“ได้อย่าง – เสียอย่าง” ไม่ใช่เพลงของอัสนีย์–วสันต์ แต่ความหมายมันใช่ เคยมั้ยที่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือทำการปรับแต่งชุดเครื่องเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป ตอนแรกฟังแล้วว่าเสียงมันดีขึ้นแน่ๆ แต่ไหงพอฟังไปนานๆ กลับรู้สึกว่า แบบเก่าดีกว่า.? เชื่อว่าต้องมีคนเคยพบกับประสบการณ์นี้มาแล้วอย่างแน่นอน เคยสังสัยมั้ยครับว่า เพราะอะไร.? และเกิดอะไรขึ้น.?
ระหว่าง “เสียงที่เปลี่ยนไป” กับ “เสียงที่ชอบ” และ “เสียงที่ใช่”
ทุกครั้งที่คุณทำการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงหรือแอคเซสซอรี่ชิ้นใหม่ลงไปในซิสเต็ม ในเบื้องต้น จะมีปรากฏการณ์ของเสียงเกิดขึ้นกับซิสเต็มของคุณ 3 ลักษณะ นั่นคือ
1. เสียงที่เปลี่ยนไป
อันนี้เป็นปรากฏการณ์แรกที่คุณควรจะต้องรับรู้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยสอง–สามอย่างที่อาจจะทำให้คุณไม่ได้ยินความแตกต่างหลังจากเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใหม่ลงไปในซิสเต็ม ปัจจัยแรกสุดคือ “ประสบการณ์ในการฟัง” ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับก่อนว่า ลักษณะการฟังแบบวิเคราะห์ความแตกต่างของเสียง หรือที่ภาษาทางการเรียกว่า “Critical Listening” นั้น มันต้องอาศัยการฝึกฝนที่ถูกวิธี มันเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับฟังเสียงของเราให้หลุดพ้นจากประสาทสัมผัสอัตโนมัติที่ธรรมชาติสร้างมาให้
คนทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนฝึกการฟังด้วยวิธี Critical Listening มาก่อนอาจจะแยกแยะความแตกต่างได้ยากกว่า ในขณะที่บางคนที่มีทักษะในการเล่นดนตรีมาก่อนมักจะฟังแยกแยะรายละเอียดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าคุณทำการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นใดลงไปในซิสเต็มแล้ว คุณฟังไม่พบความแตกต่างของเสียงเมื่อเทียบกับการใช้อุปกรณ์ชิ้นเดิม กรณีนี้ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะในการฟังของคุณ ก็อาจเกิดขึ้นได้จากอีกปัจจัย นั่นคือ เสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นที่คุณเปลี่ยนเข้าไปกับชิ้นเดิมของคุณที่ใช้อยู่ มีเสียงเหมือนกันมาก.. ซึ่งข้อนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก
2. เสียงที่ชอบ
ช่วงแรกของนักเล่นเครื่องเสียงที่ชวนให้เสียทรัพย์มากที่สุดคือช่วงที่เริ่มต้นฟังความแตกต่างของเสียงออกนี่แหละ เมื่อใดที่ทักษะในการฟังของคุณบังเกิดขึ้นแล้ว ทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงลงไปในซิสเต็ม คุณจะได้ยินเสียงของซิสเต็มที่มีความแตกต่างไปจากเดิม มันก่อให้เกิดความสนุกและน่าค้นหา ซึ่งจุดประสงค์ในการเปลี่ยนเครื่องเสียงของนักเล่นฯ ที่เดินทางมาถึงช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่มักจะค้นหา “เสียงที่ชอบ” หรือเสียงที่ถูกใจเป็นหลัก
เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับคนเล่นเครื่องเสียง เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะประสบการณ์ในการฟังไปพร้อมๆ กับการค้นหา “สัจจะธรรม” หรือ nirvana ของการเล่นเครื่องเสียงไปด้วย ซึ่งร้อยละร้อยของนักเล่นฯ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานี้มักจะจับยึดเอา “เสียงที่ชอบ” เป็นสรณะในการคัดเลือกเครื่องเสียงมาใช้ สรุปว่า เครื่องเสียงชิ้นไหนให้เสียงที่ถูกใจ ตรงกับที่ชอบ ก็จะยึดติดอยู่กับสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ
3. เสียงที่ใช่
ถ้ามองการเล่นเครื่องเสียงแบบตื้นเขิน เราจะพบว่า เสียงที่ถูกใจ หรือเสียงที่เราชอบ คือจุดหมายปลายทางสุดท้าย เป็นนิพพานของการเล่นเครื่องเสียง ซึ่งแท้จริงแล้ว หากเพ่งมองให้ลึกลงไปมากกว่านั้น โดยเอาคำถามซื่อๆ ตรงๆ ยกขึ้นมาถามตัวเองว่า ถ้าต้องการแค่เสียงที่ชอบ ทำไมต้องลงทุนกันเยอะแยะขนาดนั้น.? ทำไมต้องพิถีพิถันกันมากมาย.? และทำไมนักออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงต้องทุ่มเทในการวิจัยและพัฒนา R&D กันอย่างมโหฬาร.? พวกเขา (แบรนด์ต่างๆ) พัฒนาไปเพียงแค่หวังผลทางการตลาดเท่านั้นหรือ.? หรือจริงๆ แล้ว การเล่นเครื่องเสียงมันมีเป้าหมายที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า.?
ถ้าเปรียบ “เพลง” คือ “ศิลปะ” รูปแบบหนึ่ง คล้ายการจิบชา ดื่มกาแฟ หรือจิบไวน์ ซึ่งการจิบชา ดื่มกาแฟ และจิบไวน์ ก็ยังต้องมีกระบวนการเฉพาะตัวที่จะทำให้ผู้เสพสามารถบรรลุถึงเป้าหมายสุดท้ายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ระดับสูงที่ไม่อาจพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ถ้ามองจากมุมเดียวกันนี้ “การเล่นเครื่องเสียง” ก็น่าจะเป็นวิถีปฏิบัติ หรือเป็นกระบวนการเฉพาะตัวที่ทำให้ให้ผู้เล่นฯ บรรลุถึงเป้าหมายที่ศิลปินผู้ประพันธ์บทเพลงนั้นๆ ต้องการให้ผู้เสพสัมผัสนั่นเอง
เมื่อมองจากมุมนี้ เราก็จะมองเห็นคำตอบของเป้าหมายในการเล่นเครื่องเสียงที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง และนั่นก็คือสิ่งที่เราต้องการได้ยิน “ทุกครั้ง” ที่เราเปลี่ยนเครื่องเสียงชิ้นใหม่ หรือทุกครั้งที่เรากระทำอะไรกับชุดเครื่องเสียงของเรา ทั้งหมดที่เรา “เล่น” เครื่องเสียงก็เพื่อให้ได้ยิน “เสียงที่ใช่” นั่นเอง
เมื่อเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ทำไมจึงยังคงเกิดปรากฏการณ์ “ได้อย่าง – เสียอย่าง” ?
ทุกสิ่งที่เราได้จากการ “เรียนรู้” (อ่าน + ทำความเข้าใจในหลักการ) มา เมื่อนำมาใช้ในภาคปฏิบัติจริง มันจะแตกย่อยองค์ความรู้ที่สูงขึ้นไปอีกขั้นออกมาให้เราสัมผัส สิ่งนั้นเรียกว่า “ความเข้าใจในสัมผัส” ซึ่งมีมิติที่ซับซ้อนกว่า “ความเข้าใจในหลักการ” โดยเฉพาะความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเครื่องเสียง เพราะการเล่นเครื่องเสียงมันให้ผลลัพธ์ในแง่ของ “ความรู้สึก” ที่เสียงที่ได้ยินแผ่ออกมาสัมผัสเข้ากับอารมณ์ของตัวเราด้วย
ปรากฏการณ์ “ได้อย่าง – เสียอย่าง” เกิดขึ้นเพราะคนฟังไปจับจ้องอยู่กับ “ลักษณะเสียง” มากกว่าความ “ความเป็นดนตรี”
“ลักษณะเสียง” ในที่นี้ก็คือ เสียงแหลม, เสียงกลาง, เสียงทุ้ม, เสียงหนา, เสียงบาง, เสียงใส, เสียงหวาน, เสียงกระชับ, ฯลฯ ซึ่งเป็นเสมือน “กับดัก” ที่ทำให้คนฟังเกิดอาการเขว และถ้าไม่สลัดให้หลุดไปจากใจ อาจยึดถือลักษณะเสียงที่ชอบเข้ามาเป็นสรณะ เมื่อใดที่อุปกรณ์เครื่องเสียงตัวใหม่ที่เปลี่ยนเข้าไปในซิสเต็ม ทำให้เสียงของซิสเต็มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ตรงกับ “เสียงที่ชอบ” เราก็จะหยุดอยู่กับความชอบใจแค่ตรงนั้น แต่เมื่อมีเวลาฟังต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่า มีอะไรบางอย่างหายไป หรือพอเริ่มคุ้นเคยกับเสียงใหม่ ก็เริ่มเกิดอาการเบื่อขึ้นมาอีก ต้องหาเครื่องเสียงใหม่มากเปลี่ยนอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุด
“แนวเพลงที่ฟัง” คือสิ่งสำคัญ!
คนที่ชอบฟังเพลงเป็นพื้นฐาน เล่นเครื่องเสียงแล้วจะยิ่งมีความสุข ลองนึกภาพคนสองคน นั่งฟังเพลงจากเครื่องเสียงชุดเดียวกัน ในห้องเดียวกัน มีโอกาสมากที่ “ความรู้สึก” ที่คนทั้งสองคนได้รับจากการฟังเครื่องเสียงชุดนั้นจะออกมาต่างกัน คนหนึ่งอาจจะแฮ้ปปี้กับเสียงที่ได้ยินในขณะที่อีกคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ เกิดอะไรขึ้น.? คำตอบก็คือ ทั้งสองคนนั้นมี music appreciation แตกต่างกัน เนื่องจากชอบแนวเพลงไม่เหมือนกัน
การเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงใหม่เข้าไปแทนที่ชิ้นเดิม ทำให้ได้เสียงเปลี่ยนไป แต่เสียงที่เปลี่ยนไปจะเป็น “เสียงที่ชอบ” หรือ “เสียงที่ใช่” ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทักษะทางดนตรีของผู้ฟังเป็นสำคัญ ถ้าคุณชอบเพลงประเภทไหน เวลาเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงใหม่ คุณควรใช้เวลาฟังเครื่องเสียงนั้นนานๆ เพื่อให้ประสาทสัมผัสของคุณข้ามผ่าน “ลักษณะเสียง” ที่เปลี่ยนไปให้ได้ซะก่อน หลังจากนั้น ให้ใช้เพลงที่ชอบทดลองฟังกับชุดเครื่องเสียงนั้นให้มากเพื่อตรวจวัด “ความเป็นดนตรี” ว่าหลังจากเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ หรือทำการเซ็ตอัพอะไรใหม่ลงไปแล้ว มันให้ผลลัพธ์ของเสียงเปลี่ยนไปในลักษณะที่ “เพิ่มพูน” หรือ “ลดทอน” ความเป็นดนตรีลงไป.?
“เสียงที่ชอบ” อาจไม่เป็น “เสียงที่ใช่“
เป็นไปได้มากและบ่อยที่จะเกิดปรากฏารณ์นี้ หวังว่าคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ชุดเครื่องเสียงราคาถูกกว่า แต่ให้เสียงดีกว่า” หรือ “เครื่องเสียงชุดนี้เสียงดีจริง แต่ฟังเพลงไม่เพราะ“
การยึดติดอยู่กับ “ลักษณะของเสียง” โดยขาด music appreciation จะทำให้วนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนเครื่องเสียงไม่สิ้นสุด เพราะเสียงแหลมที่ใส เสียงกลางที่ลอย และเสียงทุ้มที่หนักกระชับ อาจจะไม่ได้มีผลอะไรกับความเป็นดนตรีเลย ความเป็นดนตรีของเพลงก็คือ “มูพเม้นต์ของตัวโน๊ต” ที่เคลื่อนไหวไปตามลีลาของทำนองเพลงที่ถูกเรียบเรียงเอาไว้อย่างเป็นระบบ มีวรรคมีตอน มีจังหวะจะโคนที่แม่นยำ เสียงแหลม–เสียงกลาง–เสียงทุ้ม เหล่านี้เป็นแค่ส่วนประกอบย่อยของความเป็นดนตรี ความใสหรือความขุ่นของเสียงแหลมไม่ได้มีความสำคัญต่อความเป็นดนตรีมากเท่ากับ “ไทมิ่ง” ของจังหวะเพลงที่ถูกต้อง
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่า ทำไมเสียงแหลมที่ใสขึ้นกว่าเดิม แต่กลับฟังแล้วไม่เพราะเหมือนเสียงแหลมที่ขุ่นอย่างเดิม จังหวะของดนตรีที่เกิดขึ้นบนการถ่ายทอดไทมิ่งของชุดเครื่องเสียงคือปัจจัยสำคัญที่กำหนด “ความเป็นดนตรี” เพราะไทมิ่งในการปรับเปลี่ยนความดังที่เรียกว่า dynamic ของลำโพงมีผลต่อการตอบสนองกับจังหวะของเพลงและลีลาการบรรเลงของนักดนตรี ถ้าสอดคล้องไปด้วยกัน เสียงของซิสเต็มที่ถ่ายทอดออกมาก็จะมีความเป็นดนตรีออกมาด้วย กระแทกอารมณ์และกระตุ้นให้เราคล้อยตาม นั่นคือ “เสียงที่ใช่” สำหรับการเล่นเครื่องเสียง การให้เวลาตัวเองฟังเสียงของซิสเต็มให้นานหน่อยหลังจากเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ลงไป ก็เพื่อตรวจเช็คหา “เสียงที่ใช่” นั่นเอง /
********************



