“ออล–อิน–วัน” ระดับกลางลงล่างส่วนใหญ่จะเอาภาคแอมป์, ภาค DAC และสตรีมเมอร์มา รวมอยู่บนแผงวงจรเดียวกัน ซึ่งจะต่างจาก “ออล-อิน-วัน” ระดับไฮเอ็นด์ฯ ซึ่งจริงๆ ก็คือ “อินติเกรตแอมป์” เต็มตัวที่เอาภาค DAC และสตรีมเมอร์เข้ามาเสริม (*โดยมากจะอยู่ในรูปของโมดูลเสริม)
อินติเกรตแอมป์ที่เอาภาค DAC กับสตรีมเมอร์เข้ามาเสริมมักจะมี “ข้อดี” กว่าออล–อิน–วันที่เอาทุกอย่างเข้ามารวมอยู่บนแผงวงจรเดียวกันอยู่ 2 ข้อ ที่เห็นชัด ข้อแรก > เป็นเรื่องของ noise ในระบบ ซึ่งอินติเกรตแอมป์ + DAC + สตรีมเมอร์มักจะจัดการกับสัญญาณรบกวนระหว่างการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิคทั้งสามส่วนออกมาได้ดีกว่า
ข้อสอง > อินติเกรตแอมป์ + DAC + สตรีมเมอร์ จะทำงานร่วมกับ source ภายนอกได้ประสิทธิภาพสูงกว่าออล–อิน–วันระดับระดับกลางๆ ทั่วไป ซึ่งจะมีประโยชน์ในกรณีของการอัพเกรดในอนาคตที่ให้ความยืดหยุ่นสูงกว่า เนื่องจากออล–อิน–วันที่ออกแบบสำเร็จมาบนแผงวงจรเดียวกัน มักจะปรับจูนภาคแอมป์, ภาค DAC และภาคสตรีมเมอร์ให้แม็ทชิ่งกันมากที่สุดเท่านั้น มักจะไม่ได้เผื่อสำหรับรองรับสัญญาณ analog out จาก source ภายนอกสำหรับการอัพเกรดคุณภาพเสียงไว้ด้วย
Primare รุ่น i35 Prisma
สวยสง่า น่าใช้
แบรนด์ Primare เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงจากประเทศสวีเดน ดินแดนของดนตรีบริสุทธิ์ เป็นประเทศที่มีค่ายเพลงไฮเอ็นด์อยู่มากมาย ที่นักเล่นเครื่องเสียงรู้จักกันดีก็คือ OPUS 3, Prophone และ Proprius ซึ่งนิยมการบันทึกเก็บเสียงแนวธรรมชาติ คือเก็บเสียงดนตรีกับเสียงแอมเบี้ยนต์ของสถานที่ใช้บรรเลงมาพร้อมกัน โดยอาศัยเทคนิคการวางไมโครโฟนอัดเสียงตรงเข้ามาสเตอร์ผ่านกระบวนการมิกซ์สด เสียงเพลงที่ได้จากอัลบั้มที่บันทึกโดยค่ายเพลงของสวีเดนเหล่านี้จึงมีความเป็นธรรมชาติสูง ฟังแล้วรับรู้ได้ถึง “ความมีชีวิตชีวา” สะท้อนสภาวะของการบรรเลงสดมากกว่าผลงานของค่ายเพลงคอมเมอร์เชี่ยลจากซีกโลกอื่น
ผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงของอเมริกาจะออกไปทางบึกบึน ของฝั่งอังกฤษและยูเคเน้นเรียบง่าย กระทัดรัด ส่วนเครื่องเสียงเยอรมันกับยุโรปจะมีดีไซน์ตัวถังคล้ายกับเครื่องเสียงของทางฝั่งสแกนดิเนเวี้ยนที่ผสมผสานความบึกบึนแข็งแรงเข้ากับความเรียบง่าย อย่างเช่น Primare ซึ่งมีรูปแบบการดีไซน์ตัวถังที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และถูกใช้กับผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นของพวกเขา อัตลักษณ์ที่แสดงความเป็นตัวตนของแบรนด์นี้อยู่ที่ปุ่มหมุนสีสแตนเลสแวววาวที่ดูคล้ายปุ่มปรับของเครื่องมือวัดค่าที่ใช้ในสตูดิโอ ลักษณะคล้ายปุ่มปรับของแบรนด์ Cello รุ่น Audio Palette ในอดีต คือมีแกนเล็กๆ ที่ใช้จับหมุนติดอยู่บนแผ่นฐานที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวแกนจับหมุน
แผงหน้าปัดของ i35 Prisma ทำด้วยอะลูมิเนียมหนาเกือบเซ็นต์ฯ ปัดเสี้ยนแล้วเคลือบมาอย่างดี ระหว่างแผงหน้าปัดกับตัวถังที่คลุมด้วยแผ่นโลหะสีดำมีเว้นระยะห่างแยกเป็นช่องเล็กๆ มองดูเหมือนแผงหน้าที่ยื่นออกมาจากตัวถังหลัก เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเสริมให้ดูเท่ ใครดูจากรูปอาจจะรู้สึกว่าเหมือนกับอินติเกรตแอมป์ทั่วไปที่เห็นชินตา แต่ถ้ามีโอกาสได้พิจารณาใกล้ๆ ได้สัมผัสตัวเป็นๆ ของ i35 Prisma ตัวนี้ด้วยมือของคุณเอง คุณจะรับรู้ได้ถึง “ความแน่นหนา” ที่สงบซ่อนอยู่ภายใต้ดีไซน์ของหน้าตาและตัวถังที่เรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวี้ยน
บนแผงหน้า
1 = ปุ่มหมุนเลือกอินพุต
2 = ปุ่มกด สแตนด์บาย (ปิดเครื่อง) / เปิดเครื่อง
3 = ปุ่มเข้าเมนูเครื่อง
4 = จอแสดงผล
5 = ปุ่มเลือกหัวข้อเมนู / สั่ง save ค่าเมนู / เปลี่ยนค่าเมนู (บน) และปุ่มถอยหลังไปหัวข้อเมนูก่อนหน้า
(ล่าง)
6 = ปุ่มปรับวอลลุ่ม
7 = เสาอากาศรับคลื่น Wi-Fi และ Bluetooth
แผงหน้าของ i35 Prisma มีเครื่องเคราให้ใช้เท่าที่จำเป็น ปุ่มหมุน 2 ปุ่ม (1, 6) ถูกวางไว้ซ้าย–ขวาขนาบข้างพื้นที่สีดำที่แทรกตัวอยู่ตรงกลางของแผงหน้าซึ่งมีปุ่มกดโลหะทรงกลมขนาดจิ๋วฝังอยู่ 4 ปุ่ม (2, 3, 5) กับจอ OLED ขนาดเล็ก (4) ที่มีไว้แสดงรายละเอียดที่จำเป็นขณะทำงาน อาทิ อินพุตที่กำลังใช้งาน, ปริมาณวอลลุ่มที่ใช้ และยังใช้แสดงรายละเอียดของเพลงที่สตรีมผ่านเน็ทเวิร์ค กับสุดท้ายคือใช้เป็นจอมอนิเตอร์แสดงผลการปรับตั้งค่าต่างๆ ในเมนูเครื่องด้วย
แผงหลัง
Primare รุ่น i35 Prisma เป็น “อะนาลอก อินติเกรตแอมป์” ที่เสริมโมดูล DAC และเสริมโมดูล Streaming เข้ามาเป็น source ซึ่งคุณสามารถเชื่อมต่อสัญญาณ analog out จากเพลย์เยอร์ทุกประเภทเข้ามาที่ช่อง analog input ของ i35 Prisma เพื่อให้อินติเกรตแอมป์ตัวนี้ทำการขยายสัญญาณแล้วส่งผ่านขั้วต่อสายลำโพงออกไปขับลำโพงได้เหมือนอินติเกรตแอมป์ยุคดั้งเดิมได้
ถ้ามองไปที่แผงหลังของ i35 Prisma ใกล้ๆ ที่มุมซ้ายด้านบนคุณจะสังเกตได้ว่ามีแผงโมดูลติดตั้งอยู่บริเวณนั้น 2 โมดูล ยึดติดกับแผงหลังของ i35 Prisma ด้วยน็อตสีดำทั้งคู่ ซึ่งโมดูลด้านซ้ายที่มีเสาอากาศแท่งดำๆ สองต้นติดตั้งอยู่คือแผงโมดูลรุ่น SM35 Prisma ซึ่งทำหน้าที่เป็นอินพุตสำหรับสตรีมไฟล์เพลง ซึ่งมีอินพุต Ethernet สำหรับเสียบสาย LAN มาให้ 2 ช่อง (1) กับช่องอินพุต USB-A อีกช่อง (3) ไว้เสียบฮาร์ดดิสเก็บเพลง ส่วนแผงโมดูลทางขวาคือรุ่น DM35 เป็นโมดูลภาค DAC ซึ่งมีช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณดิจิตัลมาให้ใช้ทั้งหมด 8 ช่อง เป็นช่องอินพุต Optical จำนวน 4 ช่อง (4) ช่องอินพุต Coaxial 2 ช่อง (5) ช่องอินพุต USB-B สำหรับรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์และสตรีมเมอร์ 1 ช่อง (6) ที่เหลืออีกช่องทางขวามือสุดเป็นช่องดิจิตัล เอ๊าต์ (ขาออก) ผ่านขั้วต่อ Coaxial (7)
เนื่องจากพื้นฐานของ i35 Prisma คือ “อะนาลอก อินติเกรตแอมป์” มันจึงมีทั้งอินพุตและเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกมาให้ครบ ทั้งอินพุตสำหรับสัญญาณบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ XLR จำนวน 2 ชุด (12, A1 – A2) และอินพุตสำหรับสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์ผ่านขั้วต่อ RCA อีก 3 ชุด (13, A3 – A5) นอกจากนั้น ยังมีช่อง output สำหรับส่งออกสัญญาณอะนาลอกมาให้อีก 2 ชุด (14) เป็นช่องเอ๊าต์พุตสัญญาณอะนาลอกระดับ Line Level ที่ให้ความแรงสัญญาณแบบ fixed เต็มสเกลคงที่ ไม่ผ่านวอลลุ่ม กับช่องเอ๊าต์พุต Pre แบบ variable ที่ผ่านวอลลุ่ม
ให้ขั้วต่อสายลำโพงมา 2 ชุดแยกสำหรับแชนเนลขวา (15) และแชนเนลซ้าย (16) ข้างละชุด ตัวขั้วต่อมีขนาดใหญ่ ให้การจับยึดขั้วต่อของสายลำโพงได้หลายรูปแบบตั้งแต่ปลอกสายเปลือยไปจนถึงผ่านขั้วต่อแบบหางปลาและแท่งบานาน่า ตัวนำด้านในขั้วต่อชุบทอง ส่วนบอดี้ที่หุ้มอยู่ด้านนอกทำด้วยวัสดุฉนวนใสๆ แต่แข็งแรง
เต้ารับสายไฟเอซีเข้าเครื่อง (17) เป็นแบบสามขาถอดเปลี่ยนสายได้ และมีเมนสวิทช์ (8) สำหรับปิด/เปิดไฟเอซีเข้าเครื่องคั่นอยู่อีกชั้น นอกจากนั้นก็มีอินเตอร์เฟซอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเสียงอีกจำนวนหนึ่ง อาทิเช่น ช่อง RS232 (9) สำหรับการตรวจเช็คภายใน, ช่องปล่อยสัญญาณกระตุ้น Trigger (10) และช่องรับสัญญาณคำสั่งจากรีโมทภายนอก (11)
โมดูล่าร์ ดีไซน์
การออกแบบแอมปลิฟายในยุคปัจจุบันมีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางแรกคือ เอาเทคนิควงจรขยายพื้นฐานเดิมๆ ที่ใช้กันตั้งแต่ยุคอะนาลอกมาใช้ออกแบบผสมผสานไปกับการปรับจูนพารามิเตอร์ต่างๆ รวมถึงการคัดเกรดคอมโพเน้นต์แต่ละจุดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่วงจรพื้นฐานเหล่านั้นจะให้ได้ ส่วนอีกแนวทางก็คือ ปฏิวัติการออกแบบเดิมๆ ทั้งโดยการใช้แนวคิดและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการตอบสนองกับคุณภาพเสียงที่ “ยกระดับ” ขึ้นไปอีกขั้น ฉีกทะลวงข้อจำกัดของวงจรขยายแบบเดิมๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของเสียงที่สอดคล้องกับ source ยุคปัจจุบันซึ่งอยู่บนพื้นฐานดิจิตัลให้ได้มากที่สุด
ถ้าเปิดฝาหลังของ i35 Prisma ออกมา คุณจะเห็นว่า ข้างในมันแน่นไปด้วยแผงวงจรอิเล็กทรอนิคที่อัดกันอยู่เกือบเต็มพื้นที่ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็จะพบว่า สิ่งที่อยู่ข้างในมันถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แยกเป็นส่วนสัดชัดเจน แบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน ส่วนที่อยู่ในกรอบสีเขียวคือส่วนของวงจรอิเล็กทรอนิคที่ทำหน้าที่เป็นแอมปลิฟาย, ส่วนที่อยู่ในกรอบสีแดงคือส่วนของโมดูลภาค DAC รุ่น DM35 และส่วนที่อยู่ในกรอบสีฟ้านั้นเป็นส่วนของโมดูลสตรีมเมอร์ Prisma รุ่น SM35
ภาคแอมปลิฟาย “Ultra Fast Power Device” (UFPD)
Primare เป็นแบรนด์ที่ยืนอยู่บนพื้นฐาน Engineering Design เริ่มจากส่วนของแอมปลิฟายที่พวกเขาเลือกใช้ภาคขยาย Class D ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของระบบ ด้วยเหตุผลที่ว่า การทำงานของภาคขยาย Class D มันมี “พฤติกรรม” ในการขยายสัญญาณเสียงที่สอดคล้องกับคุณสมบัติตามธรรมชาติของแหล่งต้นทาง (source) ที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัลมากกว่าวงจรขยายคลาสอื่นๆ
วิศวกรที่ออกแบบภาคขยายของ Primare ได้อ้างถึงฟังท์ชั่น “Insane Mode” ของรถยนต์ Tesla ซีรี่ย์ S รุ่น P85D ไว้ในบทความที่พูดถึงแนวคิดในการออกแบบภาคขยายของ Primare (UFPD Design Brief) โดยจับประเด็น “สปีดในการทำความเร็ว” ของเครื่องยนต์ของรถ Tesla รุ่นนั้นว่าสามารถทำความเร็วตั้งแต่ 0 – 60 ไมล์/ชั่วโมงได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 วินาทีเท่านั้น.! ซึ่งทีมออกแบบของ Primare พยายามโยงพฤติกรรมการตอบสนองความเร็วด้วยโหมด Insane Mode ของ Tesla เข้ากับ transient speed ในการตอบสนองกับสัญญาณฉับพลัน (impact) ของโน๊ตดนตรีที่ภาคขยายของแอมป์ “ควรจะ” ทำให้ได้เร็วที่สุดพร้อมด้วยพละกำลังที่มากพอ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดทรานเชี้ยนต์ ไดนามิกของเสียงเพลงออกมาได้ตรงตามธรรมชาติจริงๆ โดยไม่มีอาการหน่วงช้า ไล่ตั้งแต่อิมแพ็คไปจนถึงฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ด้วยแนวคิดพื้นฐานนี้เองที่ทำให้ทีมวิศวกรออกแบบของ Primare เลือกใช้วงจรขยาย Class D เป็นต้นทุนในการพัฒนาเพื่อให้บรรลุผลตามแนวคิดนี้
วิศวกรของ Primare ใช้เวลาศึกษา+พัฒนาภาคขยาย Class D อยู่นานถึง 30 ปี จนได้ออกมาเป็นภาคขยาย Class D ที่มีดีไซน์เป็นของตัวเอง ในชื่อที่ใช้จดทะเบียนการค้าว่า “Ultra Fast Power Device” ย่อว่า UFPD ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นๆ มากมาย อาทิเช่น
I. จ่ายกำลังขับได้เร็วมากประดุจสายฟ้า : อันนี้เป็นเวิร์ดดิ้งที่พวกเขาใช้ในบทความนะครับ (lighting-fast rist time) ผมไม่ได้เขียนขึ้นเอง และระบุด้วยว่าวงจรขยาย UFPD ของพวกเขาสามารถจ่ายกำลังขับได้มากให้กับความถี่ทั้งย่านที่ตอบสนองซะด้วย.. อันนี้คือสุด.! ทั้งมาก, ทั้งเร็ว และทั้งกว้าง
II. มีการควบคุมที่ดี : ภาคขยาย UFPD ยังสามารถควบคุมกำลังขับที่จ่ายออกไปได้อย่างแม่นยำในทุกๆ โหลดอิมพีแดนซ์ของลำโพงที่เปลี่ยนไป ด้วยคุณสมบัติของเอ๊าต์พุตอิมพีแดนซ์ของภาคขยายที่ต่ำมากๆ
III. ไม่มีเสียงรบกวน : ให้ความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม (Total Harmonic Distortion) ที่ต่ำมากๆ โดยให้ผลลัพธ์เท่ากันตลอดทั้งย่านเสียง
IV. ไม่ร้อน : ด้วยการทำงานของวงจรขยาย Class D ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้มีความร้อนเกิดขึ้นน้อยมาก แม้ว่าจะเป็นช่วงที่จ่ายกำลังสูงๆ ก็ไม่ร้อน ทำให้ไม่ต้องใช้ฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนขนาดใหญ่ ช่วยลดทางเดินสัญญาณให้สั้นลงและทำให้แผงวงจรมีขนาดเล็กลงด้วย
V. อัตราบริโภคไฟต่ำ : ซึ่งทาง Primare ได้คิดค้นภาคจ่ายไฟที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของวงจรขยายขึ้นมาด้วย ชื่อว่า “Active Power Factor Correction” (APFC) ทำให้การทำงานของภาคขยาย UFPD ไม่ส่งผลกระทบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ภาคขยาย UFPD กระชากไฟเข้ามาในวงจรสูงถึง 1,000 วัตต์ ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการบริโภคไฟของเครื่องเสียงชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในซิสเต็มเดียวกัน อือมม… น่าทึ่ง และน่าสงสัยว่ามันทำอย่างนั้นได้ยังไง.?
วงจรขยายแบบ Class D
Class D ไม่ใช่ดิจิตัลแอมป์อย่างที่หลายคนเข้าใจ วิธีการทำงานของภาคขยาย Class D คือการเอาสัญญาณอินพุตอะนาลอกที่อยู่ในรูปของคลื่นไซน์เวฟ (sine wave) เข้าไปทำการแปลงให้เป็นสัญญาณคลื่นหัวตัด–สแควร์เวฟ (square wave) แบบ PWM (Pulse-Width Modulation) จากนั้น สัญญาณสแควร์เวฟ PWM จะถูกนำไปผ่านฟิลเตอร์ให้กลับมาเป็นสัญญาณอะนาลอกไซน์เวฟที่ผ่านการขยายแล้วก่อนส่งออกไปทางเอ๊าต์พุต ซึ่งทั้งกระบวนการนี้ สัญญาณเสียงจะอยู่ในรูปของสัญญาณอะนาลอก (analog domain) ตลอดเส้นทาง ตั้งแต่อินพุตไปจนถึงเอ๊าต์พุต ไม่มีจุดไหนเลยที่มี “ดิจิตัล” เข้ามายุ่งเกี่ยว ด้วยเหตุนี้ วงจรขยาย Class D ที่ใช้ใน i35 จึงเป็นวงจรขยายแบบเพียวอะนาลอกเต็มตัว
ทำไมต้องใช้วงจรขยายแบบ Class D ในเมื่อเรามี Class A และ Class AB ให้ใช้อยู่แล้ว.? เหตุผลข้อแรกคือเรื่องของ “ประสิทธิภาพ” (efficiency) ในการขยายสัญญาณเสียง ซึ่งวงจรขยายแบบ Class D ให้ประสิทธิภาพในการจ่ายกำลังขับที่สูงถึง 90-95% เมื่อเทียบกับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ไปในวงจร ส่วนวงจรขยาย Class A มีประสิทธิภาพในการจ่ายกำลังขับได้แค่ 20%, Class B ได้ประมาณ 50% และวงจรขยาย Class AB มีประสิทธิภาพในการจ่ายกำลังขับอยู่ราวๆ 75% เมื่อเทียบกับทรัพยากรไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปเท่าๆ กัน
นอกเหนือจากเรื่องของประสิทธิภาพแล้ว อันที่จริง วงจรขยาย Class D ยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง ทั้งในแง่ของ ความเพี้ยนต่ำ, ไม่ร้อน และมีขนาดเล็ก ซึ่งผู้ผลิตบางเจ้านำเอาข้อดีของวงจรขยาย Class D เหล่านี้ไปใช้ในการออกแบบด้วยเป้าหมายเพียงเพื่อทำให้มีตัวเครื่องขนาดเล็ก ต้นทุนต่ำเพื่อขายราคาถูก โดยไม่ได้พยายามทำให้ได้เสียงที่ดีที่สุด นั่นทำให้ Class D ถูกมองและเข้าใจผิดว่าเป็นวงจรขยายที่ให้เสียงไม่ดีแต่เน้นราคาถูกมาโดยตลอด
“Ultra Fast Power Device” (UFPD)
คือวงจรขยาย Class D ระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่พัฒนาโดย Primare
สาเหตุที่ทำให้เสียงที่ได้จากวงจรขยาย Class D ออกมาไม่ดี เป็นเพราะความไม่เสถียรของการทำงานของภาคฟิลเตอร์ที่เปลี่ยนสัญญาณ PWM ให้กลับมาเป็นสัญญาณ sine wave ก่อนออกไปทางเอ๊าต์พุต ซึ่งความไม่เสถียรที่ว่านั้นเกิดขึ้นเพราะการทำงานของฟิลเตอร์ถูกรบกวนด้วยการเปลี่ยนแปลงของอิมพีแดนซ์ของลำโพงที่สวิงไปตามความถี่ของเพลงตลอดเวลานี่เอง แม้ว่าวงจรขยาย Class D โดยทั่วไปจะมีการใช้สัญญาณ negative feedback คอยตรวจเช็คพฤติกรรมทางด้านอิมพีแดนซ์ของลำโพงอยู่แล้ว แต่ถ้าสัญญาณ feedback ไม่เร็วพอกับการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอิมพีแดนซ์ของลำโพงและมีปริมาณ (gain) ไม่มากพอที่จะครอบคลุมได้ตลอดทั้งย่านความถี่ของสัญญาณเอ๊าต์พุต ก็จะส่งผลให้เกิดความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม (THD) ที่สูงขึ้น เมื่อเกิดความเพี้ยน THD มากขึ้น ผสมกับลักษณะเสียงที่เร็วและมีไดนามิกกว้าง ซึ่งเป็นบุคลิกตามธรรมชาติของวงจรขยายแบบ Class D เสียงที่ออกมาจึงมีลักษณะที่แห้ง กระด้าง และหยาบไม่น่าฟัง
วงจรขยาย UFPD ของ Primare ประกอบด้วยสัญญาณ feedback (B ในกรอบสี่เหลี่ยมด้านล่าง) ที่มี gain สูงถึง 26dB วิ่งเป็นลู๊ปคอยคลุมอิมพีแดนซ์ตลอดย่านความถี่ 20Hz – 20kHz/-0.2dB เพื่อรักษาการตอบสนองสัญญาณอินพุตให้มีความเสถียรตลอดเวลา และเพื่อทำให้วงจรขยาย UFPD ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มีความเสถียรสูงสุด สัญญาณ feedback จะต้องทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้วิศวกรของ Primare ทำการผนึกเอาวงจรขยาย Class D และวงจรฟิลเตอร์ตรงเอ๊าต์พุตเข้ามารวมไว้โมดูลเดียวกัน จัดวางไว้ใกล้ชิดกันเพื่อทำให้ทางเดินสัญญาณระหว่างกันสั้นที่สุด ลดเวลาในการเดินทางของสัญญาณฟีดแบ๊คให้น้อยที่สุด
โมดูล UFPD จะทำการปรับ loop gain ให้เหมาะสมกับสภาวะของสัญญาณอินพุตตลอดเวลา โดยไม่ทำให้มีอาการ clip และอาการอั้นของกระแส (current limit) เกิดขึ้น ซึ่งอาการทั้งสองนี้จะส่งผลเสียกับการทำงานของฟิลเตอร์ที่เอ๊าต์พุต ต้นเหตุของเสียงที่ไม่ดี วิธีขจัดอาการทั้งสองก็คือการปรับปริมาณของสัญญาณ feedback ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและทันกับลักษณะของโหลดอิมพีแดนซ์ตรงเอ๊าต์พุต (ลำโพง) ที่สวิงตลอดเวลา จากการทำงานของ UFPD ลักษณะนี้กับทุกๆ ความถี่ตลอดย่าน ส่งผลให้สามารถขจัดปัญหาเรโซแนนซ์ที่เกิดจากการทำงานของวงจรฟิลเตอร์ลงไปได้ทั้งหมด เป็นผลให้ความเพี้ยน THD ตลอดทั้งย่านเสียงถูกคลุมให้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก และด้วยความสามารถในการจัดการกับโหลดอิมพีแดนซ์ที่ครอบคลุมได้กว้างตลอดย่านความถี่ตอบสนองนี่เองที่ทำให้วงจรขยาย คลาส ดี UFPD ของ i35 Prisma สามารถขับลำโพงใดๆ ได้เสียงที่ออกมาดีพอกัน โดยที่ยังคงรักษาคุณสมบัติในการควบคุมการทำงานของภาคขยายให้มีความเที่ยงตรงไว้ได้ตลอดเวลา
UFPD 2 กับการอัพเกรดคุณภาพขึ้นไปอีกระดับ
i35 Prisma เป็นผลิตภัณฑ์แรกของ Primare ที่ใช้ภาคขยาย UFPD 2 ซึ่งเป็นภาคขยาย Class D ที่พัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพขึ้นมาจาก UFPD เวอร์ชั่นแรก
จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ภาคขยาย UFPD เวอร์ชั่นแรก (แสดงด้วยเส้นทึบ) ยังมีข้อด้อยบางประการปรากฏออกมาให้เห็น คือเมื่อเกนของสัญญาณถูกเร่งสูงขึ้นจะส่งผลให้ความถี่ตอบสนองหดแคบลง เป็นลักษณะที่ผกผันไปเรื่อยๆ เมื่อ gain ถูกเร่งขึ้นไปมากถึงระดับหนึ่ง (เพื่อเพิ่มกำลังขับให้สูงขึ้น) ปรากฏว่า ความถี่ตอบสนองในย่านสูงจะลาดต่ำลงตั้งแต่ก่อนถึง 20kHz อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียงแหลมมีอาการ roll-off เสียงโดยรวมไม่สดใส ไม่เปิดกระจ่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
ในเวอร์ชั่นสองของ UFPD 2 ทางวิศวกรของ Primare ได้ทำการออกแบบ output filter (lowpass filter) ซึ่งมีลักษณะเป็นขดลวดทองแดง (วงกลมในภาพด้านบน) ที่มีอัตราสโลปอยู่ที่ระดับ 2nd order (12dB/octave) ซึ่งมีผลทำให้เมื่อลดเกนขยายในย่านความถี่ต่ำลงนิดนึง จะส่งผลทำให้เกนของความถี่ในย่านแหลมสูงขึ้น (แสดงด้วยเส้นประในภาพบน) ได้โทนของเสียงตลอดย่านที่มีสมดุลของความถี่ที่ราบเรียบมากขึ้น ในขณะที่ปลายเสียงแหลมไม่ตกเพราะได้ความถี่ตอบสนองที่ไปได้ไกลถึง 20kHz ก่อนจะลาดต่ำลง ส่งผลให้รายละเอียดของเสียงตลอดย่านตั้งแต่ 20Hz – 20kHz ที่ดีเสมอกันไปตลอดซึ่งเป็นคุณสมบัติของภาคขยายในอุดมคตินั่นเอง
นอกจากนั้น ภาคขยาย UFPD 2 ยังถูกออกแบบให้ใช้จำนวนคอมโพเน้นต์ในวงจรเท่าที่จำเป็น เพื่อรักษาเส้นทางเดินสัญญาณให้สั้นที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ใช้ OPAMP ที่ใช้ในการปรับเกนของสัญญาณแค่ตัวเดียว แทนที่จะใช้มากถึง 5-6 ตัวเหมือนดีไซน์ของเจ้าอื่น ทำให้ได้ THD ในย่านความถี่ต่ำออกมาดี
นอกจากนั้น ในตัว i35 ยังใช้ภาคจ่ายไฟ APFC (Active Power Factor Control) ที่มีข้อดีสอดคล้องกับวงจรขยาย Class D “UFPD” อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นอีกด้วย
โมดูล SM35 Prisma
SM35 Prisma เป็นสตรีมเมอร์โมดูลที่ทำหน้าที่ดึงไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ใน NAS และจากผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ต เพื่อนำมาเพลย์แบ็คแล้วจัดส่งสัญญาณไปยังเอ๊าต์พุตใน Zone ต่างๆ สามารถสั่งงานและควบคุมการเล่นไฟล์เพลงบนโมดูลตัวนี้ผ่านทางแอพลิเคชั่น “Prisma” บนอุปกรณ์พกพา (แอพฯ ฟรี มีทั้ง iOS และ Android) สามารถสตรีมผ่าน Bluetooth ได้, ผ่าน AirPlay ได้, รองรับ Spotify Connect, ติดตั้ง Chromecast มาในตัวเพื่อให้รองรับการสตรีมไฟล์เสียงจากแอพฯ ต่างๆ ได้ด้วย
โมดูล SM35 ถูกนำมาติดตั้งในตัว i35 ซึ่งทำให้ i35 สามารถรองรับการสตรีมไฟล์เพลงได้ทั้งผ่านทาง Wi-Fi ไร้สาย (รองรับ WLAN IEEE 802.11 a/b/g/n และ 802.11 ac) และผ่านสาย Ethernet LAN นอกนั้นยังให้อินพุต USB-A มาหนึ่งช่องสัญญาณเสียบฮาร์ดดิสที่เก็บเพลงเพื่อให้ดึงเข้าไปเล่นผ่านอินพุต Network ของ i35 ได้ด้วย
โมดูล DM35 DAC
DM35 DAC เป็นโมดูลเสริมในส่วนของ digital input ที่ทำให้คุณสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลจากแหล่งเพลย์เยอร์ภายนอกเข้ามาที่ตัว i35 ผ่านทางสาย Optical, สาย Coaxial และสาย USB โดยไม่ต้องยุ่งกับเน็ทเวิร์คหรือบลูทูธแต่อย่างใด เหมาะกับคนที่มีเครื่องเล่นแผ่นซีดี, เครื่องเล่นแผ่นดีวีดี, เครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ฯ อยู่เดิม รวมถึงรองรับสัญญาณดิจิตัลจากอุปกรณ์ประเภท Streamer Bridge หรือ Streamer Transport ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณที่มาการสตรีมฯ ผ่านเน็ทเวิร์คแล้วปล่อยสัญญาณเอ๊าต์พุตออกมาทางช่อง Optical, Coaxial หรือ USB (แบบเดียวกับตัว Primare รุ่น NP5 นั่นเอง)
โมดูล DM35 มีช่องดิจิตัล อินพุตมาให้ทั้งหมด 7 ช่อง แยกเป็นอินพุต Coaxial จำนวน 2 ช่อง, อินพุต Optical จำนวน 4 ช่อง, ช่องอินพุต USB-B จำนวน 1 ช่อง และมีช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตมาให้ 1 ช่อง ผ่านขั้วต่อ Coaxial
ช่องอินพุต Optical (TOSLINK) และช่องอินพุต Coaxial รองรับสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต PCM ได้สูงสุดเท่ากันคือถึงระดับ 24/192 ไม่รองรับสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต DSD, ช่องอินพุต USB-B รองรับสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต PCM ได้สูงสุดถึงระดับ 32/768 และรองรับสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต DSD ได้สูงสุดถึงระดับ DSD256 (11.2MHz) โดยมีไดเวอร์ XMOS Audio Driver ให้สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Windows เวอร์ชั่น 7, 8, 8.1 หรือ Windows 10 ในการเล่นกับไฟล์เพลงที่มีความละเอียดสูงกว่า 24/96 ขึ้นไป ส่วนคอมพิวเตอร์ Mac ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ OSX ตั้งแต่เวอร์ชั่น 10.4 ขึ้นไปสามารถเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ได้โดยไม่ต้องใช้ไดเวอร์ ทางด้านช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่ให้มานั้นจะปล่อยสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตออกไปตาม resolution ที่ป้อนเข้ามาทางช่องดิจิตัล อินพุต (native output / output = input) และสามารถปล่อยสัญญาณอินพุตอะนาลอกที่เข้ามาทางอินพุตอะนาลอกให้ออกไปเป็นสัญญาณดิจิตัลได้ด้วย (เอาสัญญาณอะนาลอกไปผ่าน ADC หรือ Analog-to-Digital Converter) โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกเอ๊าต์พุตได้ 2 ระดับ คือ 48kHz หรือ 96kHz
เซ็ตอัพ source เพื่อทดสอบ i35
ผมเซ็ตอัพ source ที่ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของ i35 ครบทั้ง 3 รูปแบบ อย่างแรกคือ ใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียง Gold Note รุ่น Valore 425 Plus ติดหัวเข็มเอ็มซี Kuzma รุ่น CAR30 ทำหน้าที่เป็นชุดทรานสปอร์ต “ขุด” สัญญาณเสียงขึ้นมาจากร่องแผ่นเสียงแล้วส่งไปให้ภาคโฟโน สเตจของ VTL รุ่น TP-2.5i ทำหน้าที่ถอดรหัส RIAA ด้วย Step Up Tranformer + ภาคขยายหัวเข็ม MM ในตัว TP-2.5i ก่อนจะส่งออกไปที่อินพุต A3 (อันบาลานซ์ RCA) ของ i35
source แหล่งที่สองผมใช้เพลเยอร์ “3 กษัตริย์” ในตัวเดียวคือ เล่นแผ่นซีดี, เล่นแผ่น SACD และเป็น external DAC ในตัว ของ Accuphase รุ่น DP-570 ทำหน้าที่เล่นแผ่นซีดีและแผ่นเอสเอซีดี และรับสัญญาณดิจิตัลจาก Roon Nucleus เข้ามาใช้ภาค DAC ในตัว DP-570 ทางช่องอินพุต USB ก่อนจะปล่อยสัญญาณอะนาลอกตรงผ่านจากช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุต XLR ของ DP-570 ไปเข้าที่อินพุต A1 (บาลานซ์ XLR) ของ i35
สุดท้ายคือทดสอบประสิทธิภาพของอินพุต Streaming ของ i35 ด้วยการเชื่อมต่อสาย LAN (Ethernet) จาก router มาเข้าที่อินพุต Network ของ i35 แค่นี้ก็ทำให้ i35 มองเห็น NAS ที่ผมเก็บไฟล์เพลงของผมซึ่งเชื่อมต่ออยู่บนเน็ทเวิร์คเดียวกัน และเนื่องจากตัว Roon Nucleus ก็เชื่อมต่ออยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกัน (ดูที่เส้นลูกศรสีแดงในชาร์ตด้านบน) ทำให้โปรแกรม roon สามารถมองเห็นอินพุต Network ของ i35 ด้วยและสามารถเล่นไฟล์เพลงมาที่อินพุต Network ของ i35 ได้
สำหรับคนที่ไม่มี NAS ก็สามารถเอาแฟรชไดร้ที่เก็บไฟล์เพลงเสียบเข้าที่ช่อง USB-A ที่อยู่ใกล้กับเสาอากาศ Wi-Fi เพื่อสตรีมเพลงไปเล่นได้ เป็นอีกหนึ่งช่องทางอินพุตที่ i35 รองรับได้
ลองใช้แอพลิเคชั่น Prisma และ roon กับอินพุต Network ของ i35
แอพลิเคชั่น Prisma เป็นแอพฯ ที่ใช้ควบคุมสั่งงาน i35 ผ่านทางเน็ทเวิร์ค คุณสามารถดาวน์โหลดแอพฯ Prisma มาใช้ได้ฟรี ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่น Android และ iOS สำหรับอุปกรณ์พกพาทั้งสองชนิดนั้น ผมเคยเขียนอธิบายถึงลักษณะการใช้งานแอพฯ Prisma ตัวนี้ไว้ในรีวิวเน็ทเวิร์ค มิวสิค สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Primare รุ่น NP5 Prisma MK 2 (REVIEW) แนะนำให้เข้าไปอ่านลักษณะการใช้งานแอพฯ ตัวนี้ได้จากรีวิวนั้น
เมื่อใช้แอพฯ Prisma กับ i35 จะมีหัวข้อเมนู “Input settings” ปรากฏขึ้นมา ในขณะที่ตอนใช้กับ NP5 Prisma MK II จะไม่มีหัวข้อเมนูนี้ขึ้นมาให้ใช้เพราะตัว NP5 Prisma MK II ไม่มีช่องอินพุตนั่นเอง
อินพุตอะนาลอกทั้งหมดของ i35 ตั้งแต่ A1 – A5 จะมีหัวข้อการปรับตั้งอยู่ทั้งหมด 3 หัวข้อ ได้แก่ Volume = เป็นการปรับตั้งลักษณะการควบคุมความดังของอินพุตช่องนั้นว่าจะให้ควบคุมผ่านวอลลุ่มในตัว i35 ก็เลือกไปที่ ‘variable volume’ หรือถ้าจะให้บายพาสวอลลุ่มในตัว i35 ก็เลือกไปที่ ‘fixed volume’ ซึ่งเป็นการต่อตรง เสียงจะทะลุจากอินพุตช่องนี้ไปที่เอ๊าต์พุตของ i35 ด้วยระดับความดังเต็มสเกล มีไว้ใช้กับการรองรับสัญญาณอินพุตที่มาจากเอวี โปรเซสเซอร์ที่มีการควบคุมความดังด้วยวอลลุ่มของตัวเอวี โปรเซสเซอร์นั่นเอง (*ต้องระวังถ้าจะปรับตั้งเป็น fixed volume แนะนำให้ลดวอลลุ่มที่ปรีโปรเซสเซอร์ลงจนสุดก่อน)
หัวข้อที่สองคือ Input gain = เป็นการปรับตั้งเกนขยายที่ช่องอินพุตของ i35 โดยลดให้เบาหรือเพิ่มให้แรง ฟังท์ชั่นนี้มีไว้ให้ปรับจูนความดังของแต่ละอินพุตให้ออกมาใกล้เคียงกัน ซึ่งมีเร้นจ์ของเกนให้ปรับตั้งได้กว้างมาก อยู่ระหว่าง 30dB ไปจนถึง +30dB ส่วนหัวข้อที่สามคือ Input balance = เป็นการปรับความดังของแชนเนลซ้ายและขวาให้สมดุลกัน
สำหรับอินพุตดิจิตัล Coaxial และ Optical ทั้งหมด 6 ช่องรวมถึงอินพุต USB จะมีฟังท์ชั่นให้ปรับตั้งได้แค่ 2 หัวข้อ คือ Volume กับ Input gain เท่านั้น ไม่มีการปรับตั้งบาลานซ์ซ้าย–ขวาเหมือนอินพุตอะนาลอก ส่วนลักษณะการปรับตั้งก็เหมือนกับการปรับตั้งที่ช่องอินพุตอะนาลอกทุกอย่าง ส่วนอินพุต Network มีฟังท์ชั่นให้ปรับตั้งสำหรับการสตรีมไฟล์เพลง (Stream settings) แค่อย่างเดียวคือ Input Gain
ยังมีความแตกต่างอีกจุดเมื่อเทียบการใช้งานแอพฯ Prisma ระหว่าง NP5 Prisma MK II กับ i35 อยู่ที่หัวข้อ “Audio settings” ซึ่งมีอ๊อปชั่นย่อยให้เลือกไม่เหมือนกันเลย (ดูในกรอบแดงในภาพข้างบน) จากภาพจะเห็นว่า i35 มีฟังท์ชั่นให้ปรับตั้งมากกว่า เนื่องจาก i35 เป็นอินติเกรตแอมป์ในขณะที่ NP5 Prisma MK II เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตไม่มีภาคขยายเลยมีฟังท์ชั่นให้เลือกน้อยกว่า แต่ถ้าดูที่ฟังท์ชั่น Digital output จะเห็น i35 ปล่อยออกได้เต็มที่แค่ 96kHz และสามารถแปลงอินพุตอะนาลอกให้เป็นสัญญาณอะนาลอกเพื่อส่งออกได้ด้วย ในขณะที่ NP5 Prisma MK II ปล่อยได้ 192kHz แสดงถึงลักษณะการออกแบบที่แตกต่างกัน
แม็ทชิ่งลำโพงเข้ากับ i35
ในสเปคฯ ของ i35 ระบุกำลังขับข้างละ 150 วัตต์ที่โหลด 8 โอห์ม และสามารถปั๊มกำลังขับเพิ่มขึ้นมาได้สูงถึง 300 วัตต์ต่อข้าง เมื่อโหลดของลำโพงลดต่ำลงเป็น 4 โอห์ม นั่นก็แสดงว่าภาคขยายของ i35 จัดเตรียมกำลังสำรอง (กระแส) ไว้มากถึง 1 เท่าตัว.! ตลอดย่านความถี่ตอบสนองที่ครอบคลุมตั้งแต่ 20Hz – 20kHz โดยมีอัตราความลาดชันของความดังอยู่ที่ระดับ -0.2dB
ปกติแล้ว การระบุสมรรถนะทางด้าน “กำลังขับ” ของแอมป์ทั่วๆ ไปที่มี “กำลังสำรอง” (ความสามารถในการจ่ายกระแสในสภาวะที่โหลดของลำโพงลดต่ำกว่าอิมพีแดนซ์มาตรฐานที่ 8 โอห์ม) ไม่มากพอ ผู้ผลิตแอมป์ตัวนั้นมักเลี่ยงที่จะแจ้งตัวเลขของกำลังขับที่โหลดต่ำกว่า 8 โอห์มเอาไว้ คือแจ้งแค่ว่าที่โหลด 8 โอห์มจ่ายกำลังขับได้กี่วัตต์ แต่ไม่ระบุว่าที่โหลด 4 โอห์มจ่ายกำลังได้กี่วัตต์ ซึ่งเดาได้เลยว่า แอมป์ตัวนั้นไม่สามารถจ่ายกำลังขับออกมาได้มากเป็น 2 เท่าที่โหลด 4 โอห์มเพราะมันมีกำลังสำรองไม่มากถึง 2 เท่าเมื่อโหลดของลำโพงลดลงไปอยู่ที่ 4 โอห์ม ในทางกลับกัน ถ้าแอมป์ตัวไหนกล้าระบุตัวเลขกำลังขับที่โหลด 4 โอห์มออกมาประกบกับตัวเลขที่โหลด 8 โอห์ม แสดงว่าผู้ผลิตมีความมั่นใจถึงสมรรถนะในการจ่ายกระแส (กำลังขับ) ของแอมป์ตัวนั้นว่าสามารถจ่ายกำลังขับได้มากขึ้นเป็นสองเท่าจริงๆ เมื่อสภาวะของโหลดลดต่ำลงไปถึง 4 โอห์ม
i35 ระบุกำลังขับไว้ทั้งที่โหลด 8 โอห์มและโหลด 4 โอห์ม แสดงว่าผู้ผลิตมั่นใจในสมรรถนะการจ่ายกำลังมาก ผมจึงแยกการทดสอบทางด้านกำลังขับของ i35 เอาไว้เป็น 2 ช่วง โดยที่ช่วงแรกจะใช้ลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 8 โอห์มจับกับ i35 ก่อน หลังจากนั้นจะใช้ลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 4 โอห์มมาลองจับกับ i35 อีกที ซึ่งในห้องฟังของผมขณะที่ทดสอบ i35 มีลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 8 โอห์มอยู่แค่ 2 คู่ คือ ATC รุ่น SCM7 เวอร์ชั่นที่สอง กับ Totem Acoustic รุ่น Sky ส่วนที่เหลืออีก 2 คู่ คือ Totem Acoustic รุ่น The One กับรุ่น Element ‘Metal’ มีอิมพีแดนซ์ 4 โอห์มทั้งสองคู่
ทดสอบยกแรก
ลองจับคู่ i35 กับลำโพง 8 โอห์ม
ATC ‘SCM7’ เป็นลำโพงที่หาแอมป์ขับออกมาให้ดีได้ยาก เพราะพื้นฐานมันคือลำโพงที่ออกแบบโดยบริษัทที่ทำลำโพงมอนิเตอร์ที่ใช้ในสตูดิโอมาก่อน มันจึงต้องการแอมป์ที่มีสมรรถนะสูง ไม่ใช่แค่กำลังขับที่มากพออย่างเดียว แต่ต้องสามารถรับมือกับเน็ทเวิร์คที่ค่อนข้างโหดของลำโพงคู่นี้ได้ด้วย ความไวของ SCM7 อยู่ที่ 84dB (8 โอห์ม) ถือว่าค่อนข้างต่ำ และเนื่องจากตัวตู้ของ SCM7 เป็นตู้ปิด แรงต้านของมวลอากาศในตู้ที่กระทำกับด้านหลังของไดอะแฟรมจึงค่อนข้างสูง เป็นอุปสรรคต่อการขยับตัวเดินหน้า–ถอยหลังของไดอะแฟรม ต้องใช้พลังของแอมป์เข้าไปช่วย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าแอมป์มีสมรรถนะไม่ถึง จะไม่สามารถควบคุมเสียงของลำโพง ATC คู่นี้ได้ โฟกัสของกลาง–แหลมจะแกว่งตลอด ไม่คมและไม่นิ่ง ในขณะที่ทุ้มก็จะไม่เป็นลูก เบลอและไม่ปลดปล่อยออกมาเต็มที่
เมื่อจับคู่ SCM7 กับ i35 ผมพบว่า SCM7 ปลดปล่อยเสียงออกมาได้อย่างหลุดลอย ไม่มีความรู้สึกแข็งขืนใดๆ เลย ทุกเสียงที่พุ่งผ่านลำโพงออกมามีลักษณะที่สงบนิ่ง ให้ไทมิ่งที่แม่นยำและให้อัตราสวิงของไดนามิกที่เปิดกว้าง ทุกชิ้นดนตรีหลุดลอยออกไปนอกตัวตู้อย่างง่ายดาย ผมใช้สเกลวอลลุ่มของ i35 แค่ 40 – 45 เท่านั้น (สูงสุดบิดขึ้นไปได้ถึง 99) ก็ได้ทั้งความดังและอัตราสวิงไดนามิกที่เกินพอ เสียงลอยเต็มห้อง เป็นอีกครั้งที่ SCM7 ทำงานได้อย่างเป็นอิสระและปลดปล่อยอย่างมาก สะท้อนถึงสมรรถนะในการควบคุมลำโพงที่ “เหลือเฟือ” ของ i35 ตัวนี้
Totem ‘Sky’ (ความไว 87dB / 8 โอห์ม) เป็นลำโพงที่ขับง่ายกว่า SCM7 เมื่อจับกับ i35 มันก็แสดงศักยภาพที่โดดเด่นของมันออกมาให้ได้ยินทันที เริ่มจากรายละเอียดที่พร่างพรายระยิบระยับตั้งแต่ปลายสุดของเสียงแหลมไต่ลงไปถึงอ็อกเตรปสุดท้ายของเสียงทุ้มที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมา ซึ่งคนที่ทราบกิติศัพท์ของลำโพงแบรนด์นี้จะรู้ว่า ถ้าแอมป์ไม่ดีจริง จับกับลำโพงโทเท็มแล้วไม่สามารถสะกดไดอะแฟรมของดอกทุ้มและดอกแหลมให้ถ่ายทอดโฟกัสของเสียงที่คมชัดและนิ่งตลอดเวลาได้ เสียงที่ได้ออกมาจะแห้งเป็นกระดาษทราย ฟังแล้วรำคาญหูอย่างมาก แต่ถ้าแอมป์เอาอยู่ รายละเอียดที่พรั่งพรูออกมาจากลำโพงคู่นี้จะทำให้รู้สึกทึ่ง
หลักฐานพยานแรกที่พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะที่สูงยิ่งของ i35 ตัวนี้คือมันสามารถดึงเอาความ “ฉ่ำ” และความ “กังวาน” ออกมาจากเสียงแหลมของ Sky ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบางคนเข้าใจว่าลำโพงโทเท็มเสียงแข็งและแห้ง จึงเอาแอมป์หลอดไปจับเพื่อหวังจะลบอาการแห้งและแข็งที่ว่า ซึ่งถ้าเป็นแอมป์หลอดที่มีกำลังขับสูงๆ ผลของเสียงที่ออกมาก็อาจจะพอรับฟังได้ คือได้ความนุ่มและเนียน แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของลำโพงแบรนด์นี้ จริงๆ แล้ว ลำโพงโทเท็มต้องการแอมป์ที่ตอบสนองได้ “เร็ว” และสามารถจ่ายกระแสได้มากพอโดยไม่ได้เกี่ยงว่าจะเป็นดีไซน์แบบไหน เพื่อดันความสามารถในการถ่ายทอดไดนามิกที่ดีเยี่ยมของมันออกมาได้เต็มสเกล เนื่องจากตัวตนของลำโพงโทเท็มคือเด่นที่ความสด กระจ่าง ซึ่งอิงอยู่กับ “ไทมิ่ง” และ “ไดนามิก” นั่นเอง
แอมป์ที่เหมาะสมกับลำโพง Totem มากที่สุดคือแอมป์ที่สามารถดึงไดนามิกของลำโพงออกมาได้เต็มสเกล และต้องให้โฟกัสที่คมชัด (ไทมิ่งต้องเป๊ะ) ในขณะเดียวกัน ถ้าแอมป์ตัวนั้นมีกำลังสำรองมากพอที่จะสามารถดึงความฉ่ำของเสียง (ฮาร์มอนิก) ออกมาจากลำโพงโทเท็มได้ด้วยก็ถือว่าสุดยอด ซึ่งเสียงที่ได้ยินจาก Sky ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งประจักษ์พยานที่ช่วยยืนยันถึงสมรรถนะของภาคขยายคลาส ดี UFPD 2 ของ i35 ว่าตัวเลข 150 วัตต์ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ของ i35 ตัวนี้ไม่ใช่ของปลอม มันทำงานได้จริง สามารถคุมการขยับตัวของไดอะแฟรมของไดเวอร์ทั้งสองตัวของ Sky ได้อย่างอยู่หมัด ส่งผลให้ไทมิ่งของเพลงมีความแม่นยำมาก ฟังเพลงช้าก็ไม่รู้สึกเฉื่อย ฟังเพลงเร็วก็ตามติดได้ทุกจังหวะโดยไม่รู้สึกว่าถูกเร่งจนตามไม่ทัน พอไทมิ่งเป๊ะ ผมก็สามารถแยกแยะเสียงดนตรีแต่ละเสียงและเสียงร้องในแต่ละเพลงออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่มีเสียงอะไรที่หลุดพ้นการได้ยินแม้กระทั่งเสียงที่แผ่วเบาที่สุดก็ยังปรากฏออกมาให้ได้ยิน ซึ่งประเด็นนี้สะท้อนถึงคุณสมบัติทางด้าน S/N ratio ของแอมป์ตัวนี้ด้วย ซึ่งมันก็ทำได้ดีมาก พื้นเสียงที่ออกมามีความใส สะอาด ทุกเสียงที่ออกมาจึงมีความชัดเจนโดยไม่ push หรือดันเสียงให้ล้ำออกมาด้านหน้า เห็นได้ชัดตอนลองฟังเพลงคลาสสิกประเภทซิมโฟนี ออเครสตร้า ซึ่ง i35 ตัวนี้สามารถดันเปิดแอมเบี้ยนต์ให้แผ่จากตำแหน่งของลำโพงกระจายออกไปรอบด้าน ในขณะที่วงทั้งวงวางตัวลึกเข้าไปทางด้านหลังของระนาบลำโพง
สิ่งที่ผมรู้สึกชอบมากคือ i35 สามารถดึง “ความฉ่ำ” ออกมาจาก Sky ได้นี่แหละ.! ซึ่งความฉ่ำที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากการทำให้เสียงเฉื่อยช้าด้วยการดีเลย์สปีดการตอบสนองทรานเชี้ยนต์ แต่เป็นความสามารถของแอมป์ที่ควบคุมการขยับตัวของไดเวอร์ได้ละเอียดลงไปถึงระดับฮาร์มอนิกที่สั่นกระเพื่อมต่อจากเสียงหลักออกไปเป็นระลอกๆ นั่นเอง ความฉ่ำที่ว่าจึงเกิดจากฮาร์มอนิกหรือหางเสียงที่ทอดยาวออกไปได้อย่างถูกต้องตามจังหวะเวลาของการเกิดฮาร์มอนิกที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ได้มาจาก “กำลังสำรอง” ของแอมป์ที่มากพอในการควบคุมตั้งแต่ fundamental ซึ่งเป็นส่วนของหัวโน๊ตไปจนถึง harmonic ที่เป็นหางเสียงของโน๊ตเหล่านั้นนั่นเอง
ทดสอบยกที่สอง
ลองจับคู่ i35 กับลำโพง 4 โอห์ม
หลังจากยกโทเท็ม The One เข้าไปแทนที่ Sky ผมพบว่า i35 ขับโทเท็ม The One ได้สบายๆ.! เสียงแผ่ออกมาเต็มห้อง ได้อัตราสวิงของไดนามิกออกมาเต็มสเกล มิติหลุดตู้ออกมาได้ตามความสามารถของลำโพง สรุปว่า ถึงจะเป็นลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำระดับ 4 โอห์ม (norminal) แต่ถ้าราคาขายของลำโพงคู่นั้นไม่ได้สูงกว่า i35 แอมป์ตัวนี้ก็ยังขับออกมาได้เต็มที่ ในฐานะที่เป็นเจ้าของ The One ผมยอมรับว่า ผลลัพธ์ที่ขับด้วย i35 ออกมาเป็นที่น่าพอใจมากสำหรับผม..
ผมค้นหาขีดความสามารถสูงสุดในการควบคุมลำโพงของ i35 ด้วยการทดลองให้มันขับลำโพงที่มีราคาสูงกว่าราคาค่าตัวของมันโดยจับคู่กับลำโพง Totem Acoustic รุ่น Element ‘Metal’ (91dB / 4 โอห์ม) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เห็นถึงบุคลิกของภาคขยายคลาส ดี UFPD 2 ของ i35 ที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อเจอกับลำโพงที่มีขนาดใหญ่ ผมพบว่า i35 ตัวนี้มันให้ผลออกมาต่างจากแอมป์คลาส เอบีทั่วไป คือปกติแล้ว เมื่อเจอกับลำโพงที่อยู่ในระดับเกินตัวมัน แอมป์ Class AB ทั่วไปมักจะให้เสียงที่ด้อยลงในทุกความถี่ที่สังเกตได้ ในขณะที่ภาคขยาย Class D ของ i35 ตัวนี้มันยังสามารถรักษาคุณภาพเสียงเอาไว้ได้ในระดับที่ดี
มีปฏิกิริยาแปลกๆ ของ i35 อย่างหนึ่งที่ผมค้นพบตอนเปลี่ยนลำโพง Element ‘Metal’ ลงไปแทน The One คือหลังจากยก The One ออกไป แล้วเอา Element ‘Metal’ ลงไปแทน เพลงแรกๆ ที่ลองฟังเสียงมันจะเป๋ๆ มั่วๆ นิดนึง ฟังจับประเด็นอะไรยังไม่ได้ เหมือนทุกอย่างแย่ลงไปมาก คิดว่าอาจจะต้องปรับแม็ทชิ่งหรือจูนอะไรเพิ่มเติม ผมเปิดทิ้งไว้แบบนั้นแล้วเดินออกจากห้องไปทำธุระข้างนอก หลังจากนั้นประมาณเกือบๆ ชั่วโมง ผมย้อนกลับเข้าไปในห้องฟังอีกที ปรากฏว่าเสียงทั้งหมดกลับมาเข้าที่เข้าทางได้เองโดยที่ผมยังไม่ได้ปรับจูนอะไรเลย.?? แม้ว่าฟังออกว่าผมอาจจะต้องขยับลำโพงอีกนิดเพื่อให้ได้โฟกัสที่เป๊ะมากขึ้น แต่ ณ จุดนั้น เสียงโดยรวมมันฟังดีกว่าตอนเปลี่ยนลำโพง Element ‘Metal’ เข้าไปใหม่ๆ มันเกิดอะไรขึ้น..???
หลังจากตั้งสติครุ่นคิดหาสาเหตุอยู่พักนึง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในบทความ Design Brief ของภาคขยาย UFPD 2 ระบุไว้ว่ามีการใช้ negative feedback ในการปรับการทำงานของภาคขยายให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามสภาพโหลดที่เอ๊าต์พุต ซึ่งนี่อาจจะเป็นคำตอบ เมื่อทำการเปลี่ยนลำโพงก็มีผลกับโหลดตรงเอ๊าต์พุตของ i35 เปลี่ยนไป วงจรขยาย Class D ‘UFPD 2‘ ในตัว i35 คงต้องการเวลาในการตรวจเช็คและปรับตั้งระดับของ negative feedback ใหม่เพื่อให้ภาคขยายในตัว i35 รองรับการทำงานร่วมกับโหลดของ Element ‘Metal’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โทนเสียงของ i35 ที่พุ่งผ่าน Element ‘Metal’ ออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตอนขับ Sky และ The One แต่ด้วย “คุณภาพโดยรวม” ที่สูงกว่าไปอีกขั้น.! และเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกัน หลังเปลี่ยนลำโพงเป็น Element ‘Metal’ แล้ว ผมก็ทดลองเปลี่ยนจากการสตรีมไฟล์เพลงด้วย roon nucleus ผ่านเข้าที่อินพุต Network ของ i35 มาเป็นสตรีมจาก roon nucleus ไปที่อินพุต USB ของ Accuphase รุ่น DP-570 โดยใช้สาย USB A>B ของ Kimber Kable รุ่น Copper แล้วดึงสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจาก DP-570 ไปที่อินพุตบาลานซ์ XLR ของ i35 โดยปรับเลือกเอ๊าต์พุต XLR ของ DP-570 ให้ขา 2 เป็นสัญญาณบวก (+) ปรากฏว่าได้เสียงที่ดีขึ้นอีกมาก ซึ่งผมจะใช้เสียงของอินพุต XLR ของ i35 ที่รับสัญญาณมาจากภาค DAC ของ DP-570 ในการสรุปผลการฟังต่อไปนี้
อัลบั้ม : The Full Flavour (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The Ray Gelato Giants
สังกัด : Linn Records
อัลบั้มนี้ถูกใช้ในการทดสอบ i35 ด้วยจุดประสงค์เพื่อวัดสมรรถนะทางด้านไดนามิกของ i35 โดยเฉพาะ เนื่องจากเพลงในอัลบั้มนี้เป็นแนวบิ๊กแบนด์ แจ๊สที่มีลีลาคึกคัก บีทกระชั้นเร็ว คลาคล่ำไปด้วยเสียงเครื่องเป่าที่อัดฉีดพลังแข่งกัน ตามติดด้วยเสียงกลองที่กระหน่ำไล่ตามเสียงทรัมเป็ตและสไลด์กันอย่างครึกครื้น ซึ่งอัลบั้มนี้ไม่ได้ใช้วัดแค่กำลังขับ แต่มันเป็นมอนิเตอร์ชั้นดีในการตรวจสอบสมรรถนะทางด้าน “สปีด” ในการจ่ายกำลังขับด้วย คือถ้ามีกำลังขับเยอะแต่จ่ายช้า ไม่ทันกับอัตราสวิงของเครื่องเป่าและกลอง เสียงที่ออกมาก็จะขาดความคมชัด ปลายเสียงจะพร่ามัว ไม่เรียวแหลม ซึ่ง i35 สอบผ่านโจทย์ยากๆ แบบนี้ไปได้สบาย และที่จริงแล้ว ดีไซน์ของลำโพง Element ‘Metal’ ของโทเท็มคู่นี้ที่ไม่ใช่วงจรครอสโอเว่อร์ที่ตัววูฟเฟอร์ก็มีส่วนช่วยให้ขับง่ายขึ้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เสียงของ i35 พุ่งผ่าน Element ‘Metal’ ได้อย่างมีพลัง เสียงกลางและแหลมไม่มีที่ติ สามารถสวิงไดนามิกได้เต็มสเกล อารมณ์เพลงมาเต็ม เสียงกลองและเบสก็ไม่ได้ช้า เกาะกลุ่มมากับเสียงกลางและแหลมได้ทัน ข้อด้อยอย่างเดียวที่ผมอยากให้ออกมาดีกว่านี้ก็คือ มวลเสียง ที่หากว่าได้เนื้อมวลที่หนาและอิ่มเข้มมากกว่านี้อีกหน่อยจะดีมาก (ใจผมนึกไปถึงปรี+เพาเวอร์ฯ ของ Primare โน่นเลย..!!!)
อัลบั้ม : A World Of Love (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ayako Hosokawa
สังกัด : FIM Records
นี่ก็เป็นอีกอัลบั้มที่ใช้ในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงบ่อยๆ รวมถึงใช้ทดสอบ i35 ครั้งนี้ด้วย จุดเด่นของอัลบั้มนี้อยู่ที่ให้สมดุลระหว่าง “ทรานเชี้ยนต์ ไดนามิก” กับ “คอนทราสน์ ไดนามิก” ที่ลงตัวกำลังดี จากประสบการณ์ผมพบว่า เพลงร้องส่วนใหญ่ที่ให้เสียงร้องที่มีลักษณะต่อเนื่องนุ่มนวลมากๆ เมื่อสังเกตเสียงของเครื่องดนตรีอื่นๆ ในเพลงเดียวกัน มักจะพบว่าเสียงดนตรีประกอบจะมีลักษณะที่เบลอมัวเพราะโฟกัสไม่คม และเคลื่อนไหวด้วยลักษณะที่ยวบยาบ เนื่องจากเสียงของเครื่องดนตรีที่มีลักษณะการบรรเลงด้วยวิธีตี เคาะ เขย่า มันให้ทรานเชี้ยนต์ไดนามิกที่ไม่เร็วพอ ทำให้เสียงดนตรีขาดความสด กระจ่าง ซึ่งอัลบั้มนี้จัดการกับเสียงร้อง (คอนทราสน์ ไดนามิก) กับเสียงเปียโน, เบสและกลอง (ทรานเชี้ยนต์ ไดนามิก) ได้ลงตัวมาก ทั้งเสียงร้องและเสียงเปียโน, เบส และกลอง ต่างก็ยังคงรักษาคุณสมบัติพื้นฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แอมป์ที่จูนเสียงมาทางนุ่มๆ (มากเกินไป) จะให้เสียงร้องของ Ayako ออกมาเนียน นุ่มและมีความต่อเนื่องมากเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกัน แอมป์ประเภทนั้นกลับทำให้เสียงเปียโน, เบส และกลองในอัลบั้มนี้ขาดความสด ทรานเชี้ยนต์ดีเลย์ ส่งผลให้โฟกัสของเสียงมีลักษณะที่เบลอและมัว ในขณะที่แอมป์ที่จูนเสียงมาเร็ว (slew rate สูงๆ) จะมีความสามารถในการจ่ายกำลังได้เร็ว และเก็บตัวเร็ว จะไม่มีปัญหานี้ เสียงของเปียโน, เบส และกลองในอัลบั้มนี้จะออกมาสด มีชีวิตชีวา ในขณะที่เสียงร้องก็มีคอนทราสน์ไดนามิกที่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง i35 จับกับ Element ‘Metal’ ให้เสียงออกมาตามที่ว่านี้เป๊ะ.!
เพลงที่ผมชอบใช้ทดสอบประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นคือแทรคแรก ‘Hey There’ กับแทรคที่ 6 เพลง ‘Someone That I Used To Love’ ซึ่ง i35 + Element ‘Metal’ แยกแยะสปีดของการบรรเลงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในสองเพลงนี้ออกมาได้เด็ดขาดมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง, เสียงเปียโน, เสียงกลอง และเสียงเบส ซึ่งผมรับรู้ได้ถึงความช้า-เร็วที่นักดนตรีแต่ละคนที่ดูแลเครื่องดนตรีเหล่านั้นกระทำลงไปกับเครื่องดนตรีของพวกเขา อะยาโก๊ะควบคุมเสียงร้องของเธอด้วยการลากเอื้อนแต่ละคำร้องให้เชื่อมโยงกันด้วยลูกคอที่ทอดกระเพื่อมออกไปเป็นชั้นๆ ในขณะที่เปียโนก็รักษาความคมของอิมแพ็คแต่ละหัวโน๊ตออกมาได้อย่างฉับไว และทิ้งหางกังวานออกไปนิดๆ ส่วนเบสก็ให้หัวโน๊ตที่คมชัด ฟังออกเลยว่าแต่ละโน๊ตถูกลงนำหนักนิ้วต่างกัน และบางโน๊ตมีการ extend ขยี้สายให้ปลายเสียงแผ่ทอดยาวออกไป เสียงกลองคมชัดทุกเม็ด ตั้งแต่สแนร์ไปจนถึงฉาบ ซึ่งสิ่งที่ได้ยินเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุม “ไทมิ่ง” ของเพลงที่ดีเยี่ยมของ i35
ทีแรกผมจัดลำโพง Totem Element ‘Metal’ ไว้จับคู่ทดลองฟังกับ i35 ลำดับหลังสุด เพราะผมมองว่า Element ‘Metal’ น่าจะขับยากที่สุดในจำนวนลำโพงทั้ง 4 คู่ที่ผมมีอยู่ตอนนี้ คือคาดเดาไว้ว่า i35 ไม่น่าจะดึงคุณภาพจาก Element ‘Metal’ ออกมาได้หมด คือผมตั้งใจที่จะใช้ Element ‘Metal’ เป็นตัวตรวจเช็คขีดจำกัดของ i35 แต่กลายเป็นว่า i35 ขับ Element ‘Metal’ ออกมาได้ผลลัพธ์ของเสียงที่ดีที่สุดในจำนวนลำโพง 4 คู่ที่ผมทดลองฟังกับมัน
นี่แสดงว่า ตัวเลขกำลังขับที่ 300 วัตต์ที่โหลด 4 โอห์ม ของ i35 ก็ไม่ใช่ตัวเลขหลอก.!! แต่มันน่าจะเป็นของจริงอีกเหมือนกัน เพราะดูจากลักษณะเสียงที่มันถ่ายทอดผ่าน Element ‘Metal’ ที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามเพลงที่ฟังได้ตรงตามลักษณะของเพลงเหล่านั้นทุกเพลงโดยไม่มีอาการหน่วงช้าเข้าไปปนเป็นสีสันแปลกปลอมอยู่ในเพลงที่ฟังเลย ฟังเพลงช้าๆ เนิบๆ ก็ออกมาช้าๆ เนิบๆ ตามนั้น พอเปลี่ยนไปฟังเพลงเร็วก็ได้ความคึกคัก สดกระจ่างออกมาตามลีลาของเพลงทันที แสดงว่า กำลังขับของ i35 มันควบคุม Element ‘Metal’ ได้อยู่หมัดนั่นเอง
สรุป
i35 เป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่สองที่ผมได้มีโอกาสทดสอบ ตัวแรกเป็น Network Streaming Transport รุ่น NP5 MK II (REVIEW) ส่วน i35 เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ Primare ที่ผมมีโอกาสทดสอบภาคขยาย Class D ที่ชื่อว่า UFPD 2 ที่แบรนด์นี้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งทำให้เห็นว่า พื้นฐานของภาคขยาย Class D มีคุณสมบัติที่ดีอยู่หลายข้อ ถ้าตั้งใจศึกษาและพัฒนากันอย่างจริงจังเหมือนอย่างที่ Primare ทำ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาบอกเลยว่าน่าอะแมซซิ่งมาก.!!!
จริงๆ แล้ว ผมมีโอกาสสัมผัสกับแอมปลิฟายที่ใช้ภาคขยาย Class D มาแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น ในการทดสอบอินติเกรตแอมป์ของ Sharp รุ่น SM-SX100 ราคาหลายแสน เสียงที่ออกมาก็มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยเมื่อเทียบกับแอมป์ Class AB ในยุคนั้น ซึ่งผมยังไม่ค่อยชอบเสียงในบางจุดของ Sharp ตัวนั้น ตัวต่อมาที่ผมได้มีโอกาสฟังและทดสอบไปเมื่อปี 2018 คือ Devialet รุ่น EXPERT Pro 220 (REVIEW) ซึ่งเป็นแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย Class D ที่พัฒนาขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เสียงที่ออกมาไม่เหลือคราบของเสียงบางๆ เปราะๆ เหมือน Sharp SM-SX100 ในอดีต โทนเสียงของ Devialet ตัวนั้นมันมีบุคลิกคล้ายแอมป์ Class A แต่มีไทมิ่งที่ฉับไวกว่า ต่อมาก็เป็น NAD หลายๆ รุ่นในยุคปัจจุบันก็ใช้ภาคขยายแบบ Hy-brid ที่มีพื้นฐานของภาคขยาย Class D ซึ่งเสียงที่ออกมาก็แทบจะไม่มีเค้าของแอมป์ Class D ในอดีตหลงเหลืออยู่เลย ถ้าจับคนมาทำ blind-test ให้ลองฟังเปรียบเทียบระหว่างแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย Class D กับ Class AB เชื่อว่าคงจะตอบผิดกันระนาว
ข้อดีของ Class D ในแบบฉบับ UFPD 2 ของ Primare บนรุ่น i35 ตัวนี้ที่ผมสัมผัสได้คือมันให้เสียงที่เคลียร์ ใส แต่มวลเนื้อไม่บาง ที่ผมชอบมากคือมัน “คลี่” ไดนามิกคอนทราสน์ออกมาได้ละเอียดมาก มันขยายสเกลไดนามิกของเสียงระหว่าง “เบา” (soft) กับ “ดัง” (loud) ที่แผ่กว้างออกไปได้มากกว่าแอมป์ Class AB ในระดับราคาใกล้เคียง ถ้าสังเกต คุณจะพบว่าแอมป์ Class AB บางตัวก็เริ่มพัฒนาให้เข้าใกล้ Class A มากขึ้นเพื่อหนี Class D ที่ไล่จี้เข้ามาทุกขณะ ยกตัวอย่างเช่น Gold Note รุ่น IS-1000 Deluxe ที่ผมเพิ่งทำการทดสอบไป (REVIEW)
ใครที่ยังมีความเข้าใจเก่าๆ เกี่ยวกับภาคขยาย Class D อยู่ ผมอยากจะแนะนำให้หาโอกาสทดลองฟังแอมป์ของ Primare ดูสักหน่อย ให้เวลาฟังมันสักพัก แล้วคุณจะพบว่า Class D ในปัจจุบันไม่ได้แย่เหมือนในอดีตแล้ว มิหนำซ้ำ ผมว่ามันมีข้อดีเหนือกว่า Class AB ที่ออกแบบไม่ถึงซะอีก..!!! /
************************
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Primare Thailand
โทร. 088-932-4456