ผมทันได้ฟังเสียงของลำโพงรุ่น Diamond เวอร์ชั่นแรกสุดที่ออกมาเมื่อ ปี 2525 ซึ่งในขณะนั้นมันมีราคาขายอยู่ที่คู่ละสามพันกว่าบาท เป็นหนึ่งในสามของสุดยอดลำโพงเล็กจิ๋ว (วูฟเฟอร์ไม่เกิน 4 นิ้ว) ของยุคนั้นที่ให้เสียงน่าตื่นตะลึง นอกจาก Wharfedale รุ่น Diamond แล้วก็มี ProAc รุ่น Tablette กับ Moniter Audio รุ่น Monitor One Gold ซึ่งทั้งสามคู่นี้มีราคาไม่เกิน 10K ในขณะที่ Diamond มีราคาต่ำที่สุดในจำนวนสามคู่นี้
โฉมหน้าของ Diamond ยุคแรกๆ
ในปัจจุบัน ลำโพงทั้งสามแบรนด์ข้างต้นก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการเครื่องเสียงอย่างเฉิดฉาย เป็นการันตีได้ว่าทั้งสามแบรนด์นี้เป็น “ตัวจริง” ในวงการผู้ผลิตลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ!
Diamond เวอร์ชั่นล่าสุด 12.1 กับความพิเศษที่แปลกใหม่!
ชื่อของ “Diamond” ไม่เคยจางหายไปจากวงการเครื่องเสียง ได้ถูกเอ่ยถึงอย่างต่อเนื่องตลอดเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมา ผ่านเจนเนอเรชั่นของการปรับปรุงการออกแบบมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเทียบกับครั้งอื่นๆ ที่ผ่านๆ มาแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจนเนอเรชั่นที่ “12” ครั้งนี้เป็นอะไรที่แหวกม่านประเพณีไปจากเดิมๆ นั่นคือ ครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบลำโพงจากภายนอกเข้ามาช่วยในการออกแบบด้วย ซึ่งในเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมานั้น การออกแบบจะจำกัดอยู่ภายในบริษัท ด้วยทีมออกแบบของ Wharfedale เองที่เสินเจิ้น ภายใต้การควบคุมดูแลของ Peter Comeau ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมออกแบบ
Karl-Heinz Fink
ทว่า ในเจนเนอเรชั่นที่ 12 นี้ ทาง Wharfedale ได้ตกลงใจให้ Karl-Heinz Fink นักออกแบบลำโพงชาวเยอรมัน ที่อยู่เบื้องหลังงานออกแบบลำโพงบ้านหลายยี่ห้อ อาทิ Q Acoustics, Modaunt-Short, Tannoy และอีกมาก เข้ามาช่วยในการออกแบบโดยเฉพาะการปรับจูนตัวตู้ เนื่องจาก Karl-Heinz Fink คนนี้กับทีมงานของเขาที่ทำงานร่วมกันในนามของบริษัทให้คำปรึกษาในการออกแบบลำโพงที่ชื่อว่า “Fink Team” จะมีความเชี่ยวชาญในการปรับจูน “ตู้” (cabinet) ของลำโพงซึ่งพวกเขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ตัวตู้ของลำโพงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าไดเวอร์และวงจรเน็ทเวิร์ค พวกเขาค้นพบว่า resonant หรือความถี่สั่นค้างที่เกิดจากการสั่นของตัวตู้ซึ่งค้างเติ่งอยู่ในตัวตู้เป็นบ่อเกิดของปัญหาที่ทำให้ไดเวอร์ไม่สามารถเปล่งประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ การปรับแก้ด้วยวงจรเน็ทเวิร์คทำได้ไม่สมบูรณ์ พวกเขาใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Laser Scanner” ทำการตรวจวัดเรโซแนนซ์ของตัวตู้ที่เกิดขึ้นขณะที่ไดเวอร์ทำงานเพื่อค้นหาตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของเรโซแนนซ์ และใช้วิธีแด้มป์หรือคาดโครงภายในตัวตู้เพื่อขจัดต้นตอนั้นออกไป เมื่อควบคุมการกำเนิดเรโซแนนซ์ของตัวตู้ได้ ไดเวอร์ทั้งหมดบนตัวตู้ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
รูปพรรณ + สัณฐานของ Diamond 12.1
กับคุณสมบัติเด่นๆ
ภาพลักษณ์ภายนอกของ Diamond 12.1 ก็ยังคงรูปแบบดีไซน์ดั้งเดิมของ Wharfedale เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าในแต่ละเจนเนอเรชั่นจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ถ้าคุ้นเคยกับลำโพงแบรนด์นี้มาบ้าง คุณจะรู้สึกได้เลยว่า นี่แหละ.. วาฟเดล!
ไฮไล้ท์เฉพาะตัวที่สำคัญของ Diamond 12.1 เริ่มต้นที่ไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ตัวใหม่ที่ให้ชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า “Klarity” ซึ่งจุดเด่นของไดเวอร์ตัวนี้อยู่ที่ไดอะแฟรมแบบใหม่ที่ทำมาจาก “โพลีโพรไพลีน” เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติอยู่ตรงกลางระหว่างกรวยกระดาษ (มีจุดเด่นอยู่ที่ความเบา ตอบสนองเร็ว) กับกรวยโลหะ (มีจุดเด่นอยู่ที่ความแกร่ง) และนำมาผสมด้วยผงแร่ไมก้าเพื่อเพิ่มความแกร่งในเนื้อไดอะแฟรมให้มากขึ้น นอกจากนั้น ยังได้มีการทำเส้นแข็งๆ คาดตัดขวางลงบนแผ่นไดอะแฟรมเพื่อช่วยเพิ่มความแกร่งของตัวกรวยขึ้นไปอีกระดับ ไว้รองรับกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์แรงๆ ส่วนไดเวอร์เสียงแหลมก็ยังคงเป็นทวีตเตอร์โดมผ้าขนาด 1 นิ้วตัวเดิมที่ใช้ในเวอร์ชั่น 11.1
ทั้งสองไดเวอร์ทำงานร่วมกันผ่านวงจรตัดแบ่งความถี่ตามมาตรฐาน acoustic LKR 24dB topology ซึ่งมักจะพบเห็นว่ามีใช้ในการออกแบบลำโพงระดับไฮเอ็นด์ซะเป็นส่วนใหญ่ น้อยมากที่จะเห็นว่ามีการใช้วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คแบบนี้ในลำโพงราคาไม่สูง!
ขั้วต่อสายลำโพงติดตั้งอยู่ที่แผงด้านหลัง ให้มาเป็นแบบแยก 2 ชุด สามารถเชื่อมต่อสายลำโพงได้ทั้งแบบ bi-wired และเชื่อมต่อเพาเวอร์แอมป์แบบ bi-amp ได้ด้วย คือใช้เพาเวอร์แอมป์สเตริโอ 2 ตัวแยกขับระหว่างทวีตเตอร์และมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ ซึ่งเป็นวิธีเชื่อมต่อที่ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ Diamond 12.1 (รวมถึงลำโพงที่แยกขั้วต่อสองชุดแบบนี้ทั้งหมด) ส่วนท่อระบายอากาศติดตั้งเยื้องขึ้นไปทางด้านบน อยู่ในตำแหน่งตรงกับด้านหลังของทวีตเตอร์
ไดเวอร์ “Klarity” และทวีตเตอร์โดมผ้า
หัวใจของ Diamond 12.1
นอกจาก Klarity จะมีความพิเศษของวัสดุที่ใช้ทำกรวยไดอะแฟรม (A) แล้ว ในส่วนที่เป็นโครงสร้างหลักของไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ขนาด 5 นิ้วตัวนี้ยังได้ถูกออกแบบมาอย่างพิเศษอีกด้วย เริ่มจากการพันวอยซ์คอยลงบนกระสวยรูปทรงกระบอก (B) ที่ทำด้วย “อีพ็อกซี่ผสมใยแก้ว” นับว่าเป็นเทคนิคที่หาได้ยากจากลำโพงที่มีราคาระดับนี้ เพราะทั่วไปมักจะพันวอยซ์คอยซึ่งเป็นเส้นตัวนำทองแดงลงบนกระบอกอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นที่มาของปัญหา eddy currents คือมีกระแสไฟเหนี่ยวนำเกิดขึ้นบนกระบอกวอยซ์คอย และเจ้ากระแสไฟฟ้าไม่พึงประสงค์ที่ว่านี้จะไปคอยต้านกับพลังของสนามแม่เหล็กที่แผ่ออกมาจากแม่เหล็กที่ใช้ผลักดันกระบอกว๊อยซ์คอย ทำให้กำลังของสนามแม่เหล็กลดด้อยลง แต่กระบอกวอยซ์คอยที่ทำด้วยอีพ็อกซี่ผสมใยแก้วที่ใช้ใน Diamond 12.1 ซึ่งไม่ใช่โลหะ จึงไม่ทำให้เกิดปัญหา eddy currents เหมือนกระบอกอะลูมิเนียม จึงทำให้สนามแม่เหล็กมีพลังในการผลักดันกระบอกวอยซ์คอยได้เต็มที่ ส่งผลให้ได้กำลังในการควบคุมไดอะแฟรมที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า
นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้งอะลูมิเนียมรูปวงแหวน (C) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดผลจากการเหนี่ยวนำขณะที่วอยซ์คอยเคลื่อนที่เสริมเข้าไปอีกจุด ยิ่งทำให้สนามแม่เหล็กจากระบบแม่เหล็กทำปฏิกิริยากับวอยซ์คอยได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่มากยิ่งขึ้นไปอีก และเพื่อลดปัญหาที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือน (vibration) ที่เกิดขึ้นขณะที่ไดอะแฟรมเคลื่อนที่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ทางผู้ออกแบบยังได้ใช้วัสดุที่มีลักษณะเป็นวงแหวน (D) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยซับพลังงานสั่นสะเทือนเข้าไปติดตั้งที่ขอบนอกของโครงไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์อีกหนึ่งจุด
วงแหวนที่ช่วยซับแรงสั่นสะเทือนมีใช้ทั้งที่ตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ (ศรชี้) และที่ตัวทวีตเตอร์ (ศรชี้)
โดมทวีตเตอร์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (A) ที่ใช้ใน Diamond 12.1 ทำมาจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ถักทอขึ้นเป็นทรงโดมครึ่งวงกลม แล้วเคลือบด้วยฟิล์มบางๆ เพื่อเพิ่มความแกร่งในการถ่ายทอดความถี่สูง คือไม่ได้ต้องการให้ถ่ายทอดเสียงแหลมที่สูงขึ้นไปกว่า 20kHz แต่เพื่อให้ได้เสียงแหลมที่มี “ความหนาแน่น” ของมวลเสียงที่มากขึ้น เปิดกระจ่างมากขึ้น มีการติดตั้งวงแหวนอะลูมิเนียม (B) ที่ช่วยลดปัญหาเหนี่ยวนำแบบเดียวกับที่ใช้ในตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ เข้าไปช่วยจัดสมดุลให้กับวอยซ์คอยขณะที่ไดอะแฟรมของทวีตเตอร์กำลังเคลื่อนที่ รวมถึงวงแหวนขนาดใหญ่ (C) ที่ช่วยลดเรโซแนนซ์เสริมเข้าไปอีก
Karl-Heinz Fink ได้รับมอบหน้าที่ให้เข้ามาร่วมออกแบบ Diamond 12.1 ตั้งแต่ “เริ่มต้น” จนถึงขั้นตอนผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ โดยที่เขากับทีมงานมุ่งเน้นไปที่การออกแบบ “ตัวตู้” ที่ทำให้ไดเวอร์ทั้งสองตัวนั้นทำงานออกมาได้ประสิทธิผลมากที่สุด และด้วยเทคโนโลยี Laser ที่เขานำมาใช้ในการวัดผลการทำงานของไดเวอร์แบบ real-time ทำให้สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ผลได้อย่างแม่นยำ และนำผลการตรวจวัดนั้นมาค่อยๆ จูนตัวตู้จนทำให้ได้ออกมาเป็นตัวตู้ที่ปลอดจากเรโซแนนซ์ในย่านเสียงที่ไดเวอร์ทั้งสองตัวได้รับมอบหมายให้สร้างความถี่เสียงออกมา โดยนำเอาเทคนิคการคาดโครงภายในตัวตู้เพื่อเสริมความแกร่งและลดจุดต้นตอที่จะก่อให้เกิดเรโซแนนซ์ลงไป
Diamond 11.1 vs. Diamond 12.1
ผมเคยทดสอบลำโพง Wharfedale รุ่น Diamond 11.1 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า 12.1 ไปเมื่อกลางปี 2018 (REVIEW) ซึ่งรุ่นนั้นก็เป็นลำโพงเล็กที่ให้เสียงดีมากคู่หนึ่ง ตอนมองเผินๆ จะรู้สึกว่ามันมีขนาดเท่ากัน แต่เมื่อพิจารณาใกล้ๆ จะพบว่า ทั้ง Diamond 11.1 และ Diamond 12.1 มีสัณฐานที่แตกต่างกันเล็กน้อย
คือตัวตู้ของ Diamond 12.1 จะมีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยมที่มีผนังตู้ด้านข้างขนานกัน และมีขนาดเล็กกว่า Diamond 11.1 เล็กน้อย ในขณะที่ผนังด้านข้างตัวตู้ของรุ่น Diamond 11.1 จะมีลักษณะเป็นทรงหยดน้ำ คือเรียวสอบจากด้านหน้าลงไปทางด้านหลัง
นอกจากรูปทรงและขนาดภายนอกจะต่างกันแล้ว สเปคฯ หลายๆ ตัวของลำโพงทั้งสองเจนเนอเรชั่นนี้ก็แตกต่างกันอยู่เหมือนกัน
จากตารางเปรียบเทียบสเปคฯ ของทั้งสองเจนเนเรชั่นข้างบนนี้ จะเห็นว่าในแต่ละคุณสมบัติมีความแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความไว, ความสามารถในการตอบสนองความถี่, ความดังสูงสุด ฯ ซึ่งความแตกต่างในแต่ละคุณสมบัติจะส่งผลเชื่อมโยงกันไป อย่างเช่น “ปริมาตรตู้“, “จุดตัดความถี่” และ “ความถี่ตอบสนอง” สามคุณสมบัตินี้จะเกี่ยวพันกัน คือปริมาตรอากาศภายในตัวตู้ที่มากกว่า (ตู้ใหญ่กว่า) โดยธรรมชาติแล้วจะให้ความถี่ต่ำลงไปได้ลึกมากกว่าลำโพงที่มีปริมาตรตู้น้อยกว่า นั่นคือเหตุผลที่ Diamond 11.1 ให้ความถี่ต่ำลงไปลึกกว่า Diamond 12.1 ถึง 10 เฮิร์ต
ที่น่าสังเกตคือ “จุดตัดความถี่” ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือในการกำหนดลักษณะของเสียงโดยตรง เพราะมันเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางด้าน “โทนัลบาลานซ์” ของลำโพง จากตารางเปรียบเทียบสเปคฯ ข้างบนนั้น จะเห็นว่า Diamond 11.1 เลือกจุดตัดแบ่งความถี่ (crossover network) ไว้ที่ 2,800 เฮิร์ต สูงกว่า Diamond 12.1 อยู่ 200 เฮิร์ต แต่เมื่อพิจารณาที่ “ความถี่ต่ำสุด” ที่กำหนดให้ไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ทำงาน จะเห็นว่า Diamond 11.1 ถูกกำหนดให้ถ่ายทอดเสียงทุ้มลงไปถึง 55 เฮิร์ต ในขณะที่ Diamond 12.1 ซึ่งกำหนดจุดตัดไว้ที่ 2,600 เฮิร์ต ต่ำกว่า Diamond 11.1 แต่กลับถูกกำหนดให้ถ่ายทอดเสียงทุ้มลงไปแค่ 65 เฮิร์ต
แสดงว่าตัวไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ของ Diamond 11.1 ถูกกำหนดให้รับภาระในการทำงานหนักกว่ามิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ของ Diamond 12.1 ในขณะที่ทวีตเตอร์ของ Diamond 11.1 ถูกกำหนดให้ทำงานน้อยกว่าทวีตเตอร์ของ Diamond 12.1
จากแนวทางการกำหนดจุดตัดความถี่ และลักษณะของการตอบสนองความถี่ของลำโพงทั้งสองคู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าเสียงของลำโพงทั้งสองคู่นี้จะออกมาต่างกัน เพราะข้อมูลจากสเปคฯ ทั้งสองข้อ นั่นคือ “ความถี่ตอบสนอง” กับ “จุดตัดความถี่” ของ Diamond 11.1 กับ Diamond 12.1 แสดงให้เห็นว่า ลำโพงทั้งสองคู่นี้ถูกกำหนดคุณสมบัติในการถ่ายทอด “โทนัลบาลานซ์” ออกมาต่างกัน
น่าตื่นเต้นซะแล้วซิ เพราะอยากจะรู้จริงๆ ว่าเสียงของลูกผสมอังกฤษ/เยอรมัน “Diamond 12.1” จะให้สำเนียงเสียงที่ต่างออกไปจากบรรดารุ่นพี่ Diamond ตัวจิ๋วที่เคยคลอดออกมาก่อนหน้านี้สักแค่ไหน…
แม็ทชิ่งแอมป์ฯ สำหรับการทดสอบ Diamond 12.1
ย้อนกลับขึ้นไปดูสเปคฯ ของตัว Diamond 12.1 ในตารางข้างบนนั้นอีกครั้ง มีตัวเลขอยู่สอง–สามตัวที่ต้องนำมาพิจารณาในการแม็ทชิ่งหาแอมป์มาขับให้เหมาะสมกัน เริ่มต้นจาก Power Recommended หรือ “กำลังขับที่แนะนำ” ที่ระบุไว้ตั้งแต่ 20 – 100W ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เยอะเลย เมื่อคำนวนตามสูตร 75% x Maximum Recommended ของผมก็จะได้ตัวเลขกำลังขับที่ “หวังผลทางเสียงได้” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 75W ต่อข้างขึ้นไป และที่ 100W ต่อข้างสำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แบบนี้ไม่ถือว่าโหด แค่อินติเกรตแอมป์ระดับกลางๆ ก็มีให้เลือกถมไปแล้ว
อีกตัวเลขที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกแอมป์สำหรับขับ Diamond 12.1 นั่นคือ “อิมพีแดนซ์” ซึ่งในสเปคฯ แจ้งไว้ว่า Diamond 12.1 มีอิมพีแดนซ์ปกติอยู่ที่ 8 โอห์ม นั่นเป็นโหลดที่ใช้ในการกำหนดกำลังขับที่แนะนำ เมื่อเราต้องการทราบว่า แอมป์ที่ขับ Diamond 12.1 ออกมาได้ดีจริงๆ นั้นจะต้องมี “กำลังสำรอง” กี่เปอร์เซ็นต์.? มาก–น้อยแค่ไหน.? เราต้องดูตัวเลข “อิมพีแดนซ์ต่ำสุด” ที่สวิงช่วงขาลงว่าลงไปต่ำกว่าอิมพีแดนซ์ปกติมากแค่ไหน คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ก็เอามาคำนวนย้อนกลับเป็นกำลังสำรองที่แอมป์ควรจะมีอยู่ในตัวเพื่อรองรับการสวิงของโหลดนั้น จากสเปคฯ ของ Diamond 12.1 ระบุตัวเลขอิมพีแดนซ์ของ Diamond 12.1 ตอนสวิงลงมาต่ำสุดว่าอยู่ที่ 4 โอห์ม ต่ำลงมากว่าอิมพีแดนซ์ปกติครึ่งหนึ่ง (50%) เมื่อคำนวนกลับไปเป็นกำลังขับที่ต้องจ่ายให้กับโหลดที่ต่ำลงจะเท่ากับ 2 เท่าของตอนที่ใช้ขับอิมพีแดนซ์ปกติ นั่นคือ แอมป์ที่เหมาะสมกับการขับ Diamond 12.1 ให้ได้เสียงออกมาในระดับที่ “ดี” สำหรับลำโพงคู่นี้ต้องมีกำลังขับข้างละ 75W ที่ 8 โอห์ม + กำลังสำรองเท่ากับ 150W ที่ 4 โอห์ม แต่ถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ระดับ “ดีที่สุด” ของลำโพงคู่นี้ต้องใช้แอมป์ที่มีกำลังขับข้างละ 100W ที่ 8 โอห์ม + สำรองเท่ากับ 200W ที่ 4 โอห์ม
ผมทดลองใช้อินติเกรตแอมป์ที่มีอยู่ตอนนี้ 3 ตัวทดลองขับ Diamond 12.1 คือ Cambridge Audio รุ่น CXA61 (60W ต่อข้าง) กับรุ่น CXA81 (80W ต่อข้าง)(REVIEW) และอินติเกรตแอมป์ของ Roxsan รุ่น K3 (140W ต่อข้าง)(REVIEW) พบว่า อินติเกรตแอมป์ทั้งสามตัวนั้นสามารถขับดัน Diamond 12.1 ออกมาได้เต็มที่ทั้งสามตัว คือโดยรวมๆ แล้ว CXA61 ก็ถือว่าได้เสียงที่ผมพอใจมากแล้ว ส่วน CXA81 กับ K3 ก็สามารถรีดคุณภาพเสียงของ Diamond 12.1 ออกมาได้มากขึ้น รู้สึกได้ถึงความแน่นของมวลเสียง รายละเอียดยิบย่อย เวทีที่เปิดกว้าง และทรานเชี้ยนต์ไดนามิกที่เด็ดขาด เหล่านี้ดีขึ้นอย่างละ 10-15% แต่ถ้าคิดในมุมของความคุ้มต่อการลงทุน ผมว่า Diamond 12.1 + CXA61 ให้ความคุ้มค่าในสัดส่วนของ Performance/Price สูงที่สุด
แต่ในแง่ของการทดสอบสมรรถนะ ต้องเอาให้ถึงที่สุด ตอนท้ายผมได้ทดลองใช้ตัว Streaming DAC/Preamp ของ NAD รุ่น C 658 จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustic รุ่น V-3 ซึ่งมีกำลังขับข้างละ 100W ที่ 8 โอห์ม และเบิ้ลได้เป็น 200W ที่ 4 โอห์ม ทดลองขับ Diamond 12.1 ด้วย ปรากฏว่า เสียงโดยรวมดีขึ้นกว่าตอนขับด้วย CXA61 ในทุกด้าน รวมๆ ประมาณ 20%
* มีประเด็นสำคัญข้อหนึ่งที่ผมค้นพบในขณะทดลองแม็ทชิ่ง Cambridge Audio รุ่น CXA61 กับ CXA81 เข้ากับ Diamond 12.1 คือผมได้ทดลองฟังเปรียบเทียบลักษณะการเชื่อมต่อระหว่าง Diamond 12.1 เข้ากับอินติเกรตแอมป์ทั้งสองตัวนั้น 3 รูปแบบ
– แบบที่ 1. ใช้สายลำโพง single-wire + speaker A
– แบบที่ 2. ใช้สายลำโพง bi-wire + speaker A
– แบบที่ 3. ใช้สายลำโพง single-wire = 2 ชุด + speaker A+B
ผลปรากฏว่า การเชื่อมต่อแบบที่ 3 ให้เสียงของ Diamond 12.1 ออกมาดีที่สุด ให้ค่าเฉลี่ยของคุณสมบัติต่างๆ ออกมาสูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นไดนามิก, ซาวนด์สเตจ, และอิมเมจ ซึ่งสายลำโพงที่ผมใช้เป็นของแบรนด์ Furutech แต่เป็นรุ่นที่ราคาไม่สูงคือรุ่น FS-301 เมตรละไม่กี่ร้อยบาท
เซ็ตอัพตำแหน่งวาง Diamond 12.1
Wharfedale ยังคงรักษาลักษณะการเซ็ตอัพลำโพงตามแบบดั้งเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น คือเน้นการจัดวางลำโพงทั้งสองข้างทำมุมกับจุดนั่งฟังในลักษณะสามเหลี่ยมด้านเท่า เป็นการเซ็ตอัพเพื่อการฟังแบบ nearfield (บ้านในอังกฤษจะหลังเล็ก พื้นที่ไม่เยอะ) และยังคงเน้นแนะนำให้ toe-in หรือเอียงแผงหน้าของลำโพงให้หันเข้าหาตำแหน่งนั่งฟังค่อนข้างเยอะ
ผมทำการเซ็ตอัพ Diamond 12.1 ตามรูปแบบที่ผมทำประจำ คือเริ่มต้นด้วยการวางลำโพงทั้งสองอยู่บนระยะห่างจากผนังหลัง = 1/3 ของความลึกของห้อง จัดระยะห่างระหว่างลำโพงทั้งสองข้างไว้ที่ 180 ซ.ม. และกำหนดจุดนั่งฟังอยู่บนจุดตัดของเส้นตรงที่ทำมุมกับลำโพงทั้งสองข้างๆ ละ 60 องศา หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ในซิสเต็มเสร็จและเปิดเสียงทดลองฟังเพื่อเบิร์นลำโพงไปเรื่อยๆ จนเลย 100 ช.ม. ไปแล้ว จึงเริ่มทำการ fine-tune ด้วยการขยับตำแหน่งของลำโพงและจุดนั่งฟังเพื่อค้นหาค่าเฉลี่ยของคุณสมบัติต่างๆ ของเสียงที่ลงตัวมากที่สุด ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายผมได้ระยะวางลำโพง Diamond 12.1 ตามนี้คือระยะห่างซ้าย–ขวาอยู่ที่ 177 ซ.ม. ระยะห่างผนังด้านหลังอยู่ที่ 144 ซ.ม. ส่วนระยะนั่งฟังที่ให้ผลดีที่สุดอยู่ห่างจากระนาบลำโพงทั้งสองออกมาประมาณ 220 – 230 ซ.ม.
ผมวาง Diamond 12.1 ไว้บนบนขาตั้งรุ่น Moseco 6 ของ Atacama (REVIEW) ที่มีความสูง 24 นิ้ว ในการเซ็ตอัพสุดท้าย เมื่อวัดรวมเดือยแหลมขาตั้งเข้าไปด้วยแล้ว จะได้ความสูงของลำโพงอยู่ที่ 25.5 นิ้ว หรือ 63.75 ซ.ม.
เสียงของ Diamond 12.1
ข้อสังเกตแรกที่ผมพบจากการทดลองฟังเสียงของ Diamond 12.1 คือว่ามันใช้เวลาเบิร์นนานกว่าปกติ! คือหลังจากเปิดเบิร์น ทั้งด้วยไฟล์เสียงที่ใช้เบิร์นเครื่องเสียงโดยเฉพาะและเพลงประเภทต่างๆ ทั้งหนักและเบาสลับกันไปจนครบ 100 ชั่วโมง ผมก็เริ่มต้นฟังเก็บรายละเอียดเพื่อวิเคราะห์แนวเสียงของลำโพงคู่นี้ แต่.. ขณะที่กำลังฟังเก็บข้อมูลนั้น ผมพบว่า เสียงที่ฟังโอเคแล้ว มันค่อยๆ คลี่คลายออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่า 100 ชั่วโมงยังไม่พอที่จะ “เผา” ลำโพงคู่นี้ให้แสดงศักยภาพขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของมัน อ่าาา… ไวน์ดีๆ ยังใช้เวลาหมักบ่มกันเป็นสิบปี
ผมจึงยืดเวลาในการเบิร์นลำโพงคู่นี้ออกไปอีกเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเสียงของมันนิ่งจริงๆ ก็เกินสองร้อยชั่วโมงไปแล้ว.. ซึ่งทำให้ผมนึกถึงลำโพงระดับไฮเอ็นด์ทั่วไป ที่ต้องใช้เวลาเบิร์นนานกว่าลำโพงระดับกลางๆ บางคู่ต้องเบิร์นนาน 200 – 300 ชั่วโมงก็มี สาเหตุที่ต้องเบิร์นนานก็เป็นเพราะว่า ตัวตู้ของลำโพงระดับไฮเอ็นด์พวกนั้นจะถูกออกแบบให้ปลอดจากเรโซแนนซ์ จึงไม่มีเสียงของตู้ออกมาผสมกับเสียงของไดเวอร์ นั่นทำให้ได้ยินพัฒนาการของไดเวอร์ที่ถูกเบิร์นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ส่วนประกอบทุกส่วนในตัวไดเวอร์ทำงานประสานกันได้อย่างลงตัวมากที่สุด
ตู้ลำโพงที่มีเรโซแนนซ์เยอะๆ จะสร้างชุดความถี่เรโซแนนซ์ของมันออกมาทับกวนกับความถี่ที่ไดเวอร์สร้างขึ้นมา ทำให้รายละเอียดของความถี่เสียงจากไดเวอร์ที่อยู่ในย่านเดียวกันและย่านใกล้เคียงกับเรโซแนนซ์ของตู้ถูก modulate ไปด้วยกัน แม้ว่าจะใช้เวลาเบิร์นให้นานต่อไปมากแค่ไหน คุณก็ไม่ได้ยินรายละเอียดเสียงของไดเวอร์เพิ่มขึ้น เพราะมันถูกผสมปนเปไปกับเรโซแนนซ์ของตู้ซะแล้ว อ่าา.. แสดงว่า งานของ Karl-Heinz Fink ได้ผล มันช่วยทำให้เรโซแนนซ์ของตู้ลดน้อยลงไปได้มาก (ขณะกำลังฟัง ลองเอาฝ่ามือไปแตะบนตัวตู้ จะพบว่ามันสั่นน้อยกว่าลำโพงอื่นในราคาใกล้เคียงกัน) จึงทำให้ได้ยินการเปลี่ยนแปลงของเสียงที่ออกมาจากไดเวอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสุดยอดของมัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Diamond 12.1 ใช้เวลาในการเบิร์นนานกว่าลำโพงอื่นๆ ในระดับราคาสูสีกัน
เสียงของ Diamond 12.1 ตอนที่มันผ่านเบิร์นไปแล้ว (เกิน 200 ชั่วโมงของการเปิดต่อเนื่องด้วยฟังท์ชั่น Radio ของโปรแกรม roon จากเพลย์ลิสที่ผมตั้งไว้) สร้างความสนเท่ห์ให้กับผมมาก! เพราะมันให้เสียงที่ห่างจากแนวเดิมของ Wharfedale ไปเลย บุคลิกที่รอมชอม นุ่มนวล และเก็บตัวนิดๆ แบบเดิมแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ นี่คือสิ่งที่สัมผัสได้ก่อนเป็นอันดับแรกของการตั้งใจฟังจริงจัง
สาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นหลังจากฟังเสียงของ Diamond 12.1 ก็เพราะว่ามันตอบสนองกับจังหวะของเพลงได้กว้างขึ้น คือสามารถ “สวิง‘ สปีดในการตอบสนองต่อเท็มโป้ (tempo) ของเพลง “ช้า” กับเพลง “เร็ว” ได้ตรงกับเท็มโป้ของเพลงนั้นๆ นั่นเอง คือตอนฟังเพลงช้าก็ไม่รู้สึกว่าเพลงนั้นถูกดึงสปีดให้ช้าเฉื่อยกว่าเท็มโป้ของเพลงนั้นลงไป ฟังเพลงเร็วก็ไม่รู้สึกว่าเพลงนั้นถูกดึงสปีดให้เร็วกว่าเท็มโป้ของเพลงนั้น ซึ่งผลลัพธ์อันนี้นับว่าเป็นคุณสมบัติที่ถูกใจนักฟังเพลงแนวซีเรียส มิวสิค เลิฟเวอร์อย่างผมมากเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้เพลงที่ฟังสามารถปลดปล่อย “ความเป็นดนตรี” ออกมาได้อย่างเต็มที่ และไม่ทำให้ “อรรถรสของเพลง” ถูกบิดเบือนไปจากเป้าหมายที่ศิลปินเจ้าของเพลงต้องการนำเสนอออกมา
แสดงว่า Diamond 12.1 ให้ลักษณะเสียงที่มีความเป็นมอนิเตอร์มากขึ้น.? จะสรุปอย่างนั้นก็พอได้ แต่ไม่ถูกทั้งหมด คือยังสรุปไม่ได้ว่า Diamond 12.1 มีคุณสมบัติเป็น “มอนิเตอร์” ในความหมายของลำโพงที่ใช้ในสตูดิโออย่างเต็มตัว เพราะว่ามันยังมีความจำกัดในการถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงจากต้นฉบับอยู่บางส่วน ที่เห็นชัดๆ ก็คือ bandwidth หรือย่านความถี่ทั้งหมดของเพลง ซึ่งในบางเพลง Diamond 12.1 ยังไม่สามารถถ่ายทอดความถี่ของเพลงนั้นออกมาได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านสรีระของตัวมันเอง แต่ที่พอจะพูดได้ว่า Diamond 12.1 มีความเป็นมอนิเตอร์ “ถ้า” ขีดวงจำกัดในการประเมินอยู่แค่ความถี่ที่มันสามารถถ่ายทอดออกมาได้เท่านั้น
อีกคุณสมบัติที่ผมชอบมาก และ Diamond 12.1 เวอร์ชั่นนี้ทำออกมาได้ดีกว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ นั่นคือคุณสมบัติทางด้าน dynamic ซึ่งลำโพงคู่นี้ทำได้ดีทั้งทางด้าน dynamic contrast (ความต่อเนื่อง) และ dynamic transient (ความฉับพลัน) แม้ว่า Diamond 12.1 จะให้ peak SPL หรือ “ความดังสูงสุด” จำกัดอยู่ที่ 96dB แต่ช่วงสวิงระหว่าง ดัง>เบา และ เบา>ดัง ที่มันนำเสนอออกมาผ่านทางเพลงช้าๆ ทำได้ดีทีเดียว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของนักร้องออกมาให้สัมผัสได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเหนือกว่ามาตรฐานเดิมๆ ของ Wharfedale ไปอีกสเต็ป!
อัลบั้ม : Hello! I Must Be Going (MQA 24/96)
ศิลปิน : Phil Collins
สตรีมมิ่ง : TIDAL
อัลบั้ม : Face Value (2016 Remaster) (MQA 24/96)
ศิลปิน : Phil Collins
สตรีมมิ่ง : TIDAL
เมื่อได้ฟังเพลงเร็วๆ จังหวะกระชั้นๆ เน้นๆ ผมพบว่า Diamond 12.1 คู่นี้สามารถรองรับทรานเชี้ยนต์ไดนามิกของเพลงเหล่านั้นออกมาได้อย่างสบายตัว หลายๆ เพลงมันทำออกมาได้น่าทึ่งมาก อย่างเช่นตอนฟังเพลง “I Don’t Care Anymore” จากอัลบั้มชุด Hello! I Must Be Going ของ Phil Collins จากไฟล์ MQA 24/96 ที่สตรีมจาก TIDAL ผมได้ยินเสียงกลองของฟิล คอลลินส์แผ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ด้านหลังของเวทีเสียง โดยมีเสียงร้องกับเสียงซินธิไซเซอร์ลอยอยู่ด้านหน้า ซึ่งผมเปิดค่อนข้างดัง แต่เสียงที่แผ่ออกมาจาก Diamond 12.1 ก็ไม่มีอาการว่าจะรับไม่ไหว มันฉีกซาวนด์สเตจออกได้กว้างหลุดระยะวางซ้าย–ขวาออกไป รวมถึงถอยร่นความลึกเลยระนาบของลำโพงลงไปไกลเป็นเมตร สำแดงศักยภาพของความเป็นลำโพงล่องหนออกมาได้อย่างน่าทึ่ง หลุดตู้ทุกความถี่! คือสิ่งที่ไม่ค่อยจะได้ยินจากลำโพงคู่นี้
ติดใจเสียงกลองของฟิล ผมจึงรีบเลือกอัลบั้มชุด Face Value ขึ้นมาฟังต่อทันที ซึ่งอัลบั้มนี้บันทึกและมิกซ์เสียงกลองออกมาหนักหน่วงกว่าอัลบั้มชุด Hello! I Must Be Going และมิกซ์เสียงทุ้มออกมาหนักกว่าด้วย เมื่อลองฟังเพลงแรก “In The Air Tonight” ผมก็ได้ยินเสียงกลองโน๊ตต่ำๆ ที่เริ่มแสดงข้อจำกัดของ Diamond 12.1 ออกมาให้ได้ยินในลักษณะของเสียงที่มีอาการแกว่งๆ ความคมของหัวโน๊ตเริ่มสูญเสียไปนิดๆ ผมต้องลดวอลลุ่มของเพลงลงมานิดหน่อย อาการแกว่งๆ ก็หายไป แต่น้ำหนักความกระแทกกระทั้นก็ลดตามลงไปนิดนึง และพอถึงเพลงถัดไปคือ “This Must Be Love” ผมก็ได้ยินเสียงเบสหนาๆ หนักๆ นุ่มๆ ของเพลงนี้ถูกถ่ายทอดผ่านลำโพงคู่นี้ออกมาอย่างชัดเจน เป็นเสียงทุ้มที่ทำให้รู้สึกทึ่งกับความสามารถของลำโพงคู่นี้อีกแล้ว คือฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อว่ามาจากไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ที่มีขนาดแค่ 5 นิ้วนิดๆ แค่นั้นเอง.. เยี่ยมมาก! สรุปคือ Diamond 12.1 สามารถตอบรับกับเสียงทุ้มตอนกลางได้ดีถ้าไม่เปิดดังเกินไป
ความหวานของเสียงกลางที่มากับเสียงร้องและเสียงโซโล่เครื่องดนตรีที่มีเร้นจ์เสียงอยู่ในย่านกลางและกลางสูงอย่างเช่นไวโอลิน, แซ็กโซโฟน และกีต้าร์ ซึ่งเป็นจุดขายของแบรนด์ Whafedale มาแต่ไหนแต่ไรก็ได้ถูกอัพเกรดขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการถ่ายทอดคอนทราสน์ ไดนามิกที่ละเอียดมากขึ้น ทำให้ช่วงเอื้อนกับช่วงปรับเปลี่ยนระหว่างตัวโน๊ตถูกถ่ายออกมาให้รับรู้ได้ชัดขึ้น ส่งผลต่อ “อารมณ์” ของศิลปินที่ส่งผ่านการบรรเลงถูกขับออกมาให้สัมผัสได้มากขึ้น ไม่จืดชืดหรือไร้อารมณ์
อัลบั้ม : Teaser And The Firecat (FLAC 16/44.1)
ศิลปิน : Cat Steven
สตรีมมิ่ง : TIDAL
นาทีแรกจะรู้สึกว่าลำโพงคู่นี้ให้เสียงร้องของ Cat Steven ในอัลบั้มนี้ออกมาอบอุ่น มวลเข้ม ส่วนเสียงกีต้าร์มีความละเอียดเนียน ไม่จ้าและไม่พุ่งล้ำออกมา เมื่อฟังต่อเนื่องไปสักพักจะเริ่มรู้สึกถึง “อารมณ์” ที่แคท สตีเวนปลดปล่อยมันออกมากับเนื้อเพลงแต่ละคำที่เขาร้องออกมา ที่ฟังแล้วจับจิตจับใจมากเป็นพิเศษคือตอนฟังเพลง “Morning Has Broken (Old Gaelic Melody)” ทั้งเสียงเปียโน, กีต้าร์คอร์ด และที่ฟังแล้วล่องลอยมากที่สุดคือเสียงร้อง โดยเฉพาะท่อนที่ผมชอบมากคือท่อน “.. Mine is the sunlight, Mine is the morning, Born of the one light eden saw play, praise with elation, praise every morning, God’s recreation of the new day..” ชอบช่วงที่เขาขยักขย้อนเสียง ขึ้นๆ ลงๆ ตรงคำว่า “mor–orr–ning” ซึ่งที่เคยฟังผ่านๆ มาแทบจะไม่ได้ยินอะไรแบบนี้จากลำโพงราคาประมาณนี้ มันคือคอนทราสน์ ไดนามิกที่ทำให้อารมณ์ของเพลงพรั่งพรูออกมา ฟังแล้วอินไปกับเพลงมาก
สังเกตว่าสโลปของความถี่ตรงรอยต่อระหว่างมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์กับทวีตเตอร์ของลำโพงคู่นี้ ถูกกำหนดไว้ที่ 24dB ต่ออ็อกเตป ซึ่งชันมาก! ข้อดีคือได้ความแม่นยำของเฟส แต่ถ้าปรับจูน timing ของเอ๊าต์พุตที่ไม่ทันกันทุกความถี่ จะได้แต่ความคมของหัวโน๊ตแต่บอดี้ของโน๊ตไม่มา ผลคือเสียงที่บาง มวลของตัวเสียงไม่อิ่มเข้ม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของ Diamond 12.1 คู่นี้ มันให้โทนัล บาลานซ์ออกมาสมดุลดีมาก ซึ่งทำให้ผมรู้สึกโล่งอก เพราะบอกตามตรงว่า ตอนแรกก็รู้สึกหวั่นๆ ว่าลำโพงคู่นี้จะให้เสียงออกมาทางบอบบางรึป่าว.? เพราะตอนเบิร์นใหม่ๆ เสียงจากทวีตเตอร์มันยังออกมาล้ำหน้ามิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์อยู่ (ทวีตเตอร์เบิร์นเร็วกว่ามิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์อยู่แล้ว) ผมเลยกังวล เพราะช่วงแรกๆ เสียงของมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ยังออกมาไม่เต็ม ฐานเบสตอนกลางกับตอนล่างยังถูกรีดออกมาไม่หมด แต่พอเลยชั่วโมงที่ 100 ไปแล้ว ความถี่ในย่าน mid-bass กับ lower-bass จึงเริ่มแผ่ออกมามากขึ้น ทำให้รายละเอียดของเสียงที่อยู่ในย่านความถี่ต่ำเปิดเผยออกมามากขึ้น และที่ผมดีใจมากๆ ก็คือ แม้ว่าปริมาณของความถี่จะถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้ speed ของไดนามิกด้อยลงแต่อย่างใด.. มีแต่เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับลำโพงคู่นี้มากยิ่งขึ้น ทำให้รับรู้ได้ว่าเสียงแผ่ออกมาเต็มขึ้น.. อบอุ่นมากขึ้น
อัลบั้ม : Tchaikovsky: Slavonic March in B Flat Minor Op.31 “Marche Slave” (AAC 24/44.1)
ศิลปิน : Slovenian Symphony Orchestra / Anton Nanut, conductor
ค่าย/สตรีมมิ่ง : Red Note / TIDAL
เพราะฟังเพลง “Marche Slave” ของ Tchaikovsky ในอัลบั้มนี้นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นตะลึงกับเสียงของลำโพงคูนี้ และต้องยอมรับว่ามันให้เสียงออกมา “เต็ม” มาก!!! เหลือเชื่อที่ลำโพงสองทางตัวเล็กๆ คู่นี้จะสามารถให้เสียงของวงออเคสตร้าขนาดใหญ่เล่นแทรคนี้ออกมาได้พลังสูบฉีดที่มากมาย รายละเอียดกระจายตัวพร่างพราย อรรถรสออกมาเต็ม เหลืออยู่ข้อเดียวคือความจำกัดของวอลลุ่ม แต่ถ้าห้องไม่ใหญ่จนเกินไป ลำโพงคู่นี้เอาอยู่จริงๆ !!
สรุป
Diamond 12.1 เป็นลำโพงลูกผสมระหว่างอังกฤษกับเยอรมันที่ให้สปีดฉับไว ไม่เฉื่อย – คอนทราสน์ละเอียด ต่อเนื่อง – โทนัล บาลานซ์ดี สมดุลระหว่างทุ้ม/กลาง/แหลม – มิติแผ่ขยายทั้งกว้างและลึก แม้ว่าจะไม่ถึงระดับดีที่สุด แต่ทุกคุณสมบัติข้างต้นที่ Diamond 12.1 ถ่ายทอดออกมานั้น มันสูงเกินระดับราคาค่าตัวของมันไปไกลเลยทีเดียว.!!! /
********************
ราคา : พิเศษ 11,900 บาท (จากราคาเต็ม 14,900 บาท)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5
facebook: @hifitowerShop
Line ID: @hifitower