ก่อนหน้าที่ IAG (International Audio Group) จะปิดดีลเข้าซื้อ Wharfedale มาจาก Verity Group สำเร็จเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1997 ผู้ผลิตลำโพงที่มีตำนานเก่าแก่ที่ชื่อว่า Wharfedale แบรนด์นี้ได้สร้างลำโพงซีรี่ย์ ‘Diamond’ ให้เจิดจรัสขึ้นมาในวงการไฮไฟฯ ตั้งแต่ยุค ’80 และยังคงพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมาตลอด จนทำให้ลำโพงซีรี่ย์ Diamond โด่งดังเป็นดาวค้างฟ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ครองสมญานามว่าเป็น “หนึ่งในลำโพงที่ดีที่สุด” ในระดับราคาที่ทุกคนสามารถซื้อหาได้.!
หลังจาก IAG ได้รับ Wharfedale เข้ามาในอ้อมอกเมื่อ ปี 1997 พวกเขาก็ยังคงต่อยอดชื่อเสียงของลำโพงตระกูล Diamond ที่ว่านี้ต่อมา หลังจากนั้น 19 ปี IAG กับทีมออกแบบที่นำโดย Peter Comeau ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมที่ดูแลการออกแบบทั้งหมด ได้เริ่มต้นโปรเจคสำคัญที่ตั้งใจ “ยกระดับ” แบรนด์ Wharfedale ให้ขยับสูงขึ้น จากแบรนด์ชั้นนำระดับมิดเอ็นด์ ขึ้นไปสู่ความเป็นแบรนด์น้องใหม่ระดับไฮเอ็นด์ฯ ด้วยการเริ่มต้นทำวิจัยและพัฒนาลำโพงซีรี่ย์ใหม่ นั่นคือ Elysian Series กับ EVO4 Series หลังจากนั้น 3 ปี ลำโพงทั้งสองซีรี่ย์ก็ปรากฏตัวออกมาในตลาด และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะแม้ว่า “ราคา” ของ Elysian Series จะสูงกว่าซีรี่ย์อื่นๆ ของ Wharfedale ขึ้นไปพอสมควร แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ก็ยังต่ำกว่าราคาของแบรนด์ชั้นนำระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่เยอะ.!
AURA Series
ระดับชั้นของ Wharfedale ‘AURA Seies’ แทรกอยู่ระหว่าง Elysian กับ EVO4 โดยแชร์เทคโนโลยีเด่นๆ มาจากซีรี่ย์ท็อปคือ Elysian Series ทุกอย่าง เริ่มจากทวีตเตอร์ AMT (Air Motion Transformer) + ดีไซน์การทำงานของระบบไดเวอร์ที่แยกเป็น 3 ทาง และใช้ระบบตัวตู้ที่ทำงานในโหมด “ตู้เปิด” ด้วยเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Slot-Loaded Profiled Port ยิงคลื่นความถี่ภายในตู้ให้กระจายแผ่ออกทางด้านล่าง เหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันแค่ว่า ในซีรี่ย์ Elysian นั้น เขาจะ “ดัน” ทั้งสามเทคโนโลยีที่ใช้กับซีรี่ย์ Elysian ไปจนถึงจุดสูงสุดเท่าที่เทคโนโลยีเหล่านั้นจะทำได้
ซีรี่ย์ AURA มีรุ่นให้เลือกเท่ากับซีรี่ย์ EVO4 รวมทั้งหมด 6 รุ่น ประกอบด้วยแบบตั้งพื้น 2 รุ่นคือ AURA 3 กับ AURA 4 แบบวางขาตั้ง 2 รุ่นคือ AURA 1 กับรุ่น AURA 2 และลำโพงเซ็นเตอร์สำหรับโฮมเธียตอร์อีก 2 รุ่น คือ AURA C กับ AURA CS
AURA 4
รุ่นท้อปของซีรี่ย์ AURA
AURA 4 เป็นลำโพงสามทางตั้งพื้น ทรงทาวเวอร์ ที่มีความสูงหนึ่งเมตรนิดๆ หน้ากว้างไม่ถึงฟุต และลึกประมาณฟุตกว่าๆ ซึ่งใหญ่กว่ารุ่น EVO4.4 ที่เป็นรุ่นท็อปของซีรี่ย์ EVO4 อยู่นิดหน่อย แต่เล็กกว่ารุ่น Elysian 4 ที่เป็นรุ่นท็อปของซีรี่ย์ใหญ่สุดคือ Elysian Series เข้ามาอยู่ในห้องฟังของผมที่มีสัดส่วนปานกลางคือกว้าง 3.6-3.8 x 6.6 ตรม. แล้วดูกำลังเหมาะ พอดีๆ ไม่แน่นและไม่หลวม
ตัวตู้ของ AURA 4 มีลักษณะที่เรียวลู่ไปทางด้านหลัง จากแผงหน้าที่กว้างประมาณ 286 ม.ม. จะสอบลงไปทางแผงหลังที่กว้างประมาณ 222 ม.ม. ซึ่งไม่ใช่ดีไซน์เพื่อความสวยงามแต่นี่เป็นเทคนิคที่เจตนาให้ผนังด้านข้างของตัวตู้ข้างซ้ายและขวามีลักษณะที่ไม่ขนานกัน ผลก็เพื่อลดปัญหาคลื่นสั่นค้างภายในตัวตู้นั่นเอง จากภาพข้างบน ถ้ามอง top view จะเห็นว่าตัวตู้ของ AURA 4 มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู หน้ากว้าง–หลังแคบ โดยที่มุมทั้งสี่ถูกปาดให้มีลักษณะโค้งมน
ขอบตู้โค้งมน ผิวตู้ปิดด้วยวีเนียร์ลายไม้วอลนัท
เคลือบทับด้วยแลคเกอร์หลายชั้นจนเงาวับ
ภายนอกดูสวย แต่ถ้าเจาะเข้าไปภายในคุณจะพบว่า ผนังตู้ของ AURA 4 ถูกสร้างขึ้นจากไม้หลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน (multiple layers + differing density) อันนี้เป็นเทคนิคพิเศษที่พวกเขาตั้งชื่อเรียกไว้ว่า Panel Resonance Optimisation System (ย่อๆ คือ PROS) จุดประสงค์เพื่อลดปัญหาเรโซแนนซ์ในตัวตู้นั่นเอง อีกทั้งตัวตู้ที่มีผนังแน่นหนาแบบนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้พลังงานของคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้หลุดลอดออกมารบกวนเสียงเพลงที่แผ่กระจายออกมาจากหน้าไดเวอร์ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนั้น ภายในตัวตู้ยังมีเส้นใยไฟเบอร์เส้นยาวๆ หลายชั้นติดตั้งอยู่ติดกับผนังด้านในของตู้เพื่อช่วยซึมซับพลังงานของคลื่นเรโซแนนซ์ให้ทุเลาลงไปได้อีกส่วนหนึ่ง
‘Slot Loaded Profiled Port’ (SLPP)
ระบบท่อระบายเบสแบบพิเศษ.!
หลังจากไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ขยับเดินหน้าผลักอากาศหน้าดอกเพื่อสร้างความถี่ส่งไปกับมวลอากาศหน้าตู้เสร็จแล้ว ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ก็จะเคลื่อนตัวกลับเข้ามาดันอากาศในตู้ เมื่อมวลอากาศในตัวตู้ถูกกระแทกด้วยแรงดันจากแผงหลังของไดอะแฟรม แรงกระแทกที่ไปกับมวลอากาศในตัวตู้จะถูกเส้นใยไฟเบอร์ที่อยู่ภายในตัวตู้ดูดซับพลังงานไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนพลังงานที่เหลือจะไหลออกไปจากตัวตู้พร้อมมวลอากาศผ่านออกไปทางช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าจำนวน 3 ช่อง ที่อยู่ตรงฐานของตัวตู้ (ลูกศรชี้สีแดง)
เทคนิคการปล่อยมวลอากาศลงทางด้านล่างของตัวตู้ผ่านรูระบายอากาศที่ฐานของตัวตู้ลักษณะนี้นี่แหละคือเทคนิคที่ชื่อว่า ‘Slot Loaded Profiled Port’ ซึ่งคิดค้นโดย Gilbert Briggs ผู้ก่อตั้งและบริ หารแบรนด์ Wharfedale ตั้งแต่แรกเกิดคือ ปี 1932 มาจนถึง ปี 1964 ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยลดปัญหาเสียงรบกวนที่เกิดจากมวลอากาศเบียดเสียดกับรูระบายอากาศ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายอากาศอีกทางหนึ่ง
ผลพลอยได้ที่มีประโยชน์ต่อคุณภาพเสียงอีกอย่างหนึ่งของระบบระบายอากาศด้วยเทคนิค SLPP แบบนี้ก็คือ มันช่วยขยายความถี่ต่ำของรุ่น AURA 4 ให้ลดลงไปได้ต่ำกว่า 26Hz (-6dB) เท่ากับเสริมฐานเสียงของความถี่ต่ำให้ทอดตัวลงไปได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ได้บรรยากาศของหางเสียงความถี่ต่ำที่เกิดจากเสียงของเครื่องดนตรีอะคูสติกตามธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกขยายด้วยแอมปลิฟายนั่นเอง
เดือยแหลมปรับระดับสูง–ต่ำได้
ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ยกตัวตู้ให้ลอยขึ้นจากพื้นคือเดือยแหลมโลหะขนาดใญ่ ข้างละ 4 ตัว หน้าสอง–หลังสอง ตัวเดือยแหลมยึดติดอยู่กับแผ่นโลหะที่หนาประมาณ 3 ม.ม. ซึ่งรองอยู่ใต้ตัวตู้ลำโพง (ศรชี้ภาพล่าง) ด้วยวิธีสอดแท่งเกลียวของตัวเดือยแหลมให้ทะลุผ่านรูบนแผ่นโลหะที่เจาะไว้ทั้งสี่มุม ที่เดือยแหลมแต่ละตัวจะมีแหวนโลหะเจาะรูเกลียวประกบด้านบนและด้านล่างของแผ่นโลหะที่เป็นฐานรองใต้ ตัวตู้ทำให้สามารถหมุนปรับระดับสูง–ต่ำได้ทั้ง 4 ตัว
ในการปรับตั้งระดับของเดือยแหลมก็ทำได้ง่าย เพราะตัวเดือยแหลมมีขนาดใหญ่ ใช้มือจับที่ตัวเดือยแหลมแล้วหมุนได้เลย กรณีที่พื้นไม่ได้มีปัญหาต่างระดับกันมากในแต่ละจุด หลังจากเซ็ตอัพจนได้ระยะลงตัวแล้ว หลังจากใช้ระดับน้ำวัดบนตัวลำโพงเพิ่มปรับตั้งลำโพงให้ตั้งฉากกับพื้น อาจจะต้องหมุนขันเดือยแหลมแค่นิดหน่อยเท่านั้น
ขั้วต่อสายลำโพง
ขั้วต่อสายลำโพงที่ติดมาให้กับตัวลำโพงมีอยู่ 2 ชุด ตัวขั้วต่อมีลักษณะคล้ายของ WBT ดูดีและแข็งแรง ทั้ง 4 ขั้ววางตัวเรียงกันอยู่ในแนวตั้ง สลับแดง (บวก) – ดำ (ลบ) และตัวขั้วต่อบวกกับลบแต่ละคู่จะชี้สลับซ้าย–ขวากันไปคนละทิศ เป็นดีไซน์ที่ตั้งใจเพื่อให้ง่ายกับการเชื่อมต่อสายลำโพง จะได้ไม่เบียดเสียดกัน
แทนที่จะให้จั๊มเปอร์ที่เป็นแท่งเหล็กเหมือนลำโพงทั่วไป ทางผู้ผลิต Wharfedale คู่นี้เขาให้จั๊มเปอร์ที่มีลักษณะเป็นสายสัญญาณสั้นๆ มาแทน ยาวประมาณคืบ ตัวสายไม่แข็งมาก ให้ตัวได้มาก ที่ปลายสายทั้งสองด้านติดตั้งขั้วต่อไว้ต่างกัน ข้างหนึ่งเป็นขั้วต่อหางปลา ในขณะที่อีกข้างติดขั้วต่อบานาน่า ชุบทองอร่ามทั้งสองด้าน จากการทดสอบด้วยการทดลองฟัง ผมพบว่า ถ้าใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลฯ เชื่อมต่อกับขั้วต่อของลำโพงรุ่นนี้ในลักษณะไขว้ “ดำลงล่าง–แดงขึ้นบน” ตามภาพตัวอย่างข้างบน เป็นอ๊อปชั่นการเชื่อมต่อที่ให้คุณภาพเสียงดีที่สุด จากจำนวน 4 รูปแบบ ที่สามารถสลับได้ (คู่บน แดง+ดำ, คู่ล่าง แดง+ดำ, ไขว้ ดำลงล่าง–แดงขึ้นบน, ไขว้ ดำขึ้นบน–แดงลงล่าง) โดยใช้งานร่วมกับจั๊มเปอร์ที่แถมมาให้
ไดเวอร์ กับดีไซน์
ลำโพง AURA 4 อาศัยไดเวอร์จำนวน 4 ตัวต่อข้าง ในการสร้างความถี่เสียงตลอดทั้งย่าน โดยมีทวีตเตอร์ AMT หนึ่งตัวรับหน้าที่สร้างความถี่สูง, มีมิดเร้นจ์ทรงกรวยไดนามิกขนาด 4 นิ้ว หนึ่งตัว ทำหน้าที่สร้างความถี่ในย่านกลาง และวูฟเฟอร์ทรงกรวยไดนามิกขนาด 6.5 นิ้ว จำนวน 2 ตัว ช่วยกันสร้างความถี่ต่ำ
ตัวจี๊ดที่สุดในจำนวนไดเวอร์ของลำโพงคู่นี้ก็คือทวีตเตอร์.! เป็นมรดกที่รับช่วงต่อมาจากรุ่น Elysian ซึ่งเป็นรุ่นเรือธง เป็นไดเวอร์ที่มีรูปร่างต่างไปจากทวีตเตอร์ทรงโดมที่พบเห็นกันทั่วไป มีชื่อเรียกว่า Air Motion Transformer ย่อๆ ว่า ‘AMT’ ซึ่งผู้ผลิตอ้างถึงข้อดีของทวีตเตอร์ประเภทนี้ไว้ว่า ไดอะแฟรมของ AMT ที่ใช้ในการสร้างความถี่สูงจะไม่ได้เคลื่อนตัวเดินหน้า–ถอยหลังเป็นลูกสูบเหมือนโดมทวีตเตอร์ทั่วไป มันจึงไม่มีความจำกัดทางด้านปริมาณของมวลที่ใช้ผลักอากาศ และไม่มีอาการของทรานเชี้ยนต์ของเสียงแหลมที่เบลอ ลักษณะการสร้างความถี่เสียงของไดเวอร์ประเภท AMT จะคล้ายกับการทำงานของหีบเสียง ไดอะแฟรมของ AMT จะพับเป็นจีบเล็กๆ เมื่อมีสัญญาณส่งเข้าไป ไดอะแฟรมที่พับเป็นจีบของ AMT จะยืดและหดตัวบีบอากาศออกมาเป็นคลื่นเสียง
เนื่องจากไดอะแฟรมของ AMT เป็นแผ่นใหญ่ จึงมีพื้นที่ที่ใช้ผลักอากาศได้มาก และการยืดและหดตัวของแผ่นไดอะแฟรมถูกควบคุมโดยแม่เหล็กกำลังสูง มันจึงสามารถตอบสนองกับสัญญาณฉับพลันได้ดีเป็นพิเศษ ซึ่งวิศวกรที่ Wharfedale ได้พัฒนาให้ไดเวอร์ AMT ที่ใช้ในรุ่น AURA 4 สามารถตอบสนองความถี่สูงขึ้นไปได้ถึง 36kHz (-6dB) เมื่อกำหนดให้ทำงานจริงแค่ 22kHz (+/-3dB) เสียงแหลมที่ได้ออกมาจึงมีความสะอาด ราบลื่น เต็มไปด้วยรายละเอียดในขณะที่ไร้ซึ่งความเครียดของเสียงโดยสิ้นเชิง เพราะไดอะแฟรมทำงาน “ต่ำกว่า” ความสามารถที่แท้จริงของมันไปเยอะ.!
ไดเวอร์มิดเร้นจ์ของ AURA 4 ใช้ไดอะแฟรมแบบเดียวกับตัววูฟเฟอร์ คือขึ้นรูปมาจากเส้นใยแก้วทอ (woven glass fibre) ที่มีโครงสร้างแบบแมทริก เพื่อให้สามารถตอบสนองทรานเชี้ยนต์ที่แม่นยำ เที่ยงตรง ทันกับความเร็วในการตอบสนองของไดเวอร์ AMT ลักษณะไดอะแฟรมของตัวมิดเร้นจ์จึงมีทั้งความเบาและความแกร่งอยู่ในตัว เพราะมีการเคลือบพลาสติกบางๆ ที่ผิวเพื่อยึดตรึงมวลของไดอะแฟรมให้มีความเสถียรมากขึ้น
วูฟเฟอร์ขนาด 6.5 นิ้ว ทั้งสองตัวที่ใช้อยู่ในรุ่น AURA 4 ก็รับช่วงมาจากรุ่น Elysian เช่นกัน วัสดุที่ใช้ทำไดอะแฟรมก็เป็นประเภทเดียวกันกับที่ในตัวมิดเร้นจ์ ขอบยางมีความยืดหยุ่นสูง แม่เหล็กที่ใช้ก็มีพลังงานสูง เฟรมของไดเวอร์มีความแกร่งสูง เพราะหล่อขึ้นรูปด้วยอะลูมิเนียม ยึดติดกับตัวตู้ลำโพงด้วยสลักเกลียวที่มีแรงดึงสูงถึง 6 ตัว เพื่อให้มีความแน่นหนา สามารถตรึงตัวได้นิ่งสนิทขณะที่ไดอะแฟรมขยับตัว ซึ่งมีผลทำให้ตอบสนองกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้เร็วทันกับสัญญาณอินพุตที่ป้อนเข้ามา อีกทั้งขอบยางที่ปูรองอยู่รอบไดเวอร์ก็ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่มันเข้าไปแทรกกลางระหว่างโครงอะลูมิเนียมของไดเวอร์กับขอบไม้ที่เป็นตัวตู้ จึงช่วยลดเรโซแนนซ์ที่เกิดจากการกระแทกกันระหว่างวัสดุทั้งสองประเภทได้อย่างเด็ดขาด เหล่านี้คือเรื่องที่ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่งผลกับเสียงมากมายมหาศาล ซึ่งมีก็เฉพาะในผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอ็นด์เท่านั้นที่ใส่ใจกับจุดเล็กจุดน้อยเหล่านี้.!!
แม็ทชิ่ง
AURA 4 เป็นลำโพง 3 ทาง ที่ออกแบบจุดตัดบนเน็ทเวิร์คไว้ 2 จุด จุดแรกอยู่ที่ 3.3kHz ซึ่งเป็นจุดแบ่งความถี่ระหว่างมิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ โดยที่ตัวทวีตเตอร์ AMT จะรับภาระในการสร้างความถี่ตั้งแต่ 3.3kHz ขึ้นไปจนถึง 22kHz เอาไว้ (แถบแดงในภาพข้างบน) ในขณะที่ความถี่ที่ต่ำลงมากว่า 3.3kHz จะเป็นส่วนที่มิดเร้นจ์รับผิดชอบลงไปถึงความถี่ 475Hz (แถบสีน้ำเงิน ภาพข้างบน) ซึ่งเป็นจุดตัดแบ่งความถี่ระหว่างมิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์ทั้งคู่ ส่วนความถี่ตั้งแต่ 475Hz ลงไปจนถึง 37Hz (แถบสีเขียว ภาพข้างบน) เป็นหน้าที่ของวูฟเฟอร์ทั้งสองตัวในการสร้างความถี่ในย่านนี้ออกมา ในขณะที่ท่อระบายเบสที่ยิงลงด้านล่าง (ศรชี้ในภาพข้างบน) จะออกมาเป็นความถี่ที่ต่อเนื่องจากความถี่ 37Hz ที่วูฟเฟอร์ทำได้ลงไปจนถึงต่ำสุดที่ 26Hz แบบแผ่วๆ (-6dB)
ในสเปคฯ ของ AURA 4 ระบุแนะนำกำลังขับของแอมป์ไว้ระหว่าง 30 – 200W (แถบสีฟ้า) ณ อิมพีแดนซ์ปกติที่ 4 โอห์ม ซึ่งตัวเลข “กำลังขับสูงสุด” ของแอมป์ที่ลำโพงคู่นี้แนะนำไว้คือ 200W ที่ 4 โอห์ม นั้น ถ้าเป็นแอมป์ที่ระบุตัวเลขอ้างอิงอยู่ที่ 8 โอห์ม ก็ต้องดูว่าที่ 4 โอห์มทำได้กี่วัตต์ ซึ่งแอมป์ 100W ที่ 8 โอห์ม ถ้าเป็นแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ ตัวใหญ่ๆ ส่วนมากที่ 4 โอห์ม จะทำได้ถึง 200W คือมีสำรองเต็มร้อยลงไปถึง 4 โอห์ม ในขณะที่แอมป์ระดับกลางที่ระบุ 100W ที่ 8 โอห์ม โดยมากสำรองจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์คือที่โหลด 4 โอห์ม จะปั๊มกำลังออกมาได้ไม่ถึง 200W แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ขับลำโพงคู่นี้ไม่ได้ แค่ว่าดันคุณภาพเสียงออกมาจากลำโพงคู่นี้ได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่ผู้ผลิตลำโพงทำไว้เท่านั้นเอง
ความไวของ AURA 4 อยู่ที่ 89dB ก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่ความต้านทานที่ระบุไว้ 4 โอห์ม ตอนลดลงต่ำสุดอยู่ที่ 3.1 โอห์ม สวิงลงไปไม่ถึงครึ่ง แสดงว่าไม่ได้ต้องการกำลังสำรองมาก แค่ประมาณ 1 ใน 4 ของ 200W ที่ 4 โอห์ม เท่านั้นเอง แสดงว่าลำโพงคู่นี้เปิดได้ดังโดยที่ไม่ได้ต้องใช้กำลังสำรองเยอะ แอมป์ที่ใช้ขอให้มีสำรองแค่ประมาณ 25% (คือ 1 ใน 4) ของกำลังขับที่ 200W @ 4 โอห์ม คือรวมๆ แล้วอยู่ที่ประมาณ 250W ที่ 4 โอห์ม หรือเทียบเท่ากับ 125W ที่ 8 โอห์ม ก็สามารถขับลำโพงคู่นี้ออกมาได้เต็มที่แล้ว.!
แอมป์ที่ใช้กับเครื่องเสียงบ้านมาตรฐานอ้างอิงอยู่ที่ 8 โอห์ม เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา กำลังขับสูงสุดที่ AURA 4 แนะนำไว้คือ 200W ที่ 4 โอห์ม นี้ ถ้าเทียบมาที่ 8 โอห์ม ก็เท่ากับ 100W ที่ 8 โอห์ม นั่นเอง..
ในการทดสอบสมรรถนะของ AURA 4 ผมแยกการทดสอบออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะลองดูว่า ถ้าใช้แอมป์ระดับกลางๆ จะขับ AURA 4 ออกมาได้ดีแค่ไหน ซึ่งผมทดลองจับคู่แอมป์ระดับกลางๆ ที่มีอยู่ในห้องฟังกับลำโพงคู่นี้ ซึ่งมีอยู่ 3 ตัว ที่เข้าสเปคฯ ตัวแรกคือ Arcam รุ่น Radia A25 (100W ที่ 8 โอห์ม / 165W ที่ 4 โอห์ม), ตัวที่สองคือ Audiolab รุ่น 9000A (100W ที่ 8 โอห์ม / 160W ที่ 4 โอห์ม)(REVIEW) และตัวที่สามคือ NAD รุ่น C 399 (180W ที่ 8/4 โอห์ม)(REVIEW)
หลังจากนั้น ช่วงที่สองของการทดสอบผมได้เพิ่มเติมเพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อกรุ่น Artera Mono ของ QUAD เข้าไป โดยที่แอมป์ของ QUAD รุ่นนี้ให้กำลังขับสูงถึง 300W ที่ 8 โอห์ม แต่ไม่ได้แจ้งกำลังขับที่โหลด 4 โอห์ม เอาไว้ ซึ่งยังไงก็ให้กำลังขับ “สูงกว่า” กำลังขับสูงสุดที่ AURA 4 แนะนำไว้พอสมควร ถือว่าเป็นการทดสอบขีดความสามารถสูงสุดที่ลำโพงคู่นี้สามารถให้ออกมาได้
เสียงของ AURA 4
ในการฟังทดสอบ ผมพยายามควบคุมวอลลุ่มให้ได้ระดับความดังที่ใกล้เคียงกันให้มากที่สุด ซึ่งผมฟังค่อนข้างดังเพราะต้องการดึงไดนามิกเร้นจ์ของเสียงออกมาให้ได้กว้างที่สุดเท่าที่แอมป์+ลำโพงจะให้ได้ภายในห้องฟังของผม ซึ่งผลจากการทดลองฟัง AURA 4 ช่วงแรกที่จับกับแอมป์ทั้ง 3 ตัว ข้างต้นผมพบว่า อย่างแรกเลยคือ แอมป์ระดับกลางๆ ทั้งสามตัวนั้นสามารถขับดันเสียงออกมาจาก AURA 4 ได้ “ดังเกินพอ” ในห้องฟังของผม (3.6-3.8 x 6.6 ตรม.) โดยที่ไม่มีอาการเครียด แสดงว่า AURA 4 ตัวนี้ไม่ได้ต้องการกำลังของแอมป์ที่สูงมาก ส่วนคุณภาพเสียงที่ออกมา “โดยรวม” ต้องถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดียอมรับได้ คุณสมบัติแรกที่ปรากฏออกมาเมื่อขับด้วยแอมป์ทั้งสามตัวซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันก็คือลักษณะของเสียงที่มี “ความสะอาด” และ “นิ่ง” ในน้ำเสียงจะปรากฏภาวะของ “การควบคุม” อยู่กลายๆ เมื่อเทียบกับลำโพงที่มีระดับต่ำกว่าลงมาจะสังเกตได้ว่า ลำโพงทั่วไปเวลาเปิดดังขึ้นไปเรื่อยๆ โทนของเสียงจะเริ่มเปลี่ยนไปในลักษณะที่สว่างจ้าขึ้นทีละนิด ซึ่งนี่คือความแตกต่างที่ AURA 4 แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน คือมันสามารถควบคุม “โทนของเสียงตลอดทั้งย่าน” เอาไว้ได้อย่างมั่นคงแทบจะทุกระดับความดังที่เพิ่มขึ้น.!
โดยประสบการณ์ส่วนตัว ผมยกให้คุณสมบัติข้อนี้เป็นจุดเด่นมากๆ สำหรับ AURA 4 คู่นี้.! เพราะทุกครั้งที่เราปรับวอลลุ่มเพิ่มขึ้น เราต้องการให้ “ทุกเสียง” ในเพลงที่เราฟังมันดังขึ้น มีพลังมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการให้โทนเสียงของเพลงที่ฟังยังคงเหมือนเดิม เรา “ไม่ได้” ต้องการให้โทนเสียงของเพลงนั้นเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะตอนที่เบาหรือดัง ซึ่งต้นเหตุที่มักจะเกิดกับลำโพงราคาประหยัดทั่วไปก็คือว่า ทวีตเตอร์ของมันมักจะทนรับกับกำลังขับสูงๆ ได้ไม่มาก พอเร่งวอลลุ่มขึ้นไปสูงๆ ทวีตเตอร์เหล่านั้นก็จะเริ่มเพี้ยน.. พอเร่งขึ้นไปอีกเสียงแหลมก็จะแตกพร่า กระทบลงไปถึงคุณภาพของเสียงกลางด้วย..
อัลบั้ม : JT (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : James Taylor
สังกัด : Columbia
อัลบั้ม : Begin To Hope (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Regina Spektor
สังกัด : Sire Records
หลังจากพยายามค้นหาข้อจำกัดกรณีที่ “ลำโพงต้องการ–แต่แอมป์ไปไม่ไหว” ผมพบว่า ถ้าเป็นเพลงที่มีความถี่ส่วนใหญ่อยู่ในย่านกลาง–แหลม และมี gain เฉลี่ยอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำมาก อย่างเช่นอัลบั้มชุด JT ของ James Taylor พ๊อพยุคเก่ากับชุด Begin To Hope ของ Regina Spektor ซึ่งเป็นเพลงยุคใหม่ที่เน้นบีทกระชับและมีน้ำหนัก เมื่อเปิดด้วยระดับความดังที่แผ่เต็มห้อง ผลออกมาว่า กำลังขับของแอมป์ทั้งสามตัวคือ Radia A25, 9000A และ C 399 สามารถตอบสนองความต้องการของลำโพงได้เป็นอย่างดี เสียงที่ได้ออกมามีความเป็นดนตรีที่น่าพอใจ
อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (WAV-16/4.1)
ศิลปิน : John Lanchbery & The Royal Opera House
สังกัด : Analogue Productions
อัลบั้ม : Ink (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Livington Taylor
สังกัด : Chesky Records
อัลบั้ม : Master Of Chinese Percussion (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Yim Hok-Man
สงกัด : LIM (K2HD Mastering)
ส่วนโจทย์ยากที่เริ่มแสดงถึงข้อจำกัดทางด้านสมรรถนะของแอมป์ทั้ง 3 ตัวออกมาให้เห็นก็คือเพลงที่มี gain ค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นเพลงแนวคลาสสิก กับเพลงของค่ายเพลงไฮเอ็นด์บางค่ายอย่างเช่น Sheffield Labs กับ Chesky รวมถึงเพลงที่มีเสียงทุ้มเยอะๆ และเน้นพลังของเสียงในย่านต่ำหนักๆ อย่างเช่นอัลบั้มของ Yim Hok-Man ชุด Master Of Chinese Percussion ซึ่งต้องเร่งวอลลุ่มของแอมป์ขึ้นไปเยอะๆ มีผลให้ความมั่นคงของเวทีเสียงแย่ลง คือความลึกจะดันจะขึ้นมาข้างหน้า รวมถึงอัตราสวิงไดนามิกจะแคบลงด้วย คือทำให้เสียงหัวโน๊ตต่ำของเสียงกลองจีนมีลักษณะตื้อและหนาทึบ
เมื่อผมยกเพาเวอร์แอมป์ของ QUAD โมโนบล็อกรุ่น Artera Mono เข้าไปเสริม หลังจากทดลองดึงสัญญาณจากช่อง Pre-Out ของอินติเกรตแอมป์ทั้งสามตัวข้างต้นไปจับคู่กับอินพุตของ QUAD Artera Mono โดยใช้สายสัญญาณ Nordost รุ่น Frey 2 (หัว RCA) เป็นตัวเชื่อม ผมพบว่า เกนเอ๊าต์พุตของช่อง Pre-Out ของ NAD C 399 แม็ทชิ่งกับเกนอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ Artera Mono มากที่สุด ผมจึงใช้สัญญาณ Pre-Out ของ C 399 จับคู่กับเพาเวอร์ฯ ของ QUAD ในการขับลำโพง AURA 4 เป็นหลักสำหรับการประเมินผลทางเสียงในช่วงที่สอง
จริงๆ แล้ว ถ้าดูจากสเปคฯ ของ Artera Mono แล้ว ตัวเลขกำลังขับของแอมป์คู่นี้ที่แจ้งไว้ในสเปคฯ ก็ต้องถือว่า “สูงกว่า” กำลังขับสูงสุดที่ AURA 4 แนะนำไว้ไปพอสมควรเลย ซึ่งก่อนที่จะยกมาจับคู่กันผมก็แอบหวั่นๆ ว่ามันจะไปกันได้มั้ย.? เสียงจะออกมาตื้อหรือเปล่า.? แต่พอลองฟังจริงๆ แล้วกลับไม่มีปัญหาอะไร มิหนำซ้ำ เสียงโดยรวมที่ออกมามันดีกว่าช่วงแรก ตอนขับด้วยแอมป์ขนาดกลางทั้งสามตัวไปไกลเลย.!!! ดีกว่าทุกด้าน กะประมาณน่าจะดีกว่า 30 – 40% ขึ้นไป..!
อัลบั้ม : White Wind (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Andreas Vollenweider
สังกัด : CBS Records
อัลบั้ม : Plays Bizet, Beethoven, Pachelbel And Berlioz (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The All Star Percussion Ensemble
สังกัด : FIM (GS DXD 002)
สิ่งที่รู้สึกได้ชัดมากอย่างแรกเลยหลังจากเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ Artera Mono เข้าไปก็คือ “เวทีเสียง” ที่ฉีกกว้างออกไปอีกมาก ปรากฏการณ์ “หลุดตู้” แสดงตัวออกมาได้จะแจ้งมากขึ้น เพลงที่บันทึกมาดีมากๆ อย่างสองอัลบั้มข้างบน ซึ่งเป็นเสียงเครื่องเคาะจะรับรู้ได้ชัดว่าตำแหน่งเสียงถูกดันให้ฉีกเลยปริมณฑลของลำโพงออกไปไกล หลุดออกไปลอยอยู่ในอากาศ “ทั้งตัว” และอีกสิ่งที่ตามติดออกมาด้วยก็คือ “แอมเบี้ยนต์” หรือบรรยากาศที่ห้อมล้อมเสียงเหล่านั้น รับรู้ได้ว่ามีความอบอวลมากขึ้น ซึ่งแอมเบี้ยนต์เป็นความถี่สูงที่เบามากๆ (เพราะหูของเราไม่ไวกับความถี่ระดับนั้น) แต่เป็นเพราะ AURA 4 มีความสามารถในการตอบสนองความถี่สูงขึ้นไปได้ถึงระดับ 22kHz หรือสองหมื่นสองพันเฮิร์ต เมื่อได้แอมป์ที่มีพลังสูงพอ มันจึงสามารถถ่ายทอดความถี่ระดับนั้นออกมาได้ (แสดงว่าในสองอัลบั้มนี้มีรายละเอียดของแอมเบี้ยนต์ระดับนั้นอยู่)
หลังจากเพิ่มเพาเวอร์แอมป์เข้าไป ผมก็ลองเอาอัลบั้ม Master Of Chinese Percussion ของ Yim Hok-Man กลับมาลองฟังอีกที ทีนี้เสียงที่ออกมาเหมือนหนังคนละม้วนไปเลย.! ทั้งๆ ที่ตอนขับด้วยแอมป์ทั้งสามตัวนั้นผมก็ว่าเสียงกลองจีนที่ออกมาแม้ว่าจะยังไม่ดีที่สุดเท่าที่จำได้ แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้แล้ว แต่พอเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ Artera Mono เข้าไป เสียงตีกลองจีนในอัลบั้มนี้มันพุ่งขึ้นไปอีกระดับ.! พูดได้ว่า ทุกเสียงที่ออกมามันพุ่งเข้าหา “ความเหมือนจริง” มากขึ้น ทั้งความกระชับ หัวเสียงสัมผัสแรกระหว่างไม้กลองกับหนังกลองมันมีบอดี้ที่ขมวดตึงมากขึ้น อัดแน่นมากขึ้น ในขณะเดียวกัน พอหัวเสียงผ่านไป ผมก็ได้ยินเสียงกระพรือของหนังกลองตามติดออกมาด้วย รับรู้ได้ถึงสภาวะการเกิดขึ้น–คงอยู่–สลายไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้ขมวดรวมเป็นก้อนติดกันเหมือนตอนขับด้วยแอมป์เล็กๆ
อัลบั้ม : Getting To Know You (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Jheena Lodwick
สังกัด : The Musiclab
อัลบั้ม : Come Dream With Me (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Jane Monheit
สังกัด : Victor Entertainment
“จุดอ่อน” อย่างหนึ่งของลำโพงใหญ่ที่มักจะเป็นรองลำโพงเล็ก นั่นคือ “เสียงกลางขึ้นไปถึงแหลม” ที่ไม่ลอยและไม่โปร่งกังวานเท่ากับเสียงกลางและแหลมที่ได้จากลำโพงเล็กที่มีคุณภาพดี ซึ่งน่ายินดีอย่างยิ่งที่ปรากฏการณ์นี้ไม่เกิดกับลำโพงคู่นี้.! จากการทดลองฟังเพลงที่โชว์เสียงร้องเด่นๆ อย่างอัลบั้มชุด Come Dream With Me ของ Jane Monheit กับอัลบั้มชุด Getting To Know You ของ Jheena Lodwick ซึ่งเสียงร้องของนักร้องทั้งสองคนนี้ก็หลุดจากตัวตู้ของ AURA 4 ออกมาลอยเด่นอยู่ในอากาศได้อย่างหมดจด มีชีวิตชีวา ซึ่งผมบอกได้เลยว่า คุณภาพของเสียงกลางที่ลำโพงใหญ่ของ Whafedale คู่นี้สร้างออกมามันอยู่ในระดับที่พูดได้ว่าไม่แพ้ลำโพงเล็กเลย คือมีรายละเอียดครบ ทั้งบอดี้และหางเสียง ความกังวานก็มีครบ ไม่ได้เป็นเสียงกลางที่จมๆ ด้านๆ เหมือนลำโพงใหญ่รุ่นเก่าๆ ซึ่งผมเข้าใจว่าตัวทวีตเตอร์ AMT น่าจะเข้ามามีบทบาทมากเป็นพิเศษในประเด็นนี้ เพราะถ้าพิจารณาจากขนาดของมิดเร้นจ์ที่ใช้กับจุดตัดความถี่ระหว่างมิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ที่ขยับขึ้นไปสูงถึง 3.3kHz จึงดูเหมือนว่า ตัวมิดเร้นจ์จะถูกออกแบบให้ขยับขึ้นไป “กลมกลืน” กับเสียงของทวีตเตอร์ในแง่ของความต่อเนื่องของความถี่ และด้วยขนาดของมิดเร้นจ์ที่เล็กกระทัดรัดแค่ 4 นิ้ว มีผลให้เสียงกลางที่สร้างขึ้นโดยมิดเร้นจ์ตัวนี้ขยับเคลื่อนได้อย่างฉับไว มวลของไดอะแฟรมของมิดเร้นจ์ไม่เยอะ จึงไม่สะสมแรงสั่นไว้ในตัว (เรโซแนนซ์ต่ำ) เหล่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เสียงกลางของ AURA 4 มีลักษณะที่โปร่ง ลอย และมีสปีดที่ฉับไว ไล่ตามเสียงแหลมทัน ไม่อืด ไม่หน่วง ไม่ช้า ซึ่งเป็นลักษณะของเสียงกลางที่สดใสแบบเดียวกับลำโพงเล็กชั้นดีทั้งหลายนั่นเอง หลังจากฟังเสียงคนร้องชาย–หญิง, เสียงกีต้าร์โปร่ง, เสียงแซ็กโซโฟน, เสียงไวโอลิน ฯลฯ ไปแล้ว ผมพบว่า โทนของเสียงกลางที่ลำโพง AURA 4 คู่นี้มีวรรณะที่เป็นกลางพอสมควร
เมื่อพูดถึง “วรรณะ” ของโทนเสียงกลางแล้ว ผมจับสังเกตได้บางอย่างจากการทดลองฟังอัลบั้มชุด Getting To Know You ของ Jheena Lodwig กับลำโพง AURA 4 คู่นี้ ซึ่งสิ่งที่ผมพบก็คือว่า ถ้าขับด้วยแอมป์ขนาดเล็ก ตอนฟังเสียงร้องของจีน่า ลุควิกในอัลบั้มนี้จะรู้สึกว่าเสียงร้องของเธอมีลักษณะที่ “พุ่งดัน” ออกมานิดๆ อาการคล้ายถูก boost ให้เน้นออกมามากเกินไป ตอนช่วงพีคเสียงร้องจะติดสว่างออกมาหน่อยๆ แต่พอฟังโดยมีเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังถึงๆ อย่าง Artera Mono เข้ามาควบคุม ผมรับรู้ได้ชัดเลยว่า เสียงร้องของจีน่าในอัลบั้มเดียวกันนี้ มีลักษณะที่ “เปลี่ยนไป” คือมีความผ่อนคลายมากขึ้น อาการเหมือนเสียงร้องจะดันๆ ออกมาลดน้อยลงไปแทบจะไม่เหลือหรอ ตอนโหมขึ้นไปก็ไม่เปลี่ยนสี อาการแผดนิดๆ หายไปเลย น้ำเสียงโดยรวมมีความนุ่มนวลมากขึ้น เนื้อมวลอิ่มและสะอาดมากขึ้น คอนทราสน์ไดนามิกก็ดีขึ้นมาก รู้สึกได้ว่าเธอถ่ายทอดอารมณ์ออกมากับเสียงร้องได้อย่างมีลีลามากขึ้น สรุปคือพอได้แอมป์ถึงๆ เข้าไป ลำโพงคู่นี้ก็แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่มากขึ้น ได้เห็นตัวจริงของมันมากขึ้น ที่เคยรู้สึกว่าดีน่าพอใจ (ตอนขับด้วยแอมป์เล็กๆ) ขยับชั้นขึ้นมาเป็นดีมากกก.!!
อัลบั้ม : The Hi Fi World Of Drums (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Takeshi Inomata & Separation
สังกัด : GML (Gold Mastafon Labo)
เมื่อมี “ลำโพงใหญ่ + แอมป์วัตต์สูงๆ” อยู่ในห้อง เพลงที่คุณต้องฟังก็คือ “เสียงโซโล่กลองชุด” ซึ่งในอดีตนั้น เสียงโซโล่กลองชุดถูกใช้เป็นเสียงอ้างอิงประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงมาโดยตลอด โดยเฉพาะประสิทธิภาพของแอมป์กับลำโพง ถ้าคุณเป็นนักเล่นเครื่องเสียงรุ่นเก๋า คิดว่าคงจะจำอัลบั้ม LAB-14 กับ LAB-20 กันได้ สองชุดนั้นเป็นโซโล่กลองชุดที่ค่าย เชฟฟิลด์ แล็ป ตั้งใจทำออกมาเพื่อใช้ทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงโดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ใช้วัดประสิทธิภาพของแอมป์กับลำโพงในยุคอะนาลอก ทว่า ยังมีอีกอัลบั้มที่บันทึกเสียงกลองชุดออกมาได้ดีมากๆ เป็นงานบันทึกเสียงของค่าย GML ส่วนมือกลองเป็นศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่นคือ Takeshi Inomata คนที่เคยฟังเสียงกลองของทาเคชิในอัลบั้มนี้แล้ว ทุกคนจะพูดว่า เสียงกลองของค่าย GML ชุดนี้หนังกลองตึงกว่าเสียงกลองของค่าย Sheffield Lab ซะอีก.!
เสียงกลองของทาเคชิ ในอัลบั้มนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการตอบสนองกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่เยี่ยมยอดมากทั้งในย่านแหลม–กลาง และทุ้ม.! เสียงหัวไม้กลองกระแทกลงไปบนฉาบ สแนร์ และเสียงหัวกระเดื่องกระแทกไปที่หนังกลองคิกดรัมมันมีทั้งความเร็ว ความแรง ความกระชับ และความหนักของมวลที่ขมวดเข้ม เสียงกระเดื่องกลองแน่นและเก็บตัวดีมาก ไม่มีอาการเบลอและบวมเลยแม้ว่าจะเปิดดังมากจนเต็มห้อง ฟังเสียงกลองในอัลบั้มนี้แล้วเลือดในกายมันฉีดปรี๊ดๆ เลย.. มันมากๆ.!!!
สรุป
ขณะที่กำลังนั่งทดสอบลำโพงคู่นี้ มีอยู่แว๊บหนึ่งที่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม คือเสียงที่ AURA 4 ถ่ายทอดออกมาให้ได้ยิน มันทำให้ผมคิดว่า ด้วยมาตรฐานของสัญญาณจากแหล่งต้นทาง (source) ในยุคปัจจุบันที่ได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้นกว่าในอดีตมากในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะทางด้าน gain ของสัญญาณที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น เมื่อได้ชุดแอมป์+ลำโพงที่มีคุณภาพสูงๆ สามารถเปิดได้ดังโดยที่มีความเพี้ยนต่ำ สิ่งที่ปรากฏออกมามันคือ “คุณภาพเสียง” ที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้น ขยับขึ้นไปใกล้เคียงกับเสียงที่ถูกทำมาจากสตูดิโอมากขึ้น เป็นเสียงที่เปิดได้ดังขึ้นโดยไม่มีอาการเครียดเค้น ฟังแล้วรู้สึกอิ่มกับอรรถรสของเพลงโดยไม่มีอาการระคายเคืองโสตประสาท (*ตลอดการทดสอบ ผมใช้แหล่งต้นทางที่ได้จากการเล่นไฟล์เพลงที่เก็บอยู่บน NAS สลับกับสตรีมจาก TIDAL แล้วส่งผ่าน external DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD Twenty แล้วส่งสัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตไปที่อินพุต LINE ของ NAD C 399 ซึ่งทำหน้าที่เป็นอะนาลอก ปรีแอมป์)
ผมเคยทดสอบรุ่น EVO4.4 (REVIEW) กับ Elysian 2 (REVIEW) ไปแล้ว หลังจากได้ทดสอบรุ่น AURA 4 ซึ่งเป็นซีรี่ย์ที่เข้ามาแทรกกลางระหว่าง EVO4 กับ Elysian แล้ว บอกเลยว่า เสียงของ AURA 4 ตัวนี้มันเข้าไปใกล้กับซีรี่ย์ Elysian มาก ในขณะที่ราคาต่างกันเกินเท่าตัว.! (รุ่นใหญ่สุดเทียบกัน)
AURA 4 เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางที่ “ครบเครื่อง” มาก.! มันอาจจะไม่ใช่ลำโพงที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อพิจารณาจากคุณภาพเสียงที่มันถ่ายทอดออกมาก็ต้องยอมรับว่า AURA 4 คู่นี้เป็นลำโพงตั้งพื้นที่น่าสนใจมากคู่หนึ่งในระดับราคา ไม่เกิน 200,000 บาท ถ้างบของคุณอยู่ในระดับนี้ แนะนำให้ไปหาโอกาสทดลองฟังให้ได้ แอบกระซิบให้ว่า นี่เป็นลำโพงตั้งพื้นที่ “เป็นมิตร” กับห้องขนาดเล็กมากเป็นพิเศษ ขอให้แอมป์ถึงๆ เท่านั้น และอยากจะกระซิบต่อว่า เสียงกลางและแหลมของมันจะทำให้ลำโพงเล็กหลายๆ คู่ต้องเหงื่อตก..!!!
********************
ราคา โปรโมชั่น : 169,000 บาท / คู่
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5
facebook: @hifitowerShop
LineID: @hifitower