หกปีที่ผ่านมานั้น ลำโพง Wharfedale ซีรี่ย์ EVO 4 ได้รับรางวัลจากสื่อเครื่องเสียงต่างประเทศเยอะมาก ทำให้เข้าใจความรู้สึกของ Peter Comeau กับทีมออกแบบลำโพงแบรนด์นี้เลยว่า โจทย์ที่ต้องทำให้ EVO 5 ออกมา “ดีกว่า” ซีรี่ย์ EVO 4 ขึ้นไปอีกระดับนั้นจะสร้างแรงกดดันให้กับทีมออกแบบมากขนาดไหน
แต่พอสำเร็จเสร็จออกมาเป็น EVO 5 จริงๆ ก็ต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับทีมออกแบบของ Wharfedale ที่พวกเขาสามารถก้าวผ่านโจทย์ยากๆ มาได้อย่างน่าชื่นชม เพราะหลังจากได้ทดลองฟังเสียงของ EVO 5.4 แล้วพบว่า น้ำเสียงที่ได้ยินนั้น สามารถฟันธงได้เลยว่า EVO 5.4 ให้คุณภาพเสียงโดยรวมที่ “เหนือกว่า” รุ่น EVO 4.4 ขึ้นไปอย่างน้อย 30%
ทุกเสียงตั้งแต่ทุ้มขึ้นไปถึงแหลม ดีขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะความเป็นตัวตนดีขึ้นมาก เนื้อมวลเข้มข้น แยกแยะได้เด็ดขาด รายละเอียดดีเยี่ยมสำหรับมาตรฐานของลำโพงระดับนี้ ตั้งแต่ระดับเบาๆ ขึ้นไปจนถึงระดับพีคพร่างพรายออกมาให้ได้ยินชัดมาก มิติเสียงหลุดตู้ตั้งแต่ยังไม่ครบ 100 ชั่วโมง น่าสนใจใคร่อยากรู้แล้วว่า พวกเขาทำอะไรกับ EVO 5.4 คู่นี้ลงไปบ้าง.??
Detail for Detail ..!!
การปรับปรุงเพื่อคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น
ต้องใช้แว่นขยายส่องกันตั้งแต่ภายนอกก่อนเลย เริ่มด้วย..
ส่วนสัดตัวตู้

มองเผินๆ ระหว่างรุ่นท็อปชนรุ่นท็อปคือ EVO 4.4 กับ EVO 5.4 มันก็เหมือนกันนี่หว่า.. แต่พอยกมาเทียบกัน จะเริ่มเห็นถึงความแตกต่างเลาๆ เริ่มตั้งแต่สัดส่วนของตัวตู้ซึ่ง EVO 5.4 ถูกปรับให้มีแผงหน้าที่กว้างขึ้นประมาณ 5 ซ.ม. นิดๆ ความสูงลดลง 3 ซ.ม. นิดๆ และมีความลึกมากขึ้น 1 ซ.ม. ถามว่า การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนตัวตู้ระดับนี้จะส่งผลกับเสียงมากมั้ย.? ถ้าตามสายตามองจะเห็นว่าน้อย แต่ผลที่เกิดกับเสียงตามประสบการณ์ก็ต้องบอกว่าเยอะพอสมควร แม้ว่าตัวเลขที่เปลี่ยนไปแต่ละด้านไม่ได้เยอะมาก แต่หลังจากได้เห็นตัวเป็นๆ ของ EVO 5.4 ผมพบว่า ลักษณะการลู่สอบของผนังด้านข้างซ้าย–ขวาของตัวตู้ก็เปลี่ยนไปด้วย คือรุ่น EVO 5.4 จะลดมุมสอบของผนังตู้ด้านข้างซ้าย–ขวาลง ทำให้ผนังด้านหลังของตัวตู้ถูกเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า การปรับเปลี่ยนลักษณะของผนังตู้ย่อมส่งผลต่อการสะท้อนของคลื่นเสียงภายในตัวตู้ไปด้วย เชื่อว่าถ้ายกทั้งสองรุ่นนี้มาฟังเทียบกันในซิสเต็มเดียวกันก็น่าจะรับรู้ถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ขั้วต่อสายลำโพง


ความเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นจากภายนอกตัวตู้ที่น่าจะส่งผลกับเสียงเยอะมากอีกจุดหนึ่งก็คือ “ขั้วต่อสายลำโพง” ซึ่งเปลี่ยนจากขั้วต่อไบ–ไวร์ฯ แบบแยกสองชุดที่เคยใช้อยู่ในรุ่น EVO 4.4 มาเป็นแบบซิงเกิ้ลไวร์ที่ใช้ในรุ่น EVO 5.4 ซึ่งน่าจะส่งผลกับเสียงเยอะแน่ๆ เพราะพอเป็นขั้วต่อแบบซิงเกิ้ลฯ มันจะช่วยลดตัวแปรภายนอกคือความแตกต่างของการเชื่อมต่อสายลำโพงออกไป เสียงที่ได้ก็น่าจะเป็นไปตามความต้องการของผู้ออกแบบลำโพงมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ลดโอกาสของการขับแบบไบ–แอมป์ลงไปด้วย
วงจรตัดแบ่งความถี่ (crossover network)

แผงวงจรครอสโอเวอร์ฯ ของรุ่น EVO 4.4

แผงวงจรครอสโอเวอร์ฯ ของรุ่น EVO 5.4
แน่นอนว่าเปลี่ยนแปลงเฉพาะขั้วต่อสายลำโพงอย่างเดียวคงจะไม่ถึงกับพลิกฟ้า–คว่ำแผ่นดิน ต้องเปลี่ยนแปลงลงไปถึงส่วนที่อยู่ด้านในที่ต่อเชื่อมกับขั้วต่อสายลำโพงด้วย นั่นคือ “วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค” ซึ่งในรุ่น EVO 4.4 นั้น วงจรครอสโอเวอร์ฯ จะถูกรวมอยู่บนแผงวงจรเดียวกันทั้งหมด (ภาพบน) ในขณะที่วงจรครอสโอเวอร์ฯ ของรุ่น EVO 5.4 จะถูกแยกออกจากกันเป็น 2 แผง แผงหนึ่งจ่ายความถี่ให้กับกลาง–แหลม ส่วนอีกแผงจ่ายความถี่ให้กับวูฟเฟอร์ ซึ่งการแยกกันแบบนี้มีผลดีต่อเสียง คือทำให้การรบกวนของคลื่น EMI (Electro-Magnetic Interference) ลดลงไปได้มาก
นอกจากตัดแยกวงจรครอสโอเวอร์ฯ ออกเป็นสองส่วนแล้ว วงจรครอสโอเวอร์ฯ ในรุ่น EVO 5.4 ยังได้ถูกปรับปรุงคอมโพเน้นต์ที่ใช้ในวงจรอีกด้วย อย่างเช่น เลือกใช้คาปาซิเตอร์โพลี่โพรไพลีนและขดลวดเหนี่ยวนำในวงจรเน็ทเวิร์คฯ แผงที่ส่งความถี่ไปให้กับไดเวอร์มิดเร้นจ์และทวีตเตอร์ เพื่อให้ได้เสียงกลางและแหลมที่ดีขึ้น และใช้ตัวเหนี่ยวนำแบบ laminated silicon-iron ในวงจรเน็ทเวิร์คส่วนที่ส่งความถี่ต่ำไปให้วูฟเฟอร์ เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้เสียงเบสที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ช่องระบายเบสแบบ Slot Loaded Profiled Port (SLPP)

ลำโพง EVO 4.4 และ EVO 5.4 ต่างก็เป็นลำโพงตู้เปิดทั้งคู่ โดยถ่ายเทมวลอากาศเข้า/ออกลงไปที่ด้านล่างของตัวตู้ (down-firing) ผ่านทางช่องระบายอากาศที่เจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ที่ฐานล่างของตัวตู้ เป็นเทคนิคที่มีชื่อว่า Slot Loaded Profiled Port (SLPP) ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่พวกเขาใช้ในซีรี่ย์ Elysian และซีรี่ย์ AURA โดยในรุ่น EVO 4.4 นั้นพวกเขากำหนดให้มวลอากาศระบายเข้า/ออกตัวตู้ผ่านทางช่องระบาย 2 ช่อง ที่ยิงออกทางด้านข้างซ้าย–ขวาของตัวตู้ ในขณะที่รุ่น EVO 5.4 มีการเปลี่ยนแปลงให้มวลอากาศระบายออกไป 3 ช่อง คือนอกจากซ้าย–ขวาแล้ว พวกเขาได้เพิ่มการระบายมวลอากาศจากภายในตัวตู้ออกไปทางด้านหลังอีกหนึ่งช่อง

ช่องระบายอากาศด้านหลัง
ซึ่งผู้ผลิตเคลมว่า ลักษณะการออกแบบช่องระบายอากาศแบบ Slot Loaded Profiled Port นี้เป็นมรดกตกทอดมาจากไอเดียของ Gilbert Briggs ผู้ให้กำเนิดแบรนด์ Wharfedale นั่นเอง ซึ่งช่องระบายอากาศแบบ Slot Loaded Profiled Port นี้จะให้ผลลัพธ์ในการถ่ายเทมวลอากาศที่ดีกว่าแบบท่อระบายอากาศที่ยิงออกทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวตู้แบบที่เห็นทั่วไป คือนอกจากจะช่วยลดเสียงลมที่เสียดสีกับปากท่อลงไปแล้ว มันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันระหว่างวูฟเฟอร์กับมวลอากาศที่อยู่ด้านหลังวูฟเฟอร์อีกด้วย
นอกจากนั้น ช่องระบายอากาศ Slot Loaded Profiled Port ที่ติดตั้งอยู่ตรงส่วนฐานของตัวตู้ยังถูกแทรกขวาง (isolate) ด้วยแผ่นโลหะเพื่อช่วยลดเรโซแนนซ์ที่เกิดจากลมที่เสียดสีกับช่องระบายอากาศออกไป แม้จะเป็นแรงสั่นแค่เพียงเล็กน้อย แต่แผ่นโลหะที่ขวางกั้นอยู่ระหว่างช่อง Slot Loaded กับตัวตู้ก็จะช่วยยับยั้งแรงสั่นนั้นเอาไว้ไม่ให้แผ่ขึ้นไปถึงตัวตู้
ขาตั้ง

ขาตั้งของ EVO 5.4 ติดตั้งมาข้างละ 4 ขา ซึ่งตัวขาตั้งถูกยึดโยงอยู่กับแผ่นโลหะที่รองรับฐานล่างของตัวตู้นั่นเอง ลักษณะของขาตั้งเป็นโลหะทรงกระบอกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซ.ม. และมีความสูงเท่ากับ 5 ซ.ม. ไม่นับเดือยแหลมที่เป็นทรงกรวย ถือว่าเป็นระบบขาตั้งที่ให้ความแน่นหนามั่นคงมาก
ภายในตัวตู้

จากภายนอกทะลุเข้ามาถึงภายใน จากภาพข้างบนเผยให้เห็นว่า ผนังตู้ที่ทำด้วยไม้ MDF ที่มีความหนาแน่นต่างกันเอามาประกบกันเพื่อลดความถี่เรโซแนนซ์ของตัวตู้ให้ต่ำลงไปจนพ้นระดับที่หูรับรู้ได้ นอกจากนั้น จากภาพข้างบนจะเห็นว่า ระบบโครงตู้ที่แน่นหนาและมีการเก็บเสียงด้วยวัสดุที่มีคุณสมบัติดูดซับที่เหมาะสมอยู่ภายในตัวตู้ยังช่วยเก็บเสียงจากภายในไม่ให้เล็ดลอดออกไปนอกตู้ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำงานของไดเวอร์ทางอ้อมอีกด้วย
ไดเวอร์เสียงแหลม
AMT Tweeter
“.. When it came time to develop its successor, a complete redesign wasn’t the answer. Instead, we focused on a thoughtful evolution—true to the ‘EVO’ name—refining what already worked so well while finding new ways to elevate performance.” ปีเตอร์ คอมมาว กล่าวไว้ในบันทึกส่วนท้ายในเว็บไซต์ ถึงแนวทางในการออกแบบลำโพง Wharfedale ซีรี่ย์ EVO 5 ไว้ว่า เขากับทีมออกแบบสรุปแนวคิดออกมาได้ว่า การออกแบบ EVO 5 ด้วยการรื้อดีไซน์เดิมมาเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่หนทางที่ดี เพราะพื้นฐานของ EVO 4 มาถูกทางแล้ว พวกเขาจึงเลือกใช้วิธี “ปรับปรุง” (refine) สิ่งที่ดีอยู่แล้วของ EVO 4 ด้วยการค้นหาวิธีที่ทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก

AMT (Air Motion Transformer) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ลำโพงทุกรุ่นในซีรี่ย์ EVO 4 โดยเฉพาะรุ่น EVO 4.4 ได้รับคำชมอย่างมากมาย ถือว่าเป็นเทคนิคที่ช่วย “ยกระดับ” ลำโพงระดับกลางให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด ซึ่งในซีรี่ย์ EVO 5 ก็ยังคงใช้ไดเวอร์ AMT เหมือนเดิม แต่เป็น AMT ที่ผ่านการปรับปรุงขึ้นมาอีกระดับ..

หลักๆ ของการอัพเกรดประสิทธิภาพของไดเวอร์ที่ใช้ในซีรี่ย์ EVO 5 จะเน้นไปที่ความสามารถในการ “ลดเรโซแนนซ์” ซะเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างที่ตัวไดเวอร์ AMT ตามที่เห็นในภาพข้างบนที่วงไว้ทั้งสามวงนั้นก็คือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการสลายเรโซแนนซ์ทั้งสามจุด เริ่มจากจุดแรก ResoFrame (วงรีสีแดง) ซึ่งมีลักษณะเป็นวงแหวนอะคูสติก แด้มปิ้งที่ติดตั้งอยู่รอบๆ ไดเวอร์ AMT เข้าไปจนถึงแผ่นปะเก็นที่กั้นอยู่ระหว่างบอดี้ของไดเวอร์ AMT กับกรอบนอก ซึ่งทำด้วยวัสดุ elastomer ที่มีคุณสมบัติดูดซับพลังงานสั่นสะเทือน ตรงนี้เป็นจุดที่สอง ส่วนจุดที่สามเป็นแผ่นวัสดุแด้มปิ้งที่ชื่อว่า Silentweave ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของแผ่นไดอะแฟรมของไดเวอร์ AMT
นอกจากนั้น ไดเวอร์ AMT ที่ใช้ในซีรี่ย์ EVO 5 มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่ใช้ในซีรี่ย์ EVO 4 อยู่พอสมควร คือจากขนาด 30×60 mm ที่ใช้ในซีรี่ย์ EVO 4 มาเป็น 35×70 mm ในซีรี่ย์ EVO 5 มีผลทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นรวมถึงทำให้ได้มุมกระจายเสียงที่เปิดกว้างขึ้นด้วย
ไดเวอร์เสียงกลาง
Dome Midrange


ไดเวอร์โดมมิดเร้นจ์ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยผลักดันซีรี่ย์ EVO 4 ให้พุ่งขึ้นไปสู่ความมีชื่อเสียงจนกระจรกระจายไปทั่วทั้งวงการ ซึ่งในซีรี่ย์ EVO 5 นี้ Peter Comeau ผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมออกแบบก็ไม่ได้ทิ้งองค์ประกอบสำคัญนี้ มิหนำซ้ำ เขากับทีมออกแบบยังได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพของไดเวอร์มิดเร้นจ์ตัวนี้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปกว่าเดิม ด้วยการติดตั้งวงแหวน ResoFrame (วงรีสีแดง) เข้าไปรอบๆ กรอบด้านหน้าเพื่อปรับลดเรโซแนนซ์ และติดตั้งวัสดุซับแรงสั่นสะเทือน Silentweave ลงไปสองตำแหน่งคือหลังไดอะแฟรม (วงรีสีฟ้า) และที่เกือบจะปลายสุดของโครงสร้างของตัวไดเวอร์มิดเร้นจ์
ไดเวอร์เสียงทุ้ม
Woofer


เชื่อว่าถ้าไปตั้งคำถามกับเอ็นจิเนียร์ที่ออกแบบลำโพงให้กับแบรนด์ Wharfedale ว่า วัสดุชนิดใดใช้ทำไดอะแฟรมของไดเวอร์ได้ดีที่สุด เชื่อว่าคำตอบที่พวกเขาตอบกลับมาก็คงจะเป็น Kevlar นั่นเอง เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขาใช้ชีวิตข้องเกี่ยวอยู่กับวัสดุชนิดนี้มานาน ใช้เวลาศึกษาและพัฒนาในการใช้ Kevlar มาทำเป็นไดอะแฟรมของไดเวอร์ลำโพงต่อเนื่องกันมานานกว่า 25 ปี แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งมีเวลาศึกษากันนาน ก็เป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขาสามารถดึงประสิทธิภาพของเคฟล่าร์ออกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในวูฟเฟอร์ที่ใช้ในซีรี่ย์ EVO 5 พวกเขาก็ยังใช้ Kevlar เป็นวัสดุหลักในการทำไดอะแฟรม โดยที่ในเจนเนอเรชั่นล่าสุดนี้ พวกเขาได้ทำการรีดประสิทธิภาพของกรวยเคฟล่าร์ด้วยการติดตั้งวงแหวน ResoFrame (วงรีสีแดง) ไว้ที่ขอบนอกของโครง และยังได้ติดตั้งวงแหวนแด้มปิ้งที่ตั้งชื่อเรียกว่า ResoSeal (วงรีสีฟ้า) เข้าไปดูดซับเรโซแนนซ์ที่ด้านหลังของกรวยไดอะแฟรมส่วนที่ติดกับวงแหวนยางที่ยึดโยงไดอะแฟรมไว้กับโครงด้วย ซึ่งเจ้าวงแหวน ResoSeal นี้ทำมาจากวัสดุ elastomer ที่มีประสิทธิภาพในการดูดกลืนแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นขณะที่ไดอะแฟรมเคลื่อนตัวเอาไว้ ทำให้ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์เคลื่อนตัวได้อย่างอิสระ ไม่มีเรโซแนนซ์ย้อนกลับจากขอบมารบกวน เสียงกลางและทุ้มจึงออกมาสะอาดและเที่ยงตรง
แม็ทชิ่ง

ตัวเลขในสเปคฯ ของ EVO 5.4 ที่เห็นแล้วใจชื้นมากคือ “ความไว” ที่สูงถึง 90dB ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับลำโพงสามทาง/ตั้งพื้นโดยทั่วไป เหมือนกับว่าผู้ผลิตเขาอยากจะบอกเป็นนัยๆ ว่า เขาทำลำโพงรุ่นนี้ออกมาให้ขับง่ายๆ ส่วนตัวเลขกำลังขับที่แนะนำไว้กำหนดอยู่ในช่วง 30 – 200W ทว่า อิมพีแดนซ์ที่อ้างอิงกับข้อแนะนำกำลังขับมันมีอะไรที่ดูแล้วงงๆ หน่อย คือเขาบอกว่า ความต้านทานปกติ (Nominal impedance) ซึ่งความหมายก็คล้ายๆ ความต้านทานเฉลี่ย ระบุไว้ว่าอยู่ที่ 4 โอห์ม แต่มีข้อความในวงเล็บว่า ‘8Ω compatible’ อยู่ด้วย ก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร.? คืองงตรงบรรทัดถัดลงไปที่เป็นหัวข้อ ความต้านทานต่ำสุด (Minimum impedance) ระบุว่าอยู่ที่ 4.3 โอห์ม คืองงว่า ถ้าอิมพีแดนซ์ปกติออยู่ที่ 4 โอห์ม มันจะต่ำสุดที่ 4.3 โอห์ม ได้ยังไง.? คนที่จะเอาตัวเลขเหล่านี้มาพิจารณาหาความแม็ทชิ่งกับแอมป์ก็ว้าวุ่นเลย..
เมื่อเอาตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่ลำโพงแนะนำคือ 200W มาเข้าสูตร 75% x maximum power recommended ก็จะได้ออกมาเป็นตัวเลขกำลังขับของแอมป์อยู่ที่ 150W ต่อข้างที่โหลดปกติ 4 โอห์ม ซึ่งคาดหวังว่าจะขับ EVO 5.4 ออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดีน่าพอใจ ซึ่งตัวเลขกำลังขับ 150W ที่ 4 โอห์ม ก็ถือว่าไม่ได้สูงมากสำหรับแอมปลิฟายในยุคปัจจุบัน เพราะถ้าคำนวนย้อนกลับมาที่โหลด 8 โอห์ม ก็เหลือแค่ 75W ต่อข้างเท่านั้นเอง

หลังจากเปิดให้ลำโพงทำงานไปเรื่อยๆ จนครบ 70 ชั่วโมง ผมก็เริ่มทดลองแม็ทชิ่งลำโพงคู่นี้ด้วยแอมป์และแหล่งต้นทางที่เตรียมไว้ 2 ชุด ด้วยกัน ชุดแรกประกอบด้วย Audiolab รุ่น 9000N (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์+อะนาลอกปรีแอมป์ในตัว โดยส่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตไปให้เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ที่มีกำลังขับข้างละ 140W ที่ 8 โอห์ม (สูงกว่าระดับ 75% x Max. Power Rec. ที่ลำโพง EVO 5.4 แนะนำไว้เกือบสองเท่า.!) โดยผ่านสายสัญญาณ XLR ของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ (REVIEW) ส่วนสายลำโพงจาก Artera Stereo ไปที่ EVO 5.4 ก็เป็นสายลำโพงของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ เช่นเดียวกัน สายไฟเอซีที่ป้อนเข้า 9000N ก็เป็นของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ แต่สายไฟเอซีที่ใช้กับเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo เป็นของ Life Audio รุ่น Signature 1 (REVIEW)

แอมป์ชุดที่สองที่เปลี่ยนเข้าไปลองขับ EVO 5.4 เป็น all-in-one หรือ streaming integrated amplifier รุ่นใหม่ล่าสุดของ Arcam คือรุ่น SA45 เป็นรุ่นใหญ่สุด มีสตรีมมิ่งในตัว และมีกำลังขับของแอมป์ class-G ที่สูงถึง 180W ที่โหลด 8 โอห์ม มาให้ด้วย ซึ่งเป็นกำลังขับที่สูงกว่าสูตร 75% x Max. Power Rec. ที่ EVO 5.4 แนะนำไว้เกิน 2 เท่า..!!
เซ็ตอัพ

ลำโพงคู่นี้แสดงคุณลักษณะของเสียงที่เข้าข่ายไฮเอ็นด์ฯ ตั้งแต่วินาทีแรกหลังแกะกล่องออกมาลองฟัง มันให้เสียงที่หลุดตู้ได้อย่างง่ายดาย เวทีเสียงก็ฉีกกว้างออกไปไกลตั้งแต่เพลงแรกที่ลองฟัง ผมจัดการติดตั้ง EVO 5.4 ไว้ที่ตำแหน่งเริ่มต้นก่อนการไฟน์จูนตามสูตรของผมคือ ระยะห่างผนังหลังอยู่ที่ 1/3 x ความลึกของห้อง ซึ่งในห้องฟังของผมอยู่ที่ระยะ 180 ซ.ม. ส่วนระยะห่างซ้าย–ขวาเริ่มต้นที่ 180 ซ.ม. หลังจากไฟน์จูนด้วยการขยับชิด–ถ่างลำโพงซ้าย–ขวาทีละนิดโดยอ้างอิงด้วยการฟังเพลงที่เลือกไว้จนได้ตำแหน่งลงตัวทางด้านโฟกัสอยู่ที่ระยะห่างซ้าย–ขวาเท่ากับ 152 ซ.ม. หลังจากนั้นก็ปรับจูนตำแหน่งเพื่อให้ได้โทนัลบาลานซ์และความนิ่งของการสวิงไดนามิกของเสียงด้วยการขยับลำโพงถอยห่าง/ดันเข้าไปชิดผนังด้านหลัง จนมาลงตัวที่ระยะห่างผนังหลังที่ 177 ซ.ม. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ให้คุณภาพเสียงแต่ละด้านออกมาดีที่สุด และที่ตำแหน่งนี้ EVO 5.4 สามารถแสดงความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในซิสเต็มออกมาให้ได้ยินชัดมาก แสดงถึงคุณลักษณะของความเป็นมอนิเตอร์ของลำโพงคู่นี้ออกมาให้เห็น คนที่ชอบฟังเพลงที่บันทึกรายละเอียดชัดๆ น่าจะถูกใจ
หลังจากได้ตำแหน่งที่ลงตัวแล้ว ผมก็ปล่อยให้ลำโพงร้องเพลงต่อไปอีกยี่สิบกว่าชั่วโมงเพื่อให้พ้น 100 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มต้นฟังเก็บรายละเอียดจริงๆ จังๆ ต่อไป..
เสียงของ EVO 5.4
เก็บความตื่นเต้นไว้ตั้งนาน จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกตั้งแต่เริ่มเขียนรีวิวลำโพงคู่นี้แล้วว่า ใครที่เคยชินกับเสียงของลำโพง Wharfedale ยุคเก่าๆ มาก่อน และตีตราว่าเสียงของลำโพงยี่ห้อนี้มีแต่ความหวานจางๆ และไม่โดดเด่นไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน ประมาณว่าเสียงดีแต่ไม่สุด ซึ่งส่วนตัวผมเองจากฐานะที่ได้สัมผัสกับเสียงของลำโพงแบรนด์นี้มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ผมพบว่า ลำโพง Wharfedale ในยุคหลังๆ ได้ถูกปรับปรุงขึ้นมาตามลำดับ โดยแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือถ้าชอบแนวเสียงย้อนยุคที่ออกไปทางอิ่มๆ หนาๆ โทนเสียงติดไปทางนุ่มหวาน ให้ไปทางซีรี่ย์ Heritage คุณจะได้เสียงแบบนั้น แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเจาะลึกเข้าไปค้นหารายละเอียดที่บันทึกซ่อนอยู่ในเพลงแต่ละเพลง สิ่งที่คุณต้องการก็คือลำโพงที่มีบุคลิกของความเป็น “มอนิเตอร์” อยู่ในตัว ต้องเป็นลำโพงที่พยายามแจกแจงสิ่งที่ป้อนเข้าไปในตัวมันออกมาอย่างที่ต้นฉบับเป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด ต้องสามารถ “ขุด” เอารายละเอียดแม้ในจุดที่แผ่วเบาออกมาให้คุณได้ยินครบทุกเม็ด ถ้าคุณต้องการอะไรแบบที่ว่ามานี้ คุณต้องเลือกลำโพง Wharfedale ที่พัฒนาออกมาตามเทคโนโลยี่ปัจจุบัน อย่างเช่นซีรี่ย์ Elysian, AURA หรือ EVO เพราะลำโพงเหล่านี้ให้เสียงที่เน้นไปตามต้นฉบับมากกว่าเอาใจหู ถ้าจะหวานก็ต้องหวานมาจากความสามารถของนักร้องหรือนักดนตรี ไม่ใช่สีสันที่ปรุงมาให้หวาน
ตอนที่ผมทดสอบลำโพงรุ่น Elysian 2 (พร้อมขาตั้ง คู่ละสองแสนหย่อนนิดหน่อย) ไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 (REVIEW) และตามด้วยรุ่น AURA 4 (คู่ละหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นหย่อนนิดหน่อย) ไปเมื่อเดือนมกราคม ปี 2024 ที่ผ่านมา (REVIEW) ผมก็รู้สึกได้ว่า ทีมออกแบบของ Wharfedale เริ่มปรับแนวทางในการจูนเสียงลำโพงของพวกเขาไปจากเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญ คือเสียงของลำโพงทั้งสองรุ่นนั้นมันถอยห่างจากแนวเสียงที่เน้นไปทางหวานๆ นุ่มๆ แบบเดิมมาเป็นสดกระจ่าง จะแจ้ง และจริงจัง ซึ่งเป็นการแหวกแนวเสียงเดิมไปสู่แนวเสียงที่มีความเป็นไฮเอ็นด์ฯ มากขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากได้สัมผัสกับเสียงของรุ่น Elysian 2 และ AURA 4 ไปแล้ว ทำให้ผมมั่นใจว่า ทีมออกแบบของ Wharfedale ได้ค้นพบเทคนิคใหม่ๆ ในการปรับจูนเสียงของพวกเขาให้ได้คุณภาพเสียงที่ “ทะลุ” แนวกั้นเดิมขึ้นไปอีกระดับได้เป็นผลสำเร็จแล้ว
พอได้เห็น.. ใช่แล้วครับ.! แค่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของรุ่น EVO 5.4 เท่านั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียงของรุ่น AURA 4 มันกลับมาก้องกังวานอยู่ในหัวผมอีกครั้ง ส่วนสัดของตัวตู้มันคล้ายกันมาก และพอได้ยินเสียงของ EVO 5.4 ทุกอย่างก็เคลียร์ชัด..!! นี่คือผลจากการตกผลึกแนวเสียงยุคใหม่ของ Wharfedale ที่เขย่ามาตั้งแต่ซีรี่ย์ Elysian แล้วต่อด้วย AURA จนมาตกผลึกที่ EVO 5 นี่เอง..!!!
เทคโนโลยีที่ไม่มีใน Elysian 2 และ AURA 4 ก็คือ ResoFrame กับ ResoSeal และ Silentweave ที่พวกเขาเอามาใส่ไว้ในไดเวอร์ทั้งสี่ตัวของ EVO 5.4 น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียงของ EVO 5.4 ออกมาดีมากๆ จนผมคิดว่ามันเข้าไปใกล้กับ Elysian 2 กับ AURA 4 มากทีเดียว.!!

เพลง : Love’s Fool (TIDAL https://tidal.com/browse/track/95363369?u)
อัลบั้ม : Nowness
ศิลปิน : Jamie Saft, Jerry Granelli
ผมเพิ่งค้นพบอัลบั้มนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นช่วงที่กำลังเบิร์นฯ EVO 5.4 คาบสุดท้ายก่อนจะเริ่มฟังจริงจัง หลังจากค้นหาอัลบั้มใหม่ๆ ใน TIDAL มาฟัง ผมก็ไปพบกับอัลบั้มโดยบังเอิญ ซึ่งการค้นพบงานเพลงชุดนี้ทำให้ผมได้รู้ถึงศักยภาพของลำโพง Wharfedale คู่นี้ไปโดยปริยาย
คืออัลบั้มชุดนี้เป็นเพลงแนวฟรีแจ๊ส (Free Jazz) ที่มีแค่เสียงกลองกับเสียงเปียโนทำหน้าที่เป็นตัวละครในการเล่าเรื่องโดยปราศจากเสียงร้องและเสียงอื่นๆ เข้ามายุ่ง ฟังยากมั้ย.? ก็ต้องบอกว่าฟังยาก “ถ้า” ชุดเครื่องเสียงไม่สามารถถ่ายทอด “อารมณ์” ของเพลงที่แฝงมากับเสียงกลองและเสียงเปียโนออกมาได้อย่างครบถ้วนและลึกซึ้งมากพอ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงแจ๊สย่อมมีความเข้าใจอยู่แล้วว่า นักดนตรีจะสื่อสารกับเราผ่านทาง “การกระทำ” ของเขาลงไปบนเครื่องดนตรีที่เขาเล่น touching หรือทุกน้ำหนักของสัมผัสที่เขาส่งผ่านลงไปบนเครื่องดนตรีของพวกเขา นั่นแทนวลีคำที่เขาต้องการส่งมาถึงผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่ Jerry Granelli ไล้ปลายไม้ลงไปบนฉาบอย่างแผ่วเบา ไปจนถึงแรงกระแทกปลายนิ้วของ Jamie Saft มือเปียโนที่ประเคนลงไปบนคีย์ดำ–ขาวจนสุดกำลัง เหล่านี้คือคำบอกเล่าของเรื่องราวที่พวกเขาต้องการนำเสนอ ซึ่ง EVO 5.4 คู่นี้ก็ทำหน้าที่เป็นล่ามได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะมันทำให้ผมลืมตัวไปว่ากำลังฟังเสียงที่ถูกสร้างผ่านลำโพงออกมา แต่ดันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งฟัง Jerry Granelli กับ Jamie Saft กำลังบรรเลงกันอยู่ในห้องสดๆ ณ ตอนนั้น.!!
Jamie Saft มือเปียโนเป็นคนบันทึกและมิกซ์เสียงกลองกับเสียงเปียโนด้วยตัวเอง เสียงที่เก็บมาจึงมีความเหมือนกับเสียงกลองและเสียงเปียโนที่คุ้นเคยในชีวิตจริงมากเป็นพิเศษ เมื่อผมฟังอัลบั้มนี้ผ่านออกมาจาก EVO 5.4 เป็นครั้งแรกแล้วรู้สึกได้ถึงความพิเศษของเสียงที่อัลบั้มนี้บันทึกมา นี่ก็แสดงว่า EVO 5.4 คู่นี้มีศักยภาพสูงมาก จึงสามารถสกัดเอาอรรถรสของ “ความเป็นดนตรี” ออกมาจากงานเพลงที่ฟังยากๆ แบบนี้ได้ ซึ่งผมเชื่อเลยว่า ถ้าลำโพงมีความแม่นยำในการถ่ายทอดเสียงไม่ถึงระดับที่เรียกว่าน้องๆ มอนิเตอร์จริงๆ แล้ว จะเอามาฟังเพลงแบบนี้ไม่ได้เลย อรรถรสหายหมด รับรองว่าไม่มีทางฟังได้จบเพลงอย่างแน่นอน.!!

เพลง : Embraceable You (TIDAL https://tidal.com/browse/track/187852487?u)
อัลบั้ม : In Summer
ศิลปิน : Paulien Van Schaik, Hein Van de Geyn & Bert Joris
อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงลงมาสเตอร์ด้วยฟอร์แม็ต DSD64 ในขณะที่ TIDAL เอามาให้ฟังเป็นฟอร์แม็ต FLAC 16/44.1 แต่คุณภาพเสียงที่ได้ยินผ่านออกมาจาก EVO 5.4 ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากแล้ว (เดือนหน้าไปเดินงานเครื่องเสียงที่ฮ่องกงจะไปหาซื้อแผ่น SACD ของอัลบั้มชุดนี้มาลองฟัง) ทั้งเสียงร้องของ Paulien Van Schaik, เสียงอะคูสติกเบสของ Hein van de Geyn และเสียงทรัมเป็ตของศิลปินรับเชิญ Bert Joris ทั้งสามเสียงนี้มีความเป็นจริงสูงมาก ฟังแล้วระลึกถึงเสียงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ ทั้งคุณสมบัติของ ADSR (หัวเสียง–บอดี้ และหางเสียง) ที่ออกมาครบองค์ประกอบ ทั้งมูพเม้นต์ที่ให้ไทมิ่งที่สอดคล้องกับจังหวะของเพลงได้อย่างลงตัว ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป โดยเฉพาะเสียงร้องของ Paulien นั้นมีทั้งความต่อเนื่องลื่นไหล ความนุ่มหู และความนวลเนียนโดยไม่มีอาการเฉื่อย ความเนียนนุ่มของทั้งสามเสียงในอัลบั้มนี้สะท้อนไปถึงบุคลิกของฟอร์แม็ต DSD ออกมาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะถูกแปลงลงมาอยู่ในฟอร์แม็ต PCM ที่มีเรโซลูชั่นต่ำลงแค่ 16/44.1 แต่ก็ยังจำลองเอา “ความนุ่มเนียน” ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของฟอร์แม็ต DSD เอาไว้ได้โข ส่วนคนที่คุ้นเคยกับเสียงของฟอร์แม็ต PCM จากแผ่นซีดี CD หรือไฟล์ Lossless ตระกูล FLAC ทั้งระดับ CD Quality และ High Resolution จะรู้สึกได้ว่า เสียงของไฟล์เพลงที่ทำมาจากมาสเตอร์ฟอร์แม็ต PCM จะมี texture ของความสดที่ยังไม่ได้เจียรนัยเหลี่ยมมุมปรากฏอยู่ ผิดกับเสียงของฟอร์แม็ต DSD ที่ผ่านการขัดเกลาซะจนเนียนนุ่มเหมือนรูปปั้นเดวิด ซึ่งรายละเอียดที่ลึกมากๆ ที่ EVO 5.4 คู่นี้ถ่ายทอดออกมานั้น มันลึกลงไปถึงระดับที่ต้องอาศัย “ประสาทสัมผัส” (sense) ของความรู้สึกในการสัมผัสกับสิ่งนั้น ไม่ใช่แค่การ “ได้ยิน” ผ่านหูอย่างเดียว ซึ่งปกติแล้ว ความสามารถในการถ่ายทอดระดับนี้จะมีอยู่ในลำโพงระดับไฮเอ็นด์เท่านั้น..!!!
นี่หมายความว่า EVO 5.4 ให้คุณภาพเสียงทะลุขึ้นไปถึงระดับไฮเอ็นด์เชียวเหรอ.? อือมม.. จริงๆ แล้วผมก็ไม่กล้าฟันธงถึงระดับนั้นหรอกนะ เหตุผลก็เป็นเพราะ “ราคา” ค่าตัวของลำโพงคู่นี้มันคอยรั้งเอาไว้ เป็นไปได้เหรอที่ลำโพงคู่ละไม่ถึงแสนจะให้คุณภาพเสียงขึ้นไปถึงระดับไฮเอ็นด์ได้..?? นั่นน่ะซิ.. ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราใช้เกณฑ์อะไรวัดความเป็นไฮเอ็นด์ฯ มากกว่า ส่วนตัวผมมองที่ประสบการณ์ที่เราได้รับมาจากลำโพงคู่นั้นมาเป็นตัวตัดสิน คือถ้าเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฟังแล้ว “รู้สึก” ทะลุลงไปถึงความสมจริงของเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้องที่เป็นคนร้องจริงๆ และสามารถขุดลงไปเอา “อารมณ์” ของเพลงที่ฟังยากๆ ออกมาตีแผ่ให้สัมผัสได้ ผมก็ถือว่าลำโพงคู่นั้นมีคุณสมบัติของความเป็นไฮเอ็นด์ฯ แล้ว ซึ่งถ้าเอาประสบการณ์ที่เคยฟังลำโพงมาแล้วหลายสิบคู่ ผมกล้าพูดได้เลยว่า คุณภาพเสียงของ EVO 5.4 คู่นี้มันพุ่งสูงเกินราคา 55,000 บาท ไปไกลมาก.!!
โดยปกติแล้ว ลำโพงที่สามารถให้เสียงที่ฟังแล้วทำให้เรา “นึกถึง” เสียงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติได้ถือว่ามีความเป็นมอนิเตอร์อยู่ในตัว ซึ่งเป็นระดับความสามารถที่อยู่สูงกว่าลำโพงที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกพึงพอใจในน้ำเสียงของมัน ตอบสนองความชอบของเราแต่ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังฟังคนจริงๆ ร้องเพลง หรือกำลังฟังนักดนตรีกำลังบรรเลงเครื่องดนตรีนั้นอยู่

เพลง : Kradem ti se u veceri (TIDAL https://tidal.com/browse/track/114542272?u)
อัลบั้ม : Bassroom (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Nenad Vasilic
ได้ยินเสียงอะคูสติกเบสของ Hein van de Geyn ในอัลบั้มชุด In Summer แล้วสะดุดหู คือมันออกมาดีมาก กระชับ สะอาด มีโฟกัสที่ขึ้นรูปเป็นหัวโน๊ตที่ชัดเจน บอดี้อิ่มนุ่ม เนียนหนา ซึ่งผมไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเป็นเสียงที่อัลบั้มนี้บันทึกมาแบบนั้น หรือเป็นบุคลิกของลำโพง EVO 5.4 คู่นี้กันแน่ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน.? ตัดสินไม่ได้ เพราะผมเพิ่งฟังอัลบั้มชุด In Summer เป็นครั้งแรก
วิธีพิสูจน์ก็ต้องเอาเพลงที่คุ้นเคยมาทดลองฟังเทียบ คิดได้แล้วผมก็เลือกเพลง Kradem ti se u veceri ของ Nenad Vasilic มืออะคูสติกเบสอีกคนที่บันทึกเสียงไว้ในอัลบั้มชุด Bassroom ซึ่งเป็นอัลบั้มที่เขาเล่นอะคูสติกเบสเดี่ยวๆ ออกมาได้ดีมาก ผลปรากฏว่า EVO 5.4 เลยได้โอกาสสำแดงคุณสมบัติของความเป็นมอนิเตอร์ของมันออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือมันสามารถแสดงให้เห็น (ด้วยหู) ว่า เสียงอะคูสติกเบสของทั้งสองอัลบั้มนี้มีลักษณะเสียงที่ต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะงานสองอัลบั้มนี้เป็นงานคนละชิ้น คนเล่นคนละคน บันทึกคนละที่ ปั๊มแผ่นออกมาคนละเวลา แม้จะเป็นเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันก็ควรจะมีความแตกต่างในน้ำเสียงออกมาให้สังเกตได้บ้าง ถ้าลำโพงดีพอ ซึ่ง EVO 5.4 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันมีดีพอจริงๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า เสียงอะคูสติกเบสในอัลบั้มชุด Bassroom ของ Nenad Vasilic นั้น โดยรวมจะมีลักษณะที่ชัดเจนมากกว่า เหมือนซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่บันทึกเสียงวางไมค์ฯ ไว้ใกล้กว่า หรือใช้ไมโครโฟนที่ดีกว่า ใช้ปรีไมค์ฯ ที่ดีกว่า หรืออาจจะเป็นไปได้ถึงขนาดที่ว่า สถานที่ที่ใช้บันทึกเสียงอะคูสติกเบสของ Nenad Vasilic อาจจะมีการจัดการกับสภาพอะคูสติกได้ดีกว่า หรือเป็นไปได้ถึงขนาดที่ว่า ตัวเบสที่ Nenad ใช้อาจจะมีคุณภาพสูงกว่าอะคูสติกเบสที่ Hein van de Geyn ใช้อยู่ จึงทำให้เสียงอะคูสติกเบสของ Nenad มีหัวโน๊ตที่เข้มข้นกว่า ตัวเสียงกระชับแน่นกว่า และเก็บรวบปลายเสียงได้เด็ดขาดกว่า ในขณะที่เสียงอะคูสติกเบสของ Hein van de Geyn จะออกมาหลวมกว่านิดหน่อย เข้มข้นน้อยกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ฟุ้ง ยังจับตัวเป็นโน๊ตที่ชัดเจนและเก็บรวบหางเสียงได้ดี ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าคนบันทึกเสียงเบสของ Hein van de Geyn อาจจะวางไมค์ห่าง หรือสภาพห้องบันทึกเสียงอาจจะไม่ได้เก็บเสียงดีเท่า หรือ บลา.. บลา.. บลา.. แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ลำโพง Wharfedale ‘EVO 5.4’ คู่นี้มันสามารถแยกแยะรายละเอียดระดับนี้ออกมาให้รับรู้ได้นี่ซิ สุดยอด..!!
Take It To The Limit..!!!

ปกติแล้ว ที่ผ่านๆ มา หลังจากทดสอบฟังเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นไหนเสร็จแล้ว ผมมักจะแอบเล่นสนุกๆ กับเครื่องเสียงเหล่านั้นด้วยการทดลองแม็ทชิ่งมันเข้ากับอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือหลักเหตุผลและหลักของความคุ้มราคา คือทดลองแม็ทชิ่งโดยไม่เอาเงื่อนไขทางด้านราคาเข้ามาคิด ซึ่งยอมรับว่า หลายๆ ครั้งที่ผมต้องทึ่งกับผลลัพธ์ที่ได้ยิน.!!
แต่ครั้งนี้มีอะไรแปลกออกไปกว่าที่เคย คือปกติแล้ว ผมจะเริ่มเล่นสนุกๆ หลังจากทดสอบเสร็จแล้ว แต่เนื่องจากช่วงที่ผมได้รับ EVO 5.4 คู่นี้เข้ามาในห้องนั้น ผมกำลังทดสอบฟังเสียงของตัวรองเดือยแหลมของ Life Audio รุ่น Reference SE Mellow อยู่ (REVIEW) โดยใช้มันกับลำโพง Wharfedale รุ่น Super Linton พอคุณเบิร์ดกับคุณบอลยก EVO 5.4 เข้ามาในห้อง และต้องยก Super Linton กลับร้าน ผมเลยทดลองเอาอุปกรณ์เสริมของ Life Audio ตัวนี้เข้าไปลองใช้กับ EVO 5.4 ขณะที่มันเริ่มต้นเบิร์นฯ ตั้งแต่วินาทีแรก พบว่า เสียงของ EVO 5.4 ออกมาดีมากตั้งแต่นาทีแรกที่ลองฟังหลังจากแกะกล่องใหม่เอี่ยม ซึ่งผิดวิสัยมาก โดยปกติแล้ว ลำโพงที่ยังไม่ได้ผ่านการเบิร์นฯ มาก่อนเลยมักจะให้เสียงออกมา 2 ลักษณะ คือ ถ้าไม่ทึบด้าน ก็จะออกมาหลวมและนัว ไดนามิกสวิงไม่กว้าง โฟกัสตั้งแต่กลางลงไปทุ้มจะไม่คม แต่ที่ได้ยินจาก EVO 5.4 ที่มีตัวรองเดือยแหลม Reference SE Mellow ของ Life Audio สวมอยู่ที่ปลายแหลมมันเปิดกระจ่าง ไดนามิกสวิงได้กว้าง ทรานเชี้ยนต์คม เวทีเสียงฉีกตัวออกไปกว้าง เสียงที่ได้ยินยังกะเบิร์นฯ มาแล้วสัก 40 – 50 ชั่วโมง.! น่าทึ่งมาก..!!!
ผมทิ้งให้ Reference SE Mellow รองอยู่ใต้เดือยแหลมของ EVO 5.4 ตั้งแต่วันแรกของการเบิร์นฯ ไปจนถึงช่วงทดลองฟังจริง พบว่าเสียงของ EVO 5.4 ดีวันดีคืน มีแต่พุ่งขึ้นไม่มีอาการทิ่มหัวลงเลย ก่อนจะทดลองฟังเสียงเพื่อเก็บผลมาสรุปการทดสอบ ผมทดลองเอาตัวรอง Reference SE Mellow ออกไป แล้วเอาแท่งไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดที่ผมใช้รองใต้เดือยแหลมของลำโพงมาตลอดเข้าไปแทน ผลปรากฏว่า เสียงโดยรวมออกไปทางนุ่มลง เวทีเสียงหุบแคบลง ความเข้มข้นของบอดี้ของเสียงลดระดับลง ในขณะที่ปลายเสียงมีลักษณะ “โรยตัว” ไม่ใช่ลักษณะที่ “แตกตัว” ก่อนจะสลายไปในอากาศ ซึ่งถ้าเป็นปลายเสียงของเครื่องดนตรีประเภทที่ทำด้วยโลหะอย่างฉาบจะถือว่าผิดธรรมชาติ สรุปโดยรวมๆ แล้ว รองด้วยไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดแบบที่ผมเคยทำมาจะให้เสียงโดยรวมเอนเอียงออกไปทางนุ่ม เสียงกลางอิ่มหนา เมื่อเปลี่ยนเอาตัวรองเดือยแหลม Reference SE Mellow ของ Life Audio เข้าไปแทนที่ เสียงโดยรวมเปลี่ยนไปอีกด้าน คือเอนเอียงไปทางสดมากขึ้น ไดนามิกเร้นจ์สวิงได้กว้างมากขึ้น เวทีเสียงฉีกกว้างออกไปรอบด้าน โฟกัสของเสียงมีความคมชัดมากขึ้น มองเห็นบอดี้ของตัวเสียงที่มีลักษณะกลมเป็นสามมิติมากขึ้น แยกตัวออกมาจากหางเสียงที่แตกตัวอยู่อากาศอย่างชัดเจน เสียงเครื่องเคราะที่ทำด้วยโลหะมีประกายของอิมแพ็คที่พุ่งเปิดออกมาแล้วแตกตัวกระจายออกไปรอบด้านเหมือนเสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และที่เห็นชัดคือ ทุกเสียงมีลักษณะที่ “ลอยตัว” ขึ้นมาเหนือพื้นเสียงที่ใส ทะลุลงไปถึงเลเยอร์ลึกๆ ที่อยู่หลังระนาบลำโพงลงไปได้ไกล ทำให้รับรู้ถึงลักษณะของเวทีเสียงที่ทั้ง “แผ่กว้าง” และ “แผ่ลึก” ครบทุกมิติ และสุดท้ายที่แฮ้ปปี้สุดๆ คือ “พลังของเสียง” ที่ดีดเด้งมากขึ้นเหมือนเปลี่ยนแอมป์ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ สำหรับตัวรองเดือยแหลม Reference SE Mellow เมื่อใช้กับลำโพง Wharfedale ‘EVO 5.4’ คู่นี้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้ตัวรอง Reference SE Mellow ของ Life Audio ในการทำรีวิวร่วมกับลำโพง EVO 5.4 ครั้งนี้
ลักษณะเสียงทั้งหมดที่คุณได้อ่านผ่านไปในรีวิวนี้คือเสียงของ EVO 5.4 ที่มีตัวรอง Reference SE Mellow ของ Life Audio รองอยู่ใต้เดือยแหลมตลอด (*ตอนใกล้ๆ รีวิว EVO 5.4 เสร็จ ผมได้รับตัวรองเดือยแหลมรุ่น Signature 2 ของ Life Audio ซึ่งเป็นรุ่นรองจาก Reference SE Mellow ลงมาระดับหนึ่ง ผมได้มีโอกาสทดลองฟังกับ EVO 5.4 เทียบกับรุ่น Reference SE Mellow แล้ว ซึ่งรายละเอียดจากการทดลองฟังผมขอยกยอดไปไว้ในรีวิวตัวเต็มของ Reference SE Mellow + Signature 2 เพราะมันจะทำให้รีวิวตัวนี้ยืดยาวออกไปมาก.!)

หลังจากปิดจบการฟังสำหรับรีวิวตัวเต็มของ EVO 5.4 แล้ว ผมได้ทดลองยกเพาเวอร์แอมป์ Jeff Rowland รุ่น Model 555 (ราคา 740,000 บาท) กับปรีแอมป์รุ่น Crapri S2 SC (ราคา 270,000 บาท) เข้ามาทดลองขับ EVO 5.4 เพื่อประเมินดูว่าลำโพงคู่นี้จะทะยานขึ้นไปได้ไกลแค่ไหนถึงจะหมดแรง ซึ่งเสียงโดยรวมที่ออกมาก็ยังมีคุณลักษณะที่เป็นคุณสมบัติความเป็นแอมป์ไฮเอ็นด์ฯ ของ Jeff Rowland ออกมาให้สัมผัส นั่นคือความเนียนสะอาดและอิ่มฟูของมวลเนื้อเสียงในย่านกลาง กับคอนทราสน์ไดนามิกที่ราบลื่นและต่อเนื่อง โดยที่คุณสมบัติอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียหายไป แสดงว่าพื้นฐานของ EVO 5.4 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 55,000 บาทของมัน.!!
สรุป
ไม่มีคำไหนจะจบสรุปได้ดีเท่ากับคำว่า คุ้มค่าเกินราคามาก.!! สำหรับ Wharfedale ‘EVO 5.4’ คู่นี้ ถ้าคุณวางงบประมาณสำหรับลำโพงตั้งพื้นขนาดย่อมๆ ไว้ระดับ ไม่เกิน 6 หมื่นบาท ขอโอกาสให้ตัวคุณเองได้ทดลองฟังเสียงของลำโพงคู่นี้ดูก่อนจะตัดสินใจ ใช้เวลานั่งฟังมันนานๆ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความพิเศษของลำโพงคู่นี้..!!!
*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ
Floorstanding Speaker ในระดับราคา “ไม่เกิน 60,000 บาท / คู่“
*********************
ราคา : 55,000 บาท / คู่
*********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. ไฮไฟ ทาวเวอร์ จำกัด
โทร. 02-881-7273-7



