ผมผ่านการทำทดสอบลำโพงยี่ห้อ Totem Acoustic มาด้วยจำนวนรวมที่มากกว่ายี่ห้ออื่นๆ ทั้งหมด เหตุผลก็เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ หลังจากผมหันมาบ้าเรื่องการเซ็ตอัพ ผมก็พบว่า Model 1 ของโทเท็ม อะคูสติกเป็นลำโพงที่ให้มิติเสียงมหัศจรรย์ มันสามารถขีดวาดสนามเสียงขนาดมหึมาขึ้นมาในอากาศได้อย่างน่าทึ่ง และยังให้เสียงทุ้มที่หนักและแน่นเกินตัว รวมทั้งไดนามิกที่สวิงได้กว้างและฉับไว ซึ่งทุกคนที่นมเพิ่งแตกพานในการเล่นเครื่องเสียงถ้าได้ยินเสียงของเจ้า Model 1 ขณะที่มันกำลังท็อปฟอร์ม เป็นต้องหลงมันอย่างบ้าคลั่งทุกคนไป
ตั้งแต่ทำ Model 1 ออกมาเมื่อปี 1993 จนถึงผลงานล่าสุดในปัจจุบันได้แก่รุ่น Signature One, Sky และรุ่น Skylight ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ ทุกรุ่นนั้นผ่านมือและสมองของ Vince Bruzzese มาทั้งหมด และจากการที่ผมมีโอกาสทดสอบเกือบทุกรุ่นที่ออกแบบมาด้วยพื้นฐานเดียวกับ Model 1 คือเป็นลำโพงสองทางขนาดกระทัดรัดสไตล์ mini-monitor ผมพบว่า ทั้งหมดนั้นต่างก็มี DNA เดียวกันทั้งหมด อะไรที่เคยเป็นจุดเด่นในเจนเนอเรชั่นก่อน ก็ยังคงปรากฏอยู่ในเจนเนอเรชั่นต่อมาด้วยศักยภาพที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ มาตามลำดับ คล้ายกับว่าคุณ Vince Bruzzese แกไปค้นพบความลับจักรวาลในการออกแบบลำโพงมาจากไหนสักแห่ง ไม่ว่าแกจะจับไดเวอร์ตัวไหนมาใส่ตู้ เสียงที่ออกมาก็สร้างความมหัศจรรย์ให้ได้ยินอยู่เสมอ!
ถึงเวลาของ “Skylight”
ผลงานที่ Vince Bruzzese หมายมั่นปั้นมือให้เป็น reborn ของ Model 1
ถูกรางวัลที่ 1 สองครั้งในชั่วชีวิตเดียวสำหรับคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณทำอะไรซ้ำๆ มาทั้งชีวิต มันก็อาจจะไม่ยากในการทำสิ่งที่เคยทำออกมาได้ดีอยู่แล้วซ้ำออกมาอีกครั้ง ตอนทำ Model 1 ออกมานั้น ผมว่าคุณ Vince แกมีเสียงในหัวอยู่แล้ว ที่เหลือก็คือจะโมดิฟายไดเวอร์ของ dynaudio กับ seas ด้วยวิธีไหนให้ได้เสียงออกมาตรงกับที่คิดไว้ในหัวเท่านั้น ซึ่งแกก็ทำออกมาได้สำเร็จ แต่ผมเชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมากับ Model 1 ยังไม่ใช่ “ที่สุด” ที่แกคิดไว้ นั่นเป็นที่มาของการออกแบบไดเวอร์ออกมาใช้เอง แต่สุดท้ายแล้ว การเอาไดเวอร์ที่คนอื่นออกแบบมาปรับจูนให้ออกมาเป็นเสียงที่ต้องการอาจจะเป็นทางของแกมากกว่า
ลำโพง Totem Acoustic รุ่น Sky ที่ผมทดสอบไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (REVIEW) แสดงให้เห็นถึง “เป้าหมายใหม่” ที่ Vince กำลังพยายามจะเดินไป เพราะมาตรฐานของ source ยุคใหม่ระดับไฮเรซฯ เป็นสัญญาณเสียงที่ให้รายละเอียดสูง ทำให้เขาไม่ได้หวังอยู่แค่ทุ้มที่หนักและแน่นเกินตัว หรือไดนามิกที่รุนแรงเหมือนอย่างที่โมเดล วันเคยทำได้มาก่อน แต่สิ่งที่เขาทำผ่านออกมาทาง Sky มันคือความหมายของคำว่า “HIGH RESOLUTION” ที่ไม่ได้เน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง แต่คุณสมบัติของเสียงทุกแง่ถูกรีดออกมาจากลำโพงสองทางที่มีขนาดตัวตู้ไม่ต่างจากรุ่น Model 1 ในอดีต
Totem Acoustic รุ่น Sky เป็นลำโพงสองทางวางขาตั้งที่ผมชอบมากคู่หนึ่ง เทียบเท่ากับลำโพงยี่ห้อ ProAc รุ่น Tablette 8 Signature ในอดีตซึ่งมีสถานะแบบเดียวกับ Sky คือเป็นรุ่นที่จูนเสียงมาต่างจากรุ่นอื่นๆ ของแบรนด์ คือไม่เน้นไปทางหนักแน่น แต่มุ่งมาทางละเอียด พร่างพราย พลิ้วไสว และลุ่มลึก
Skylight เป็นรุ่นที่เล็กลงมากว่า Sky หนึ่งขั้น แต่อยู่แนวทางเดียวกัน ผมจึงรู้สึกแปลกใจถ้าจะมีใครพูดว่า Skylight จะให้เสียงเหมือน Model 1 เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมว่ามันจะให้เสียงต่างออกไปอีกทางในรูปแบบที่ Model 1 ให้ไม่ได้ หรือให้ได้แต่ไม่เด่นเท่ามากกว่า อือมม.. ข้อนั้นเดี๋ยวคงต้องไปพิสูจน์กันจากการทดลองฟัง ตอนนี้เรามาพิจารณารูปทรงภายนอกของ Skylight กันก่อนดีกว่า ..
Skylight มาในตัวตู้รูปทรงมาตรฐานสากลคือกล่องสี่เหลี่ยมหน้าแคบ–ทรงสูง พื้นที่บนแผงหน้าจะแคบกว่าความลึกและความสูง ซึ่งเป็นดีไซน์ตัวตู้ที่ทำให้พื้นที่บนแผงหน้าตู้ส่งผลกระทบรบกวนกับการกระจายคลื่นความถี่ของไดเวอร์น้อยที่สุด ไม่ทำให้คลื่นเสียงที่แผ่ออกมาจากไดเวอร์เกิดการหักเหมุมกระจายเสียง (diffraction) ออกไป ซึ่งส่งผลดีต่อมิติ เวทีเสียง และความคมชัดของอิมเมจ เนื่องจากเฟสของสัญญาณที่แผ่ออกจากไดเวอร์มีความเที่ยงตรงตามต้นฉบับไปได้ตลอดเส้นทาง นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลำโพงของแบรนด์นี้มีสเปคฯ ทางด้าน phase response ทั้งในแกน (on axis) และนอกแกน (off axis) ที่ดีเยี่ยม นำมาซึ่งมิติเวทีเสียงที่เปิดแผ่ ครอบคลุมปริมณฑลได้กว้างขวาง หลุดตู้ออกไปได้รอบด้าน.. อย่างหมดจด!
ตัวตู้ของ Skylight ถูกกำหนดให้ทำงานในระบบตู้เปิด (open port) โดยระบายมวลอากาศจากภายในตู้เข้า–ออกผ่านทางท่อทรงกระบอกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 นิ้ว ที่เจาะไว้ที่แผงหลังของตัวตู้เยื้องไปด้านบน ตรงกับตำแหน่งติดตั้งทวีตเตอร์ ส่วนขั้วต่อสายลำโพงให้มาเป็นขั้วต่อโลหะชุบทองเกรดดีกว่ามาตรฐานของลำโพงระดับ mid-end ทั่วไป แยกการเชื่อมต่อสายลำโพงออกเป็น 2 ชุด เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแอมปลิฟายกับลำโพงคู่นี้ได้หลายรูปแบบ ทั้ง ซิงเกิ้ลไวร์ (ใช้สายลำโพงคู่เดียวแบบ 2>2), ไบ–ไวร์ (ใช้สายลำโพงแบบ 2>4) หรือจะใช้เพาเวอร์แอมป์สเตริโอ 2 ตัวต่อเชื่อมกับลำโพงคู่นี้แบบ Bi-amp ก็ได้
ดีไซน์
Vince Bruzzese มีวิธีออกแบบลำโพง 3 วิธี เรียงตามลำดับความซีเรียส วิธีแรก – คือเลือกไดเวอร์จากผู้ผลิตไดเวอร์มาจูนเสียงเอา คุณภาพเสียงที่ได้จากวิธีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของไดเวอร์นั้นๆ จะไปได้ไกลแค่ไหน, วิธีที่สอง – ซีเรียสมากขึ้นอีกขั้น นั่นคือสั่งผู้ผลิตไดเวอร์ทำให้ตามสเปคฯ ที่เขาต้องการ ส่วน วิธีที่สาม – ซึ่งถือว่าซีเรียสสุดๆ นั่นคือออกแบบและผลิตไดเวอร์ขึ้นมาใช้เองเลย (ไดเวอร์ของเขามีชื่อเรียกว่า “Torrent”)
Skylight เป็นลำโพงที่ใช้ไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ที่ Vince Bruzzese สั่งผู้ผลิตไดเวอร์เจ้าหนึ่งผลิตให้ตามสเปคฯ ที่เขาต้องการ เป็นไดเวอร์ขนาด 5.75 นิ้ว (14.6 ซ.ม.) ที่มีความพิเศษอยู่ที่กระบอกว๊อยซ์คอยแบบ copper capped voice coil ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.6 ซ.ม. (ประมาณ 3 นิ้ว) ทำงานร่วมกับทวีตเตอร์โดมผ้าขนาด 1 นิ้ว (ประมาณ 2.54 ซ.ม.) เพื่อช่วยกันสร้างความถี่ตั้งแต่ 51Hz – 26kHz (+/-3dB) ที่แผ่กระจายออกมาจากหน้าไดเวอร์ทั้งสอง โดยมีจุดแบ่งความถี่ระหว่างทวีตเตอร์กับมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์อยู่ที่ 2.5kHz โดยกำหนดลักษณะการ “ลดระดับ” ของความดัง ณ จุดตัดของทั้งฝั่งทวีตเตอร์และฝั่งมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ไว้ที่ 6dB/octave (first order) ซึ่งเป็นการปรับลดความดังแบบค่อนข้างลาด คือไม่ชันเลย ดูจากเงื่อนไขตรงนี้แล้ว พอจะเดาได้ว่าเสียงของ Skylight น่าจะออกไปทางมีเนื้อมีมวล ไม่น่าจะบาง
อีกจุดที่แสดงให้เห็นว่า Skylight คู่นี้ผ่านการไฟน์จูนระดับที่ละเอียดอ่อนมาแล้ว นั่นคือ “วงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์ค” หรือวงจรตัดแบ่งความถี่ที่ใช้ในลำโพงคู่นี้ ซึ่งคนที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับออกแบบลำโพงอยู่บ้างจะเข้าใจได้เลยว่า ลักษณะการออกแบบวงจรตัดแบ่งความถี่ของลำโพงคู่นี้มีข้อดีอย่างไร อย่างแรกที่เห็นคือ คุณ Vince แกใช้วิธีเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชิ้นเข้าด้วยกันด้วยวิธี hard-wired คือใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อ ไม่ได้ใช้วิธีบัดกรีอุปกรณ์แต่ละตัวลงบนแผงวงจรเหมือนวงจรครอสโอเวอร์ฯ ของลำโพงระดับกลางและล่างทั่วไป
เหตุผลที่ทำให้วิธีเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบฮาร์ดไวร์ให้ผลดีกว่าก็เพราะว่าสายสัญญาณจะส่งผ่านกระแสสัญญาณได้ดีกว่าเส้นทองแดงตัวนำ (ลายวงจร) บางๆ ที่พิมพ์อยู่บนแผ่นโพลีเมอร์ (แผงวงจร) ซึ่งประเด็นนี้มีความสำคัญ เพราะวงจรตัดแบ่งความถี่ของลำโพงเป็นวงจรพาสซีฟ ไม่ได้มีไฟเลี้ยงเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนวงจรแอ๊คทีฟ ไม่มีวงจรขยายเพื่อชดเชยใดๆ จึงเป็นธรรมดาที่กระแสสัญญาณจะต้องเกิดการสูญเสียไปในเส้นทางของวงจรบางส่วน ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์บนวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คด้วยสายสัญญาณจะทำให้การสูญเสียกระแสสัญญาณเกิดขึ้นน้อยกว่า ส่งผลดีต่อเสียง คือทำให้สัญญาณเสียงไปถึงไดเวอร์ได้ “เต็ม” กว่านั่นเอง
อีกเทคนิคที่ถูกนำมาใช้ในการออกแบบวงจรครอสโอเวอร์ฯ ของ Skylight นั่นคือ ออกแบบวงจรตัดแบ่งความถี่ที่ใช้อุปกรณ์น้อยชิ้นที่สุด และคัดเลือกเฉพาะอุปกรณ์เกรดสูงๆ มาใช้ ซึ่งช่วยลดความสูญเสียกระแสสัญญาณได้อีกทาง อีกทั้งการใช้อุปกรณ์น้อยชิ้นยังช่วยรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณเสียงไว้ได้อีกทางหนึ่ง และแม้แต่จุดที่ต้องมีการเชื่อมต่อด้วยการบัดกรี พวกเขาก็เลือกใช้ตะกั่วเงินของ WBT ที่วงการยอมรับในคุณภาพของมัน
อีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง ซึ่งเป็นจุดที่ Vince Bruzzese ให้ความสำคัญมาตลอดในการออกแบบของเขา นั่นคือ “ตัวตู้” ซึ่งหากมองจากภายนอกคุณจะไม่เห็นอะไรที่พิเศษกว่าแบรนด์อื่นๆ แต่ถ้ามีโอกาสแนะนำให้ทดลอง “อุ้ม” ลำโพงของแบรนด์นี้ขึ้นมา แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงความหนักและ “แน่น” ของลำโพงยี่ห้อนี้ คุณจะรู้สึกได้ถึงความ Solid ของตัวตู้ เพราะพวกเขาใช้วิธียึดผนังตู้แต่ละชิ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า Lock-mitered ซึ่งเป็นเทคนิคการเข้าไม้ด้วยสลักและอัดกาวที่ให้ความแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน และเพื่อขจัดปัญหาเรโซแนนซ์ภายในตัวตู้ คุณ Vince แกใช้ผนังตู้ที่ทำด้วยไม้ VDF (Variable Density Fiberboard) ซึ่งมีความหนาแน่นตรงขอบนอกมากกว่าเนื้อใน ซึ่งมีผลดีต่อเสียง คือลดโอกาสเกิดเรโซแนนซ์ในตัวตู้ลดไปได้มาก
แม็ทชิ่ง + เซ็ตอัพตำแหน่ง
ความไวของ Skylight ระบุไว้ที่ 88dB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “ปานกลางค่อนไปทางต่ำ” แสดงว่ามีแนวโน้มไปทางกินกำลังขับ แต่พอไปดูที่ตัวเลข Recommended Power หรือกำลังขับที่แนะนำ นักเล่นฯ กระเป๋าเบาก็พอจะใจชื้นขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง เพราะผู้ผลิตระบุแนะนำไว้ระหว่าง 20 – 110W เท่านั้นเอง จับเข้าสูตร “75% x maximum” ได้ออกมาเท่ากับ 82.5 วัตต์ต่อข้าง (110 x 75 หารด้วย 100) อ้างอิงที่โหลด 8 โอห์ม ซึ่งหาแอมป์ที่มีกำลังประมาณนี้ได้ไม่ยาก แค่แชนเนลละ 80W @ 8 โอห์ม เท่านั้น อินติเกรตแอมป์ระดับกลางๆ ก็พอมี เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ก็คือ Cambridge Audio รุ่น CXA81 นั่นแหละ.. เป๊ะเลย!
พอดีว่าผมมี CXA81 อยู่กับตัว เลยลองจับมันมาขับ Skylight ดูคร่าวๆ พบว่า CXA81 ขับดัน Skylight ออกมาได้ดีพอสมควร (โดยใช้สตรีมเมอร์ของ NAD รุ่น C 658 เป็นตัวป้อนสัญญาณต้นทางให้กับ CXA81) คือมัน (CXA81) สามารถขับดันตัวเสียงให้หลุดกระเด็นออกมาจากตัวตู้ของ Skylight ได้อย่างน่าพอใจ เมื่อผมทดลองเซ็ตอัพตำแหน่งของ Skylight ไว้ในพิกัดที่ห่างจากผนังหลังออกมาเท่ากับ “1/3 x ความลึกของห้อง” + “ระยะห่างซ้าย/ขวาอยู่ที่ 180 ซ.ม.” + “นั่งฟังในตำแหน่ง sweet spot แบบ nearfield” หลังจากขยับไฟน์จูนตำแหน่งอีกนิดหน่อยก็ลงตัว ณ ตำแหน่งจัดวางนี้ CXA81 สามารถวาดสนามเสียงออกมาจาก Skylight ในลักษณะที่เป็นสามมิติได้ คือมีทั้งความกว้าง x ลึก และสูง พลังขับในตัว CXA81 มากพอที่สามารถดันให้ Skylight โชว์เลเยอร์ความตื้น–ลึกของระนาบชั้นจากหน้าลงไปทางด้านหลังระนาบของลำโพงออกมาให้เห็น แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมคิดว่ายังไม่ใช่คุณสมบัติที่ Skylight มีอยู่ในตัว สิ่งนั้นคือ “ความอิ่มหนา” ของมวลเนื้อเสียง คือ ณ ตำแหน่งนั้น เสียงกลางต่ำลงไปถึงทุ้มตอนกลางๆ ที่ได้ออกมาจะค่อนข้างบาง เดาได้เลยว่าน่าจะมีหลายคนไม่ชอบใจลักษณะเสียงแบบนี้ ผมเลยทดลองขยับดันลำโพงทั้งสองข้างเข้าไปชิดผนังหลังทีละนิด ซึ่งทุกนิ้วที่ดัน Skylight เข้าไปชิดผนังด้านหลัง ผมได้ยินเสียงกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ ที่มีมวลหนาขึ้น ผมดันลงไปชิดผนังหลังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพบว่า เสียงกลางต่ำลงไปถึงทุ้มจะมีมวลที่หนาและแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน ผมพบว่า ทุกนิ้วที่ดันลำโพงคู่นี้ชิดผนังด้านหลังลงไป มันไม่ได้แค่ทำให้โทนัลบาลานซ์ของเสียงขยับเลื่อนลงไปทางด้านทุ้มมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังส่งผลไปถึง “ขนาดตัวเสียง” ของโน๊ตดนตรีที่อยู่ในย่านความถี่นั้นมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วย และหลังจากนั่งฟังไปสักพัก ผมพบด้วยว่า การสวิงไดนามิกของโน๊ตดนตรีที่อยู่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มมีลักษณะที่หดแคบลง สปีดของอิมแพ็คมีลักษณะหน่วงช้าลง อีกทั้งเลเยอร์แถวหลังๆ ของชั้นดนตรีที่อยู่หลังระนาบของลำโพงก็ขยับตื้นขึ้นมาชิดกับแถวหน้าๆ ด้วย (ผู้ผลิตแนะนำไว้ว่าสามารถวาง Skylight ชิดผนังหลังใกล้สุดได้ถึง 6 นิ้ว หรือประมาณ 15.24 ซ.ม. ขึ้นไปจนถึง 3 ฟุต หรือ 91.44 ซ.ม.)
บางคนที่ชอบเนื้อเสียงอิ่มๆ มากกว่ามิติกว้างๆ โปร่งๆ อาจจะชอบเสียงแบบนั้น เพราะได้โทนัลบาลานซ์ที่ฟังสบายขึ้น (เพราะทรานเชี้ยนต์ของไดนามิกลดความจริงจังลง) ตัวเสียงใหญ่ขึ้น โดยแลกกับไดนามิกเร้นจ์กับเวทีเสียงที่ตื้นขึ้นมาหน่อย แต่โดยทั่วไปก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อผมทดลองขยับดึงลำโพงทั้งสองข้างห่างจากผนังหลังขึ้นมาให้ใกล้กับตำแหน่ง “1/3 x ความลึกของห้อง” เหมือนเดิม ผมก็ได้เลเยอร์ของเวทีเสียงที่เรียงไล่ลงไปทางด้านลึกที่เป็นชั้นมากขึ้น ได้ช่องไฟระหวางชิ้นดนตรีภายในวงที่ถ่างกว้างมากขึ้น ได้ความกว้างของอัตราสวิงความดังของเสียงมากขึ้น แต่ที่ตำแหน่งนั้น ผมต้องเสียความอิ่มเข้มของตัวเสียงลงไปประมาณหนึ่ง ถ้าให้แลกกัน ผมอาจจะยอมขยับลำโพงถอยหลังเข้าหาผนังหลังอีกสักหนึ่งนิ้ว เพื่อให้ได้ความหนาอิ่มของเสียงเพิ่มขึ้นนิดหน่อยโดยแลกกับไดนามิกและความลึกของเวทีเสียงที่ด้อยลงเล็กน้อย เป็นจุดที่ให้ค่าเฉลี่ยที่ผมยอมรับได้
หลังจากฟัง Skylight ที่ขับด้วย CXA81 อยู่ประมาณสองวัน ผมก็ทดลองแม็ทชิ่งภาคขยายที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า CXA81 เพื่อลองขับลำโพงคู่นี้ดูบ้าง ด้วยการปรับตั้งให้ NAD C 658 ทำหน้าที่เป็นทั้งสตรีมเมอร์และปรีแอมป์ แล้วใช้สายสัญญาณบาลานซ์ XLR ของ Purist Audio Design รุ่น Musaeus ต่อเชื่อมระหว่างช่อง Pre-Out ของ C 658 ไปเข้าที่อินพุตของเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustic รุ่น V-3 แล้วใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลฯ รุ่น Musaeus ของ Purist Audio Design เชื่อมต่อเพื่อถ่ายทอดพลังจาก V-3 ไปที่ Skylight โดยเชื่อมต่อเข้าที่ขั้วต่อสายลำโพงคู่ล่างของ Skylight และโยงขึ้นคู่บนด้วยแท่งจั๊มเปอร์โลหะที่มากับตัวลำโพงเอง
ผลลัพธ์ที่ได้ยินทำให้ผมยิ้มออก ซึ่งเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ คืออย่าไว้ใจ Totem Acoustic เป็นอันขาด! เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่ามันให้เสียงออกมาดีแล้ว ขอให้พิจารณาที่แอมป์ฯ ที่ใช้ขับมันอีกที ถ้าเป็นแค่แอมป์เล็กๆ ที่มี “กำลังสำรอง” ไม่มากพอ ก็ขอให้เชื่อเถอะว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเปลี่ยนแอมป์ที่มีสเปคฯ สูงขึ้นกว่านั้นไปขับมัน มันจะแสดงปาฏิหาริย์ออกมาให้คุณถึงกับอ้าปากค้างได้เสมอ.!
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเปลี่ยนเอาเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustic V-3 ลงไปแทนอินติเกรตแอมป์ CXA81 ผมพบว่าเสียงของ Skylight มันขยับพุ่งขึ้นมาอีกหลายขั้น ด้วยพลังของ V-3 ที่สูงกว่า CXA81 ทำให้ผมสามารถขยับดึง Skylight ให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง 1/3 x ความลึกของห้อง จนได้ค่าเฉลี่ยของเสียงทุกด้านออกมาน่าพอใจสำหรับผมมากขึ้น คือได้ซาวนด์สเตจที่ขยายพองตัวออกไปรอบด้าน ได้การจัดเรียงลำดับของเลเยอร์ที่มีความชัดเจน เป็นชั้นๆ ลงไปมากขึ้น สามารถรับรู้ได้ถึง “ขอบเขต” ของแต่ละชิ้นเสียงได้ดีขึ้น โดยเฉพาะด้านลึกที่ถอยลงไปจนเลยระยะของผนังด้านหลังอย่างชัดเจน อาการทับซ้อนของชิ้นดนตรีลดน้อยลง เพราะชิ้นดนตรีทั้งหมดถูกแยกออกไปวางไว้ในตำแหน่งที่ห่างจากกันมากขึ้น นอกจากนั้น ภายในผืนอากาศที่เป็นช่องว่างระหว่างชิ้นดนตรีเหล่านั้นก็ปรากฏว่ามีมวลบรรยากาศห้อมล้อมแต่ละชิ้นอยู่ด้วย (ก่อนหน้าไม่รู้สึกว่ามี) และเมื่อทดลองฟังเสียงของเครื่องดนตรีอะคูสติกที่บันทึกสดๆ ในโบสถ์ (ของค่าย OPUS3 และ Proprius) ผมก็รับรู้ได้ถึงมวลฮาร์มอนิกที่แผ่ขยายออกมาจากชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน ซึ่งตอนขับด้วย CXA81 ผมก็ได้ยินเลาๆ ไม่รู้สึกชัดเท่านี้ และตอนนี้ เมื่อขับด้วย V-3 ที่ตำแหน่งนี้ เสียงไม่บางเหมือนตอนขับด้วย CXA81 ด้วย
เพาเวอร์แอมป์ V-3 ของ Ayre Acoustic ตัวนี้มีกำลังขับข้างละ 100 วัตต์ที่ 8 โอห์ม และมีกำลังสำรองที่สามารถปั๊มออกมาได้มากถึง 2 เท่าคือ 200 วัตต์ต่อข้าง เมื่อโหลดที่เอ๊าต์พุตลดลงไปอยู่ที่ 4 โอห์ม ซึ่งเป็นสเปคฯ ของแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่ Totem Acoustic ทุกคู่ชื่นชอบ! ผมขอเรียนให้คนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับลำโพง Totem Acoustic ได้ทราบว่า ลำโพงจากแคนาดาแบรนด์นี้คือ “ลำโพงกินแอมป์” มันคือลำโพงชูชกแห่งวงการเครื่องเสียง.! มันชอบดู๋ดี๋ไปกับแอมป์ที่ใหญ่กว่าระดับราคาของมัน หลังจากขยับตำแหน่งเพื่อปรับจูนอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมก็มาพบจุดลงตัวอยู่ที่ระดับห่างซ้าย/ขวาอยู่ที่ 174 ซ.ม. และได้ระยะห่างจากผนังด้านหลังอยู่ที่ 156 ซ.ม. ซึ่งเป็นระยะที่ผมใช้ในการฟังเก็บรายละเอียดช่วงสุดท้าย
เสียงของ Skylight
เมื่อจับกับเพาเวอร์แอมป์รุ่น V-3 ของ Ayre Acoustic และหลังจากผมทำการเซ็ตอัพตำแหน่งใหม่จนลงตัวแล้ว เสียงที่ผมได้ยินก็เชื่อได้ว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Skylight คู่นี้ คุณสมบัติของเสียง “ทุกด้าน” ที่นักเล่นเครื่องเสียงรู้จักและปรารถนาจะได้ยิน ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน ด้วยระดับคุณภาพที่ดีเยี่ยม ตามมาตรฐานของโทเท็มทุกประการ!
เมื่อได้ทั้งแอมป์ที่มีกำลังขับเพียงพอ และได้ตำแหน่งเซ็ตอัพที่ลงตัว เสียงของ Skylight ทำให้ผมหวนคิดถึงเสียงของ Sky ผู้พี่ของมันขึ้นมาทันที เสียงของมันทั้งคู่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ไดนามิกคอนทราสน์ดีมาก การไล่ระดับความดังจาก peak (ff = fortissimo) ลงมาหา soft (pp = pianissimo) และการไต่ระดับจาก soft ขึ้นไปหา peak ทำได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล แต่สเกลของอัตราสวิงไม่กว้างเท่ากับ Sky คือ Skylight จะให้ความดังสูงสุดต่ำกว่า Sky คือช่วงดังสุดๆ ของ Sky ทำได้ถึงระดับ fff (fortississimo) ในขณะที่ช่วงแผ่วเบากดลงไปได้ถึงระดับ ppp (pianississimo) ทำให้ฟังเพลงคลาสสิกประเภทออเคสเตชั่นได้ถึงอารมณ์กว่า แต่ถ้าฟังประเภทที่วงย่อมลงมาหน่อย หรือแนว duet กับ solo ที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น Skylight ก็ทำออกมาได้น่าพอใจมาก
อัลบั้ม : Copland: Fanfare For The Common Man & Ives: Holidays Symphony (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Dallas Symphony Orchestra, Donald Johanos; conductor
ค่าย : Analogue Productions
นี่แหละแนวที่ Totem ชอบ.! ท่อนขึ้นต้นของแทรคแรก “Fanfare For The Common Man” คือความหมายของนิยาม “เสียงหลุดตู้” ที่เด่นชัดมาก เมื่อนั่งฟังอยู่ในจุด sweet spot ที่ระยะห่างจากระนาบลำโพงในพิกัด nearfield ผมได้ยินทั้งเสียงเครื่องกลุ่มของเครื่องเป่าและเสียงกลองใหญ่ที่ลึกลงไปด้านหลังระนาบของลำโพงเป็นเมตร! โดยเฉพาะเสียงกลองใหญ่นั้น หลุดไปทั้งใบ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดเลยที่ดังออกมาจากตู้ลำโพงทั้งสองตู้ที่วางอยู่เบื้องหน้า และนอกจากอาการหลุดตู้แล้ว อีกจุดหนึ่งที่ Skylight ทำให้รู้สึกทึ่ง นั่นคือ ขนาดของตัวเสียงกลองใหญ่ที่แผ่กว้าง หัวเสียงก็มีความหนักและกระชับ
วงสีเหลืองในภาพบนคือลักษณะรูปเวทีเสียงของลำโพงส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเฟสนอกแกนตอบสนอง (off axis) ซึ่งเมื่อทดลองฟังเพลงแนวคลาสสิกวงใหญ่แล้ว จะพบว่า บริเวณความลึกแบบเฉียงๆ ลงไปทางมุมซ้ายและมุมขวาจะมีลักษณะเบลอและมัว ไม่คมชัด ส่วนวงสีฟ้าในภาพล่างคือลักษณะรูปเวทีเสียงของลำโพงที่ไม่มีปัญหาการตอบสนองเฟสของสัญญาณนอกแกน (off axis) เมื่อทดลองฟังเพลงแนวคลาสสิกวงใหญ่แล้ว จะได้ยินรายละเอียดของชิ้นดนตรีที่แผ่ออกไปในแนวลึกด้วยมุมที่เฉียงลงไปทางซ้ายและขวาของพื้นที่ด้านหลังลำโพงได้อย่างชัดเจน เมื่อนั่งฟังที่จุด sweet spot จึงได้รูปวงออกมาลักษณะเหมือนฟังวงออเคสตร้าอยู่ในฮอลล์จริงๆ
โทเท็มเป็นลำโพงที่เก่งทางด้านมิติ–ซาวนด์สเตจอย่างมาก นับว่าเป็นลำโพงอันดับต้นๆ สำหรับคนที่ชอบมิติ–เวทีเสียง โดยเฉพาะคนที่ชอบฟังเพลงแนวคลาสสิก เพราะลักษณะเวทีเสียงที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมานั้น มันเป็นความลึกที่แผ่จากด้านหน้าแล้วฉีกลึกลงไปด้านหลังระนาบลำโพงในลักษณะที่แผ่ออกไปเป็นรูปพัด ซึ่งเป็นลักษณะของเวทีเสียงที่ตรงกับความเป็นจริง นี่คือมรรคผลที่ได้จากการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับการตอบสนองเชิงเฟสทั้งในแกน on axis และนอกแกน off axis ซึ่งต่างจากความลึกของเวทีเสียงที่ได้จากลำโพงบางคู่ที่มีลักษณะเรียวลู่สอบเข้าไปตรงกลางระหว่างลำโพงทั้งสองข้างอันเนื่องมาจากเฟสของสัญญาณนอกแกน (off axis) ที่มาจากลำโพงทั้งสองข้างเกิดการหักล้างกัน
อัลบั้ม : Best Of Ray Lynch, Volume One (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Ray Lynch
ค่าย : Windham Hill
นี่ก็เป็นอีกอัลบั้มที่ Skylight แสดงคุณสมบัติ “เสียงหลุดตู้” ออกมาได้อย่างน่าหลงไหล มันทำให้ผมต้องนั่งฟังนิ่งเหมือนโดนสะกด มันสามารถจัดวางเสียงซินธิไซเซอร์ที่พร่างพรายหลากหลายขนาดในอัลบั้มนี้ให้ไล่เรียงกระจายกันไปอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ของเวทีเสียงได้อย่างแม่นยำ เกลี่ยไปได้อย่างสมดุล โฟกัสแต่ละชิ้นก็คมเป๊ะ! รูปวงเวทีเสียงก็ตามถนัดของโทเท็ม นั่นคือ มีสัณฐานที่ปรากฏครบทั้งสามมิติ คือกว้าง x ลึก x สูง ตอนนั่งฟังอยู่ตรงจุด Sweet Spot จะรู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยสรรพเสียงรายรอบตัว แต่ละเสียงมีความชัดเจนมากทั้งตำแหน่งและลักษณะการเคลื่อนไหว สนามเสียงเบื้องหน้าที่แผ่ออกมาจากลำโพงทั้งสองข้างถูกเชื่อมโยงเข้าเป็นผืนเดียวกัน จากซ้ายจรดขวา ไม่มีช่องว่างที่เป็นสุญญากาศเลย.!!
อัลบั้ม : Asian Roots (DSF64)
ศิลปิน : TaKeDaKe with Neptune
ค่าย : Denon
อัลบั้ม : Bamboo (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : John Kaisan Neptune & The Arakawa Band
ค่าย : Golden String
ฟังเพลงบรรเลงแนวนี้กับลำโพงคู่นี้แล้วติดใจ เลยเลือกมาลองฟังอีก 2 อัลบั้มข้างบนนี้ และหลังจากนั่งฟังไปเรื่อยๆ ผมก็สังเกตว่า เอ๊ะ.. ไม่ได้มีความรู้สึกเลยว่าเสียงมันบาง ทั้งๆ ที่ตัวลำโพงมันก็มีขนาดที่ไม่ได้ใหญ่โต แต่หลังจากลองฟังหลายอัลบั้มผ่านมา ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกเกิดขึ้นเลยว่าเสียงทุ้มมันน้อย หรือเนื้อเสียงบาง หรือเบสไม่พอ นั่นแสดงว่า Skylight คู่นี้ให้โทนัลบาลานซ์ของเสียงที่มีความสมดุลระหว่างสามความถี่หลักคือ ทุ้ม–กลาง–แหลม ที่มีปริมาณไม่ต่างกัน ผลคือไม่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกขาดที่ย่านเสียงใดเป็นพิเศษ การรับรู้รายละเอียดของเสียงที่อยู่ในทั้งสามย่านหลักยังคงมีความสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเปลี่ยนเพลงไปหลายๆ อัลบั้มอาจจะมีโทนัลบาลานซ์ของแต่ละอัลบั้มที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้ถึงกับรู้สึกขาด และจากการทดลองแม็ทชิ่งสายสัญญาณและสายลำโพงขณะทดลองฟัง ผมพบว่า Skylight คู่นี้ไปกันได้ดีมากกับสายสัญญาณ + สายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Musaeus ทั้งในแง่ของโทนัลบาลานซ์, ไดนามิก, ซาวนด์สเตจ และมวลเสียง
อัลบั้ม : Breaking Silence (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Janis Ian
ค่าย : Analogue Productions
กับเพลงที่มีจังหวะกระชับๆ ในอัลบั้มนี้ก็เป็นขนมหวานสำหรับลำโพงคู่นี้เช่นกัน ด้วยความสามารถในการตอบสนองต่อสปีดของสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้ดี มันจึงสามารถคลี่คลายรายละเอียดของเสียงดนตรีในแต่ละเพลงของอัลบั้มนี้ออกมาตีแผ่ให้ได้ยินทุกเม็ด อย่างเช่นเสียง snap ตีคอร์ดแบบตบลงไปบนสายกีต้าร์ที่ลำโพงข้างขวาในแทรคที่สองเพลง “Ride Me Like a Wave” มันออกมาชัดมาก ขนาดไม่ได้ตั้งใจจ้องจับ ยังรู้สึกเหมือนใครมานั่งเล่นกีต้าร์อยู่ตรงนั้น.!
เสียงร้องก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี อย่างในแทรคเพลง “Tattoo” เพลงที่สาม ไม่ใช่แค่ความคมชัดของตำแหน่ง แต่มันชัดแบบเจาะลึกลงไปให้เห็น (ด้วยหู) ถึงลักษณะที่เจนนีส เอียนปล่อยแต่ละคำของเนื้อร้องออกมาจากปาก Skylight แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้แค่ปล่อยให้คำร้องเหล่านั้นหลุดลอยออกมาจากปากเฉยๆ แต่เธอใช้วิธีการควบคุมลม ปอด และปรับริมฝีปากในการสร้างแต่ละคำร้องให้มีชีวิต มีอารมณ์ที่เน้นย้ำกำกับลงไปในแต่ละคำร้องด้วย เป็นรายละเอียดเหนือรายละเอียดไปอีกขั้น!
สรุป
ทุกคนสามารถทำลำโพงได้ แค่เสียเวลาเรียนรู้วิธีการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำลำโพงออกมาได้แล้ว หลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องของการค้นหา “ความลับจักรวาล” ในการปรับจูนเสียงของลำโพงให้ออกมาดี ซึ่งผมคิดว่า Vince Bruzzese ได้ค้นพบมันแล้ว และตอนนี้เขากำลังนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยการค่อยๆ ขัดค่อยๆ เกลาในจุดย่อยๆ ไปเรื่อยๆ เพราะจากการทดลองฟัง Skylight คู่นี้ แล้วนำไปเทียบกับความรู้สึกตอนที่ผมใช้ Model 1 เจนเนอเรชั่นแรก ผมว่า Skylight คู่นี้ไม่ได้เป็นแค่ reborn ของ Model 1 แต่มันอยู่เหนือ Model 1 ขึ้นไปอีกระดับ น้ำเสียงของ Skylight ไม่ได้อหังการ์เหมือนโมเดล วัน มันไม่ได้พยายามอวดศักดาในการถ่ายทอดเสียงเบสที่หนักแน่นเกินตัว แต่มันได้ขัดเกลาสิ่งที่นำเสนอออกมาให้มีส่วนผสมของความ “ละมุนละม่อม” มากยิ่งขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าโมเดล วัน
โน.!! ไม่ใช่การทำให้เสียงที่มีความคมชัดแบบอย่างโมเดล วันมีลักษณะที่เบลอหรือนัวลงไปเพื่อหลอกหูว่านุ่ม ทว่า Skylight คู่นี้ยังคงความคมชัดของโฟกัสในระดับ laser sharp อยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อโฟกัสลงไปในแต่ละตัวเสียงแล้ว ผมพบว่า ที่บริเวณขอบของตัวเสียงแต่ละตัวได้ถูกขัดเกลาให้มีความกลมมนลงไป ลดความแข็งของขอบคมๆ ลงไป ทำให้ความคมชัดนั้นเกิดมีความรู้สึกของรูปทรงที่เป็นสามมิติเข้ามาเพิ่ม ซึ่งส่งผลให้รู้สึกว่าแต่ละเสียงมีความโอนอ่อน ผ่อนปรน ในบางที และกระชับฉับไวในบางที ปรับเปลี่ยนไปตามเพลง ในขณะที่ความคมชัดแบบกลมกลึงเป็นสามมิติก็ยังคงปรากฏอยู่ตลอด
ถ้าคุณคิดว่า Skylight จะให้เสียงเหมือน Model 1 ในอดีต ผมต้องขอบอกว่าเสียใจด้วย เพราะ Skylight คู่นี้เสียงดีกว่า Model 1 ตั้งเยอะ..!! /
*********************
ราคา : 40,000 บาท / คู่
*********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: @DECO2000Thailand