จริงอยู่ว่า “Streaming” กำลังมาแรง ทั้งการดูหนังและฟังเพลง ซึ่งทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึงคอนเท็นต์มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการรับฟังเพลงและรับชมภาพยนตร์อีกด้วย ทว่า อะไรที่ได้มาง่ายๆ มักจะต้องแลกกับ “คุณภาพของภาพและเสียง” ที่ด้อยลงกว่าคำว่า “ดีที่สุด” เสมอ เหตุผลก็เพราะว่าการสตรีมเพลงและภาพยนตร์ต้องอาศัยแบนด์วิธของสื่อกลางที่ใช้ในขั้นตอนการสตรีมสัญญาณที่เชื่อมต่อกันหลายช่วง เริ่มจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ต มาถึงเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต มาถึงโมเด็มที่บ้านของผู้ใช้ จากโมเด็มไปถึงทีวี จากทีวีส่งต่อไปที่ชุดเครื่องเสียง หรือจากเอวี รีซีฟเวอร์แล้วส่งต่อไปที่ทีวี ซึ่งทุกขั้นตอนที่ซับซ้อนเหล่านี้ทำให้มีโอกาสที่สัญญาณภาพและเสียงจะถูกลดทอนลงไปได้เสมอ
Pioneer รุ่น UDP-LX500
หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพสูงสุด
ต้องยอมรับว่า นักเล่นระบบโฮมเธียเตอร์และโฮมซินีม่าที่ต้องการความเป็นที่สุดและมั่นใจได้ในแง่ของคุณภาพของภาพและเสียงในปัจจุบันนี้ยังคงเชื่อถือวิธีเล่นจากแผ่นมากกว่าสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะคนที่ใช้ระบบฉายภาพด้วยโปรเจคเตอร์บนจอขนาดใหญ่ตั้งแต่ 100 นิ้วขึ้นไป
Pioneer เป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวเครื่องเล่นแผ่นแบบ “Universal Disc Player” ตัวแรกออกมาเมื่อประมาณปี 2001 ชื่อรุ่นว่า DV-S747 ซึ่งเล่นแผ่นดิจิตัลคอนเท็นต์ได้ทุกตระกูลในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็น DVD-V, DVD-A, SACD และ CD นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของ Pioneer ในแง่ของผู้ผลิตเครื่องเล่นยูนิเวอร์แซล เพลเยอร์ที่ดีที่สุดในวงการ หลังจาก Pioneer ประสบปัญหาเพลี่ยงพล้ำทางธุรกิจจากวงการทีวี Plasma ชื่อเสียงของ Pioneer ก็วูบลงไปพร้อมกับผลงานที่ห่างหายไปจากวงจรด้วย นั่นคือช่วงเวลาที่ Oppo ผงาดขึ้นมาแทนที่และครอบครองความเป็นผู้นำทางด้าน Universal Disc Player อยู่หลายปี ก่อนที่ Oppo จะประกาศเลิกกิจการไปเมื่อปีที่ผ่านมา Pioneer ก็หวนกลับมาผลิตเครื่องเล่น Universal Disc Player ออกมาอีกครั้งและใช้เวลาไม่นานก็สามารถขยับขึ้นมาเป็นผู้นำทันทีและปัจจุบันนี้เรียกได้ว่า Pioneer แทบจะผูกขาดวงการเครื่องเล่นแผ่นหนังไปเลยโดยปริยาย ปัจจุบัน Pioneer มีเครื่องเล่นยูนิเวอร์แซล เพลเยอร์อยู่ 2 รุ่น คือ UDP-LX800 กับรุ่น UDP-LX500 โดยที่รุ่น LX800 เป็นรุ่นท็อปและรุ่น LX500 ที่ผมกำลังจะทำการทดสอบตัวนี้เป็นรุ่นรอง
รูปร่างภายนอกและฟังท์ชั่นต่างๆ ของ LX500
Pioneer ทำเครื่องเล่นแผ่นหนังและแผ่นเพลงมานานหลายสิบปีแล้ว สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเครื่องเล่นแผ่นของแบรนด์นี้มาก่อน จะพบว่า รูปร่างหน้าตาของเครื่องเล่นแผ่นของ Pioneer แทบจะไม่เปลี่ยนไปมากเมื่อเอารุ่นที่ออกมาเมื่อหลายปีก่อนมาเทียบกับรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างรุ่น LX500 ตัวนี้
ด้านหน้า
A = ปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง
B = ช่องเสียบฮาร์ดดิสพกพา (USB ทรัมไดร้) หรือ external HDD
C = จอแสดงผล
D = ลิ้นชักรับแผ่น
E = ปุ่มกดควบคุมต่างๆ อาทิ เปิด/ปิดลิ้นชักรับแผ่น, เปิด/ปิดการใช้งานฟังท์ชั่น DIRECT, กดสั่งเล่น/หยุดเล่นแผ่นชั่วคราว, ปุ่มกดสั่งหยุดเล่นแผ่น, ปุ่มกดสั่งเลื่อนไปข้างหน้าและถอยไปข้างหลัง
F = ตำแหน่งไฟ LED สีฟ้าแสดงสถานการเปิดใช้ฟังท์ชั่น DIRECT
ด้านหลัง
G = ช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุต
H = ช่องเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์ค
I = ช่อง HDMI OUT แบบ MAIN, SUB (AUDIO ONLY)
J = ช่องเสียบฮาร์ดดิสพกพา (USB ทรัมไดร้) หรือ external HDD
K = ช่อง DIGITAL AUDIO OUT แบบ coaxial กับ optical
L = ช่อง ZERO SIGNAL
M = ช่อง RS232
N = ช่องเสียบปลั๊กไฟเอซี
จุดเด่นของ LX500 ที่ถูกอกถูกใจนักเล่นระบบโฮมเธียเตอร์และโฮมซินีม่าอย่างมากคือความสามารถในการเล่นไฟล์เพลง, ไฟล์ภาพนิ่ง และไฟล์วิดีโอ “แทบทุกรูปแบบ” ผ่านทางช่องอินพุตที่หลากหลาย ทางแรกแบบเบสิคสุดคือเล่นจากแผ่นหนังและแผ่นเพลงตระกูลต่างๆ ผ่านทางลิ้นชักรับแผ่น ไม่ว่าจะเป็น DVD-Video, BD, 4K UHD สำหรับหนัง และ CD, SACD, DVD-Audio, Dual Disc สำหรับเพลง
แต่ที่เจ๋งมากสำหรับ LX500 ตัวนี้นั่นคือความสามารถในการเล่นไฟล์เพลง, ไฟล์ภาพนิ่ง และไฟล์หนังทางช่องทางอื่นอีก 2 ทาง ช่องทางแรกคือทางช่อง USB type A ทั้งสองช่องที่อยู่บนแผงด้านหน้า (B) และด้านหลัง (J) ซึ่งรองรับได้ทั้ง external แฟรชไดร้ USB 2.0 ที่มีความจุมากกว่า 2GB ขึ้นไป และ USB external HDD ที่มีความจุไม่เกิน 2TB นอกจากนั้น LX500 ยังสามารถเล่นไฟล์เพลงและไฟล์หนังผ่านทางเน็ทเวิร์คโดยผ่านเข้าทางช่อง NETWORK (H) ได้อีกด้วย
รีโมทไร้สายที่แถมมาให้ใช้ด้วยกัน
ความสามารถในการอ่านไฟล์หนัง, ไฟล์ภาพนิ่ง และไฟล์เพลงของ UDP-LX500 ผ่านการเล่นทั้ง 3 ช่องทาง คือเล่นจากแผ่น, เล่นจากไฟล์ทางช่อง USB และเล่นจากไฟล์ทางช่อง NETWORK
ปัญหาในการอ่านไฟล์หนัง, ไฟล์ภาพนิ่ง หรือไฟล์เพลงจาก external HDD มักจะมีอยู่ด้วยกัน 3-4 ประเด็นที่พบบ่อย อย่างเช่น (1) รูปแบบของ “format” ที่ใช้ ซึ่ง LX500 รองรับการอ่านไฟล์จากอุปกรณ์ external HDD และทรัมไดร้ที่ฟอร์แม็ตเป็น FAT16 และ FAT32 เท่านั้น ไม่รองรับฟอร์แม็ต NTFS ประเด็นที่สอง (2) ที่อาจจะเล่นไม่ได้ก็คือฮาร์ดดิสที่มีความจุ มากกว่า 2TB ส่วนประเด็นที่สาม (3) ก็คือลักษณะการกำหนด partitions หรือมีการจัดแบ่งพื้นที่ด้านในเอาไว้หลายชั้นเกินไป ประเด็นที่สี่ (4) ถ้าต่อ external HDD ผ่าน Hub ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่อ่าน ประเด็นที่ห้า (5) คือใช้ สาย USB คุณภาพต่ำ หรือมีความยาวมากเกินไป โดยปกติไม่ควรยาวเกิน 2 เมตร ส่วนเล่นผ่าน network ก็มีโอกาสที่การอ่านมีปัญหาถ้าแบนด์วิธของเน็ทเวิร์คถูก jam ด้วยการใช้งานอุปกรณ์อื่นๆ มากเกินไป (ไฟล์ AVCHD เล่นผ่านทางช่อง NETWORK ไม่ได้) ประเด็นที่หก (6) กรณีที่ไฟล์นั้นมีโค๊ดป้องกัน DRM กำกับอยู่ สุดท้ายคืออยู่ที่ “รูปแบบของไฟล์เพลงและไฟล์วิดีโอ” ซึ่งดูจากตารางด้านบนนี้แล้ว ผมแทบจะไม่คิดว่ามีไฟล์คอนเท็นต์ประเภทไหนอีกที่ LX500 อ่านไม่ได้นะครับ.!
ดีไซน์ภายใน
* ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ audionet.com/tw
เพื่อผลลัพธ์ทางด้านป้องกันการรบกวนซึ่งกันและกัน วิศวกรของไพโอเนียร์ออกแบบวงจรภายในของ LX500 ให้แยกกันเป็นส่วนๆ ถ้าเปิดฝาเครื่องออกมาดู คุณจะพบว่า ภายในตัวเครื่องถูกแบบออกเป็น 4 กลุ่ม เด็ดขาดจากกัน ได้แก่ ภาคขับเคลื่อนแผ่น (drive), ภาคจ่ายไฟเลี้่ยงทั้งระบบ (power supply), ภาคโปรเซสเซอร์สำหรับจัดการกับสัญญาณดิจิตัลทั้งระบบ (digital) และภาคการทำงานที่จัดการกับสัญญาณอะนาลอก (analog)
ภาคขับเคลื่อนแผ่นได้ถูกติดตั้งไว้ใกล้กับส่วนของ digital เพื่อให้การรับ–ส่งสัญญาณดิจิตัลจากภาค drive ไปที่ภาคดิจิตัลโปรเซสเซอร์ทั้งภาพและเสียงมีเส้นทางที่สั้น ลดการสูญเสียและโอกาสถูกรบกวนจากภายนอก ทำให้ได้สัญญาณที่มีความบริสุทธิ์สูง ภาคการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณอะนาลอกถูกแยกออกไปจากส่วนของวงจรที่จัดการกับสัญญาณดิจิตัล เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนซึ่งกันและกันและใช้แผงวงจรที่ซ้อนกันถึง 6 ชั้น เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันสัญญาณรบกวน RFI และ EMI ที่ได้ผล ทำให้ได้คุณสมบัติทางด้าน S/N ratio ที่สูง ส่งผลดีต่อเสียง ภาคเพาเวอร์ซัพพลายเป็นแบบสวิชชิ่ง
ถ้าลองยกตัวเครื่อง LX500 คุณจะพบว่ามันมีน้ำหนักเยอะมากกว่าที่คาด นั่นเพราะตัวถังของ LX500 ทำจากโลหะหนาถึง 1.6 มิลลิเมตร และที่ส่วนฐานของตัวเครื่องยังได้ถูกถ่วงไว้ด้วยแผ่นโลหะหนาถึง 3 มิลลิเมตร เป็นการออกแบบเพื่อเพิ่มความแกร่งและปรับศูนย์ถ่วงของตัวเครื่อง ป้องกันเรโซแนนซ์จากภายนอกเข้ามารบกวนการทำงานของภาคขับเคลื่อนแผ่นที่อยู่ด้านใน
เอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณเสียง
LX500 เป็นเครื่องเล่นยุคดิจิตัลอย่างแท้จริง เพราะได้ตัดเอ๊าต์พุตอะนาลอกทิ้งไปเกือบหมดทั้งภาพและเสียง
ทางด้านสัญญาณเสียงนั้น LX500 มีช่องทางขาออกสำหรับสัญญาณเสียง 2 ช่องทาง ทางแรกคือช่อง ANALOG AUDIO OUT ผ่านขั้วต่อ RCA หนึ่งชุด ไม่มีขั้วต่อ XLR และไม่มีเอ๊าต์พุตอะนาลอกแบบมัลติแชนเนล เป็นช่องทางที่เอาไว้ให้ใช้งานร่วมกับชุดเครื่องเสียง stereo 2 ch โดยเฉพาะ และ LX500 ยังมีอ๊อปชั่นพิเศษมาให้ปรับใช้สำหรับเอ๊าต์พุต Analog Audio Out นี้ด้วย เป็นอ๊อปชั่นการปรับตั้งเสียงที่ทำงานโดยวงจรดิจิตัลโปรเซสเซอร์ ซึ่งมีให้เลือกปรับใช้ 2 ฟังท์ชั่น ได้แก่ “Digital Filter” กับ “Audio Delay” ซึ่งคุณสามารถเข้าไปปรับตั้งใช้งานอ๊อปชั่นทั้งสองนี้ได้ด้วยการกดปุ่ม “AUDIO P.” บนรีโมทไร้สายที่แถมมาให้กับ LX500 นั่นเอง
เมื่อใช้ LX500 ฟังเพลงจากแผ่น CD, SACD รวมทั้งฟังจากไฟล์ ตัว Digital Filter จะส่งผลต่อโทนเสียงของสัญญาณอะนาลอกที่ออกจากช่อง ANALOG AUDIO OUT ซึ่งคุณสามารถปรับเลือกลักษณะการทำงานของวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์ได้ 3 รูปแบบคือ Sharp (โฟกัสคม+กระชับ), Short (ความต่อเนื่องดี) และ Slow (เสียงนุ่ม) แล้วเลือกเอารูปแบบที่คุณชอบได้เลย
แต่ในกรณีที่คุณเป็นนักฟังเพลงแนวบริสุทธิ์นิยมสุดขั้ว LX500 ก็มีอีกอ๊อปชั่นมาให้คุณใช้ เพื่อให้ได้สัญญาณเอ๊าต์พุตที่เพียวบริสุทธิ์จริงๆ นั่นคือฟังท์ชั่น “DIRECT” โดยกดปุ่มบนรีโมทเปิดเรียกการใช้งานได้โดยตรง ฟังท์ชั่นนี้จะปิดการทำงานของวงจรภาพและวงจรส่วนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงจรเสียงทิ้งไป เหลือไว้แต่การทำงานในส่วนของเสียงอย่างเดียว ซึ่งผมทดลองดูแล้ว พบว่ามันทำให้เสียงดีขึ้นจริง รับรู้ได้ เสียงจะนิ่งและเนียนสะอาดมากขึ้น เปิดดังๆ ยิ่งรู้สึกได้ชัด
ช่องทางขาออกสำหรับสัญญาณเสียงของ LX500 อีกช่องทาง คือ DIGITAL AUDIO OUT โดยให้เอ๊าต์พุตออกมาเป็นสัญญาณดิจิตัลผ่านทางขั้วต่อ Coaxial และ Optical ซึ่งสัญญาณดิจิตัลที่ปล่อยออกมาทางช่องนี้จะขึ้นอยู่กับฟอร์แม็ตของสัญญาณที่คุณเล่น เนื่องจากช่องนี้สามารถปล่อยออกได้ทั้งสัญญาณ PCM และ Bitstream ดังนั้น คุณสามารถปล่อยสัญญาณตระกูล Dolby และ DTS ออกมาทางนี้ได้เช่นเดียวกับสัญญาณ PCM แต่ไม่ปล่อยผ่านสัญญาณ DSD ทางช่องนี้ ถ้าเชื่อมต่อแล้วไม่มีเสียง ให้เข้าไปตรวจเช็คที่เมนูของ LX500 (ฟังท์ชั่น Home Menu)
เอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณภาพ+เสียง
ในกรณีที่คุณใช้ LX500 ในการรับชมภาพยนตร์หรือคอนเสิร์ตที่อยู่บนแผ่น DVD, BD หรือแผ่น 4K UHD หรือจะอยู่ในรูปของไฟล์วิดีโอ+เสียงฟอร์แม็ตใดๆ ก็ตาม คุณต้องทำการเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงจาก LX500 ออกมาจากช่อง HDMI เท่านั้น
LX500 ให้ช่อง HDMI มาสองช่อง แยกเขียนกำกับไว้เป็น MAIN กับ SUB (AUDIO ONLY) ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับตั้งโดยเลือกให้ช่อง HDMI ทั้งสองรองรับการส่งผ่านสัญญาณอะไรได้บ้างระหว่าง สัญญาณภาพ (Video), สัญญาณเสียง (Audio) และสัญญาณควบคุม (Control) โดยเข้าไปปรับตั้งในเมนูหลัก (Home Menu) ของเครื่องที่หัวข้อ “HDMI Mode” ซึ่งในนั้นมีให้ปรับเลือกอยู่ทั้งหมด 3 อ๊อปชั่นคือ Single, Seperate และ Pure Audio
คนที่ใช้ LX500 ในซิสเต็มที่ใช้ระบบภาพและเสียงที่แยกกันเด็ดขาด อย่างเช่น ฉายภาพผ่านโปรเจคเตอร์ ในขณะที่เสียงเล่นผ่าน AVR แบบนี้ต้องเลือกปรับตั้ง HDMI Mode ไว้ที่ “Seperate” จะได้คุณภาพของภาพและเสียงออกมาดีที่สุด แต่ถ้าต้องการใช้ช่อง HDMI สำหรับส่งผ่านสัญญาณเสียงระหว่าง LX500 กับ ext.DAC ที่มีอินพุต HDMI สำหรับเสียง อย่างเช่นปรีแอมป์ของ Moon รุ่น 390 ก็ให้ปรับเลือก HDMI Mode ไว้ที่ตำแหน่ง “Pure Audio” แล้วเชื่อมต่อสัญญาณด้วยสาย HDMI ออกทางช่อง HDMI OUT SUB ของ LX500 เท่านั้น
ฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับแต่งสำหรับภาพ
LX500 รองรับการถ่ายทอดความละเอียดของภาพวิดีโอได้สูงสุดถึงระดับ 4K หรือ 3,840 x 2,160 พิกเซล รองรับการแสดงผลของภาพวิดีโอได้ทั้งโหมด SDR (Standard Dynamic Range) และโหมด HDR (High Dynamic Range) ที่พิเศษก็คือ ในโหมด HDR นั้น LX500 รองรับได้ทั้งฟอร์แม็ต HDR10 และ Dolby Vision นอกจากนั้น LX500 ยังมีโหมดการปรับแต่งภาพที่แปลงจาก HDR เป็น SDR มาให้ด้วย ใช้สำหรับปรับตั้งสัญญาณวิดีโอ HDR ที่ส่งไปบนจอภาพที่รองรับแค่ระดับ SDR เพื่อให้ได้ความสว่างของภาพ HDR ลงไปพอดีกับความสว่างของจอ SDR
นอกจากนั้น LX500 ยังได้ทำการปรับตั้งภาพที่เหมาะสมกับลักษณะของจอภาพเทคโนโลยีต่างๆ มาให้เลือกใช้แบบสำเร็จรูปอีกด้วย อาทิเช่น LCD-TV, OLED-TV หรือ Projector ซึ่งผู้ใช้สามารถกดเข้าไปเลือกได้ง่ายๆ ผ่านทางปุ่มกดที่ชื่อว่า “VIDEO P.” ซึ่งเป็นปุ่ม short-cut อยู่บนรีโมทไร้สาย ซึ่งเมื่อกดปุ่มลงไปแล้ว จะปรากฏกรอบที่ให้ปรับตั้ง (ภาพด้านล่าง) ขึ้นมาบนจอภาพ ซึ่งในกรอบนั้นได้แสดงรายละเอียดเมนูต่างๆ เอาไว้ อาทิเช่น Brightness, Contrast, Hue, Chroma Level, Sharpness, DNR และ HDR-SDR Adjust
ตรงหัวข้อ “TV Types” (ศรชี้) ในภาพข้างบนนี้ คือที่เก็บค่ามาตรฐานที่ปรับเซ็ตแบบสำเร็จรูปไว้ให้เลือกใช้ ซึ่งมีทั้งหมด 4 หัวข้อ คือ 1: Reference, 2: LCD-TV, 3: OLED-TV และ 4: Projector
หัวข้อ Reference นั้นคือไม่มีการยุ่งกับสัญญาณภาพเลย ที่ตำแหน่งนี้ LX500 จะปล่อยสัญญาณภาพวิดีโอออกไปทางช่อง HDMI โดยไม่แตะต้องใดๆ ส่วนอีก 3 ตำแหน่งที่เหลือจะมีการปรับแต่งภาพวิดีโอให้มีความเหมาะสมกับลักษณะเด่น–ด้อยของเทคโนโลยีจอภาพแบบต่างๆ อย่างเช่น ถ้าเลือกที่ LCD-TV ก็จะมีการปรับแต่งส่วนที่มืดของภาพให้ออกมาดีที่สุด เป็นต้น
“ZERO SIGNAL” ฟังท์ชั่นพิเศษของ LX500!
เพราะ Pioneer เป็นแบรนด์ที่บริหารโดยวิศวกร และเพราะความเก๋าในวงการ Pioneer จึงมีประสบการณ์สูงในการจัดการกับปัญหาที่เกิดกับการนำเอาวงจรอิเล็กทรอนิคหลายๆ วงจรเข้ามาเชื่อมโยงให้ทำงานร่วมกันโดยไม่เกิดปัญหากระทบกับคุณภาพของภาพและเสียง ซึ่งตลอดการทดลองใช้งาน LX500 ทั้งใช้ดูหนังและฟังเพลง ผมพบว่า LX500 ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพสูงมาก ไม่ปรากฏพบว่ามีอาการเอ๋อหรือรวนแต่อย่างใด ไม่ว่าจะใช้งานในหน้าที่ใด มันก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว, ถูกต้อง และลื่นไหลมาก
ผมแปลกใจมากเมื่อเห็นขั้วต่อที่ชื่อว่า “ZERO SIGNAL” บนแผงหลังของ LX500 หลังจากค้นหาข้อมูลแล้วจึงทราบว่า ขั้วต่อนี้เขาให้มาเพื่อป้องกันสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหากราวนด์ลูป ซึ่งปัญหากราวนด์ลูปในชุดเครื่องเสียงนี้มีเกิดขึ้นได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับปริมาณของสัญญาณกราวนด์ที่คั่งค้างอยู่ในซิสเต็ม ถ้ามีกราวนด์ลูปปริมาณมาก อาจทำให้เกิดเสียงฮัม หรือมีผลทำให้วงจรการทำงานส่วนที่ใช้พื้นฐานดิจิตัลอย่างเช่นวงจรโปรเซสเซอร์ต่างๆ ทำงานผิดพลาด ถ้าเกิดกราวนด์ลูปน้อยๆ ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของภาพและเสียงได้
LX500 ให้ขั้วต่อนี้มาเพื่อให้ใช้สายสัญญาณ RCA ทำการเชื่อมต่อระหว่างขั้วต่อนี้เข้ากับขั้วต่อ analog input ช่องใดก็ได้ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่เชื่อมต่อกับ LX500 เหตุผลก็เพื่อปรับระดับกราวนด์ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ LX500 ให้มีสถานะเดียวกันกับ LX500 นั่นเอง ผมได้ทดลองใช้ LX500 เล่นแผ่น SACD อัลบั้มชุด Quality Of Silence ของวง Steve Davis Project (DMP SACD-04) แล้วเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จากช่อง ANALOG AUDIO OUT ของ LX500 ไปเข้าที่ช่องอะนาลอก อินพุตของอินติเกรตแอมป์ Arcam รุ่น SA20 ขับลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 4.2 แล้วลองใช้สายสัญญาณ RCA หนึ่งเส้น เชื่อมโยงช่อง ZERO SIGNAL ของ LX500 เข้าที่ช่องอะนาลอก อินพุตข้างขวา (R) ช่องหนึ่งของ SA20 ที่ไม่ได้ใช้ ในการฟังผมทดลองสลับเสียบและไม่เสียบฟังเทียบกันดูแล้วปรากฏว่า เสียบใช้ตามที่ LX500 แนะนำไว้ให้เสียงดีขึ้นอย่างชัดเจนครับ.. ซึ่งโดยปกติแล้ว อัลบั้มชุด Quality Of Silence นี้ เป็นแผ่นเพลงเวอร์ชั่น SACD แผ่นแรกๆ ที่ค่ายเพลง DMP ทำออกมา และด้วยลักษณะของการบรรเลงในงานเพลงชุดนี้ที่ใช้ดนตรีไม่ซับซ้อน บรรเลงกันแบบเอื่อยเฉื่อย แตะโน่นแตะนี่เบาๆ ลักษณะเสียงโดยรวมของอัลบั้มนี้จึงไม่โฉ่งฉ่าง ค่อนข้างจะบางเบาซะด้วยซ้ำไป เมื่อเสียบใช้ช่อง ZERO SIGNAL ผมพบว่า พื้นเสียงมันใสมากขึ้นทันที ทำให้ได้ยินรายละเอียดเบาๆ ที่เคยจมหายไปในแบ็คกราวนด์ปรากฏชัดขึ้นมา เสียงทุกเสียงเข้มข้นมากขึ้น เจ๋งมาก!
กับการรับชมภาพยนตร์ผมก็รู้สึกได้ว่าเมื่อเชื่อมต่อช่อง ZERO SIGNAL เข้ากับช่องอินพุต Video In ของตัว AVR แล้วทำให้ได้ภาพที่สะอาดและใสขึ้นนิดหนึ่ง
ทดลองฟังเพลง
จากแผ่นเพลงและไฟล์เพลง
ผมทดลองใช้ LX500 ในชุดฟังเพลง 2 แชนเนลของผม โดยใช้สัญญาณจากเอ๊าต์พุตช่อง ANALOG AUDIO OUT ไปเข้าที่แอมปลิฟายโดยตรง ส่วน source ผมทดลองฟังหมดทั้งเล่นจากแผ่น CD, DVD-Audio, SACD และเล่นไฟล์เพลงผ่านเข้าทาง Network และผ่านเข้าทางช่อง USB ของ LX500 หลังจากนั้น ผมก็ทดลองดึงสัญญาณ digital out จากช่อง coaxial ของ LX500 ไปเข้าที่อินพุต coaxial ของ external DAC ของ Magnet รุ่น ELITE S สลับด้วย external DAC ของ MyTek รุ่น Brooklyn Bridge
ผมยอมรับเลยว่า เสียงที่ได้จากการฟังเพลงออกมาดีกว่าที่ผมคาดไว้มาก โดยเฉพาะการเล่นจากแผ่น ไม่ว่าจะเป็นแผ่น CD, SACD หรือแม้กระทั่งแผ่น DVD-Audio ก็ให้เสียงออกมาดีมาก ที่ผมสังเกตก็คือสัญญาณรบกวนต่ำมากๆ เสียงที่ออกมามีความนวลและสะอาด ความหยาบกร้านในน้ำเสียงมีอยู่น้อยมากๆ และฟังท์ชั่นพิเศษต่างๆ ที่ออกแบบมาไว้ช่วยตอนฟังเพลงอย่างเช่นโหมด DIRECT, โหมด PURE AUDIO และ ZERO SIGNAL พวกนี้มีผลช่วยได้จริง ทำให้การฟังเพลงด้วย LX500 ได้รับอรรถรสที่น่าพอใจ เพลิดเพลินไปกับอารมณ์ของเพลงได้อย่างไม่ติดขัด
ทดลองดูหนัง
ด้วยแผ่น Blu-ray 1080p และแผ่น 4K UHD
ตอนนี้แผ่นบลูเรย์ 1080p ที่ผมเก็บไว้เกือบทั้งหมดจะเป็นแผ่นเพลงที่บันทึกคอนเสิร์ต ส่วนหนังมีเก็บไว้บางเรื่องเท่านั้น ในเบื้องต้นผมหยิบแผ่นบลูเรย์เพลงมาทดลองดูและฟังกับ LX500
LX500 ยืนยันให้ผมเห็นอีกครั้งว่าแผ่นบลูเรย์ชุด My LIVE Stories (Evosound HD EVOB198) ของ Susan Wong บันทึกภาพออกมาได้สวยงามมาก โดยเฉพาะสีสันออกมานุ่มนวล ซึ่งต้องชมทั้งต้นทางสัญญาณที่ปล่อยจาก LX500 และวงจร Upscaling ของ OLED-TV ของ Sony รุ่น A9F (65 นิ้ว) ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แม้ว่าความคมชัดโดยรวมจะไม่เปรี๊ยะเท่ากับตอนชมแผ่น 4K UHD แต่ถ้าไม่เทียบกัน ภาพจากการเล่นด้วยแผ่น Blu-ray 1080p ที่ผมเห็นก็ถือว่า LX500 ทำออกมาได้ดีมากแล้วครับ เพียงพอแล้ว ไม่มีความรู้สึกอยากจะเปลี่ยนเป็นแผ่น 4K UHD อีกสำหรับคอนเสิร์ตนี้
บลูเรย์คอนเสิร์ตชุดโปรดของผม Dave Matthews And Tim Reynolds ชุด Live At Radio City (RCA 88697 13100-9) ซึ่ง LX500 ทำให้ผมต้องนั่งดูและฟังคอนเสิร์ตแผ่นนี้จนหมดแผ่นด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นมาก ภาพที่ออกมาสวยจริงๆ โฟกัสคมชัดแบบว่าถ้าดูจากภาพ close up แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นภาพจากแผ่นบลูเรย์ 1080p ไม่ใช่แผ่น 4K UHD นอกจากนั้น สีสันก็ออกมาสวยมาก สีผิวเปล่งปลั่ง ไฮไล้ท์มีพลัง รายละเอียดในที่มืดไม่จม เสียงก็เยี่ยมยอด เสียงกีต้าร์ใสกระจ่าง เสียงร้องชัดเจน บรรยากาศแผ่เต็ม (ต้องยกประโยชน์ให้แอมป์เซอร์ราวนด์กับลำโพงด้วย)
หนังเรื่อง Alita: Battle Angle (Twentieth Century Fox) ทำให้เรารู้ว่า หนังแอนิเมชั่นยุคใหม่ๆ ทำได้เนียนมาก! เมื่อดูจากแผ่น 4K UHD ผ่าน LX500 + OLED-TV ของ Sony รุ่น A9F มันให้ภาพออกมาสวยงามมากๆ รายละเอียดคมกริบ สีสันสวยงาม *แต่อยากจะขอลงรายละเอียดเบื้องหลังสักนิดเพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อน คือภาพที่ได้จะสวยงามแค่ไหนนอกจากจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของแผ่น+เครื่องเล่น+ทีวีแล้ว ยังมีอีกสอง–สามปัจจัยที่จะทำให้ได้ภาพออกมาดีอย่างที่ควรจะเป็น นั่นคือ คุณภาพของ สาย HDMI กับการปรับจูนทีวีกับเครื่องเล่นฯ ด้วย ซึ่งการปรับจูนนั้นทำได้สองระดับ คือปรับจูนแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ปรับจูนได้โดยอาศัยเมนูของทีวีและเมนูปรับภาพของ LX500 ผสมผสานกัน ส่วนการปรับจูนอีกแบบคือการใช้เครื่องมือวัด ซึ่งเป็นการปรับจูนระดับสูงต้องอาศัยช่างที่ชำนาญและเครื่องมือกับซอฟท์แวร์เข้าช่วย
ในการทดสอบ LX500 ครั้งนี้ ผมอาศัยการปรับจูนตัว LX500 เข้ากับทีวี Sony A9F ด้วยการปรับจากเมนูของเครื่องเล่นและทีวีผสมผสานกัน ซึ่งคุณๆ ก็สามารถทำเองได้ ผลลัพธ์ที่ได้บอกเลยว่า มีผล แบบง่ายที่สุดคือเลือกค่าปรับภาพอัตโนมัติของ LX500 ให้ตรงกับประเภทของทีวีที่คุณใช้เท่านั้นก็ได้ภาพที่ดีขึ้นจนน่าพอใจมากแล้ว
อีกฟังท์ชั่นที่มีประโยชน์มากของ LX500 ก็คือฟังท์ชั่นปรับจูน “ความสว่าง” ของสัญญาณภาพเอ๊าต์พุตที่ส่งออกจาก LX500 ให้มีความเหมาะสมกับความสว่างสูงสุดที่ทีวีรับได้ เมื่อเล่นแผ่น 4K UHD ที่เข้ารหัส HDR เพื่อส่งไปที่ทีวี หรือระบบฉายภาพที่รองรับความสว่างได้แค่ระดับ SDR ซึ่งผมทดลองเล่นแผ่น 4K HDR เรื่อง Madmax: Fury Road (Warner Bros. Z52 Y34131) บน LX500 แล้วส่งภาพไปที่ทีวี LCD-TV 1080p ของ Toshiba แล้วทดลองปรับฟังท์ชั่น “HDR-SDR Adj.” บน LX500 และปรับ Brightness กับ Contrast ช่วยอีกหน่อยก็ได้ภาพสวยๆ แล้ว
LX500 รองรับการเล่นแผ่น 4K UHD ที่เข้ารหัสมาพร้อมกับ Dolby Vision ซึ่งเป็นฟอร์แม็ต HDR ที่สเปคฯ สูงสุดในปัจจุบัน ซึ่ง LX500 จะปล่อยสัญญาณภาพและข้อมูลส่วนที่เป็น Metadata ของค่า Dolby Vision ไปที่ปลายทางโดยไม่เข้าไปยุ่งใดๆ (ฟังท์ชั่น VIDEO P. ไม่ทำงาน) ซึ่งเป็นการวัดความสามารถของอุปกรณ์เครื่องฉายโดยตรงว่ามีประสิทธิภาพรองรับ Dolby Vision ได้ดีแค่ไหน ซึ่งจากการทดลองชมด้วยภาพยนตร์เรื่อง The Dark Tower (Sony Pictures 48812) พบว่า ภาพที่ออกมามีไดนามิกของแสงที่เปิดกว้างมาก ซึ่งในตัวทีวี A9F ของ Sony มีอ๊อปชั่นให้เลือกปรับสำหรับสัญญาณภาพ Dolby Vision ให้เหมาะสมกับการรับชมในสภาพแสงที่ต่างกันด้วย นอกจากนั้น ผู้ใช้ยังสามารถปรับจูนความสว่าง, คอนทราสน์, แกมม่า, ระดับสีดำ และอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งเมื่อผมทดลองปรับโดยใช้ตาเปล่าดูแล้ว ปรากฏว่าสามารถปรับจูนภาพออกมาได้ดีพอสมควร..
ภาพนี้หลังจากทดลองปรับจูนมาคร่าวๆ พยายามรักษารายละเอียดในจุดไฮไล้ท์ (ลูกศรสีแดง) กับรายละเอียดในย่านมืด (ลูกศรสีเขียว) โดยไม่ได้ใช้เครื่องมือวัด และทำให้ผมเชื่อว่า ประสิทธิภาพของทีวีรุ่นนี้ยังไม่สูงมากพอสำหรับการแสดงผลภาพ Dolby Vision ออกมาได้อย่างเต็มที่ (ใช้สาย HDMI แบบไฟเบอร์ยี่ห้อ AIM เข้าช่วย) แต่โดยรวมที่ออกมาหลังจากปรับจูนแล้วถือว่าสวยและมีพลังมากอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าความกระจ่างใสของภาพที่ได้เหนือกว่า HDR10 อย่างชัดเจน ถ้าตัวทีวีของผมได้รับการปรับจูน (calibrate) ด้วยเครื่องมือและโดยช่างที่ชำนาญ ภาพน่าจะออกมาดีกว่านี้ขึ้นไปอีกแน่ๆ
สรุป
ในแง่เสียง หลังจากได้ทดลองเล่นมานานเกือบสองเดือน ผมยอมรับว่า LX500 ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการเล่นเพลงจากแผ่นอีกครั้ง หลังจากที่ผมหันหลังให้กับการเล่นเพลงจากแผ่นมานานเพราะเครื่องเล่นซีดีก็เล่นได้ไม่ครบทุกประเภทแผ่น ในขณะที่เครื่องเล่นแผ่นแบบ Universal Disc Player บางตัวที่มีราคาไม่แพงก็ให้คุณภาพเสียงออกมาไม่น่าพอใจเลย
ต้องย้ำอีกทีว่า LX500 ให้คุณภาพเสียงออกมาน่าพอใจมากๆ นักฟังเพลงคนไหนที่อยากได้เครื่องเล่นแผ่นเพลงมาใช้โดยเน้นการเล่นจากแผ่นมากกว่าเล่นจากไฟล์ ผมขอแนะนำ LX500 ให้โดยไม่ลังเล แต่ถ้าคุณมาสายไฟล์เพลงผ่านสตีมเมอร์เป็นหลัก LX500 อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกต้นๆ เพราะแม้ว่า LX500 จะเล่นจากไฟล์ได้ด้วย แต่ก็ไม่สะดวกเท่าพวกเครื่องเล่นแบบ streamer โดยเฉพาะ
ส่วนในแง่ภาพ+เสียง ก็ต้องขอสรุปว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทั้งดูหนัง ไม่ว่าจะดูกับชุดโฮมเธียเตอร์แบบง่ายๆ ที่ใช้ทีวีเป็นอุปกรณ์ฉายภาพ หรือระดับโฮมซินีม่าที่ใช้โปรเจคเตอร์กับจอขนาดใหญ่ Pioneer รุ่น LX500 ตัวนี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณ และถ้าคุณอยากได้เครื่องเล่นแผ่นแบบตัวเดียวจบ รองรับแผ่นได้ครบทุกฟอร์แม็ต เสียงดี–ภาพสวย วินาทีนี้ต้อง LX500 ครับตอบโจทย์ได้ครบทุกข้อ! /
********************
ราคา : 29,900 บาท / เครื่อง
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย:
Powerbuy
********************
สั่งซื้อได้ที่:
Powerbuy Online