นานกว่า 25 ปีมาแล้ว หลังจาก Totem Acoustics เปิดตัวลำโพงมินิ มอนิเตอร์รุ่น Model 1 ออกมา และด้วยประสิทธิภาพที่สุดติ่งของมัน จึงนำมาซึ่งสมญานามสุดยอด “มินิ–มอนิเตอร์” ที่ให้เสียงได้เกินตัวมาก ๆ ทุกคนที่ได้ฟังเสียงของ Model 1 ต่างก็ชื่นชมในประสิทธิภาพของมัน
โดยเฉพาะเสียงทุ้มที่ลงได้ลึกและให้น้ำหนักได้เกินตัว และต่างก็ทึ่งในความเปิดกว้างของไดนามิกเร้นจ์ที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมา รวมถึงความสามารถในการถ่ายทอดมิติ–ซาวนด์สเตจที่ฉีกกว้างกับโฟกัสของเสียงที่แม่นยำ จนเป็นที่มาของวลี “หลุดตู้” และ “ล่องหน” นั่นเอง..
Totem Acoustics ก่อตั้งเมื่อปี 1987 เป็นบริษัทขนาดเล็กจากเมืองมอนทรีล ประเทศแคนาดา บริหารงานโดยชายร่างสูงผมฟูใส่แว่นนามว่า Vince Bruzzese ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นทั้งประธานบริษัทและควบตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบเองด้วย ในอดีตช่วงเวลา 25 ปีที่ผ่านมา Vince Bruzzese ใช้พรสวรรค์ในการออกแบบของเขาเนรมิตลำโพงภายใต้ชื่อแบรนด์ Totem Acoustics ออกมามากมายหลายสิบรุ่น มีทั้งแบบตั้งพื้นและวางหิ้ง
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชื่อเสียงของลำโพงวางหิ้งรุ่น Model 1 ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมชิ้นแรกของเขาก็ยังคงได้รับการกล่าวขานอย่างต่อเนื่องเสมอมา สรรพคุณของมันยังคงได้รับการรำลึกถึงมาโดยตลอด ผ่านมือจากนักเล่นฯ รุ่นต่อรุ่นมาแล้วหลายเจนเนอเรชั่น เป็นครูสอนเทคนิคการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงให้กับนักเล่นฯ มาแล้วนับไม่ถ้วน และ Vince เองก็ไม่เคยทอดทิ้ง Model 1
เขาประคบประหงมด้วยการอัพเกรดมันต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่รุ่นแรกที่เป็นซิงเกิ้ล–ไวร์ มาเป็นไบ–ไวร์ และรุ่น Model 1 Signature ก่อนจะหยุดไลน์ผลิตของรุ่น Model 1 ลงใน ปี 2007 โดยนำเอาประสบการณ์ในการออกแบบทั้งหมดที่สะสมมาตลอด 20 ปี ไปอัดแน่นไว้ในรุ่นสุดท้ายในไลน์ผลิตคือรุ่น The One ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายที่สวยงามของตำนานโมเดล วันอันเลื่องชื่อ
Totem Acoustic รุ่น Sky
ศักราชใหม่ของ มินิ–มอนิเตอร์
ยุคไฮเรสฯ ออดิโอ นับเป็นความท้าทายอย่างมากที่ Vince Bruzzese ตัดสินใจทำลำโพงสองทางที่มีรูปลักษณ์ภายนอกละม้ายกับ Model 1 ออกมาแบบนี้ รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Sky ที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้ใช้ตัวตู้ที่มีทั้งรูปทรงสัณฐาน ขนาด และสีสันที่เหมือนกับรุ่น Model 1 ยังกะแกะ เห็นอย่างนี้แล้วอดคิดอคติไม่ได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่.? คิดจะหากินง่าย ๆ ด้วยการไปเอาตู้ของโมเดล วันที่เหลือ ๆ มาใส่ดอกใหม่รึป่าว.?
ผมลองเอารุ่น The One ของผมซึ่งเป็นเวอร์ชั่นทิ้งทวนสุดติ่งของโมเดล วัลมาลองเทียบส่วนสัดกันดูแล้ว ปรากฏว่า Sky มีความสูงกับความลึกมากกว่า The One อยู่หนึ่งเซนติเมตร ซึ่งอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างกันมากนักหากมองในแง่ของปริมาณอากาศในตัวตู้ แต่ถ้าพิจารณาตำแหน่งของการติดตั้งตัววูฟเฟอร์/มิดเรนจ์จะเห็นว่าต่างกันเยอะอยู่
เรียกว่าวางพิกัดกันไปคนละตำแหน่งเลย วูฟเฟอร์/มิดเรนจ์ของตัว Sky ถูกติดตั้งอยู่เกือบจะกลางแผงหน้า ในขณะที่เดอะ วันนั้น ตัววูฟเฟอร์จะติดค่อนลงมาทางฐานล่างมากกว่า (ดูภาพประกอบ) ซึ่งคนที่พอรู้เรื่องเกี่ยวกับการออกแบบลำโพงมาบ้างงู ๆ ปลา ๆ ก็คงทราบดีว่า ตำแหน่งติดตั้งมิดเรนจ์/วูฟเฟอร์ของลำโพงมีผลต่อเสียงมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีไดรเวอร์ต่างยี่ห้อต่างรุ่นคู่ไหนเลยที่จะใช้ตำแหน่งติดตั้งบนแผงหน้าของตัวลำโพงตำแหน่งเดียวกันแล้วให้เสียงออกมาดีเท่ากัน
ฉะนั้น แม้ว่ามิดเรนจ์/วูฟเฟอร์ของ Dynaudio ที่ใช้ในรุ่น The One และ Model 1 จะมีขนาดไดอะแฟรมเท่า ๆ กับมิดเรนจ์/วูฟเฟอร์ของ Morel ที่ใช้ในรุ่น Sky แต่จากตำแหน่งติดตั้งบนแผงหน้าที่ต่างกันมากย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าคุณ Vince แกคงจะทำการคำนวนมาแล้วอย่างละเอียด
ไม่ได้ก๊อปเอาพิกัดที่ใช้กับรุ่น Model 1 กับ The One มาสวมกันดื้อ ๆ มีข้อมูลจากสื่อออนไลน์หลายสำนักที่อ้างว่าได้คุยกับ Vince Bruzzese ซึ่งพอจับความได้ว่า เป้าหมายในการออกแบบ Sky คู่นี้อยู่ที่ความมุ่งหวังที่จะรักษาคุณสมบัติของเสียงที่ส่งผลถึงคุณภาพของเสียงโดยรวมมากที่สุดเอาไว้ ซึ่งคุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ “เฟสสัญญาณ” นั่นเอง
ในทางปฏิบัติก็คือเลือกใช้วงจรตัดแบ่งความถี่ระหว่างไดรเวอร์ทั้งสองตัวแบบ Quasi first-order ที่ใช้อัตราลาดชัน (slope) ของความถี่ ณ จุดตัด 2.5kHz ที่ระดับ 6dB ต่อออคเตฟ ทำให้สามารถรักษาความถูกต้องของเฟสสัญญาณเสียงให้ถูกต้องอย่างมั่นคงทั้ง “ในแกนตอบสนอง” และ “นอกแกนตอบสนอง” (on axis & off axis) รวมถึง “แนวราบ” และ “แนวดิ่ง” ขององศาการตอบสนองความถี่ของลำโพงด้วย
ไดรเวอร์ทั้งสองตัวที่เลือกใช้ในรุ่น Sky ประกอบด้วยวูฟเฟอร์/มิดเรนจ์ของ Morel รุ่น ECW 536 ขนาด 5 นิ้ว ตัวกรวยไดอะแฟรมทำมาจากโพลีเมอร์ผสม และมีการแดมป์เพิ่มความแกร่งเป็นพิเศษ ดัสแค๊ปขนาดใหญ่ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับการขยับตัวของไดอะแฟรม รับภาระในการขับดันความถี่ในย่านกลางลงมาถึงทุ้ม โดยเริ่มตั้งแต่ 2.5kHz ลงไปจนถึง 48Hz
ส่วนทวีตเตอร์ที่เลือกใช้เป็นซอฟท์โดมรูปทรงแปลกตา ยี่ห้อ Dr. Kurt Muller จากประเทศเยอรมนี ตัวไดอะแฟรมทำมาจากผ้าอาบน้ำยา ขึ้นรูปทรงโดมโค้งครึ่งวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.3 นิ้ว เซอร์ราวนด์ส่วนที่เชื่อมโยงไดอะแฟรมเข้ากับโครงตัวถังมีลักษณะเป็นลอนโค้งเล็ก ๆ ตัวบอดี้ (housing) ของทวีตเตอร์ยังมีลักษณะเป็นฮอร์นตื้น ๆ ที่ส่วนปลายผายออกเล็กน้อยเพื่อช่วยควบคุมมุมกระจายเสียงของความถี่ย่านสูงด้วย
สรุปแล้ว Sky ของ Totem ตัวนี้ไม่ได้ใช้ไดรเวอร์ที่ Vince ออกแบบเองเหมือนลำโพงในอนุกรม Element Series แต่กลับไปเดินตามแนวทางเดิมของ Model 1 คือหยิบเอาไดรเวอร์ของยี่ห้ออื่นมาโมดิฟายแล้วแก้ไขความเหลื่อมล้ำระหว่างไดรเวอร์ทั้งสองตัวด้วยการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คมาจูนเพื่อผสานกลืนการทำงานของไดรเวอร์ทั้งสองตัวเข้าด้วยกัน
ซึ่งดูเหมือนว่า Vince Bruzzese อยากจะสื่อให้รู้ว่า วูฟเฟอร์กับทวีตเตอร์จากผู้ผลิตอิสระที่มีอยู่ในตลาดทุกวันนี้มีประสิทธิภาพสูงพอ สามารถเลือกมาทำลำโพงดี ๆ ได้ถ้าคนทำเก่งจริง ซึ่งกลเม็ดที่ Vince Bruzzese นำมาใช้ในการปรับจูนไดรเวอร์ที่มาจากต่างผู้ผลิตให้ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบเนียนนั้น
นอกจากวงจรตัดแบ่งความถี่แล้ว “ตัวตู้” ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญสำหรับแบรนด์นี้ (ในโลกนี้มีคนออกแบบลำโพงอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือไม่เอาพลังงานของตัวตู้มาใช้เลย พยายามขจัดทิ้งทั้งหมด ส่วนอีกประเภทก็พยายามค้นหาวิธีดึงเอาพลังงานของตัวตู้มาใช้ประโยชน์ ซึ่งคุณ Vince Bruzzese แกเป็นนักออกแบบประเภทหลัง)
และโดยเฉพาะรุ่น Sky คู่นี้ซึ่งในสเปคฯ คู่มือระบุแจ้งไว้ว่าใช้วัสดุพิเศษที่ชื่อว่า “โบโรซิลิเคต” (Borosilicate) ที่มีลักษณะคล้ายซิลิโคน ฉีดเคลือบไว้บนผนังตู้ด้านในเพื่อช่วยควบคุมการปล่อยพลังงานของผนังตู้
เหตุผลที่เลือกใช้วัสดุโบโรซิลิเคตตัวนี้ก็เพราะว่าคุณ Vince Bruzzese แกค้นพบว่า วัสดุเก็บเสียงประเภทอื่นที่ผู้ผลิตลำโพงในอดีตส่วนใหญ่ชอบใช้ยัดไว้ในตู้ลำโพงเพื่อดูดซับคลื่นสั่นสะเทือนในตัวตู้นั้นมันทำให้เกิดผลข้างเคียงในแง่ลดทอนคุณภาพเสียง คือทำให้เสียงมีลักษณะทึบด้าน ขาดความสดใส โทนเสียงโดยรวมจะออกไปทาง dark ซึ่งเป็นเพราะวัสดุประเภทใยหินหรือฟองน้ำนุ่ม ๆ ที่นิยมใช้ยัดใส่ไว้ในตู้ลำโพงสมัยก่อนมันมีคุณสมบัติในการเก็บเสียงแหลมมากเกินไป
อีกอย่าง คุณ Vince Bruzzese แกเคลมว่า วิธีผสานชิ้นไม้แต่ละชิ้นที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตู้ลำโพงก็มีผลต่อคุณภาพเสียงมาก ซึ่งกรรมวิธีที่แกทำก็ต่างจากคนอื่นซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีผสานด้วยกาว แต่ตัวตู้ของ Totem Acoustics ทุกรุ่นรวมถึง Sky คู่นี้ใช้วิธีประสานกันด้วยการดามโครงและเข้าเดือยไม้ และได้มีการฉีดเคลือบผิวของผนังตู้ด้านในด้วยวัสดุที่ชื่อว่าโบโรซิลิเคตเพื่อควบคุมการปล่อยพลังงานของตัวตู้ให้มีลักษณะ “เสริม” กับการขยับตัวของไดอะแฟรมของตัววูฟเฟอร์/มิดเรนจ์ไปด้วย
ตัวตู้ของ Sky ทำงานในลักษณะตู้เปิด ถ่ายเทคลื่นมวลอากาศภายในตัวตู้ผ่านเข้า/ออกทางช่องระบายอากาศที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 1.5 นิ้วที่อยู่บนแผงหลังเยื้องไปทางด้านบนของตัวลำโพง ขั้วต่อสายลำโพงของ Sky ให้มาเป็นไบ–ไวร์ฯ แยกสองชุดสำหรับทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์/มิดเรนจ์ ตัวขั้วต่อทำมาจากโลหะชุบทองเกรดดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับขั้วต่อ WBT ที่ใช้ในรุ่น The One และ Model 1
แม็ทชิ่ง & เซ็ตอัพ
ดูจากพื้นฐานการออกแบบของ Sky คู่นี้แล้ว พอจะเดาทางได้เลา ๆ ว่า คุณ Vince แกคงตั้งใจที่จะพยายามรักษามุมเฟสของสัญญาณด้วยกระบวนวิธีการทางอะคูสติกมากกว่าการใช้วงจรอิเล็กทรอนิคเข้าช่วย เพราะดูจากลักษณะการติดตั้งวูฟเฟอร์/มิดเรนจ์ให้ขึ้นไปชิดกับตำแหน่งของตัวทวีตเตอร์ค่อนข้างมาก
เป็นลักษณะของการปรับจูนระยะห่างของไดรเวอร์ทั้งสองตัว เพื่อต้องการให้การประสานกลมกลืนระหว่างเสียงแหลมตอนล่างของทวีตเตอร์กับเสียงกลางตอนบนของวูฟเฟอร์/มิดเรนจ์เกิดขึ้นด้วยกระบวนการ modulation ของคลื่นเสียงทั้งสองย่านไปตามวิถีธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้สามารถลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อันเกิดจากการชดเชยโดยวงจรเน็ทเวิร์ค (ที่เป็นอิเล็กทรอนิค) ลงไปได้อย่างเด็ดขาด
ถ้าความตั้งใจของผู้ออกแบบประสบความสำเร็จ จะส่งผลให้ทั้่งตัววูฟเฟอร์/มิดเรนจ์และตัวทวีตเตอร์ทำงานผสานกันได้อย่างลงตัวจนเสมือนกับเป็นไดรเวอร์ตัวเดียวกัน (point-source) ที่ขับความถี่แบบฟูลเร้นจ์ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงลักษณะการฟังที่ผู้ฟังควรจะนั่งฟัง “ใกล้” จุด sweet spot ให้มากที่สุดเพื่อซึมซับประสิทธิผลจากลำโพงที่ออกแบบไดรเวอร์ลักษณะนี้ให้ได้มากที่สุด
ข้อมูลเหล่านี้กำลังบอกเราเป็นนัย ๆ ว่า วิธีเซ็ตอัพที่จะทำให้ได้ยินคุณภาพเสียงจาก Sky ได้อย่างเต็มที่นั้นควรจะเป็นการเซ็ตอัพลักษณะการฟังแบบ nearfield คือกำหนดจุดนั่งฟังให้ใกล้กับตำแหน่ง sweet spot ให้มากที่สุดนั่นเองก่อนจะเซ็ตอัพระยะวางลำโพง
และเมื่อผมลองเข้าไปดูสเปคฯ ของลำโพงคู่นี้พบว่ามันถูกออกแบบมาให้มีความไวต่อการตอบสนองสัญญาณมากกว่ารุ่น Model 1 และ The One แม้ว่าความไวของตัวลำโพงจะอยู่ที่ระดับปานกลางคือ 87dB เหมือนกับรุ่น Model 1 และ The One แต่ตัวเลข 87dB สำหรับ Sky นั้น เป็นความไวที่วัดบนโหลด (หรือความต้านทานเฉลี่ย) ที่ 8 โอห์ม ต่างจากความไว 87dB ของ Model 1 และ The One ซึ่งวัดที่โหลด 4 โอห์ม
นั่นแสดงว่า Sky ต้องการกำลังขับต่ำกว่า Model 1 และ The One ในการปลดปล่อยรายละเอียดเสียงออกมาจากตัวมัน ซึ่งแน่นอนว่า รายละเอียดที่ระดับความดังต่ำ ๆ ที่เรียกว่า Low Level Resolution ของเสียงที่ได้จาก Sky จะออกมาได้มากกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่นิดตรงที่ว่าเมื่อเปิดดังมาก ๆ ไดรเวอร์จะถูกกระตุ้นให้ไปถึงจุดอั้นตื้อได้ง่ายกว่าลำโพง 4 โอห์มที่สามารถเปิดอัดได้ดังกว่า นั่นคือเหตุผลที่อธิบายว่าเพราะเหตุใดการเซ็ตอัพการฟังในลักษณะ nearfield จึงมีความเหมาะสมกับลำโพงคู่นี้มากกว่าที่จะเซ็ตอัพการฟังในลักษณะ far field
สิ่งแรกที่ต้องทำสำหรับการเซ็ตอัพลำโพงวางขาตั้งก็คือ เลือกขาตั้งที่ “เหมาะสม” กับลำโพงคู่นั้นก่อน ซึ่งมีประเด็นพิจารณาอยู่ 2 ปัจจัย คือ “ความสูง” กับ “มวล” ของขาตั้ง หลังจากทดลองใช้ขาตั้งที่มีความสูง 24 กับ 25 นิ้วที่มีทั้งมวลเบา, มวลปานกลาง และมวลหนักกับลำโพงคู่นี้แล้ว ผลปรากฏว่า Sky ชอบขาตั้งที่มีความสูง 24 นิ้วมากกว่า 25 นิ้ว
ซึ่งจะเห็นผลชัดที่สมดุลเสียงและความเสถียรนิ่งของตำแหน่งเสียงที่ให้ออกได้ดีมากเมื่ออยู่บนขาตั้ง 24 นิ้ว แต่พอเปลี่ยนเป็นขาตั้ง 25 นิ้ว สมดุลเสียงด้อยลงไปทันที ย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มเบาบางลง มวลแทบจะหายไปเลย สรุปคือความสูงของขาตั้งมีผลต่อคุณภาพเสียงของลำโพงคู่นี้มากเป็นพิเศษ
ส่วนในแง่มวลของขาตั้ง ผมพบว่า Sky ชอบขาตั้งมวลเบาไปถึงมวลปานกลางมากกว่าขาตั้งมวลหนัก เมื่อเจอกับขาตั้งมวลหนักเสียงจะออกอาการด้านตื้อทันที ไดนามิกจะสวิงได้ไม่สุดสเกล เบสอาจจะดูว่าหนักและทิ้งตัว แต่จริง ๆ แล้วทั้งหัวเสียง+ตัวเสียง+หางเสียงจะเกาะกุมขมวดเข้าด้วยกันเป็นก้อน
หางเสียงไม่ทอดตัวยาวออกไปจนสุดอ็อกเตฟอย่างที่ควรจะเป็น ความกังวานของหางเสียงจะห้วนลง มีผลให้เพลงขาดความผ่อนคลาย เมื่อเปลี่ยนเป็นขาตั้งมวลเบาถึงปานกลาง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ควรจะถูกต้องมากขึ้น
เริ่มจากรูปวงจะแผ่ขยายออกและลอยตัวขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดลมจนเต็ม เบสจะเปลี่ยนไปเยอะมาก คุณจะได้ยินหัวเสียงที่เข้มและกระชับเร็วก่อนจะมีหางเสียงที่แผ่กระจายลงต่ำตามติดออกมาและยืดขยายอาณาเขตออกไปโดยรอบก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปในช่วงเวลาถัดมา
สรุปผลลัพธ์ในการทดลองแม็ทชิ่งระหว่าง Sky กับขาตั้งครั้งนี้มาลงตัวที่ขาตั้งโลหะสามท่อนความสูง 24 นิ้ว ของ Lovan จริง ๆ แล้วมีข้อมูลจากสื่อออนไลน์แจ้งว่าทาง Totem Acoustics ได้ผลิตขาตั้งสำหรับลำโพงคู่นี้ออกมาด้วย ไม่แน่ใจว่าทางผู้นำเข้ามีสั่งเข้ามาด้วยรึเปล่า.? กำลังสองถามไป ถ้าได้ความคืบหน้าแล้วจะนำมาแจ้งให้ทราบอีกที
หลังจากแม็ทชิ่งขาตั้งได้แล้ว ผมได้ลองเซ็ตอัพ Sky ในห้องฟังของ GM2000 (กว้าง 3.6 ม. x ลึก 5.6 ม. x สูง 2.8 ม.) โดยกำหนดจุดนั่งฟังไว้ที่จุด Sweet Spot พอดี ๆ พบว่า การปรับจูนระยะห่างระหว่างลำโพงข้างซ้าย–ข้างขวาโดยพิจารณาที่ “ซาวนด์สเตจด้านกว้าง + โทนัลบาลานซ์” ผมมาได้จุดลงตัวอยู่ที่ 192 ซ.ม. (วัดจากจุดศูนย์กลางของวูฟเฟอร์ทั้งสองข้างเข้าหากัน)
ส่วนการเซ็ตอัพระยะห่างระหว่างลำโพงซ้าย–ขวาลงไปถึงผนังด้านหลังของห้องโดยพิจารณาที่ “ซาวด์สเตจด้านกว้าง + ซาวนด์สเตจด้านลึก + ซาวนด์สเตจด้านสูง + โทนัลบาลานซ์” มาได้จุดลงตัวอยู่ที่ 163 ซ.ม. โดยวัดจากผนังหลังถึงแผงหน้าของตัวลำโพง
ส่วนการแม็ทชิ่งแอมปลิฟายนั้นผมใช้อินทิเกรตแอมป์ 2 ตัวที่มีอยู่ในมือช่วยกันตัดสินประสิทธิภาพของลำโพงคู่นี้ อินทิเกรตแอมป์ตัวแรกที่ใช้คือ NAD รุ่น M32 ซึ่งให้กำลังขับข้างละ 150W เท่ากันทั้งโหลด 8 โอห์มและ 4 โอห์ม ส่วนอีกตัวคือ Devialet รุ่น Expert 220 PRO ที่ให้กำลังขับข้างละ 220W ที่โหลด 6 โอห์ม (ประมาณ 200W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม)
เมื่อเทียบกับกำลังขับสูงสุดที่ Sky แนะนำให้ใช้แค่ 125W ก็ต้องบอกว่าอินทิเกรตแอมป์ทั้งสองตัวเอา (Sky) อยู่สบาย ๆ และจากการทดลองใช้งานจริงก็พบว่าผลออกมาเป็นไปตามที่สเปคฯ ระบุไว้ คือทั้ง NAD M32 และ Devialet Expert 220 PRO สามารถควบคุมลำโพงให้ทำงานอยู่ในร่องในรอยได้อย่างมั่นคงในทุกระดับความดัง
ในแง่ของการเชื่อมต่อระหว่างสายลำโพงกับขั้วต่อสายลำโพงของ Sky ประสิทธิภาพเสียงที่ได้ออกมานั้นจะขึ้นอยู่กับดีไซน์และสมรรถนะของแอมป์เป็นสำคัญ อย่างเช่น ตอนทดสอบฟังเสียงกับอินทิเกรตแอมป์ NAD M32
ผมใช้สายลำโพงซิงเกิ้ลไวร์สองชุดเชื่อมต่อระหว่างเอาต์พุตแต่ละคู่ของ M32 เข้ากับขั้วต่อสายลำโพงของ Sky นั่นคือใช้เอาต์พุตทั้งสองชุดของ M32 จับคู่กับขั้วต่อสายลำโพงของ Sky โดยไม่ใช้จั๊มเปอร์ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้เสียงออกมาดีที่สุด (และเป็นคำแนะนำอย่างยิ่งสำหรับ M32 ถ้าลำโพงของคุณให้ขั้วต่อสายลำโพงมาเป็นแบบไบ–ไวร์ฯ)
บุคลิกเสียง + คุณภาพเสียง
เคยมีเพื่อนนักเล่นฯ ถามผมว่า ต้องฟังตรงไหนเราถึงจะรู้ว่า เสียงที่ได้ยินจากชุดเครื่องเสียงนั้นอยู่ในระดับที่ดีแล้ว.? อือมม.. จริง ๆ แล้วมันมีรอยถ่างที่ค่อนข้างกว้างมากนะระหว่าง “เสียงที่ดี” กับ “เสียงที่แย่” ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปก็ควรจะฟังความแตกต่างได้
แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ผ่านการพัฒนาความสามารถในการฟังแบบแยกแยะมาก่อนก็อาจจะไม่มั่นใจว่าจะยึดจับส่วนไหนเป็นหลักในการฟังเพื่อพิจารณาตัดสิน แนะนำให้เริ่มต้นง่าย ๆ แบบนี้ คือฟังว่า แบบไหนที่คุณฟังแล้ว “รู้สึก” ว่าเสียงเพลงที่ได้ยินมีความไพเราะมากกว่า แบบนั้นแหละคือเสียงที่ดี (กว่าอีกแบบที่ไพเราะน้อยกว่า) คุณอาจจะแย้งว่า วิธีนี้มันอิงแอบกับ “รสนิยมส่วนตัว” มากไปนิด ดูล่องลอยไปหน่อย ไม่ค่อยจะเป็น subjective สักเท่าไหร่..
โอเค.. งั้นมาดูวิธีวิเคราะห์แบบอาศัยหลักการณ์กัน ถ้าคุณยังไม่คุ้นกับการฟังเชิงวิเคราะห์ (critical listening) มาก่อน ก็ต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิในการฟังมากขึ้น (ซึ่งบางคนอาจจะบ่นว่าเครียด) โดยผมจะขอให้เริ่มต้นด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เสียงที่จะสามารถพูดได้ว่า “ดี” นั้น คุณสมบัติอย่างแรกเลยที่ต้องมีก็คือ “ความชัดเจน” ซึ่งต้องเป็นความชัดเจนใน “ทุกความถี่เสียง” ที่ลำโพงถ่ายทอดออกมาด้วย.. อันนี้คือพื้นฐาน เพราะคำว่า “ชัด” ก็คือดี “ไม่ชัด” ก็คือไม่ดี ไม่มีอะลุ้มอะล่วย ไม่ว่าจะในกรณีใด
วิธีทดสอบก็คือเล่นเพลงที่มีเสียงโน๊ตดนตรีครบทั้งย่านทุ้ม–กลาง–แหลมที่บรรเลงออกมาพร้อมกัน จากนั้นให้พยายามฟังจับดูว่าคุณสามารถแยกแยะรายละเอียดของเสียงดนตรีทั้งหมดออกมาได้ดีแค่ไหน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นแผ่นเพลงที่บันทึกและผลิตโดยค่ายเพลงไฮเอ็นด์ฯ ก็ค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่าชัดทุกความถี่ตั้งแต่แหลมลงมายันทุ้มแน่นอน ส่วนแผ่นเพลงทั่วไปก็อาจจะมีบ้างที่ทำมาไม่ดี
ผมได้ลองฟังอัลบั้มเพลงที่บันทึกและผลิตโดยค่ายเพลงไฮเอ็นด์ทุกค่ายที่มีก็พบว่า Sky คู่นี้ให้เสียงโน๊ตดนตรีที่แยกแยะรายละเอียดได้ชัดเจน “ทุกความถี่” จริง ๆ ซึ่งจะว่าไปแล้ว คุณสมบัติข้อนี้ก็มีมาตั้งแต่ Model 1 เวอร์ชั่นแรกสุดที่ผมเคยใช้อยู่ก่อนแล้วและได้ถูกส่งต่อตกทอดมาถึง Sky คู่นี้ด้วย
นี่ก็เป็นการรับประกันได้ว่า คุณ Vince Bruzzese ยังคงรักษามาตรฐานของเขาเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ความชัดเจนของเสียงที่ Sky ให้ออกมานั้นไม่ได้เกิดจากการ boost เสียงเหล่านั้นขึ้นมา แต่เป็นผลจากความพยายามขจัดเรโซแนนซ์ของตัวตู้และไดรเวอร์ออกไปจากระบบ จึงทำให้แบ็คกราวน์ของเสียงมีความใส เคลียร์ จนสามารถมองเห็น (ด้วยหู) รายละเอียดของเสียงทั้งหมดในเวลาเสียงได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
ในรุ่น The One ที่ผมยกมาฟังเทียบก็ให้เสียงที่ชัดเจนมากเพราะตัวตู้ก็ประกอบด้วยวิธีเข้าลิ้นไม้แบบเดียวกับรุ่น Sky นี่แหละ ส่วนที่ต่างกันก็คือไดรเวอร์ที่ใช้ต่างกัน และตัวตู้ของรุ่น The One ไม่ได้ใช้วัสดุ Borosilicate ฉีดแด๊มป์ไว้บนผนังตู้ด้านในเหมือนในรุ่น Sky ซึ่งนี่อาจจะเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียงของ Sky มีบุคลิกบางอย่างที่ต่างไปจากรุ่น The One คือนอกจากความชัดเจนของโน๊ตดนตรีที่ Sky ให้ออกมาแล้วนั้น มันยังมี “อะไรบางอย่าง” แทรกเสริมเข้ามาด้วย ซึ่งทำให้ลักษณะเสียงของ Sky มีความแตกต่างไปจากรุ่น Model 1 และรุ่น The One ค่อนข้างชัดเจน ความแตกต่างที่ว่านั้นเกิดขึ้นในย่านเสียงกลางสูงขึ้นไปถึงย่านเสียงสูงทั้งหมดของรุ่น Sky คู่นี้ ซึ่งผมพบว่ามันทำให้บุคลิกของเสียงมีลักษณะของความ “อบอุ่น” เจือมากับเนื้อเสียงแบบที่ไม่ค่อยจะได้ยินจากรุ่น Model 1 และ The One
เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำว่า “อบอุ่น” นั้น ผมอยากให้คุณนึกถึงแสงกับความสว่าง ถ้าผมจะนิยามลักษณะเสียงในย่านกลางสูงขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดของรุ่น Model 1 และ The One ว่ามีบุคลิกไปทาง “ร้อน” เมื่อเทียบกับ Sky นั่นคือผมกำลังจะให้คุณนึกถึงแสงแดดกลางที่โล่งแจ้ง ซึ่งหากเทียบเคียงกันกับบุคลิก “อบอุ่น” ของ Sky ในย่านความถี่เสียงเดียวกัน ผมอยากให้คุณนึกถึงแสงแดดเดียวกันแต่อยู่ภายใต้เงาของร่มไม้ใหญ่ ซึ่งในประเด็นของความกระจ่างชัดต่อสายตานั้นจะไม่ต่างกันมาก แต่ในแง่ของความเกร็ง ๆ กับสำเนียงแปร่ง ๆ ของเนื้อเสียงที่มีความเป็นโลหะแล้ว รุ่น Model 1 กับ The One จะมีอยู่ให้รู้สึกได้ ในขณะที่ในรุ่น Sky แทบจะไม่ปรากฏให้ได้ยินเลย ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้น่าจะเป็นผลมาจากตัวตู้ + มิดเรนจ์/วูฟเฟอร์ และตัวทวีตเตอร์ซอฟท์โดมที่มีอาการริ้งกิ้งของไดอะแฟรมน้อยกว่ากรวยโลหะผสมผสานกันออกมา
ผมได้บทสรุปข้างต้นหลังจากฟังเสียงกีต้าร์คลาสสิกของ Laurindo Almeida ที่ดวลประสานกับ Charlie Byrd ในอัลบั้มชุด Tango (DSD64) อยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าที่ได้ยินนั้นไม่ผิดแน่ ๆ ซึ่งเสียงดีดสายเอ็นของกีต้าร์คลาสสิกที่ได้ยินจาก Sky ให้ความคุ้นเคยกับเสียงที่ได้ยินจริง ๆ ในธรรมชาติมากกว่า ในขณะที่รุ่น The One (ที่มีราคาแสนสอง.!) ของผมกลับให้เสียงสายกีต้าร์ที่มีอาการแปร่งและกระด้างออกมามากกว่าซะอีก โอ้วว..!
และหลังจากได้ทดลองฟังตามมาอีกหลายอัลบั้ม ผมก็ค้นพบว่า จุดเด่นของ Sky ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดที่ดีไซนเนอร์ตั้งใจเปิดเผยมันออกมาก็คือลักษณะของเสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงสูงที่มี “คุณภาพ” สูงกว่ารุ่น Model 1 และแม้แต่รุ่น The One นี่เอง.!!!
ผมกล้าใช้คำว่า “คุณภาพ” ก็เพราะว่าสิ่งที่หูของผมได้ยินนั้นมันแปลความหมายไปทางอื่นที่ต่างไปจากนี้ไม่ได้ ยิ่งโฟกัสฟังที่ย่านเสียงนี้เทียบกับรุ่น The One แล้วมันทำให้ผมรู้สึกตกใจระคนเกิดความเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาในบัดดล คือ The One นั้นเป็นรุ่นที่ให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาดีที่สุดในจำนวนตระกูล Model 1 ทั้งหมดที่ Totem Acoustics เคยทำออกมา แต่ในอีกแง่หนึ่ง นั่นคือบทสรุปให้รู้ว่า ถ้าไม่เปลี่ยนไดรเวอร์ คุณ Vince Bruzzese แกก็คง “ดัด” เสียงของไดรเวอร์ทั้งสองตัวนั้นออกมาได้ดีที่สุดแค่นั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับแบรนด์ Wilson Audio ที่สุดท้ายแล้ว Dave A. Wilson ที่ต่อสู้กับการปรับจูนเสียงของทวีตเตอร์โดมโลหะมาเกือบจะตลอดทั้งชีวิต
ท้ายที่สุดก็ต้องเบนเข็มหันไปใช้ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมแทน เพื่อขจัดปัญหาริ้งกิ้งของเสียงที่ไม่สามารถแก้ไขให้หายไปได้ด้วยครอสโอเว่อร์และตัวตู้ เมื่อเสียงในย่านกลางสูงขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดปราศจากเสียงครางหงิง ๆ ที่เกิดจากอาการสั่นค้างของไดอะแฟรมโลหะ มันก็เลยทำให้ผมได้ยิน “texture” ของเสียงเครื่องดนตรีที่เป็นตัวสร้างความถี่ของโน๊ตที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างของกีต้าร์สายเอ็นที่ผมได้ยินจากอัลบั้มชุด Tango นั่นก็ชัดเจนมาก ซึ่งสำเนียงที่ได้ยินจากลำโพงรุ่น The One มันจะมีเสียงแปร่ง ๆ งิ้ง ๆ เบา ๆ เป็นเงาเสียงที่ติดมากับตัวโน๊ตกีต้าร์ด้วยโดยเฉพาะโน๊ตสูง ๆ จะชัด ในขณะที่ผมแทบจะไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นจาก Sky เลยแม้แต่น้อย
ความเข้าใจแต่เก่าก่อนที่ว่า โดมโลหะ (น่า) จะให้เสียงของเครื่องดนตรีที่ทำมาจากโลหะได้ดีกว่าโดมผ้านั้นเป็นความเชื่อที่ต้องเผาทิ้งไปได้แล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ตัวกำหนดโทนของเสียงที่ถูกต้องตามธรรมชาติก็คือฮาร์มอนิกคู่ควบของเสียงหลักที่เกิดจากการ (ทำให้) สั่นของวัตถุ
ซึ่งแน่นอนว่า ในธรรมชาตินั้น โลหะย่อมให้ฮาร์มอนิกคู่ควบออกมาต่างจากไม้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เมื่อเสียงของโลหะและไม้ถูกบันทึกผ่านไมโครโฟนไปแล้ว ทั้งเสียงของโลหะและไม้ต่างก็ถูกสำเนาโดยไดอะแฟรมของไมโครโฟนด้วยวิธีการเปลี่ยนคลื่นเสียงของโลหะและไม้ในอากาศให้ออกมาเป็นสัญญาณไฟฟ้า และสัญญาณไฟฟ้าที่อยู่ในรูปของ “ข้อมูลเสียง” เหล่านั้นจะถูกบันทึกเก็บเป็นสำเนาอยู่บนมาสเตอร์
ซึ่งการคืนรูปของเสียงโลหะหรือไม้บนมาสเตอร์นั้นให้กลับออกมาในอากาศอีกครั้ง ก็ต้องย้อนกระบวนการเล่นกลับผ่านซิสเต็มเพลย์แบ็คที่อาศัยหลักการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าหรือข้อมูลเสียงที่อยู่บนสื่อบันทึกให้กลายเป็นคลื่นเสียงผ่านไดอะแฟรมของลำโพงออกมานั่นเอง จะเห็นว่า ลักษณะ harmonic structure ที่เป็นเอกลักษณ์ทางบุคลิกของเสียงเครื่องดนตรีไม้และโลหะจะถูกบันทึกรวมกันอยู่เป็นข้อมูลเสียง “ก้อนเดียวกัน” ก่อนจะถูกสำเนาไว้บนมาสเตอร์อยู่แล้ว ฉะนั้น ในขั้นตอนเพลย์แบ็คจึง “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องเอาเสียงโลหะจากไดอะแฟรมของลำโพงผสมเข้าไปกับข้อมูลเสียงที่สร้างออกมาอีก จริง ๆ แล้วมีงานเพลงหลายอัลบั้มที่สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์ข้างต้นได้
แต่อัลบั้มที่ใช้ตัดสินได้ชัดเจนมาก ๆ ก็คืองานอัลบั้มชุด Japanese Melodies (DSF64 -2 Ch) ของ Yo-Yo Ma ที่มีทั้งเสียงเครื่องสายเชลโล่และเบส เครื่องเป่าฟรุ๊ท และเครื่องเคาะ (เพอร์คัสชั่น) โดยเฉพาะเครื่องเคาะนั้นมีทั้งที่ทำมาจากโลหะและไม้ ซึ่ง Sky คู่นี้สามารถแจกแจงออกมาให้ผมรับรู้ได้ชัดมาก ไม่ต้องเพ่งก็รู้ได้ทันทีว่าชิ้นไหนเป็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้และชิ้นไหนทำมาจากโลหะ
และขอบอกเลยว่า กับเครื่องดนตรีที่ทำมาจากโลหะ ลำโพงคู่นี้ก็สามารถถ่ายทอดความกังวานของหางเสียงที่พลิ้วและสว่างไสวของความเป็นโลหะออกมาได้อย่างครบถ้วน ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไป แต่ที่น่าชื่นใจก็คือปราศจากริ้งกิ้งที่น่ารำคาญ ฟังแล้วลื่นเนียนหูกว่า Model 1 กับ The One อย่างชัดเจน
อีกจุดหนึ่งที่ผมเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากทวีตเตอร์แบบซอฟท์โดมตัวนี้ คือลักษณะของเสียงร้องที่มีความเหมือนเสียงร้องของคนจริง ๆ มาก พิสูจน์จากเสียงร้องคอรัสของนักร้องชาย–หญิงและเด็กของวง The Stockholm Cathedral Choir ในอัลบั้มเพลงสวดสรรเสริญพระเจ้าชุด Now The Green Blade Riseth (DSD64 / Proprius SACD) และเสียงร้องของ Ayako Hosokawa จากเพลง “Misty” ในอัลบั้มชุด To Mr. Wonderful (DSD64)
กับเสียงร้องของ Ingram Washington ในเพลง What A Difference A Day Make (DSD64) จากอัลบั้มชื่อเดียวกัน ซึ่ง Sky นำเสนอเสียงร้องเหล่านี้ออกมาได้อย่างมีชีวิตและมีอารมณ์ ฟังแล้ว “เข้าถึง” อรรถรสของเพลงที่นักร้องเหล่านี้ตั้งใจถ่ายทอดออกมา ไม่ถูกทำให้เสียอารมณ์ไปกับปลายเสียงแข็ง ๆ ดีไปหมด..??
คุณคงสงสัยว่า Sky คู่นี้ไม่มีจุดอ่อนเลยเหรอ..? อือมม.. มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมพบ แต่จะเรียกว่าจุดอ่อนได้หรือเปล่า.? คือผมพบว่า เสียงทุ้มที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมามันมีลักษณะที่ราบเรียบมาก คือไม่ได้เน้นหัวเสียงในย่านเบสต้น ๆ ออกมามากเหมือนลำโพงสองทางวางหิ้งส่วนใหญ่ชอบทำกัน ความหนักและกระแทกกระทั้นของหัวเบสจึงแปรเปลี่ยนไปตามเพลงที่บันทึกมา
ส่วนปลายเสียงเบสมีลักษณะทอดตัวลึกลงไปทางทุ้มตอนล่างด้วยอัตราลาดชันที่ผ่อนเบาลงอย่างต่อเนื่องไปตามธรรมชาติ ไม่มีอาการยก level ของปลายเสียงทุ้มขึ้นมาเพื่อให้ดูว่าเบสใหญ่ หนาและอิ่ม (ถ้าคุณได้ยินอะไรแบบนั้น แสดงว่าในแผ่นบันทึกมาแบบนั้น.!)
นั่นทำให้บางคนที่คุ้นกับปริมาณของเสียงทุ้มที่หนาแน่นของลำโพงขนาดใหญ่อาจจะติงว่าเสียงทุ้มของ Sky มันบางไปนิด.. ซึ่งตัวผมเองก็รู้สึกอย่างนั้นในตอนแรกที่ใช้แอมป์ขนาดเล็กขับ แต่เมื่อได้ลองขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังมากขึ้น และได้ฟังไปนาน ๆ ผมกลับชอบลักษณะเสียงทุ้มที่ Sky มอบให้ คือมันไม่ได้โชว์เสียงทุ้มที่กระแทกกระทั้นไปด้วยมวลที่หนาและหนักเหมือนลำโพงใหญ่ แต่พยายามแจกแจง “รายละเอียด” ของเสียงในย่านทุ้มทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะเป็นหัวโน๊ต บอดี้ และหางเสียงที่กังวานผ่อน
ซึ่งทำให้ฟังแล้วรู้สึกถึงความผ่อนคลายไปกับลีลาของเพลงมากกว่าที่จะทำให้รู้สึกสะใจไปกับแรงกระแทกของเบส แต่ถ้าคุณอยากได้ฐานเบสที่นุ่มหนาแผ่ออกมารองรับเสียงทุ้มของ Sky ก็สามารถทำได้ นั่นคือเพิ่มลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์เข้ามาในระบบอีกหนึ่งหรือสองตัว
ซึ่งอินทิเกรตแอมป์ยุคใหม่อย่าง NAD Master Series และ C Series หรือ Devialet จะมีทั้งช่องเอาต์พุตสำหรับ Subwoofer และมี DSP ที่ช่วยปรับจูนให้ลำโพงหลักทั้งสองข้างกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่เพิ่มเข้ามาในระบบสามารถทำงานประสานกลมกลืนกันได้อย่างลงตัวที่สุด
แรก ๆ ที่ฟัง Sky ผมก็รู้สึกทันทีว่าเสียงเบสที่มันให้ออกมานั้นมีความแตกต่างไปจากที่เคยได้ยินจากรุ่น Model 1 และ The One แทบจะโดยสิ้นเชิง ผมสรุปผลแบบนั้นหลังจากฟังเพลง “Black Cow” แทรคแรกจากอัลบั้มชุด Aja (DSD64) ของ Steely Dan ซึ่งที่ผ่าน ๆ มาเวลาฟังเพลงนี้กับลำโพงสองทางวางหิ้ง ผมจะรู้สึกเสมอว่าเสียงเบสของเพลงนี้มัน “ล้ำหน้า” รายละเอียดเสียงย่านอื่น ๆ ขึ้นมามากเกินไป ฟังแล้วรู้สึกอึดอัดนิด ๆ และเสียงกระเดื่องกับเบสมันมักจะกลบทับกัน
แต่พอมาฟังผ่าน Sky คู่นี้ ผมรู้สึกทันทีว่า เบสของเพลงนี้มันถูกลดบทบาทลงไปนิดหนึ่ง ทำให้เสียงเครื่องเป่ากับคีย์บอร์ดตอนช่วงกลางเพลงสามารถแทรกขึ้นมาโชว์ลีลาได้โดยมีเสียงเบสและกระเดื่องกลองคอยสนับสนุน ผมสามารถฟังแยกเสียงหัวโน๊ตเบสได้ชัดขึ้น ฟังเสียงร้องได้ชัดขึ้น ในขณะที่ยังคงได้ยินเสียงกระแทกกระเดื่องที่หนักแน่นคอยหนุนเนื่องเป็นเลเยอร์ที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
สรุป
ช่วงหนึ่งตอนทดสอบ ขณะนั่งฟังเสียงของลำโพงคู่นี้ มันทำให้ผมนึกถึงคำถามหนึ่งที่เคยมีนักเล่นเครื่องเสียงถามผมมานานมากแล้ว นั่นคือ “..เราเล่นเครื่องเสียงกันไปทำไม..??” ซึ่งวินาทีที่ได้ยินคำถามนี้ในตอนนั้น ผมยอมรับว่ายังหาคำตอบดี ๆ ไม่ได้ และจำไม่ได้ด้วยว่าตอบคนถามไปอย่างไร มาวันนี้ หลังจากวินาทีที่ได้สัมผัสกับ Sky คู่นี้ในสภาวะที่มันถูกเซ็ตอัพลงตัวแล้ว คำตอบดี ๆ ต่อคำถามพื้น ๆ คำถามนั้นก็ผุดขึ้นมากระจ่างแจ้งในหัวผมทันที..
ในบางขณะที่กำลังฟังลำโพงคู่นี้กับเพลงคอมเมอร์เชี่ยลธรรมดา ๆ ที่คุ้นหู มันทำให้ผมรู้สึกเพลินไปกับลีลาและอรรถรสของเพลงเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกว่ากำลังฟังลำโพงไฮเอ็นด์ฯ คือลักษณะคล้าย ๆ ว่ามันไม่ได้ “พยายาม” ที่จะทำให้เสียงของเพลงธรรมดาๆ เหล่านั้นมีความพิเศษอะไรต่างไปจากที่เคยฟังมากนัก ทั้งโทนของเสียงและรายละเอียดของดนตรีมันออกมาคุ้นกับความรู้สึกมาก แต่เมื่อลองฟังแผ่นเพลงที่เน้นคุณภาพการบันทึกเสียงระดับสูงที่มีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน
ลำโพงคู่นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่มันแสดงออกมาจากแผ่นเพลงเหล่านั้น ไม่ว่าจะในแง่ของไดนามิกที่สวิงได้กว้างและตอบสนองทรานเชี้ยนต์ได้เร็ว ทำให้ได้ลักษณะเสียงที่มีความสดและกระจ่าง ไปจนถึงคุณสมบัติทางด้านซาวนด์สเตจของเวทีเสียงที่โอ่อ่าและแผ่กว้าง ครอบคลุมพื้นที่ขอบเขตปริมณฑลที่ลำโพงตั้งสถิตย์อยู่ออกไปได้ไกลทั้งด้านหน้า–ด้านหลัง–ด้านข้างและด้านบน..
ใช่แล้วครับ.. ผมอยากจะตอบว่า การเล่นเครื่องเสียงทำให้เราได้หวนกลับไปนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ เมื่อหยิบเพลงที่เคยชื่นชอบขึ้นมาฟัง แม้จะเป็นอัลบั้มเพลงธรรมดา ๆ แต่เมื่อใดที่ฟังผ่านชุดเครื่องเสียงดี ๆ คุณจะได้สัมผัสกับความทรงจำในอดีตที่เครื่องเสียงดี ๆ เปิดเผยมันออกมาพร้อมกับเสียงเพลงที่คุณคุ้นเคยเหล่านั้น
เหมือนได้นั่งไทม์แม็ทชีนย้อนกลับไปในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง และเมื่อหยิบอัลบั้มเพลงที่ไม่คุ้นหูแต่บันทึกเสียงดีมาก ๆ ขึ้นมาฟัง ชุดเครื่องเสียงดี ๆ จะทำให้คุณรู้สึก “ว้าว” ไปกับความมหัศจรรย์ของระบบเสียงสเตริโอที่คุณไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสจากเครื่องเสียงตลาด ๆ ทั่วไป.! ไม่ว่าจะเป็นมิติ – ซาวนด์สเตจ – ไดนามิก และฮาร์มอนิก ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักๆ ของเสียงเหล่านี้จะปรากฏขึ้นมาให้คุณได้สัมผัสกับมันและดึงดูดใจของคุณให้หลุดลอยไปกับลีลาและเรื่องราวที่บทเพลงเหล่านั้นสร้างสรรขึ้นมา ซึ่งผมบอกได้เลยว่า คุณไม่มีทางที่จะค้นพบประสบการณ์เหล่านี้ได้ตามที่ต่างๆ นอกซะจากคุณได้เริ่มต้น “เล่นเครื่องเสียง” เท่านั้น
และขอฝากข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งเอาไว้ด้วย ไม่ใช่อุปกรณ์ทุกชิ้นจะสามารถส่งมอบประสบการณ์พิเศษของการเล่นเครื่องเสียงให้กับคุณได้ นอกจากความเข้าใจและความละเอียดพิถีพิถันในการ แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูน แล้ว อุปกรณ์แต่ละชิ้นในซิสเต็มนั้นจะต้องมีพื้นฐานที่ดีพอด้วย ซึ่งผมยืนยันให้ได้เลยว่า ลำโพงวางหิ้งของ Totem Acoustics รุ่น Sky คู่นี้คือหนึ่งในอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีคุณสมบัติถึงพร้อมในการที่จะส่งมอบประสบการณ์ “ว้าว” ให้กับคุณ.. /
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท Deco 2000 จำกัด
โทร. 0-2256-9700
ราคา 74,000 บาท/คู่