รีวิว LAiV Audio รุ่น µDAC

คำว่า ‘ Chi-Fiถูกบัญญัติขึ้นมาโดยใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้มีการบันทึกไว้ชัดเจน แต่เริ่มเห็นคำนี้เพ่นพ่านอยู่ในแวดวงเครื่องเสียงมานานพอสมควรแล้ว คนที่ใช้คำนี้เหมือนต้องการสื่อถึงพัฒนาการของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศจีน ในแง่มุมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันพูดได้ว่า เครื่องเสียงจากประเทศจีนสามารถดันตัวเองขึ้นมายืนหยัดอยู่ในตลาดเครื่องเสียงระดับล่างขึ้นมาถึงระดับกลางได้อย่างมั่นคงแข็งแรงแล้ว..!!!

ถูกและ ดี” ..!!!

อาวุธที่ผู้ผลิตเครื่องเสียงจีนนำมาใช้ในการบุกทะลวงวงการไฮไฟฯ เริ่มจากกลยุทธ์ทางด้าน ราคาที่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติต่างๆ ที่ยัดให้มาในตัวเครื่องแล้ว พูดได้เลยว่าอยู่ในระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธที่ฉลาดมาก เพราะเรื่องของ ราคาขายนี้โดนหมดไม่ว่าจะเป็นนักเล่นฯ เชื้อชาติไหน มีใครไม่สนใจของถูกบ้าง.? ถึงแม้รู้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากประเทศจีน ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความสนใจจากนักเล่นฯ ที่มีงบจำกัดได้

ยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ชิปไอซี” เป็นพื้นฐานในการทำงานก็ยิ่งเข้าทาง เพราะมันทำให้สามารถลดต้นทุนได้หลายอย่าง อย่างแรกคือราคาของชิปย่อมถูกราคาของวงจรแยกชิ้น และเมื่อใช้วงจรการทำงานที่ย่อส่วนลงมาอยู่รูปของชิปไอซี อย่างเช่น ภาค DAC และวงจรขยายที่ใช้ Opamp ฯลฯ ที่มีขนาดเล็ก ก็ทำให้ผู้ออกแบบสามารถย่อส่วนของตัวถังเครื่องให้เล็กลงได้มาก ซึ่งก็เป็นการลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง ปัจจุบันนี้, ด้วยแนวทางแบบนี้ เป็นเหตุให้อุปกรณ์เครื่องเสียงจากประเทศจีนอย่างเช่นหูฟังขนาดเล็กกับพวก DAC สามารถรุกคืบตีกินพื้นที่ในตลาดเครื่องเสียงระดับล่างๆ ขึ้นมาจนถึงระดับกลาง (affordable-to-midend) ได้อย่างราบคาบ

ตอนนี้ คุณลองหันไปมองรอบๆ ตัวซิ.. สำหรับอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท external DAC ที่มีราคาอยู่ในระดับกลางลงไป แทบจะไม่มีผลิตภัณฑ์ของชาติตะวันตกและยุโรปให้เลือกเลย เพราะในระดับราคา ไม่เกิน 5 หมื่นบาท แบรนด์จีนครองตลาดหมดแล้ว และมีให้เลือกเยอะมากหลากหลายแบรนด์ด้วย

โชคดี.. ระดับไฮเอ็นด์ฯ ยังไม่โดนกลืนกิน.. อย่าครับ.! อย่าเพิ่งชะล่าใจ ถ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของตลาดเครื่องเสียง Chi-Fi ในปัจจุบันจะพบว่า มี ext.DAC ที่มีระดับราคา มากกว่า 5 หมื่นบาทขึ้นไปเริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะขยายฐานขึ้นไปถึงระดับหลักแสนต่อไป (*จริงๆ แล้ว ในกลุ่มของ ext.DAC ระดับราคาหลักแสนบาทก็มีอยู่แล้ว แต่จำนวนยังไม่มากเท่ากับราคาหลักหมื่น)

จะเจาะเข้าไปที่ตลาดไฮเอ็นด์ฯ น่าจะยาก..?? ก็อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิดกันนะ เพราะว่าบางแบรนด์อย่าง LAiV Audio ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ออกแบบและบริหารโดยชาวสิงคโปร์ได้หันมาใช้กลยุทธที่อาศัยฝีมือออกแบบโดยดีไซเนอร์ฝรั่งและญี่ปุ่นที่เก่งและมีประสบการณ์สูงเข้ามาช่วยในการออกแบบเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง บวกกับต้นทุนในการผลิตที่ต่ำมากๆ แบบจีน ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับมาตรฐานที่สูง บวกกับราคาที่ต่ำ ซึ่งถ้ามาทรงนี้เยอะๆ  อีกไม่นานเราคงได้เห็น ext.DAC ราคาหลักแสนของแบรนด์จีนบุกตลุยเข้ามาในวงการเครื่องเสียงชนิดที่ว่า ฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน” เหมือนตลาดรถ EV อย่างแน่นอน.. !!!

LAiV AudioµDAC
R-2R DAC ในราคา ไม่เกิน 4 หมื่นบาท.!!!

ผมทำรีวิว ext.DAC ของ LAiV Audio รุ่น Harmony DAC ไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ปี 2567 ผ่านมาหนึ่งปีพอดี ซึ่งรุ่นนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ LAiV Audio ที่ออกมาในตลาด ขายอยู่ 129,000 บาทต่อตัว (REVIEW)

ถ้าเทียบกัน Harmony µDAC ตัวที่กำลังจะทำรีวิวตัวนี้เป็นรุ่นเล็กกว่า คือมันเล็กกว่าทั้งรูปร่างภายนอก, ดีไซน์ภายใน รวมถึงราคาขาย เหตุผลก็ตรงตามเจตนารมย์ของคนออกแบบ คือเขาตั้งใจที่จะทำให้ Harmony µDAC ให้ออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ‘ elegance and practicalityคือสวยดูดีด้วย ในขณะเดียวกันก็เพื่อให้เป็น ext.DAC ที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

เล็กจริง.. สวยจริง..!!!

1 = ปุ่มกด เปิด/ปิดเครื่อง
2 = หน้าจอแสดงผล LED แบบ dot-matrix ขนาด 2.5 x 7 ..
3 = ปุ่มกด เข้าเมนูและเลือกหัวข้อ
4 = ปุ่ม enter ไว้กดตัวเลือกที่ต้องการ
5 = ปุ่มหมุน ใช้เลือกอ๊อปชั่นในเมนู
6 = จุดเชื่อมต่อ DC adapter
7 = อินพุต USB
8 = อินพุต Optical
9 = อินพุต Coaxial
10 = อินพุต I2S
11 = ช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุต แบบบาลานซ์ XLR

บอดี้ของ Harmony µDAC ทำขึ้นมาจากก้อนอะลูมิเนียมเกรดอากาศยานชิ้นใหญ่ๆ ชิ้นเดียวไร้รอยต่อ (Unibody) เอามาขุดด้วยเครื่องจักรที่ควบคุมด้วย CNC เพื่อใช้บรรจุแผงวงจรและอุปกรณ์ภายใน ซึ่งทำให้ได้ออกมาเป็นตัวถังที่แม้จะมีขนาดเล็กกระทัดรัด แต่ก็มีความแข็งแรงมากพอที่จะปกป้องวงจรและอุปกรณ์ที่บรรจุอยู่ข้างในได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ตัวถังที่เป็นโลหะชิ้นเดียวและมีความหนายังทำตัวเป็นฮีทซิ้งค์ ช่วยระบายความร้อนไปในตัวด้วย

ตัวถังรุ่นนี้มี 2 สี ให้เลือก คือ ตัวถังดำกับสีเงิน ส่วนปุ่มกดและปุ่มหมุน รวมถึงขาตั้งจะเป็นสีทองทั้งหมด แผงหน้าของตัวเครื่องออกแบบได้ลงตัวดี มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแค่ที่จำเป็น ประกอบด้วยหน้าจอ LED ขนาด 2.5 x 7 ตร.ซ.ม. (2) ซึ่งถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของตัวเครื่อง แสดงผลด้วยจุดสีขาวที่เรียงต่อกันขึ้นมาเป็นตัวเลขและตัวอักษร

ขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตและเอ๊าต์พุตทั้งหมดถูกติดตั้งไว้ที่แผงด้านหลัง แยกส่วนกันชัดเจน ตามภาพด้านบนนั้น ซีกขวาคืออินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัลที่ให้มาทั้งหมด 4 ช่อง คือ USB (7), Optical (8), Coaxial (9) และ I2S (10) ขาด AES/EBU ซึ่งทั้งสี่ช่องนี้มีความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัลได้ต่างกัน แยกเป็น 2 กลุ่ม 2 ระดับ กลุ่มแรกคือช่อง USB กับช่อง I2S จะรองรับสัญญาณได้กว้างกว่า Optical กับ Coaxial คือรองรับฟอร์แม็ต PCM ได้ตั้งแต่ระดับแซมปลิ้งที่ 44.1kHz ขึ้นไปจนถึง 768kHz ส่วนฟอร์แม็ต DSD รองรับได้ตั้งแต่ DSD64 ไปจนถึงระดับ DSD256 ซึ่งถือว่ารองรับได้กว้างสุดแล้วสำหรับมาตรฐานปัจจุบัน ในขณะที่อินพุต Coaxial กับ Optical ซึ่งเป็นกลุ่มที่สองนั้นรองรับสัญญาณอินพุตที่เป็นฟอร์แม็ต PCM ได้ตั้งแต่ 44.1kHz ไปจนถึงระดับ 192kHz ส่วนฟอร์แม็ต DSD รับได้แค่ระดับ DSD64 และต้องอยู่ในฟอร์แม็ต DoP (DSD over PCM) เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็ต้องถือว่าดีกว่ามาตรฐานทั่วไปแล้ว เพราะช่องอินพุต coaxial กับ optical ของ ext.DAC ส่วนใหญ่จะไม่รองรับสัญญาณ DSD

ทางซ้ายมือของแผงหลังเป็นช่องเอ๊าต์พุตของสัญญาณอะนาลอก (11) ซึ่ง ext.DAC ของ LAiV Audio ตัวนี้ให้มาโดยผ่านออกทางขั้วต่อ XLR แค่ชุดเดียว.. เอาจริงเด๊ะ..!! นี่ถ้าคนออกแบบเขาไม่อินดี้มาก ก็ต้องเป็นพวกที่คลั่งไคล้ไฮเอ็นด์ฯ แน่ๆ ถึงไม่มีช่องเอ๊าต์พุต RCA มาให้.. ทำไมผมถึงมองแบบนั้น.? ก็ดูจากข้อมูลในสเปคฯ ของผู้ผลิตที่ระบุไว้ว่า สัญญาณอะนาลอกที่ช่องเอ๊าต์พุต XLR ของ Harmony µDAC ตัวนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถรองรับกับการเชื่อมต่อไปที่อินพุตของแอมป์ที่มีระยะห่างกันมากๆ ได้โดยที่สัญญาณไม่ตก เหตุผลก็เพราะว่าเขาจัดสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่มี gain สูงถึง 4Vrms เอาไว้รองรับ นี่มันเป็นไอเดียการออกแบบที่ตั้งใจตอบสนองนักเล่นไฮเอ็นด์ฯ ชัดๆ ซึ่งก็เข้าทางของผมซะด้วย เพราะผมชอบวางแหล่งต้นทางไว้ด้านข้างจุดนั่งฟัง แล้วลากสายสัญญาณยาว 6-7 เมตร ไปหาแอมป์ที่วางอยู่บนพื้นห้องตรงพื้นที่ระหว่างลำโพงซ้าย-ขวา ซึ่ง gain เอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC ที่บอกว่าอยู่ในระดับ 4Vrms นี่ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับ ext.DAC ไฮเอ็นด์ทั่วไปเลยนะเนี่ย อือมม.. ต้องลองซะแล้ว.!!!

ฮาร์ดแวร์ ดีไซน์ (ภายใน)

บอกตามตรงเลยว่า ทำรีวิว ext.DAC ตัวนี้แล้ว มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด หลังจากตาลุกตาวาวไปกับรูปร่างหน้าตากับฟังท์ชั่นใช้งานที่เขาจัดมาให้ภายนอกนั้นแล้ว เมื่อเริ่มเจาะเข้ามาค้นข้อมูลภายในตัวเครื่องก็มีอะไรให้ร้องอ๊าหา.. อื้อหือ.. กันอีกแล้ว เริ่มจากหัวใจของ Harmony µDAC ตัวนี้ก่อนเลย ซึ่งตอนแรกที่ทราบราคาขายจากคุณวี แห่งสำนัก WEE-Soundlabs ซึ่งเป็นผู้นำเข้าแบรนด์นี้ว่า ไม่เกิน 4 หมื่นบาท และได้เห็นตัวจริงของมันแล้วก็ไม่คิดเลยว่า ภาค DAC ในตัว Harmony µDAC นี้จะใช้ discrete R-2R ในการแปลงสัญญาณ.!!

โมดูล R-2R ที่ใช้ในตัว Harmony µDAC ถูกดีไซน์ให้ทำงานเป็นแบบบาลานซ์ โดยประกอบขึ้นจาก “รีซีสเตอร์” (resistors) ที่มีความแม่นยำสูงจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนั้นมีความเบี่ยงเบน ไม่เกิน 0.05% เพื่อให้การแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกมีความถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน

เพื่อป้องกันปัญหาจากการรบกวนทางด้าน ground ระหว่างวงจรที่ทำงานกับสัญญาณดิจิตัลและวงจรที่ทำงานกับสัญญาณอะนาลอก ไม่ให้ noise ข้ามไปมาถึงกัน พวกเขาเลือกใช้วิธี “ตัดแยก” ระหว่างวงจรที่ทำงานกับสัญญาณดิจิตัลกับวงจรที่ทำงานกับสัญญาณอะนาลอกด้วยเทคนิค galvanic isolation ที่สามารถตัดปัญหาการแพร่กราวนด์ถึงกันได้อย่างเด็ดขาด

สำหรับ ext.DAC แล้ว ระบบ clock นับว่ามีความสำคัญมากเป็นพิเศษ นั่นคงไม่เกินความรู้ของกลุ่มผู้ออกแบบ ext.DAC ตัวนี้อย่างแน่นอน เพราะจากประจักษ์พยานที่เห็นทำให้รู้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับระบบ clock ที่ใช้กับ Harmony µDAC ตัวนี้มากเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับเลือกใช้ Femto Clock ที่มีความแม่นยำสูงกับ ext.DAC ตัวนี้แน่ (เพราะต้นทุนมันสูง.!!) ซึ่งระบบ clock ที่ใช้ใน Harmony µDAC ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Accusilicon เบอร์ AS318 ซึ่งเป็นแบบ ultra-low phase noise ocsillator และได้ทำการซิ้งค์ระบบ clock ตัวนี้เข้ากับ I2S master clock ด้วย คือถ้าคุณใช้อินพุต I2S ของ Harmony µDAC ตัวนี้ร่วมกับทรานสปอร์ตที่มีเอ๊าต์พุต I2S ที่สามารถรองรับสัญญาณ clock ที่มาจาก DAC ปลายทางได้ จะทำให้ได้เสียงจากการเชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เฟซ I2S ที่ดีที่สุดเท่าที่ Harmony µDAC จะให้ได้.. ใครมีสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตที่มีเอ๊าต์พุต I2S ที่มีคุณสมบัติเป็น slave คือรองรับสัญญาณ clock จาก DAC ได้ น่าลองมาก..!!!

และเพื่อเปิดโอกาสให้สัญญาณอะนาลอกที่เป็นผลผลิตออกมาจากโมดูล R-2R ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ พวกเขาจึงเลือกใช้วิธีดีไซน์ภาคอะนาลอก เอ๊าต์ด้วยวงจรขยาย class-A บนคอมโพเน้นต์แบบแยกชิ้น (discrete) พร้อมทั้งออกแบบวงจร impedance matching ไปคั่นไว้ตรงปลายทางของขาออกที่เชื่อมต่อกับอินพุตของแอมป์เพื่อรักษาสภาวะของความต้านทานตรงเอ๊าต์พุตให้คงที่อยู่ในระดับต่ำ (low output impedance) ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้การส่งผ่านของสัญญาณระหว่างเอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC กับอินพุตของแอมป์มีความราบลื่นและนิ่ง และยังช่วยให้การส่งสัญญาณผ่านทางสายสัญญาณยาวๆ สามารถทำได้โดยที่เกนสัญญาณไม่ตก

ตอนใช้งานจริงผมทดลองใช้สายสัญญาณ XLR ที่ยาวถึง 6 เมตร เชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC กับอินพุตของแอมป์ที่วางอยู่ห่างออกไป พบว่า เกนสัญญาณที่ออกมาก็ยังคงให้ทั้งความดังและไดนามิกเร้นจ์ที่เพียงพอต่อการรับฟังด้วยระดับวอลลุ่มที่ไม่ต้องเร่งสูงมาก และผมพบว่า ตัวถังของ Harmony µDAC จะมีลักษณะอุ่น ซึ่งเป็นสภาวะปกติเพราะการทำงานของภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตมันเป็นวงจรขยายแบบ class-A และคนออกแบบเขาตั้งใจใช้ตัวถังเป็นที่ระบายความร้อนนั่นเอง

เมนู และการปรับตั้งค่าในตัว Harmony µDAC

มีหัวข้อเมนูอยู่ทั้งหมด 7 หัวข้อ คือ NOS/OS, PHASE, REMOTE, DISPLAY, I2S, POWER และ ABOUT ซึ่งแต่ละหัวข้อเมนูหลักจะมีหัวข้อเมนูย่อยให้เลือกปรับตั้งมาก-น้อยตามที่เห็นในชาร์ตข้างบนนั้น หัวข้อเมนูที่ส่งผลกับเสียงอย่างชัดเจนมีอยู่ 2 หัวข้อ คือ NOS/OS กับ PHASE

NOS vs. OS

ฟังท์ชั่น NOS (Non-Oversampling) กับ OS (Oversampling) คือฟังท์ชั่นที่เปิดอ๊อปชั่นสำหรับยูสเซอร์ให้เลือกว่าจะให้ภาคอินพุตทำการ “อัพแซมปลิ้ง” หรือโอเว่อร์แซมปลิ้งสัญญาณดิจิตัลที่รับเข้ามาทางอินพุตให้สูงขึ้นไปก่อนจะส่งต่อไปให้ภาค DAC ทำการแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอกหรือเปล่า.? คือปกติแล้ว จะมี ext.DAC ในตลาดไม่เกิน 10% ที่อนุญาติให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟังท์ชั่นนี้ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว เทคนิคการทำโอเว่อร์แซมปลิ้งสัญญาณอินพุตก่อนส่งให้ภาค DAC เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มของผู้ออกแบบอุปกรณ์ประเภท D-to-A Converter ว่ามัน (การทำโอเว่อร์แซมปลิ้ง) ช่วยขจัด “สิ่งแปลกปลอม” (artifacts) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการแปลงสัญญาณจากอะนาลอกต้นฉบับมาเป็นสัญญาณดิจิตัลที่เรียกว่า image frequencies กับ Quantization error ซึ่งถือว่าเป็น noise รูปแบบหนึ่งในระบบดิจิตัล และติดตัวมากับสัญญาณดิจิตัลออกไป ก่อนจะส่งเข้าสู่ภาค DAC เพื่อให้ได้สัญญาณอะนาลอกที่มีความสะอาดบริสุทธิ์มากที่สุดนั่นเอง

เมื่อมองจากกราฟของสัญญาณเอ๊าต์พุตในภาพข้างบน ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างกราฟที่ได้จากการเลือก NOS (ซ้าย) กับ OS (ขวา) จะเห็นว่า การเปิดใช้ฟังท์ชั่น OS (Oversampling) จะให้สัญญาณเอ๊าต์พุตที่มีความราบเรียบมากกว่า (ฟังท์ชั่นนี้จะไม่ส่งผลกับสัญญาณอินพุตที่เป็นฟอร์แม็ต DSD) และตอบสนองกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ (impulse response) ได้เร็วกว่าด้วย (ทรานเชี้ยนต์คมกว่า)

อือมม.. ถ้า Oversampling มันให้ผลดีแทบจะทุกประตูแบบนั้นแล้ว เขาจะให้อ๊อปชั่นมาเลือก NOS ไปเพื่ออะไร.? ก็ต้องแจ้งให้ทราบว่า เรื่อง OS vs. NOS นี้ เป็นประเด็นที่นักเล่นฯ มากประสบการณ์ในอดีตถกเถียงกันมานานมากแล้ว เพราะพวกเขาพบว่า ระหว่าง NOS กับ OS มันให้ผลทางเสียงที่มีได้-มีเสียกันไปคนละมุม คือไม่ได้หมายความว่า OS จะให้ผลดีกับเสียงไปซะทั้งหมด นักเล่นฯ มากประสบการณ์หลายๆ คนมีความเห็นว่า NOS ให้เสียงที่มีความอิ่ม ฉ่ำ และนุ่มนวลหูมากกว่าโอเว่อร์แซมปลิ้ง ส่วนคนที่ชอบเสียงที่ผ่านกระบวนการ Oversampling มักจะติว่า เสียงของการไม่ผ่านโอเว่อร์แซมปลิ้งมันออกทึบ แยกแยะรายละเอียดได้ไม่ดี ก็ว่ากันไป.. ผู้ออกแบบ Harmony µDAC ตัวนี้เลยเปิดอ๊อปชั่นให้ผู้ใช้เลือกเอาตามใจปรารถนาซะเลย ใครซื้อหา DAC ตัวนี้ไปใช้ก็แนะนำให้ทดลองฟังเปรียบเทียบระหว่าง OS vs. NOS กันดู ชุดใครชุดมัน เพราะจริงๆ แล้วบอกเลยว่า ในบางซิสเต็ม เปิดใช้ OS ให้เสียงดีกว่า ในขณะที่บางซิสเต็มให้ผลตรงข้ามกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ประสบการณ์ฟังของคุณก็เป็นหนึ่งตัวแปรที่ใช้ในการตัดสิน

การทำโอเว่อร์แซมปลิ้งในตัว Harmony µDAC ตัวนี้เริ่มต้นด้วยการ เพิ่มข้อมูลของสัญญาณอินพุตขึ้นมาเป็น “จำนวนเท่า” ด้วยแอลกอรึธึ่ม interpolation filter อาทิเช่น 2 เท่า, 4 เท่า, 8 เท่า หรือ 16 เท่า ด้วยการสร้างสัญญาณเทียมเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างข้อมูลจริงที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้ปริมาณข้อมูลสัญญาณเดิมถูกเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนเท่า อาทิเช่น อินพุตเข้ามาเป็น 44.1kHz ถ้าอัพฯ ขึ้นไป 2 เท่าก็จะกลายเป็น 88.2kHz โดยที่สัญญาณลำดับที่ 3, 5, 7 … เป็นสัญญาณเทียม ถ้าอัพฯ ขึ้นไป 4 เท่าเป็น 176.4kHz จากนั้นก็ส่งเข้าสู่ภาค DAC หลังจากภาค DAC เปลี่ยนสัญญาณดิจิตัลนั้นให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้ว สัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตจากภาค DAC จะถูกกรองด้วยวงจร Analog Low-Pass Filter ที่ไม่ต้องชันมาก เพราะ noise ของสัญญาณดิจิตัลได้ถูกยกขึ้นไปอยู่ในระดับความถี่ที่สูงมากๆ เลยระดับความถี่สูงที่ต้องการไปแล้ว

สรุปแล้ว การใส่ฟังท์ชั่น NOS/OS ที่ผู้ผลิต Harmony µDAC ตัวนี้ให้มา ถือว่าเขาเปิดโอกาสให้คุณใช้ “หู” กับ “รสนิยม” ในการตัดสินด้วยตัวของคุณเอง..

PHASE

ฟังท์ชั่นนี้มีอ๊อปชั่นให้เลือกแค่ 2 อย่าง คือ Positive กับ Negative ซึ่งเป็นการสลับเฟสของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของตัว Harmony µDAC ระหว่าง “เฟสบวก” (positive) กับ “เฟสลบ” (negative) ไม่ว่าจะเลือกอ๊อปชั่นไหน อ๊อปชั่นนั้นจะส่งผลกับสัญญาณเสียงทั้งหมดในลักษณะที่เรียกว่า absolute phase ซึ่งต้องใช้วิธีฟังอย่างเดียว ใครซื้อ Harmony µDAC ตัวนี้ไปใช้ แนะนำให้ทดลองฟังดูว่าเลือกเฟสแบบไหนให้เสียงที่คุณพอใจมากที่สุดก็ให้เลือกเฟสนั้นทิ้งค้างไว้ได้เลย ไม่มีผลเสียใดๆ กับตัวเครื่อง

ส่วนเมนู I2S Mode นั้นมีผลเมื่อคุณใช้อินพุต I2S เท่านั้น ส่วนอินพุตอื่นๆ ที่เหลือเป็นแค่เมนูประเภทที่ แจ้งให้ทราบเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ทำการปรับตั้ง

การเชื่อมต่อสำหรับการทดสอบ

Harmony µDAC มีสถานะเป็น DAC มันจึงเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในตำแหน่งท้ายสุดในห่วงโซ่ของระบบดิจิตัลเพลย์แบ็ค ในการทดสอบเพื่อทดลองฟังเสียงของ ext.DAC ของ LAiV Audio ตัวนี้ ผมจัดเตรียมอุปกรณ์ที่มีสถานะเป็นดิจิตัล ทรานสปอร์ตให้ทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณเพื่อป้อนให้กับ Harmony µDAC ไว้ 4 แหล่ง ด้วยกัน แหล่งแรกคือเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของ Arcam รุ่น CDS27 ซึ่งผมใช้ให้มันทำหน้าที่ในการดึงสัญญาณ PCM 16/44.1 จากแผ่น CD ออกมาแล้วส่งไปให้ Harmony µDAC ทางช่อง Coaxial เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการแปลงสัญญาณดิจิตัลที่เป็นมาตรฐาน S/PDIF ของ Harmony µDAC

แหล่งที่สองคือใช้โน๊ตบุ๊ค MacBook Pro 13 นิ้ว ที่ผมใช้เล่นไฟล์เพลงจาก NAS ด้วยโปรแกรม Roon แล้วส่งสัญญาณ PCM (ตั้งแต่ 44.1kHz ไปจนถึง 352.8kHz) จากไฟล์ WAV และสัญญาณ DSD จากไฟล์ DSF ที่ผมเก็บอยู่บน NAS กับสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาเล่นแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปให้ Harmony µDAC ผ่านเข้าทางช่องอินพุต USB เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพในการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกของ Harmony µDAC ซึ่งอินพุต USB เป็นอินพุตที่ใช้ทดสอบประสิทธิภาพสูงสุดของ ext.DAC ตัวนี้ได้ชัดเจน เพราะมันเป็นช่องอินพุตที่รองรับสัญญาณที่มีสเปคฯ สูงสุดเท่าที่จะหามาได้ (รวมถึงช่องอินพุต I2S ด้วย)

ส่วน BluesoundNew NODE’ (REVIEW) กับ InnuosSTREAM1’ (REVIEW) สองตัวนั้นเป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต ซึ่งก็ทำหน้าที่แบบเดียวกับ MacBook Pro 13 ทุกอย่าง เหตุผลที่ผมนำ BluesoundNew NODE’ กับ STREAM1 เข้ามาทดลองใช้งานร่วมกับ Harmony µDAC ตัวนี้ก็เพื่อทดสอบขีดความสามารถของตัว Harmony µDAC ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนกับสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตต่างระดับกันมากๆ อย่างเช่น InnuosSTREAM1’ ตัวนี้ถือว่าเป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตระดับไฮเอ็นด์ฯ (*บวกภาคจ่ายไฟลิเนียร์ฯ LPS1 พร้อมบอร์ด USB Reclocker ราคารวมกันเกือบแสนห้า) ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมุ่งเน้นคุณภาพเสียงสูงสุด ซึ่งเทียบราคากันแล้ว STREAM1 + บอร์ด USB Reclocker มีราคาสูงกว่า Harmony µDAC อยู่ประมาณสามเท่ากว่าๆ

ทดสอบฟังเสียง

ผมทดลองเล่นแผ่นซีดีบนเครื่องเล่น ArcamCDS27’ แล้วต่อสัญญาณดิจิตัลจากช่อง Coaxial ของ CDS27 มาเข้าที่อินพุต Coaxial ของ Harmony µDAC แล้วลองฟังแผ่นซีดีเทียบกับภาค DAC ในตัว ArcamCDS27’ พบว่า เล่นผ่านภาค DAC ในตัว Harmony µDAC ให้เสียงที่มีรายละเอียดดีกว่า แต่ละเสียงลอยขึ้นมาจากพื้นเสียงมากกว่า เป็นตัวเป็นตนมากกว่า เสียงจากภาค DAC ในตัว ArcamCDS27’ มีลักษณะที่จมลงไปในพื้นเสียง ไม่ลอยออกมา และโทนเสียงโดยรวมก็จะออกไปทางนุ่มกว่า แต่ติดทึบนิดๆ ในขณะที่เล่นผ่านภาค DAC ในตัว Harmony µDAC ให้ความสดมากกว่า สรุปคือ เล่นผ่าน Harmony µDAC โดยให้ ArcamCDS27‘ ทำหน้าที่เป็นซีดีทรานสปอร์ตจะได้เสียงโดยรวมออกมาน่าฟังกว่าใช้ภาค DAC ในตัว CDS27 พอสมควร ใครที่ใช้เครื่องเล่นซีดีที่มีราคาไม่เกิน 5 หมื่นบาท เป็นแหล่งต้นทางหลักอยู่ในซิสเต็ม ถ้าอยากจะอัพเกรดเสียงของเครื่องเล่นซีดีตัวนั้น แนะนำให้พิจารณา Harmony µDAC ตัวนี้เลย โดยเฉพาะกับเครื่องเล่นซีดีที่มีอายุใช้งานเกิน 3 ปีขึ้นไป ext.DAC ของ LAiV Audio ตัวนี้ช่วยได้มาก หรือถ้าชอบเสียงที่ได้จากการเล่นแผ่นซีดีแต่ไม่มีเครื่องเล่น คุณก็สามารถหาซื้อซีดี ทรานสปอร์ตรุ่นใหม่ๆ มาใช้กับ Harmony µDAC ตัวนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้มีทำออกมาใหม่หลายตัว อย่างของ Cambridge Audio ก็มี ของแบรนด์ LEAK กับ Audiolab ก็มีทำออกมา แต่อย่าลืมว่าสาย coax ก็มีผลกับเสียงเยอะนะ ต้องค่อยๆ แม็ทชิ่งไป

ส่วนใครที่มีสตรีมมิ่งระดับราคาไม่เกิน 3-4 หมื่นบาทที่มีเอ๊าต์พุต USB อย่างเช่น BluesoundNew NODE’ หรือ Primare รุ่น NP5 Prisma MK2 (REVIEW) หรือแม้แต่สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตที่ประกอบขึ้นมาเองจากคอมพิวเตอร์ NUC หรือ Raspberry Pi ก็เหมาะมากที่จะนำ Harmony µDAC ตัวนี้ไปแม็ทฯ ด้วย มันน่าจะไปด้วยกันได้ดีมาก จากการทดลองจับคู่กับ BluesoundNew NODE’ ที่ผมมีอยู่ โดยให้บลูซาวนด์ตัวนั้นทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต ดึงไฟล์เพลงจาก NAS และ TIDAL มาเล่นแล้วส่งสัญญาณเอ๊าต์พุตมาให้ Harmony µDAC ทางอินพุต USB พบว่าเสียงออกมาดีทีเดียว เสียงออกแนวกระจ่างชัดแต่มีน้ำมีนวล ตอนท้ายพอเปลี่ยนมาใช้ InnuosSTREAM1’ ทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตจับคู่กับ Harmony µDAC ผ่านอินพุต USB ปรากฏว่าเสียงก้าวกระโดดขึ้นไปเยอะมาก.!! ดีจนน่าตกใจ บางแง่ออกมาดีกว่า STREAM1 + QB-9 Twenty ที่ผมใช้อยู่ซะด้วยซ้ำไป..!!!

จากการทดลองฟังด้วยการจับคู่ Harmony µDAC กับสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตทั้งสามตัว (MacBook Pro 13, BluesoundNew NODE’ และ InnuosSTREAM1’ + USB Reclocker) ผมได้ข้อสรุปว่า ext.DAC ของ LAiV Audio รุ่น Harmony µDAC ตัวนี้มันสามารถวิ่งตามคุณภาพของทรานสปอร์ตไปได้ไกลมาก ไกลเกินราคาค่าตัวของมันไปหลายเท่า.! ไกลจนน่าแปลกใจ ในการทดสอบล่าสุด ผมลองใช้ STREAM1 (REVIEW) + บอร์ด USB Reclocker เป็นทรานสปอร์ต เชื่อมต่อกับ Harmony µDAC ตัวนี้ทางช่องอินพุต USB ส่งไปที่ช่อง XLR อินพุตของอินติเกรตแอมป์รุ่น I1 ของ CH Precision ขับลำโพง Wilson Audio รุ่น Sabrina V (REVIEW) ซึ่งทั้งทรานสปอร์ต + แอมป์ + ลำโพง มันอยู่ในระดับที่เกินระดับราคาของ Harmony µDAC ไปหลายสิบเท่า แต่เสียงที่ออกมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย เสียงโดยรวมไม่ขี้เหร่ ถ้าจับปิดตาให้ฟังแล้วไม่บอกจะไม่รู้เลยว่ากำลังฟังเสียงของ ext.DAC ที่มีราคาไม่ถึงสี่หมื่นบาท.! สามารถฟังเอาอรรถรสกับเพลงหลายๆ แนวได้สบายๆ สำหรับคนที่มีประสบการณ์ฟังระดับที่สูงกว่านี้จะรู้สึกว่าขาดเนื้อขาดหนังไปนิด และอ่อนพลังไปหน่อยกับเพลงแนวโชว์ไดนามิกหนักๆ บางเพลงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเพลงทั่วๆ ไปก็ต้องถือว่าให้ออกมาได้เกินตัวไปมาก..!!!

ช่วงที่สอง ผมเปลี่ยนมาใช้ซิสเต็มที่มีราคาต่ำลงมาอีกชุดหนึ่งในการทดลองฟัง Harmony µDAC ตัวนี้ โดยเปลี่ยนจาก Wilson AudioSabrina Vมาเป็น Audio PhysicClassic 8’ (REVIEW) ที่ผมใช้เรฟเฟอเร้นซ์อยู่ โดยมี Magnepan รุ่น MG1.7i ที่กำลังทดสอบอยู่เข้ามาสลับตอนท้าย ในขณะที่แอมปลิฟายผมก็เปลี่ยนมาใช้ปรี+เพาเวอร์ของ Jeff Rowland รุ่น Capri S2-SC + Model 125 (REVIEWโดยเชื่อมต่อกันด้วยสายสัญญาณ XLR ยาว 2 เมตร ของ Nordost รุ่น Blue Heaven 3 (REVIEWระหว่างปรีแอมป์กับเอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC และใช้สาย XLR ยาว 6 เมตร ของ Nordost รุ่น Blue Heaven 3 ยี่ห้อ/รุ่นเดียวกันเชื่อมต่อระหว่างปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ และสุดท้าย ผมเปลี่ยนปรี+เพาเวอร์ของ Jeff Rowland ออกแล้วยกออลอินวันของ Arcam รุ่น SA45 (REVIEW) เข้ามาแทน โดยใช้สายสัญญาณ XLR ของ Nordost รุ่น Blue Heaven 3 ยาว 6 เมตร เชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC กับอินพุตอะนาลอก XLR ของ SA45 ส่วนต้นทางที่ป้อนสัญญาณดิจิตัลให้กับ Harmony µDAC ก็ยังคงเป็น STREAM1 + บอร์ด USB Reclocker โดยผ่านทางสาย USB เหมือนเดิม

ความยืดหยุ่นในการแม็ทชิ่งกับอุปกรณ์รอบข้าง..

เสียงของ Harmony µDAC กับซิสเต็มที่สองนี้เปลี่ยนไปในลักษณะที่ให้ความ รอมชอมมากขึ้น ลักษณะของตัวเสียงที่ชี้ชัดกับอาการเปิดกระจ่างลดระดับลงมานิดนึง เห็นชัดตรงปลายเสียงแหลมที่ไม่ได้ทอดไปยาวเท่าตอนฟังกับชุดใหญ่ชุดแรก (Wilson AudioSabrina V’ + CH PrecisionI1’) แต่แลกมาด้วยความอิ่มของมวลที่เพิ่มมากขึ้น อาการที่รู้สึกว่าเนื้อเสียงบางที่เกิดตอนฟังกับชุดแรกน้อยลง เหมือนกลางและทุ้มมีปริมาณเยอะขึ้น แต่ก็แลกกับการแยกแยะรายละเอียดที่ทำได้ไม่ถึงขั้น ชำแหละเหมือนตอนฟังกับชุดใหญ่ แต่โดยรวมก็ไม่ได้ถึงกับขุ่นมัวซะจนแยกแยะอะไรไม่ได้ โดยรวมกลับรู้สึกว่า Harmony µDAC + (STREAM1 + บอร์ด USB Reclocker) กับแอมป์+ลำโพงสองชุดหลังนี้ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาสมดุลกว่าตอนเล่นกับชุดใหญ่ชุดแรก คือเสียงมันมีสมดุล (โทนัลบาลานซ์) ที่ดี มีกลางมีทุ้มที่หนาแน่นมากขึ้น ทำให้ฟังง่าย โดยรวมออกมาในแนว กลมกล่อมมากกว่าแนว จะแจ้งซึ่งก็เป็นไปตามประสิทธิภาพของแอมป์+ลำโพงนั่นเอง

หลังจากนั้น ผมก็ทดลองเปลี่ยน STREAM1 + บอร์ด USB Reclocker ออกไปแล้วยก BluesoundNew NODEเข้ามาแทน โดยยังคงเชื่อมต่อผ่านอินพุต USB เหมือนเดิม พบว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่ นัวลงมาอีกหน่อย โทนเสียงโดยรวมผ่อนตัวลงมาอีกหน่อย อารมณ์ของเพลงเหมือนนั่งฟังห่างจากวงดนตรีที่กำลังบรรเลงออกมาอีกหน่อย ความเอาจริงเอาจังของเสียงลดดีกรีลงมานิดนึง ลักษณะโดยรวมมีความผ่อนคลายมากขึ้น

ปกติแล้ว ถ้าเครื่องเสียงชิ้นไหนไม่มี แววดีอยู่ในตัวของมันเอง เราจะไม่มีความรู้สึกที่จะ อยากเล่นกับมัน และถ้าเครื่องเสียงชิ้นนั้นไม่มี สมรรถนะสูงพออยู่ในตัว มันก็จะไม่สามารถ ปรับตัวไปตามอุปกรณ์อื่นๆ ที่อยู่ในซิสเต็มขึ้นไปได้หลายระดับ หลังจากทดลองเล่นกับมันจนหนำใจในหลายๆ ลีลาแล้ว ผมพบว่า จุดเด่นมากๆ ของ Harmony µDAC ตัวนี้ก็คือความสามารถในการปรับตัว (scale) ไปตามซิสเต็มได้อย่างน่าแปลกใจ ไม่ว่าผมจะทดลองเปลี่ยนทรานสปอร์ต (เปลี่ยนส่วนหัวในซิสเต็ม) ที่ใช้กับมัน หรือทดลองเปลี่ยนแอมป์+ลำโพง (เปลี่ยนส่วนท้ายในซิสเต็ม) ที่ใช้กับมัน ext.DAC ตัวนี้ก็ยังสามารถถ่ายทอดเสียงที่มีคุณภาพที่น่าพอใจออกมาได้ตลอด มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับคุณภาพของอุปกรณ์ที่เป็นส่วนหัวและส่วนท้ายในซิสเต็มที่มัน (Harmony µDAC) เข้าไปร่วมอยู่ในนั้น

จากประสบการณ์ที่ผมเคยทดสอบอุปกรณ์ประเภท ext.DAC มา ผมพบว่า ext.DAC ที่มีความสามารถ สเกลตัวเองไปกับซิสเต็มได้กว้างแบบที่ Harmony µDAC เป็นอยู่นี้มักจะเกิดขึ้นกับ ext.DAC ที่มีเอ๊าต์พุต strong คือ มีเกนแรง ซึ่งโดยมากจะอยู่ที่ 4Vrms ขึ้นไปจนถึง 6Vrms คือแรงกว่า 2Vrms ที่เป็นมาตรฐานของเอ๊าต์พุตแบบอันบาลานซ์ทั่วไป อาจจะเป็นเหตุผลนี้ที่ผู้ผลิต ext.DAC ตัวนี้เจาะจงที่จะให้มาเฉพาะเอ๊าต์พุตบาลานซ์ที่มีความแรงสัญญาณอยู่ที่ 4 โวลต์เต็มๆ

ส่วนอีกสาเหตุที่ทำให้เอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC มีความเข้มข้นสูงก็น่าจะมาจากภาค DAC แบบ discrete R-2R ในตัวมัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว วงจรทุกประเภทที่ประกอบขึ้นด้วยคอมโพเน้นต์พื้นฐาน R-C-L แบบแยกชิ้นมักจะให้เกนของเอ๊าต์พุตออกมา แรงกว่าวงจรที่ใช้ชิปไอซีทำงานประเภทเดียวกัน ซึ่งในตัว Harmony µDAC นี้ นอกจากภาค DAC จะเป็นแบบดีสครีต R-2R แล้ว ในส่วนของวงจรอะนาลอก เอ๊าต์พุตก็ยังเป็นวงจรแบบดีสครีตเหมือนกัน

ผลจากการทดลองเปลี่ยนอุปกรณ์ร่วมซิสเต็มกับตัว Harmony µDAC ทั้งส่วนที่อยู่ทางด้าน หัวของซิสเต็ม คือทรานสปอร์ตที่จับคู่ต่อเชื่อมกับ อินพุตของ Harmony µDAC และส่วนที่อยู่ทางด้านท้ายของซิสเต็มที่จับคู่ต่อเชื่อมกับ เอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC คือแอมป์+ลำโพง ผมพบข้อสรุปว่า คุณภาพของ ทรานสปอร์ตที่ใช้จับคู่กับ Harmony µDAC มีผลกับเสียงของ Harmony µDACมากกว่าคุณภาพของแอมป์+ลำโพงที่เชื่อมต่อกับเอ๊าต์พุตของ Harmony µDAC อย่างชัดเจน ซึ่งจากการทดลองใช้ทรานสปอร์ตทั้ง 4 ตัว คือ ArcamCDS27’ (ใช้ช่อง Coax Out), Roon บน MacBook Pro (ใช้ช่อง USB Out), BluesoundNew NODE’ (ใช้ช่อง USB Out) และ InnuosSTREAM1 + บอร์ด USB Reclocker’ (ใช้ช่อง USB Out) ผมพบว่า ทรานสปอร์ตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มีส่วนมากที่ทำให้เสียงของ Harmony µDAC ดีขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่รับรู้ได้อย่างชัดเจน..!!!

น้ำเสียงของ Harmony µDAC

ในจำนวนทรานสปอร์ตที่ลองเล่นกับ Harmony µDAC ทั้งหมด ผมชอบเสียงที่ได้จากการจับคู่กับ InnuosSTREAM1 + บอร์ด USB Reclockerมากที่สุด ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนของเสียงที่ได้จากการจับคู่ Harmony µDAC กับ InnuosSTREAM1 + บอร์ด USB Reclocker

อัลบั้ม : The Girl in the Other Room (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Diana Krall
สังกัด : Verve (986 224-6)

ผมชอบเพลงไตเติ้ลแทรคของอัลบั้มชุด The Girl in the Other Room มาก.. ซึ่ง Harmony µDAC ตัวนี้สามารถแจกแจงองค์ประกอบทุกส่วนในเพลงนี้ออกมาได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นตัวเสียงที่แยกแยะได้ชัดเจน เนื้อเสียงฉ่ำเนียน มวลเสียงเข้มข้น บอดี้แต่ละเสียงทั้งเสียงร้อง, กีต้าร์, กลอง และเบส กอปรขึ้นมาแบบมีทรวดทรงเป็นสามมิติ มูพเม้นต์ของแต่ละชิ้นมีจังหวะจะโคนที่รับส่งกันอย่างลงตัว สอดคล้องกันไปได้อย่างลื่นไหลสอดรับไปกับอารมณ์ของเพลงได้อย่างกลมกลืน มีย้ำหนักผ่อนเบา มีลีลา ฟังแล้วกลมกล่อมมาก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินออกมาจาก ext.DAC ที่มีราคาไม่ถึงสี่หมื่นบาท.!!

นอกจากนั้น การจัดวางตำแหน่งของชิ้นดนตรีและเสียงร้องก็เรียงตัวลดหลั่นกันลงไปเป็นสามมิติ มีตื้นมีลึก เฉียงซ้ายเอียงขวา มีเลเยอร์ที่ลดหลั่นเป็นวงโค้งเหมือนวงโคจรของดวงดาว กอปรเป็นรูปวงที่โอบกลม มีมิติตื้นลึก, มีใกล้มีไกลครบ ไม่แบนเป็นหน้ากระดาน ซึ่งเป็นไปในแนวทางของ ext.DAC ระดับไฮเอ็นด์ฯ เป๊ะๆ..!!

อีกจุดที่ Harmony µDAC ทำได้ดีมากคือเนื้อเสียงที่มีความเนียนสะอาด และมีความเข้มข้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งความสะอาดเนียนของเนื้อเสียงที่ ext.DAC ตัวนี้ให้ออกมานั้นมันเหลือเชื่อจริงๆ กับเพลงนี้ผมพบว่า Harmony µDAC ให้เสียงร้องของ Diana Krall ออกมาเนียนสะอาดมากกว่า QB-9 Twenty ซะอีก..!!! ไม่น่าเป็นไปได้..!! หรือว่านี่คืออิทธิฤทธิ์ของ R-2R DAC ..??

ไม่มี DAC ตัวไหนให้เสียงดีเท่าเทียมกันกับสัญญาณอินพุต ทุกแซมปลิ้งเรตซึ่ง Harmony µDAC ตัวนี้ก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงข้อนี้ จากการทดลองฟังด้วยสัญญาณอินพุตตระกูล PCM ทุกระดับแซมปลิ้งเรตที่ผมมีอยู่พบว่า Harmony µDAC ตัวนี้ให้เสียงจากไฟล์ WAV 16/44.1 ออกมาได้ดีที่สุด แม้ว่าตอนเล่นไฟล์ไฮเรซฯ เสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่เมื่อป้อนด้วยไฟล์ WAV 16/44.1 ที่มีคุณภาพดีๆ เข้าไป เสียงที่ ext.DAC ตัวนี้ให้ออกมามันถ่ายทอดไทมิ่งของเพลงออกมาได้ดีมาก มีความต่อเนื่องของไดนามิก คอนทราสน์ที่ลื่นไหล และที่ผมชอบมากคือ มันให้พื้นเสียงที่มีความโปร่งใส สิ่งที่อยากให้มีมากกว่านี้อีกหน่อยก็คือ มวลแอมเบี้ยนต์ที่ยังไม่ห่อหุ้มอบอวลเท่ากับ ext.DAC ขั้นเทพเท่านั้น

อัลบั้ม : Asian Roots (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : TaKeDaKe with Neptune
สังกัด : Denon (CY-18072)

เสียงเพอร์คัสชั่นในอัลบั้มนี้ทำให้รู้ว่า คุณสมบัติทางด้าน ความดังของ Harmony µDAC ตัวนี้ถือว่าเกินพอในการผลักดันรายละเอียดของเสียงออกมาให้ได้ยินอย่างครบถ้วนตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ซึ่งก็คือจุดเด่นของ ext.DAC ตัวนี้ นั่นคือความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียด แต่ถ้าเทียบกับ ext.DAC ที่มีคุณภาพสูงกว่าอย่าง QB-9 Twenty สิ่งที่ Harmony µDAC ยังเป็นรองก็คือ น้ำหนักของเสียงในการย้ำเน้น กับอัตราสวิงของไดนามิกเร้นจ์ตั้งแต่ดังลงไปถึงเบาและจากเบาไล่ขึ้นมาถึงดังสุด ตรงจุดนี้ Harmony µDAC ยังสู้ QB-9 Twenty ไม่ได้เมื่อฟังเทียบกันแบบสลับ A/B Test กับท่อนสั้นๆ ของเพลง แต่ก็ไม่ได้แพ้มาก คือถ้าไม่เทียบกัน และปล่อยเพลงรันไปยาวๆ สักพักก็จะชินกับระดับการสวิงไดนามิกของ Harmony µDAC และยอมรับมันได้ในที่สุด กรณีที่เอา Harmony µDAC ไปใช้กับซิสเต็มขนาดกลางๆ แทบจะไม่รู้สึกขาดอะไรกับคุณสมบัติข้อนี้..

ถ้าเปลี่ยนไปใช้ LPS จะช่วยได้มั้ย.? อือม.. ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะที่ฟังมาทั้งหมดนี้ใช้อะแด๊ปเตอร์ AC/DC ขนาด 15V/2A ที่แถมมาให้ในกล่องเท่านั้น (*คุณวี เจ้าของ WE-Soundlab ผู้นำเข้าน่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้ หรือจะสั่งให้ Clef Audio ทำให้ก็น่าจะได้)

สรุป

ไม่ว่าจะออกมาจากมุมไหน ผมไม่คิดว่า เงินแค่ 4 หมื่นบาท จะสามารถทำ ext.DAC แบบเดียวกับ Harmony µDAC ตัวนี้ออกมาได้.!! ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาภายนอก, ดีไซน์ภายใน และสุดท้ายคือ คุณภาพเสียงที่มันให้ออกมา ซึ่งทุกประเด็นที่กล่าวมานั้น LAiV AudioHarmony µDACทำ ถึงทุกข้อ โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพเสียงซึ่งมันทำได้เกินราคาไปไกลด้วย

ต่อจากวินาทีนี้เป็นต้นไป LAiV AudioHarmony µDACคือ ext.DAC ที่ผมจะเลือกมาแนะนำให้กับทุกคนที่ถามถึง ext.DAC ที่มีราคา ไม่เกิน 4 หมื่นบาท โดยวงเล็บต่อท้ายไว้ว่า เน้นที่ คุณภาพเสียงเป็นหลัก..!!!

*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ
external DAC
ภายใต้งบประมาณ ไม่เกิน 40,000 บาท

********************
ราคา : 37,500 บาท / เครื่อง
********************
สนใจติดต่อ
We-Soundlab (คุณวี)
โทร. 098-554-2561
facebook: WeSoundlab

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า