รีวิวเครื่องเสียง Edifier รุ่น WH950NB หูฟังไร้สายแบบครอบหูที่มาพร้อมระบบขจัดเสียงรบกวน Noise Cancellation

หลังจากปล่อย Stax S3 (REVIEW) ออกมาปีที่แล้ว ซึ่งตลาดให้การตอบรับดีมาก ปีนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน Edifier ก็ปล่อยหูฟัง over-ear รุ่น WH650NB ตามออกมาอีกรุ่น ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ใช้ไดเวอร์ Planar-Magnetic เหมือน S3 แต่ใช้ไดเวอร์ไดนามิกเหมือนลำโพงส่วนใหญ่ในท้องตลาด

รูปร่างหน้าตา

WH950NB มาในกล่องกระดาษสอดสองชั้น พอแกะกล่องเปิดออกมาข้างในจะพบกับกล่องใส่หูฟังรูปไข่สำหรับพกพาที่มีหูฟังถูกเก็บอยู่ในนั้นพร้อมอุปกรณ์เสริมที่แถมมาให้ นั่นคือ สายสัญญาณ, สายชาร์จ USB และคู่มือเล่มเล็กๆ อีกสองเล่ม

WH950NB มาในแคตากอรี่ของหูฟังแบบ over-ear ที่มีขนาดใหญ่ครอบใบหู จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับรุ่น Stax S3 เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกแบบคร่าวๆ โดยไม่ได้เอาตัวจริงมาเทียบ side-by-side กัน แค่เอาจากภาพมาเทียบกันจะเห็นว่าขนาดของสองรุ่นนี้ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ถ้าพิจารณาแบบเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่ามีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรในแง่ของการออกแบบองค์ประกอบย่อยหลายจุด

earpad (ศรชี้) ที่ให้มาทำด้วยเมมโมรี่โฟมหุ้มหนังเทียม (protein leather) นุ่มๆ น้ำหนักเบา ประกอบอยู่กับตัวหูฟังสำเร็จในกล่องมาจากโรงงาน แต่ไม่มี earpad แบบเจลนิ่มที่เรียกว่า ice-sennsing earmuffs แถมสำรองมาให้เหมือนที่ให้มากับหูฟังรุ่น Stax S3 เหตุผลก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนนั่นเอง

headband หรือที่คาดศีรษะทำด้วยแผ่นโลหะเสริมโครงพลาสติกแข็ง มีกลไกที่สามารถดึงเพื่อยืด/หดไปตามขนาดของศีรษะผู้สวมได้ ด้านในส่วนบนของที่คาดซึ่งสัมผัสกับศีรษะของผู้สวมมีโฟมนุ่มๆ หุ้มหนังเสริมไว้เพื่อรองรับศีรษะ ทำให้เกิดความกระชับขณะสวมใส่และช่วยกันไม่ให้แผ่นโลหะสัมผัสลงบนศีรษะตรงๆ ส่วนตัวบอดี้ที่บรรจุไดเวอร์จะถูกเชื่อมต่ออยู่กับส่วนที่เป็นแผ่นคาดศีรษะด้วยขาพลาสติกขนาดใหญ่ที่มีกลไกให้สามารถขยับปรับตัวบอดี้ของหูฟังทั้งสองข้างให้กระชับแนบไปกับใบหูของผู้สวมใส่ได้ ไม่ว่ารูปทรงของใบหูผู้สวมใส่จะต่างกันไปลักษณะไหน

Active Noise Cancellation ที่มาพร้อม Ambient Noise
ระบบ ANC (Active Noise Cancellation) ที่คุณ เลือกได้.!!

ระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ที่ติดตั้งมาให้ในรุ่น WH950NB (กรอบสีแดงในภาพ) เป็นระบบที่มีความล้ำหน้าไปกว่าระบบตัดเสียงรบกวนที่เคยมีมาในอดีต เป็นระบบตัดเสียงรบกวนแบบ active ที่ควบคุมด้วยแอพลิเคชั่นที่สามารถเลือกระดับการตัดสัญญาณภายนอกได้ 2 ระดับ คือ “High noise cacellation” = ตัดเสียงภายนอกแบบสนิท กับLow noise cancellation” = ตัดเสียงภายนอกบางส่วน นอกจากนั้น ยังมีอ๊อปชั่นพิเศษๆ มาให้เลือกใช้เพิ่มเติมอีก 2 โหมด คือ “Wind reduction” = ตัดเสียงลมขณะใช้งานหูฟังภายนอกอาคารที่มีลมพัด กับอีกโหมดคือ “Ambient sound” = เปิดไมค์รับเสียงจากภายนอกเพื่อการรับรู้สภาพภายนอกที่ชัดเจนและใช้เพื่อการสนทนาโดยไม่ต้องเอาหูฟังออก ซึ่งฟังท์ชั่น Noise Cancellation ทั้งหมดนี้สามารถเลือกใช้ได้ง่ายๆ ผ่านแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “Edifier Connect

ที่บอดี้ของหูฟังทั้งสองข้างมีไมโครโฟนฝังอยู่ถึง 4 ตัว ทำงานร่วมกับวงจรซิกเนล โปรเซสเซอร์เพื่อใช้รับเสียงจากภายนอกสำหรับการประมวลผลของระบบ Noise Cancellation และไมค์เหล่านี้ยังถูกใช้รับเสียงพูดของเราในขณะคุยโทรศัพท์ไปขยาย เพื่อให้คู่สนทนาทางปลายสายได้ยินเสียงสนทนาที่ชัดเจนด้วย

ไดเวอร์ฯ กับสมรรถนะในการสร้างความถี่เสียง

ไดเวอร์ที่ใช้ในหูฟังรุ่นนี้เป็นไดเวอร์ไดนามิกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 .. ส่วนของไดอะแฟรมที่ใช้ผลักอากาศสร้างความถี่เสียงทำมาจากโลหะไตตาเนี่ยมผสมกับแผ่นฟิล์ม (ศรชี้สีแดง) จึงมีทั้งความแกร่งและความยืดหยุ่นอยู่ในตัว ทำงานร่วมกับภาคขยายที่ให้ความดังสูงสุด (SPL) อยู่ที่ 91dB (+/-3dB) ครอบคลุมความถี่เสียงได้เต็มสเปคฯ ตามมาตรฐาน Hi-Res Audio คือตั้งแต่ 20Hz – 40kHz นั่นทำให้หูฟังตัวนี้พร้อมสำหรับการฟังเพลงที่เน้นคุณภาพเสียงแบบเต็มที่

แบตเตอรี่ใช้ได้นานจนลืม..!

ช่องเสียบขั้วต่อ USB-C ที่หูฟังข้างขวา (R) ให้มาสำหรับเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่ (แถมสายมาในกล่อง) ซึ่งใช้เวลาชาร์จจนเต็มอยู่ที่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง (ประมาณ 90 นาที)

ข้างๆ ช่องเสียบขั้วต่อ USB-C มีไฟ LED ดวงเล็กๆ อยู่หนึ่งดวง ซึ่งจะกระพริบสองครั้งทุกๆ 5 นาทีเมื่อแบตเตอรี่เหลือประมาณ 20% และไฟดวงนี้จะสว่างขึ้นเป็นสีแดงค้างตลอดขณะที่กำลังชาร์จไฟ หลังจากชาร์จเต็มแล้วไฟดวงนี้จะดับลง ซึ่งสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุดถึง 55 ชั่วโมงภายใต้เงื่อนไข ปิดการทำงานของฟังท์ชั่น ANC ไว้ตลอด ในกรณีที่ เปิดใช้งานฟังท์ชั่น ANC ไว้ตลอดจะใช้งานได้ต่อเนื่องนานสุดอยู่ที่ 34 ชั่วโมง ซึ่งก็นับว่านานมาก ซึ่งโดยปกติ ระยะเวลาในการใช้งานนอกบ้าน ทั้งวันจะกินเวลาราวๆ 6-8 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 12 ชั่วโมง เมื่อกลับถึงบ้านก็เสียบชาร์จไฟทิ้งไว้แค่ชั่วโมงครึ่งก็เต็ม พูดง่ายๆ คือ ต่อให้เปิดฟังท์ชั่น ANC ไว้ตลอด คุณก็แทบจะไม่ต้องชาร์จไฟเลยขณะใช้งานนอกบ้าน สะดวกมากๆ ปลดภาระและความกังวลเรื่องแบตเตอรี่ไปได้เลย..!!!

การเชื่อมต่อแบบ ใช้สายสัญญาณ

คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณของคุณ อย่างเช่น สมาร์ทโฟน, แท็ปเล็ต, คอมพิวเตอร์, หรือเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพา เข้ากับหูฟังตัวนี้ได้ 2 ทาง ทางแรกคือ เชื่อมต่อผ่านทางสายสัญญาณที่แถมมาให้ในกล่อง อันนี้เหมาะกับคนที่ต้องการเน้นคุณภาพเสียงจากการฟังเพลงเป็นพิเศษ ถ้าคุณใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงที่มีคุณภาพสูง เล่นไฟล์เพลงที่มีความละเอียดสูง อย่างเช่นไฟล์ไฮเรซฯ PCM ที่มีสเปคฯ ตั้งแต่ 24/96 ขึ้นไป รวมถึงไฟล์ DSD แนะนำให้ใช้วิธีเชื่อมต่อกับหูฟังตัวนี้ด้วยสายสัญญาณ จะได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าการเชื่อมต่อผ่านทางคลื่น Bluetooth รับรู้ได้ค่อนข้างชัดเจน และคุณยังสามารถอัพเกรดคุณภาพเสียงขึ้นไปได้อีกด้วยการเปลี่ยนไปใช้สายสัญญาณหูฟังที่เรียกว่า สายอัพเกรดที่มีคุณภาพสูงกว่าสายแถมที่ผู้ผลิตให้มา

น่ายินดีอย่างมากที่ WH950NB ตัวนี้ไม่ดึงสัญญาณอะนาลอก อินพุตไปผ่าน DSP เหมือนหูฟังบางตัว ความหมายก็คือ WH950NB มีความเป็นหูฟังแบบ passive 100% คุณ ไม่ต้องเปิดเครื่องตอนใช้งาน WH950NB ด้วยวิธีใช้สายสัญญาณป้อนสัญญาณเข้าทางรูเสียบแจ็คมินิ 3.5mm ซึ่งทำให้เสียงที่ได้ยินออกมาจากหูฟังเป็นเสียงที่เกิดจากภาคขยายของเครื่องเล่นเพลงจากภายนอกที่ส่งผ่านสายสัญญาณเข้ามา ซึ่งจากการทดลองฟังด้วยเครื่องเล่นไฟล์เพลง Walkman ของ Sony รุ่น NW-A105 พบว่า ต้องใช้วอลลุ่มเกิน 75% ของตัว A105 จึงได้เสียงที่ดังพอ แต่ก็มีอาการขับออกมาได้ไม่เต็มที่ เวทีเสียงไม่ฉีกออกไปมาก วนอยู่บริเวณรอบๆ หู ทว่า น้ำเสียงที่ได้ยินออกมามีแววดี โดยเฉพาะเนื้อเสียงเนียนสะอาดกว่าฟังผ่านทาง Bluetooth อย่างชัดเจน ถ้าใครคิดว่าจะใช้ WH950NB เป็นหูฟังพาสซีฟ คงต้องใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงที่มีกำลังขับสูงๅ หน่อย

การเชื่อมต่อ แบบไร้สายด้วยคลื่น Bluetooth

ส่วนการเชื่อมต่ออีกทางเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ผ่านทางคลื่น Bluetooth ซึ่ง WH950NB ตัวนี้ใช้บลูทูธเวอร์ชั่น 5.3 เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเวอร์ชั่น 5.2 ที่ใช้ในหูฟังรุ่น Stax S3 ให้การเชื่อมต่อได้เร็วกว่า เสถียรกว่า และกินแบตเตอรี่น้อยกว่า

เนื่องจากหูฟัง Edifier รุ่น WH950NB ตัวนี้ รองรับการเข้า/ถอดรหัสของสัญญาณเสียงได้แค่ 2 ระบบคือ LDAC กับ SBC ดังนั้น ถ้าคุณนำหูฟัง WH950NB ตัวนี้ไปใช้กับสมาร์ทโฟน และ/หรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เพราะต้องการใช้งานทั้งสื่อสารทางโทรศัพท์, ใช้ทำงาน และฟังเพลงเพลินๆ ไปด้วย ซึ่งเป็นลักษณะของการใช้งานที่ให้ความสำคัญกับ ความสะดวกเป็นหลัก กรณีนี้ก็ต้องยอมรับว่า การเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายด้วยคลื่น Bluetooth มีความเหมาะสมที่สุด

ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างผู้ใช้สองกลุ่มข้างต้น คือต้องการความสะดวกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการเชื่อมต่อแบบไร้สายจะตอบโจทย์ได้ชัด แต่ก็อยากจะเน้นคุณภาพเสียงในการฟังเพลงไปด้วย กรณีนี้แนะนำให้หาสมาร์ทโฟนที่รองรับการส่งสัญญาณเสียงด้วยฟอร์แม็ต LDAC ผ่านบลูทูธมาใช้กับหูฟังตัวนี้ อาทิเช่น Sony รุ่น XPERIA 1 II, LG รุ่น V60 ThinQ, Asus รุ่น ROG Phone 5, Samsung รุ่น Galaxy S9+, Huawei รุ่น Mate 20 Pro ฯลฯ คุณจะสามารถสตรีมสัญญาณเสียงที่เป็นฟอร์แม็ต LDAC ผ่านมาที่ WH950NB ซึ่งจะทำให้ได้คุณภาพเสียงออกมาในระดับไฮเรซฯ เต็มๆ

ผมทดลองฟังเสียงของ WH950NB โดยใช้สมาร์ทโฟนแอ๊ปเปิ้ล iPhone 12 เล่นไฟล์เพลงที่ผมเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสของ iPhone 12 ด้วยแอพลิเคชั่น Onkyo HF Player เปรียบเทียบกับเล่นไฟล์เพลงเดียวกัน แต่เก็บอยู่ในอินเทอร์นัล ฮาร์ดดิสของเครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพาของ Sony รุ่น NW-A105 โดยที่ผมใช้วิธีเชื่อมต่อระหว่าง iPhone 12 และ A105 กับหูฟัง WH950NB ผ่านทาง Bluetooth ทั้งคู่พร้อมกัน (เข้าไปตั้งที่หัวข้อ Dual-Device Conection ในแอพ Edifier Connect ไว้ที่ตำแหน่ง ON’) จึงง่ายต่อการฟังเปรียบเทียบสลับไปสลับมา

iPhone 12 ส่งสัญญาณเสียงมาที่ WH950NB ด้วยฟอร์แม็ต SBC เพราะแอ๊ปเปิ้ล iPhone 12 ไม่รองรับฟอร์แม็ต LDAC แต่เสียงที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เสียงเปิด กระจ่าง ไม่อับทึบ รายละเอียดพร่างพราย เคลียร์ชัดตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ความลื่นไหลของไดนามิกคอนทราสน์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ถ่ายทอดเสียงร้องออกมาอย่างได้อารมณ์ เสียงทุ้มมีมวลพอสมควร ลีลาไม่ถึงกับแน่นกระชับปุ๊บปั๊บ ออกไปทางนุ่มๆ ผ่อนๆ มากกว่า เป็นโทนเสียงที่ฟังเพลงช้าๆ แล้วได้อารมณ์กว่าฟังเพลงหนักๆ เร็วๆ

เมื่อลองฟังไฟล์เพลงเดียวกันผ่านเครื่องเล่นไฟล์เพลงพกพาของ Sony รุ่น NW-A105 สตรีมสัญญาณเสียงมาทางบลูทูธช่องทางเดียวกัน แต่ปรับเอ๊าต์พุตให้ A105 ส่งสัญญาณมาที่ WH950NB ด้วยฟอร์แม็ต LDAC แบบเน้นคุณภาพเสียงสูงสุด (Sound Quality Preference) ซึ่งใช้แบนด์วิธของคลื่น Bluetooth สูงมาก *ต้องปิดโหมด Dual-Device Connection บนตัว WH950NB (สั่งผ่านแอพ) ถึงจะใช้รับคลื่นบลูทูธที่แพ็ค LDAC ได้ ปรากฏว่าน้ำหนักเสียงออกมาดีกว่าพอสมควรเลย บอดี้ของเสียงแต่ละเสียงที่เล่นผ่าน A105 มาที่ WH950NB มีเนื้อมวลที่หนาแน่นและเข้มข้นมากกว่าตอนฟังด้วยฟอร์แม็ต SBC ผ่าน iPhone 12 อย่างชัดเจน.!! หัวเสียงก็ให้น้ำหนักย้ำเน้นมากกว่า รับรู้ถึงน้ำหนักมือของนักดนตรีที่กระทำลงไปบนเครื่องดนตรีของพวกเขาได้ชัดกว่าตอนเล่นผ่านทาง iPhone 12 มากทีเดียว เมื่อฟังเทียบกัน กลายเป็นว่าเล่นผ่าน iPhone 12 มาที่ WH950NB เสียงโดยรวมจะออกบางกว่าตอนเล่นผ่าน A105 อยู่พอประมาณ แรงปะทะสู้เล่นผ่าน A105 ไม่ได้เลย ถ้าไม่เทียบกัน ฟังจากการเล่นผ่าน iPhone 12 ก็ว่าดีพอสมควรแล้ว แต่สู้เล่นจากเครื่องเล่นไฟล์เพลงโดยเฉพาะไม่ได้.. โดยเฉพาะการเชื่อมต่อผ่าน LDAC มันเจ๋งมาก..!!!

นี่ขนาดตัว NW-A105 ของ Sony ราคาแค่หมื่นต้นๆ เท่านั้น ถ้าได้เครื่องเล่นที่มีราคาสัก 2-3 หมื่นมาจับคู่กับ WH950NB เสียงน่าจะดีขึ้นไปอีกมาก..!!

การควบคุมสั่งงาน

ปุ่มปรับที่ใช้ในการควบคุมสั่งงานถูกติดตั้งไว้ที่หูข้างขวาทั้งหมด ซึ่งแต่ละปุ่มจะมีคุณสมบัติเป็นปุ่มควบคุมการทำงานหลายหน้าที่ (multi function) อยู่ในปุ่มเดียวกัน เริ่มจาก

ปุ่ม A ที่รับหน้าที่ถึง 4 อย่าง นั่นคือ
1) เปิด/ปิดการทำงาน ด้วยการกดค้าง 2 วินาที
2) เชื่อมต่อ Bluetooth ด้วยการกดค้าง 6 วินาที (ต่อเนื่องไปอีก 4 วินาที ต่อจากกดค้างตอนเปิด)
3) รับสายโทรเข้า ด้วยการกดหนึ่งครั้ง – ตัดสาย กดค้าง 2 วินาที และวางสาย ด้วยการกดหนึ่งครั้ง
4) ควบคุมการเล่นไฟล์เพลงด้วยคำสั่ง pause กดหนึ่งครั้งตอนเล่นเพลง กับ play กดซ้ำหนึ่งครั้ง

ปุ่ม B รับหน้าที่ 2 อย่าง คือ
1) ข้ามไปแทรคต่อไป ด้วยการกดค้าง 2 วินาที
2) เพิ่มความดัง ด้วยการกดหนึ่งครั้งหรือกดย้ำๆ

ปุ่ม C รับหน้าที่ 2 อย่าง คือ
1) ถอยหลังไปแทรคก่อนหน้า ด้วยการกดค้าง 2 วินาที
2) ลดความดัง ด้วยการกดหนึ่งครั้งหรือกดย้ำๆ

ปุ่ม D รับหน้าที่ 2 อย่าง คือ
1) ปรับเลือกการทำงานของฟังท์ชั่น ANC ระหว่าง High/Low และ Off ระบบ Noise Cancellation กับ Ambient Sound
2) เปิดใช้ฟังท์ชั่นควบคุมด้วยเสียง

การควบคุมสั่งงานผ่านแอพฯ Edifier Connect

นอกจากการสั่งงานด้วยการกดปุ่มที่หูด้านขวาแล้ว ทาง Edifier ยังมีแอพลิเคชั่นไว้ให้ใช้งานร่วมกับหูฟังตัวนี้ด้วย มีชื่อว่า ‘Edifier Connectสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้ฟรี มีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android

แอพฯ ตัวนี้ออกแบบมาดี ดูแล้วไม่งง ใช้งานง่าย ทำหน้าหลัก (Home) ซ้อนกัน 3 หน้าโดยเอาการปรับตั้งฟังท์ชั่นเด่นๆ แยกไปไว้ในแต่ละหน้า ดังนี้

1. เลือกการทำงานของระบบ Active Noise Cancellation High/Low/Off, Wind Reduction และ Ambient Sound นอกจากนั้นก็มีแจ้งปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือ และแสดงการใช้ฟังท์ชั่น Safe Volume

2. Sound Effects = มีการปรับตั้ง EQ สำเร็จรูปให้เลือก 2 รูปแบบคือ Classic กับ Dynamic และมีอ๊อปชั่นที่ชื่อว่า Customized เปิดให้ยูสเซอร์เข้าไปทำการปรับตั้ง EQ ได้เองด้วย

3. Sound Mode = เป็นรูปแบบของการปรับตั้งเสียงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ร่วมกับคอนเท็นต์ประเภทต่างๆ ซึ่งแยกมาให้ 3 รูปแบบ คือ Music Mode = สำหรับการฟังเพลง, Game Mode = มีการปรับเวลาในการตอบสนองให้เร็วขึ้น มีปัญหา Latency ต่ำมากแค่ 80 มิลลิเซคัลเท่านั้น ช่วยให้เล่นเกมส์ได้รสชาติมากขึ้น สุดท้ายคือ Theatre Mode = ปรับจูนมาเพื่อให้เหมาะกับการดูหนังโดยเฉพาะ

นอกจากนั้น ยังมีการปรับตั้งค่าอื่นๆ อีก 8-9 อย่าง เก็บซ่อนอยู่ที่รูปเฟืองตรงมุมขวาบนของหน้าแอพฯ (ศรชี้สีแดง) ซึ่งเกือบทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวกับการทำงานของตัวเครื่องมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณภาพเสียงโดยตรง

การปรับแต่งเสียงผ่านแอพลิเคชั่น

ถึงจะออกแบบมาดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบ เพราะการเอาหูฟัง WH950NB ไปจับคู่กับสมาร์ทโฟน หรือเครื่องเล่นเพลงพกพาแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น เสียงที่ออกมาก็จะแตกต่างกันไป ถ้าบังเอิญว่า คุณยังรู้สึกไม่ถูกใจกับเสียงที่ได้ ผู้ผลิตหูฟังตัวนี้จึงออกแบบ EQ มาให้คุณทำการปรับแต่งเสียงให้ตรงกับความชอบของคุณได้อีกทางหนึ่ง

ในแอพฯ มีรูปแบบการปรับตั้ง EQ แบบสำเร็จรูปมาให้ 2 แบบ คือ Classic กับ Dynamic ถ้าใช้แล้วเสียงยังไม่ถูกใจคุณ ยังมีหัวข้อ Customized ให้เข้าไปปรับตั้งด้วยตัวเองอีกหนึ่งช่องทาง เมื่อใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปที่หัวข้อ ‘Customizedหน้าแอพฯ จะเปิดเข้าไปที่หน้าปรับแต่งเสียงที่แยกเป็น 4 ช่วงความถี่ คือ 100Hz, 2000Hz, 4000Hz และ 8000Hz โดยแต่ละช่วงความถี่จะมีพารามิเตอร์ให้คุณปรับจูนอีก 2 ตัว คือ gain กับ Q factor

จากการทดลองปรับแต่งเสียงด้วยพารามิเตอร์เหล่านี้ ผมพบว่า มันส่งผลกับเสียงค่อนข้างชัดเจน ที่ตำแหน่ง 100Hz จะมีผลกับเสียงในย่านต่ำ ในขณะที่ความถี่ 8000Hz จะส่งผลกับความในย่านแหลมที่อยู่ในระดับสูงๆ ส่วนความถี่ 2000Hz และ 4000Hz จะส่งผลกับเสียงในย่านกลางมากเป็นพิเศษ คุณสามารถปรับเสียงในย่านต่างๆ ให้มีความโดดเด่นขึ้นได้ด้วยการเพิ่ม gain ตรงความถี่ที่อยู่ตรงกับย่านเสียงที่ต้องการปรับ หรือถ้ารู้สึกว่าความถี่ในย่านใด (ทุ้มกลางแหลม) ดังขึ้นมามากกว่าความถี่ในย่านอื่น คุณก็สามารถปรับลด gain ของความถี่ที่อยู่ตรงกับย่านเสียงที่โด่งให้เบาลงได้ แนะนำให้ทดลองปรับแต่งเสียงด้วยตัวเอง เมื่อทำไปสักระยะก็จะรู้ถึงความสัมพันธ์และเริ่มจับทางได้และจะพบว่ามันมีประโยชน์

เสียงของ WH950NB

เมื่อพูดถึง คุณภาพเสียงของหูฟังตัวนี้ ต้องไม่ลืมที่จะยกเครดิตให้กับระบบตัดเสียงรบกวน Noise Cancellation ของหูฟังตัวนี้ด้วย เพราะฟังท์ชั่นนี้มีส่วนอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเสียงเพลง โดยเฉพาะโหมด High Noise Cancellation ที่ตัดเสียงลงไปได้เยอะมาก ส่งผลให้รายละเอียดเสียงเบาๆ ที่อยู่ในเพลงอย่างเช่น เสียงฮาร์มอนิก กับเสียงบรรยากาศปรากฏตัวออกมาให้ได้ยิน ไม่จมหายไปกับเสียงรบกวนรอบด้านในกรณีที่ใช้งานในที่ที่มีเสียงรบกวนมากๆ มีผลดีกับ อรรถรสในการฟังเพลง ซึ่งคนที่ชอบฟังเพลงจริงๆ จะเข้าใจความรู้สึกได้ดีเมื่อได้ลองใช้โหมดนี้ แต่ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดจริงๆ ไม่มีเสียงรบกวนรอบข้างเลย แนะนำให้ปิดฟังท์ชั่นนี้ (เลือกโหมด Noise Cancellation Off) จะได้เสียงดีที่สุด

โทนเสียงของ WH950NB เป็นลักษณะของโทนเสียงที่ชวนฟัง ทางผู้ผลิตปรับจูนมาได้ลงตัวมาก เสียงของมันฟังง่าย ไม่ว่าจะฟังเพลงแนวไหนก็รู้สึกได้ถึงความ ละมุนหูยิ่งใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงที่มีคุณภาพสูงๆ แล้วเชื่อมต่อกับ WH950NB แบบใช้สายเข้าทางรูเสียบมินิ 3.5mm เสียงที่ออกมาจะมีมวลอิ่มใหญ่ เนื้อเสียงสะอาดเนียนมากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกันจะพบว่า ฟังผ่านคลื่น Bluetooth จะให้เสียงที่มีลักษณะสด กระจ่าง รุกเร้ามากกว่า ซึ่งเป็นลักษณะเสียงที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ในขณะที่เสียงที่ได้ยินจากการใช้สายสัญญาณจะมีบุคลิกที่ต่างออกไป ไม่เปิดกระจ่างเท่า แต่จะออกไปทางนุ่มเนียน ละเมียดละมัย

เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขอนำเสียงของ WH950NB ไปเทียบกับรุ่น Stax S3 ที่ผมเคยทดสอบไปแล้ว (REVIEW) ซึ่งต้องบอกเลยว่า แนวเสียงของหูฟังสองตัวนี้ฉีกกันไปคนละทางค่อนข้างชัดเจน ถ้าฟังแบบผิวเผินจะพบว่า S3 ให้เสียง ครึ่งบนคือในย่านกลางขึ้นไปแหลมที่มีรายละเอียดมากกว่า โดยเฉพาะเสียงแหลมจะพร่างพราย ฟุ้งฟิ้ง มากกว่า ในขณะที่ WH950NB จะให้เสียง ครึ่งล่างที่มีความโดดเด่นมากกว่าครึ่งบน ซึ่งคำว่า โดดเด่นที่ว่านี้มุ่งเน้นไปที่ มวลของเสียงในย่านกลางลงไปทุ้มที่มีลักษณะนุ่มหนา ส่วนในย่านแหลมจะมีลักษณะที่โรยตัว แผ่วปลายเสียงลงไปทางด้านหลังแบบนุ่มนวล ไม่ได้แตกตัวเป็นประกายออกมาข้างหน้าเหมือน S3 ซึ่งลักษณะเสียงของ WH950NB จะไปกันได้ดีกับเสียงของเครื่องดนตรีอะคูสติกประเภทที่ทำด้วยไม้ อย่างพวกวู๊ดวิน และเครื่องดนตรีที่อาศัยการกำธรของบอดี้ที่ทำด้วยไม้อย่างเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลินและกีต้าร์โปร่ง เสียงที่ออกมาจะมีความเป็นธรรมชาติน่าฟัง ไม่มีริ้งกิ้งของความเป็นโลหะติดมากับปลายเสียง นี่คือจุดเด่นของหูฟังตัวนี้ ถ้าเทียบกันด้วยเพลงหลายๆ แนว แล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ยออกมา S3 จะทำคะแนนได้สูงกว่า แต่ถ้าไม่เปรียบเทียบกันก็ต้องถือว่า WH950NB ให้เสียงที่น่าฟังมากกับเพลงแทบทุกแนว ซึ่งข้อดีของลักษณะของเสียงที่ไม่เน้นไปที่ความถี่ย่านสูงทำให้ฟังได้นาน ไม่ล้าหูง่ายๆ

สรุป

อันดับแรกต้องขอชมการเชื่อมต่อ Bluetooth ของ WH950NB ที่ทำงานได้ลื่นไหลมาก เมื่อได้ลองใช้จะเห็นเลยว่า Bluetooth v 5.3 ที่ใช้ในหูฟังรุ่นนี้ ให้การเชื่อมต่อง่ายกว่าบลูทูธเวอร์ชั่นเก่าอย่างชัดเจน มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นการ pair กับอุปกรณ์ รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พร้อมกันสองเครื่องแบบ Dual-Device Connection ผมไม่พบอาการ หลุดเลยตลอดการทดสอบแรมเดือน

ระบบรับสายโทรฯ เข้าก็จัดการกับไมโครโฟนได้ดี เสียงสนทนามีความชัดเจน ทำให้การสื่อสารไม่ติดขัดแม้ในสถาะที่มีเสียงจอแจ อันนี้ก็ดีกว่าเจนเนอเรชั่นเก่าขึ้นมาอีกขั้น

สำหรับการใช้ฟังเพลง ผมยกให้หูฟัง Edifier WH950NB ตัวนี้ยืนหนึ่งในระดับราคาไม่เกิน 7x,xxx บาท ในขณะนี้.!!! /

**********************
ราคา : 6,990 บาท / ตัว
**********************
สั่งซื้อได้ที่
425degree.com

พบเงื่อนไขพิเศษ.. NOW.!

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า