมที่เสียดสีกับท่อ บวกกับเสียงที่เกิดจากการสั่นกำธรของท่อออกมาด้วย โดยตั้งชื่อเรียกว่า ‘TurbMuff Air Noise’ และนี่แหละคือเคล็ดลับที่ทำให้ตัวมิด/วูฟเฟอร์ขนาด 3 นิ้วสามารถสร้างเสียงทุ้มออกมาได้มโหฬารเกินตัว..!!!

พื้นที่ตรงกลางที่อยู่ระหว่างท่อระบายเบสทั้งสองท่อนั้นเป็นตำแแหน่งที่ติดตั้งปุ่มบังคับและขั้วต่อต่างๆ จากซ้ายไปขวาเริ่มด้วยปุ่มกดสำหรับใช้เปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง, รูเสียบเต้ารับสำหรับปลั๊กไฟเอซีแบบสองขา มาตรฐาน C8 สำหรับต่อไฟ 220V จากภายนอกเข้าเครื่อง, อินพุต AUX และสุดท้ายคืออินพุต USB-A
อินพุตใช้สาย และไร้สาย

ตัวนี้มีความสามารถรองรับอินพุตได้ 3 ช่องทาง ผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณ 3 รูปแบบ ได้แก่
1) รองรับสัญญาณอะนาลอกทางอินพุต mini 3.5mm ซึ่งคุณต้องต่อเชื่อมสัญญาณจากเครื่องเล่นซีดี, เครื่องเล่นแผ่นเสียง หรือเครื่องเล่นสตรีมเมอร์ ผ่านสายสัญญาณแบบ RCA > to > mini 3.5mm (เส้นสีฟ้าในภาพด้านบน)
2) รองรับสัญญาณอินพุตดิจิตัล ผ่านเข้าทางอินพุต USB-A ซึ่งสามารถรับสัญญาณจากการเล่นไฟล์บนคอมพิวเตอร์ หรือเล่นไฟล์บนสตรีมเมอร์ที่มีเอ๊าต์พุต USB-A อย่างเช่น Roon Nucleus หรือ Bluesound NODE รุ่นใหม่ (เส้นสีส้มในภาพด้านบน) โดยใช้สายสัญญาณ USB-A > to > USB-A ที่แถมมาให้ในกล่อง (* อินพุตนี้นับว่าแปลก เพราะปกติถ้าเป็นอินพุต USB-A มักจะรองรับการเล่นไฟล์เพลงจากอุปกรณ์พกพาประเภทแฟรชไดร้ USB มากกว่าที่จะรอรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในตัว QD35 ไม่มีโปรแกรมเล่นไฟล์เพลง USB Audio Player นั่นเอง)
3) รองรับสัญญาณดิจิตัลด้วยวิธีสตรีมไร้สายผ่านคลื่น Bluetooth จากอุปกรณ์พกพาและอุปกรณ์เครื่องเล่นที่รองรับการสตรีมสัญญาณผ่านออกด้วยคลื่นบูลทูธ (QD35 ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น v5.3)
ชาร์จไฟได้..!!!

ขณะเสียบปลั๊กไฟของ QD35 เข้ากับเต้ารับบนผนังและเมนสวิทช์ที่แผงหลังของ QD35 อยู่ในตำแหน่ง On คุณสามารถใช้ไฟในตัว QD35 ชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์พกพาของคุณได้ด้วย ซึ่งผู้ผลิตให้ขั้วต่อสำหรับชาร์จไฟมา 2 ช่อง เป็นขั้วต่อ USB-C กับ USB-A ที่ให้กำลังไฟค่อนข้างสูง คือถ้าเสียบชาร์จเฉพาะช่อง USB-C ช่องเดียว จะจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 35W รองรับการจ่ายไฟได้ครอบคลุมกว้างมากคือ 5V/3A, 9V/2A, 12V/2.91A, 15V/2.33A และ 20V/1.75A ส่วนช่อง USB-A จ่ายไฟได้สูงสุด 18W ครอบคลุมอุปกรณ์ที่ใช้ไฟได้ตั้งแต่ 5V/2.4A, 9V/2A และ 12V/1.5A ถ้าเสียบชาร์จพร้อมกันทั้งสองช่อง USB-C และช่อง USB-A ทั้งสองช่องจะจ่ายไฟพร้อมกันได้สูงสุดช่องละ 18W
ควบคุมสั่งงาน

QD35 ให้เครื่องมือในการควบคุมการทำงานของตัวเครื่องได้ 2 ช่องทาง ช่องทางแรกคือควบคุมสั่งงานผ่านทางปุ่มกดและปุ่มหมุนที่อยู่บนแผงด้านข้างขวาของตัวเครื่องตามภาพด้านบน ซึ่งตรงนั้นมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม ที่มีลักษณะการทำงานแบบมัลติฟังท์ชั่น
ปุ่มแรก (1) ทำหน้าที่ต่อเนื่องกับเมนสวิทช์ที่ใช้ปิด/เปิดไฟเข้าเครื่องที่อยู่บนแผงหลังของตัวเครื่อง เมื่อกดเมนสวิชท์ไปที่ตำแหน่ง On ปุ่มหมายเลข 1 นี้จะทำหน้าที่เปิดใช้งานเมื่อกดลงบนปุ่มหนึ่งครั้ง และจะเปลี่ยนไปอยู่ในโหมดสแตนด์บายเมื่อกดปุ่มนี้ค้างไว้ 1.5 วินาที และอีกหน้าที่ของปุ่มนี้คือใช้สำหรับ เลือกแหล่งอินพุต เมื่อเครื่องอยู่ในสถานะ On หรือเปิดพร้อมทำงาน เมื่อคุณกดลงไปที่ปุ่มหมายเลข 1 หนึ่งครั้งโดยไม่ต้องแช่ ในแต่ละครั้งที่กดลงไปบนปุ่มนี้ จะเป็นการเลื่อนเปลี่ยนอินพุตทั้งสามคือไล่จาก Bluetooth > USB > AUX วนไป
ปุ่มที่ 2 ทำหน้าที่สองอย่าง อย่างแรกคือเป็น ปุ่มวอลลุ่ม ที่ใช้หมุนเพื่อปรับระดับความดัง กับอีกหน้าที่คือเป็นปุ่มที่ใช้กดเปลี่ยน EQ สำเร็จรูปที่เครื่องมีไว้ให้เลือก 4 รูปแบบ นั่นคือ Music Mode, Game Mode, Movie Mode และ DIY (ปรับตั้งเองตามใจชอบ)
ปุ่มที่ 3 ก็ทำหน้าที่สองอย่างเหมือนกัน อย่างแรกคือกดเพื่อเลือก “Light Effects” หรือรูปแบบของไฟ LED ที่โชว์อยู่บนแผงด้านหน้าของตัวเครื่อง ซึ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ส่วนอีกหน้าที่คือใช้หมุนเพื่อเพิ่ม/ลดความสว่างของไฟ LED ที่โชว์อยู่บนแผงหน้า
ส่วนช่องทางที่สองในการควบคุมสั่งงานสามารถทำได้ผ่านทางแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Edifier Connect ที่มีให้โหลดใช้ทั้งเวอร์ชั่น Android และ iOS ซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นที่ออกแบบโดยแบรนด์ Edifier เอง สามารถใช้ปรับตั้งการทำงานของ QD35 รวมถึงหูฟังไร้สายรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ Edifier ด้วย
แอพลิเคชั่น Edifier Connect

ข้างบนนี้คือหน้าแรกของแอพ Edifier Connect บน iPhone 12 ที่ผมโหลดมาใช้กับ QD35

หลังจากทำการเชื่อมต่อระหว่าง iPhone 12 กับ QD35 ผ่านทาง Bluetooth ของ iPhone 12 ตัวแอพจะทำการค้นหาอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างกันอัตโนมัติ เมื่อเจอ บนแอพจะแสดงหน้าแรกขึ้นมาตามที่เห็นข้างบนนี้ โดยมีชื่อรหัสรุ่นของอุปกรณ์อยู่ด้านบน บนหน้าแรกนี้จะมีกลุ่มของเมนูที่คุณสามารถปรับตั้งค่าได้อยู่ทั้งหมด 4 หัวข้อ ได้แก่ settings = เข้าไปในเมนูที่ใช้ปรับตั้งค่าของตัวเครื่องอีกส่วนหนึ่ง, input modes = กดตรงนี้เพื่อเลือกอินพุตระหว่างอินพุตทั้งสามของ QD35 ระหว่าง Bluetooth > USB audio streaming > AUX, sound modes = กดเลือกรูปแบบของระบบเสียงที่ปรับตั้งอัตโนมัติไว้ให้ใช้กับแหล่งอินพุตประเภทต่างๆ นั่นคือ Music (ฟังเพลง) – Game (เล่นเกม) – Movie (ดูหนัง) และ DIY (ปรับตั้งเอง) ถัดลงไปก็เป็น วอลลุ่มแบบสไลด์ ไว้ปรับตั้งระดับความดัง ซึ่งวอลลุ่มนี้จะซิ้งค์ระหว่างปุ่มวอลลุ่มบนตัว QD35 กับปุ่มปรับวอลลุ่มบนตัวอุปกรณ์พกพาที่ลงแอพฯ Edifier Connect ที่ใช้ควบคุมเครื่องเมื่อคุณใช้อินพุต Bluetooth เท่านั้น ส่วนอินพุต USB audio streaming เมื่อใช้รับสัญญาณดิจิตัลจากคอมพิวเตอร์ กับอินพุต AUX ที่รับสัญญาณอะนาลอกจากเครื่องเล่นภายนอก ปุ่มวอลลุ่มบนตัว QD35 จะไม่ซิ้งค์กับวอลลุ่มบนตัวคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นไฟล์เพลง และไม่ซิ้งค์กับปุ่มวอลลุ่มของเครื่องเล่นอื่นๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้ แนะนำให้ปรับวอลลุ่มที่คอมพิวเตอร์และที่เครื่องเล่นแผ่นไว้ในตำแหน่งสูงสุด ส่วนระดับความดังที่ฟังจริงแนะนำให้ปรับจากวอลลุ่มบนตัว QD35 หรือปรับผ่านแอพ Edifier Connect จะได้เสียงออกมาดีกว่าการปรับวอลลุ่มทั้งสองฝั่งผสมกัน
สำหรับไดเวอร์ที่กำกับอยู่ที่ช่องอินพุต USB audio streaming ของ QD35 ระบุไว้ในคู่มือว่ารองรับกับระบบปฏิบัติการณ์ Windows 11, Windows 10, Windows 8, Windows 7 และ macOS โดยไม่มีระบุว่าใช้กับ Linux ได้หรือไม่

ผมทดลองใช้ Roon nucleus+ ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Linux ในการเล่นไฟล์เพลงจาก NAS แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลเข้ามาที่ QD35 ผ่านทางอินพุต USB-A ของ QD35 ปรากฏว่า สามารถใช้งานได้ คือโปรแกรม Roon บน nucleus+ มองเห็น QD35 (ศรชี้) และสามารถส่งสัญญาณดิจิตัลเอ๊าต์พุตจาก nucleus+ มาใช้ภาค DAC ของ QD35 ได้
QD35 รองรับ Hi-Res Audio ได้สูงสุดเท่าไรกันแน่.?
เนื่องจากในคู่มือของ QD35 แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการรองรับสัญญาณ Hi-Res Audio เอาไว้ไม่ชัดเจน ผมจึงทดลองเชื่อมต่ออินพุต USB-A ของ QD35 เข้ากับช่องเอ๊าต์พุต USB-A ของ nucleus+ เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่า QD35 รองรับสัญญาณ Hi-Res Audio ได้สูงสุดถึงระดับไหนกันแน่.? และรองรับสัญญาณ DSD ได้หรือไม่.?


หลังจากเชื่อมต่อช่องอินพุต USB-A ของ QD35 เข้ากับเอ๊าต์พุต USB-A ของ nucleus+ ได้แล้ว ผมก็ลองเข้าไปตรวจเช็คคุณสมบัติของภาค DAC ในตัว QD35 ผ่านทางหัวข้อเมนูที่ชื่อว่า ‘Audio’ ของโปรแกรม Roon (สองภาพข้างบน) ทำให้ผมทราบว่า ข้อที่หนึ่ง – ภาค DAC ในตัว QD35 ไม่มีดีโค๊ดเดอร์ MQA, ข้อที่สอง – ภาค DAC ในตัว QD35 รองรับสัญญาณไฮเรซฯ ฟอร์แม็ต PCM ได้สูงสุดที่ระดับ 24bit / 96kHz ส่วนความสามารถในการรองรับสัญญาณ DSD ไม่ได้แจ้งไว้ (โดยปกติแล้วถ้าไม่ได้แจ้งไว้ก็คือเล่นไม่ได้)
เพื่อความชัดเจนมากขึ้น ผมจึงทดลองเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ที่มีความละเอียดหลายๆ ระดับเข้าไปกับอินพุต USB-A ของ QD35 รวมทั้งลองเล่นไฟล์ DSF ด้วย

ผมเริ่มด้วยการเล่นไฟล์ที่มีความละเอียดสูงสุดสำหรับมาตรฐาน Hi-Res Audio ที่เป็นฟอร์แม็ต PCM ซึ่งเท่ากับ 24/192 ผมพบว่า ภาค DAC ในตัว QD35 ไม่รองรับสัญญาณที่ระดับ 24/192 เข้าไปตรงๆ โปรแกรม roon จึงต้องทำการแปลง sample rate conversion (ศรชี้สีเขียว) เพื่อลดจาก 192kHz ลงมาเหลือ 96kHz ก่อนจะป้อนออกไปให้อินพุต USB-A ของ QD35 (*สังเกตตรง signal path ของโปรแกรม Roon ที่ศรชี้สีแดงจะแสดงคุณภาพของสัญญาณเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปจากโปรแกรม Roon ว่าอยู่ในระดับ ‘High quality’ เดี๋ยวผมจะอธิบายเพิ่มเติมตรงจุดนี้อีกที)

สถานะการณ์ค่อนข้างจะชี้ชัดว่า ภาค DAC ในตัว QD35 รองรับสัญญาณไฮเรซฯ ได้สูงสุดที่ระดับแซมปลิ้งที่ 96kHz เพื่อให้ชัวร์ ผมเลยเลือกไฟล์เพลง FLAC 24/96 มาลองเล่นดู ปรากฏว่าโป๊ะเช๊ะ.. โปรแกรม Roon เล่นไฟล์ FLAC ของอัลบั้มนี้ออกมาเป็นสัญญาณ 24/96 แล้วส่งออกไปที่ภาค DAC ของ QD35 โดยไม่ทำการแตะต้องใดๆ (*สังเกตที่ signal path ตรงศรชี้พบว่า เมื่อเล่นไฟล์นี้โปรแกรมแสดงออกมาเป็นคุณภาพระดับ ‘Lossless’ ซึ่งตามมาตรฐานของโปรแกรม Roon ที่ระดับ Lossless จะเป็นระดับคุณภาพที่สูงกว่าที่ระดับ ‘High quality’ ขึ้นมาอีกขั้น เพราะสัญญาณอินพุตไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ นั่นเอง)



โดยปกติแล้ว ถ้าภาค DAC รองรับสัญญาณสูงสุดได้ที่ระดับ 96kHz มันก็มักจะถูกทำให้รองรับสัญญาณที่มีสเปคฯ รองๆ ลงไปได้ทุกระดับขั้น อาทิเช่น 88.2kHz, 48kHz และ 44.1kHz เพื่อทดสอบว่าภาค DAC ในตัว QD35 ถูกออกแบบไว้ตามนี้หรือเปล่า.? ผมจึงใช้ไฟล์เพลงไฮเรซฯ ที่มีความละเอียดอีก 3 ระดับทดลองเล่นกับภาค DAC ของ QD35 คือ 24/88.2 (ภาพบนสุด), 24/48 (ภาพกลาง) และ 24/44.1 (ภาพล่างสุด)
ผลที่ออกมาจากการทดลองเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ทั้งสามระดับข้างต้น ปรากฏออกมาว่า ภาค DAC ในตัว QD35 “ไม่รองรับ” สัญญาณอินพุตที่ใช้อัตราแซมปลิ้งด้วยฐาน 44.1kHz แบบเนทีฟ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าเมื่อเล่นไฟล์เพลงที่ใช้ฐาน 44.1kHz (ทั้ง 44.1kHz และ 88.2kHz) โปรแกรม Roon จะทำการแปลง (conversion) ให้เป็นสัญญาณดิจิตัลที่มีอัตราแซมปลิ้งที่อยู่ในฐาน 48kHz ทั้งหมด

แม้กระทั่งไฟล์เพลง 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดี ก็ยังต้องถูกโปรแกรม Roon แปลงทั้ง sample rate (ลูกศรสีเขียว) และ bit depth (ลูกศรสีฟ้า) ให้ออกมาเป็นสัญญาณ 24/48 ก่อนส่งออกไปให้ภาค DAC ของ QD35 ซึ่งไฟล์เพลงทุกระดับที่ถูกแปลงจะได้คุณภาพเสียงออกมาที่ระดับ High quality ส่วนไฟล์เพลงที่ได้คุณภาพเสียงระดับ Lossless เต็มมาตรฐานของไฟล์ไฮเรซฯ จริงๆ ก็มีแค่ไฟล์ 24/48 กับไฟล์ 24/96 เท่านั้น
รองรับสัญญาณ DSD ได้มั้ย.?

เพื่อให้สิ้นสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการรองรับไฟล์เพลง ผมทดลองเล่นไฟล์เพลง DSF64 ผ่านโปรแกรม Roon ไปที่ภาค DAC ของ QD35 ผลปรากฏว่า ภาค DAC ในตัว QD35 ไม่รองรับสัญญาณ DSD ทำให้โปรแกรม Roon ต้องทำการแปลงสัญญาณ DSD ถึง 3 ขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรกด้วยการทำ format conversion (ลูกศรสีม่วง) แปลงฟอร์แม็ต DSD ให้ข้ามมาเป็นฟอร์แม็ต PCM ที่ระดับแซมปลิ้ง 352.8kHz ก่อน จากนั้นก็ทำการแปลง sample rate (ลูกศรสีเขียว) จาก 352.8kHz ให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 96kHz ซึ่งเป็นการแปลงขั้นที่สอง จากนั้นก็แปลง bit depth จาก 1bit ขึ้นไปที่ 64bit แล้วแปลงกลับลงมาเป็น 24bit (ลูกศรสีฟ้า) จึงได้มาเป็นสัญญาณดิจิตัลที่ระดับ 24/96 ก่อนส่งไปให้ภาค DAC ของ QD35
สรุปคือ ภาค DAC ในตัว QD35 ไม่รองรับสัญญาณ DSD ถ้าต้องการเล่นไฟล์ DSD กับ QD35 คุณต้องหาโปรแกรมเล่นไฟล์เพลงที่สามารถแปลงสัญญาณ DSD ให้เป็นสัญญาณ PCM 24/48 หรือ PCM 24/96 ก่อน
สรุปเกี่ยวกับการรองรับสัญญาณ Hi-Res Audio ของภาค DAC ในตัว QD35
ภาค DAC ในตัว QD35 ถูกกำหนดไว้ให้รองรับสัญญาณดิจิตัลจากภายนอกได้แค่ฟอร์แม็ต PCM ที่มีความละเอียด 2 ระดับ คือ 24/48 กับ 24/96 ซึ่งเข้าใจได้ว่า ทางผู้ผลิตตั้งใจออกแบบภาค DAC ให้รองรับสัญญาณที่มาจากการสตรีมผ่าน Bluetooth ด้วยฟอร์แม็ต LDAC เป็นหลัก ส่วนใครที่ต้องการเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ที่มีสเปคฯ “ต่างจาก” 24/48 หรือ 24/96 จากคอมพิวเตอร์เข้าไปที่อินพุต USB-A ของ QD35 คุณต้องใช้โปรแกรมเล่นไฟล์เพลงบนคอมพิวเตอร์ที่สามารถ “แปลง” สัญญาณให้ออกมาเป็น 24/48 หรือ 24/96 ได้ด้วยถึงจะเล่นไฟล์เพลงทุกรูปแบบผ่านเข้าทางอินพุต USB-A ของ QD35 ได้
แต่สัญญาณทุกรูปแบบที่ถูกแปลงให้เป็น 24/48 หรือ 24/96 ก่อนส่งให้ QD35 จะได้คุณภาพเสียงในระดับที่ “ต่ำกว่า” มาตรฐานของไฮเรซฯ ลงมาระดับหนึ่ง ไฟล์เพลงไฮเรซฯ ที่นำมาเล่นผ่าน QD35 แล้วได้คุณภาพเสียงออกมาสูงสุดตามมาตรฐานไฮเรซฯ ก็คือ PCM 24/48 และ PCM 24/96 เท่านั้น
ฟังท์ชั่นปรับแสง LED

ใต้หน้าแรกนี้ยังมีเมนูอีกหนึ่งหน้าซ่อนอยู่ ชื่อว่า ‘Light Effects’ ซึ่งคุณสามารถเปิดเข้าไปดูอ๊อปชั่นของหน้าที่สองได้ด้วยการปัดสไลด์หน้าแรกไปทางซ้ายคุณจะพบกับหน้าจอที่มีหน้าตาเหมือนภาพข้างบนนี้ ซึ่งเป็นที่เก็บรูปแบบการแสดงผลของไฟ LED ที่อยู่บนแผงหน้า วิธีเลือกก็ง่ายๆ แค่ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปที่รูปวงกลมแต่ละวงที่อยู่ในกรอบสีแดงตามภาพข้างบน ซึ่งวงกลมแต่ละวงนั้นจะเป็นรูปแบบของการแสดงไฟ LED บนแผงหน้านั่นเอง นอกจากรูปแบบแล้ว ในบางรูปแบบยังมีอ๊อปชั่นให้คุณปรับระดับการผสมของแสงสีต่างๆ (Light modulation rate) ไว้ให้ด้วย (อยู่ที่ด้านบนของกลุ่มสี) ถ้าไม่ต้องเปิดไฟ LED เหล่านี้ก็สามารถสั่งปิดได้ด้วยการกดปุ่มล่างสุดที่อยู่บนแผงด้านข้างขวาของตัวเครื่อง
ทดลองฟังเสียงของ Edifier QD35


ผมลองสตรีมไฟล์เพลงผ่านเข้าที่อินพุต Bluetooth ของ QD35 จากการเล่นไฟล์เพลง WAV 16/44.1 บน iPhone 12 ของผมด้วยแอพลิเคชั่น Onkyo HF Player (สองภาพข้างบน) ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว iPhone 12 จะเข้ารหัสสัญญาณเสียงที่ระดับ 44.1kHz ด้วยฟอร์แม็ต AAC ก่อนจะปล่อยออกไปกับคลื่น Bluetooth ไปให้ QD35 ซึ่งไม่ถือว่าเป็น “ที่สุด” ของคุณภาพเสียงสำหรับ QD35 แต่เสียงที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีน่าพอใจมากแล้ว เสียงโดยรวมออกมาเปิดกระจ่าง ทั้งทางด้าน “ความถี่” และ “ไดนามิก” ผมไม่พบอาการดีเลย์หรืออับทึบของความถี่ย่านสูงเกิดขึ้น แสดงว่าวิศวกรของ Edifier จูนเสียงมาเพื่อรองรับกับฟอร์แม็ต AAC จากอุปกรณ์ของแอ๊ปเปิ้ลมาเป็นอย่างดี


เนื่องจากแอพ Onkyo HF Player สามารถเล่นไฟล์ไฮเรซฯ PCM และไฟล์ DSD ได้ ผมจึงทดลองให้มันเล่นไฟล์ FLAC 24/48 ของอัลบั้ม A Night At The Opera เพื่อสตรีมผ่าน Bluetooth ไปที่ QD35 ปรากฏว่า Onkyo HF Player ก็ต้องทำการแปลงแซมปลิ้ง 48kHz ของต้นฉบับอัลบั้มนี้ลงมาอยู่ที่ 44.1kHz (วงสีแดง) เพื่อเข้ารหัส AAC ก่อนส่งไปให้ QD35 และเมื่อผมทดลองเล่นไฟล์ DSF64 (ภาพล่าง) ก็พบว่าต้องแปลงเป็น 44.1kHz เพื่อเข้ารหัส AAC ก่อนส่งไปให้ QD35 เช่นกัน

ผมลองสตรีมจากแอพ TIDAL ผ่าน iPhone 12 ไปที่ QD35 เสียงก็ออกมาดีน่าพอใจ ซึ่ง Bluetooth เวอร์ชั่น 5.3 มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อสูงกว่าเวอร์ชั่น 4.0 มาก ผมทดลองถือ iPhone 12 เดินห่างออกมาจากตัว QD35 เกือบ 10 เมตรก็ไม่มีปัญหา เสียงเพลงยังคงเชื่อมโยงกันได้อย่างต่อเนื่อง
สรุปคือ ถ้าคุณต้องการสตรีมสัญญาณด้วย Bluetooth ที่ให้ความละเอียดสูงถึงระดับ 24/48 หรือ 24/96 เต็มความสามารถในการรองรับของ QD35 โดยไม่ต้องแปลงลงมาที่ 44.1kHz คุณต้องใช้อุปกรณ์พกพาที่รองรับการสตรีมด้วยฟอร์แม็ต LDAC ผ่านทาง Bluetooth เท่านั้น (มีมือถือของ LG กับ Huawei บางรุ่นทำได้) ซึ่งก็น่าจะได้เสียงที่ดีขึ้นไปอีกระดับ แต่… เท่าที่ผมทดลองฟังจากการสตรีมไฟล์เพลงหลายรูปแบบข้างต้นผ่านทาง Bluetooth ด้วย iPhone 12 (เล่นด้วยแอพ Onkyo HF Player และสตรีมจาก TIDAL) เข้าไปที่ QD35 ผมพบว่า เสียงโดยรวมก็ออกมาในเกณฑ์ที่ดีมากแล้ว ความถี่เสียงออกมาครบทั้งทุ้ม-กลาง-แหลมด้วยปริมาณที่สมดุลกันทั้งสามย่านหลัก ทุกย่านเสียงมีความชัดกระจ่าง และที่ประทับใจมากเป็นพิเศษคือลักษณะของเสียงที่ลอยเด่นออกมาจากตัวลำโพงแบบที่เรียกว่า “หลุดตู้” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก.!! เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากจากลำโพงบลูทูธที่เป็นระบบเสียงโมโนลักษณะนี้.!!!
นอกจากเสียงที่ลอยตัวหลุดออกมาจากลำโพงแล้ว ในแง่ของ “ไดนามิกคอนทราสน์” ก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีน่าพอใจเช่นกัน เสียงร้องและเสียงบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเครื่องเป่ามีความต่อเนื่องดีทีเดียว ให้การปรับเปลี่ยนระดับความดังของโน๊ตที่เกี่ยวเนื่องกันออกมาได้อย่างราบลื่น ฟังแล้วได้อารมณ์ลุ่มลึกไปตามเนื้อหาในเพลง

มีคนส่ง msg มาถามว่า “เวลาเปิดดังๆ มันจะมี ‘เสียงตู้‘ ออกมากวนมั้ย.?” ภาษาในวงการเขาเรียกว่า boxy ซึ่งเป็นปัญหาของลำโพงไร้สายแทบทุกตัว เนื่องจากบอดี้มันเล็ก ถ้าไม่แข็งแรงพอ เวลาเปิดดังๆ ตัวบอดี้มันจะสั่นจนเกิดเป็นเสียงเข้าไปกวนเสียงเพลงที่ออกมาจากดอกลำโพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนฟังเพลงที่มีเสียงเบสเยอะๆ ตัวตู้ลำโพงจะยิ่งสั่นมาก ซึ่ง QD35 ตัวนี้ก็มีอาการกวนจากการสั่นของตัวตู้เหมือนกันแต่ไม่มาก เพราะตัวตู้ถูกออกแบบมาแน่นหนาพอสมควร แต่ถ้าเปิดเบสหนักๆ ก็มีโอกาสเกิดเสียงรบกวนเข้ามาปนกับเสียงเพลงได้ จากการทดสอบผมพบว่า ส่วนหนึ่งของเสียงรบกวนจากตัวตู้เมื่อเปิดดังมากๆ (ถ้าเปิดไม่ดังมากก็ไม่มีปัญหา) จะเกิดจากส่วนฐานของตัวตู้ไปกระทบกับโต๊ะ ถ้าพบอาการนี้ แนะนำให้หาวัสดุไปวางที่มุมตู้เพื่อยกส่วนฐานของตู้ให้ลอยเหนือพื้นขึ้นมาจะช่วยลดเสียงรบกวนลงได้มาก ตัวอย่างศรชี้ในภาพข้างบนผมใช้ก้อนไม้ 3 ก้อนมาวางรองที่มุม 3 มุมก็ช่วยลดปัญหาเสียงตู้กวนงไปได้มาก ทำให้เสียงโดยรวมมีความสะอาดมากขึ้น รายละเอียดดีขึ้น
สรุป
QD35 เป็นลำโพงบลูทูธที่ทดสอบแล้วรู้สึกสนุกมาก สาเหตุก็เพราะว่ามันให้คุณภาพเสียงที่ดีเกินคาด ซึ่งจากการทดสอบทุกอินพุตเทียบกันแล้ว ปรากฏว่า ลำโพงตัวนี้ปรับจูนอินพุต Bluetooth มาได้ดีมาก มันให้เสียงโดยรวมที่ดีน่าพอใจมากกว่าอินพุตอื่นๆ กับคุณภาพเสียงที่ให้ออกมานี้ เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว ไม่เกิน 7,000 บาท ถือว่าเกินราคาค่าตัวไปไกล ตอนเริ่มทดสอบก่อนรู้ราคาขายจริง ผมกะว่าราคาน่าจะอยู่แถวเฉียดๆ หนึ่งหมื่น หรืออาจจะถึงหมื่นต้นๆ ด้วยซ้ำไป.!!
ใครกำลังมองหาลำโพงแอ๊คทีฟขนาดเล็กที่รองรับการสตรีมไฟล์เพลงผ่าน Bluetooth ในงบประมาณไม่เกิน 7,000 บาท ขอแนะนำให้ใส่เพลงในมือถือแล้วไปสตรีม Bluetooth ลองฟัง Edifier รุ่น QD35 ตัวนี้ก่อนเลย.. ยิ่งถ้าคุณเน้นที่ “คุณภาพเสียง” ที่อิงกับ “ความเป็นดนตรี” ฟังเพลงอะไรก็ออกมาไพเราะน่าฟัง ตัวนี้น่าจะจบ..!!! /
*********************
ราคา : 6,990 บาท / ตัว
*********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บจก. ไฟว์-เดซิเบล (5-Decibel)
และ บจก. แอลเอ็นที (ประเทศไทย)



