รีวิว Accuphase รุ่น E-700

คำอธิบายทางด้านเทคนิคของ E-700 ก็คือ Class-A Integrated Stereo Amplifier ถ้าแยกความหมายของคำอธิบายทางเทคนิคของ E-700 ออกมาจะได้เป็น 2 ส่วน โดยที่ส่วนแรกคือ Class-Aกับส่วนที่สองคือ “Integrated Stereo Amplifierซึ่งการแปลความหมายนี้ต้องแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า นั่นคือเริ่มจากคำว่า “Integrated Stereo Amplifierอันนี้เป็นการบอกให้เรารู้ว่า E-700 มีสถานภาพเป็น อินติเกรตแอมป์คือภายในตัวถังมีการทำงานของ ภาคปรีแอมป์กับการทำงานของ ภาคเพาเวอร์แอมป์รวมกันอยู่ในนั้น โดยที่ทั้งภาคปรีแอมป์และภาคเพาเวอร์แอมป์ถูกออกแบบมาให้ทำงานกับสัญญาณเสียงระบบ สเตริโอที่ประกอบด้วยสัญญาณเสียงจำนวน 2 แชนเนล คือแชนเนลซ้าย (LEFT channel) และแชนเนลขวา (RIGHT channel) ที่เดินทางมาพร้อมกัน

ส่วนคำว่า “Class-Aนั้น เป็นศัพท์ทางเทคนิคที่บอกให้เรารู้ว่า ภาคเพาเวอร์แอมป์ที่อยู่ในตัว E-700 ถูกกำหนดให้ทำการขยายสัญญาณที่รับมาจากภาคปรีแอมป์ด้วยวงจรขยายแบบ Class-A ก่อนที่จะส่งออกไปขับลำโพงนั่นเอง สำหรับคนที่สงสัยว่า วงจรขยายของแอมปลิฟายมีกี่ Class กันแน่.? และวงจรขยาย Class-A ต่างจากวงจรขยายคลาสอื่นๆ อย่างไร.? วงจรขยายแต่ละคลาส มีข้อดีข้อด้อย ต่างกันอย่างไร.? แนะนำให้เข้าไปอ่านรายละเอียดเหล่านี้ได้จากบทความด้านล่างนี้ (คลิ๊กที่รูปได้เลย)

วงจรขยาย Class-A มีอะไรดี.??

ใครเข้าไปอ่านบทความเรื่อง วงจรขยายในแอมปลิฟายจากลิ้งค์ที่ผมให้ไว้ข้างบนนั้นมาแล้ว คงทราบดีแล้วนะว่า วงจรขยาย Class-A คือคำตอบสำหรับคนที่ต้องการ คุณภาพเสียงในระดับสูงสุด เพราะวงจรขยาย Class-A จะ เปิดการทำงานของเซมิคอนดักเตอร์ (ทรานซิสเตอร์/หลอด) ที่ทำหน้าที่ขยายสัญญาณทิ้งไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีสัญญาณจากภาคปรีแอมป์ป้อนเข้ามาหรือไม่ ข้อดีของการทำงานแบบนี้คือทำให้สัญญาณเสียงจากปรีแอมป์จะถูกขยายแล้วส่งไปให้ลำโพงแบบ “real timeจึงไม่มีปัญหาความเพี้ยนตรงรอยต่อช่วงที่สัญญาณอินพุตเปลี่ยนจากเฟสบวกลงไปเป็นเฟสลบ เหมือนกับวงจรขยาย Class-B (คู่ปรับของวงจรขยาย Class-A) ซึ่งจะทำการสวิทช์กำลังขับทั้งหมดไปขยายสัญญาณซีกบวกขณะที่สัญญาณซีกบวกถูกส่งเข้ามา และพอสัญญาณอินพุตเปลี่ยนไปเป็นซีกลบ วงจรขยาย Class-B ก็จะดึงกำลังขับทั้งหมดให้ย้ายลงไปขับสัญญาณซีกลบที่ถูกป้อนเข้ามา แต่ปัญหามันเกิดขึ้นตรงที่ว่า ช่วงที่ Class-B สลับกำลังขับย้ายจากการขับสัญญาณซีกบวกไปซีกลบและจากซีกลบไปซีกบวก มันไม่เร็วพอกับการไหลของสัญญาณเสียงที่ป้อนเข้ามา ทำให้เกิด delay ขึ้นตรงรอยต่อระหว่างสัญญาณซีกบวกกับสัญญาณซีกลบที่ถูกขยายออกมา ซึ่งนั่นส่งผลเสียต่อคุณภาพเสียงอย่างมาก มากจนทำให้ไม่มีใครใช้วงจรขยาย Class-B ในภาคเพาเวอร์แอมป์เลย.!!

แต่ในขณะเดียวกัน เป็นเพราะลักษณะการทำงานของวงจรขยาย Class-A นั่นเอง ทำให้มันต้องสูญเสียกำลังขับไปครึ่งหนึ่งตลอดเวลา มีผลให้วงจรขยาย Class-A ให้ประสิทธิผลอยู่ในเกณฑ์ที่ ต่ำกว่าวงจรขยายแบบอื่นๆ มาก และกำลังขับที่เสียเปล่าของวงจรขยาย Class-A เหล่านั้นจะกลายสภาพเป็นความร้อน ส่งผลทำให้ตัวเครื่องของแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย Class-A มีความร้อนสูง และกรณีที่ต้องการ กำลังขับสูงๆ การออกแบบวงจรขยายด้วย Class-A จะต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-B เป็นเท่าตัว ทำให้แอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A มีราคาค่อนข้างสูง แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่เคยสัมผัสกับความสวยงามของเสียงที่ได้จากวงจรขยาย Class-A มาก่อน พวกเขาพร้อมน้อมรับกับปัญหาเหล่านั้นด้วยความยินดีเสมอ..!!!

ประวัติอินติเกรตแอมป์ Class-A ของแบรนด์ Accuphase

ก่อนจะมาเป็น E-700 ตัวนี้ Accuphase มีทำอินติเกรตแอมป์ที่ใช้ภาคขยายที่ออกแบบวงจรขยายด้วย Class-A ออกมานานมากแล้ว ถ้านับไล่เรียงกันตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรกมาถึง E-700 ก็นับได้ถึง 6 เจนเนอเรชั่น แล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นที่เป็นเจนเนอเรชั่นแรกมาตั้งแต่ ปี 2002 ด้วยรุ่น E-530 ก่อนจะอัพเกรดขึ้นมาเป็นเจนเนอเรชั่นที่สองใน ปี 2005 ออกมาเป็นรุ่น E-550 และอัพเกรดเป็นเจนเนอเรชั่นที่สามใน ปี 2009 เป็นรุ่น E-560 จนถึง ปี 2013 ทาง Accuphase ได้ทำการอัพเกรดครั้งใหญ่ออกมาเป็นเจนเนอเรชั่นที่สี่และได้ทำการขยับโค๊ดรหัสรุ่นจาก 5xx ขึ้นมาเป็น 6xx สำเร็จออกมาเป็นรุ่น E-600 หลังจากนั้น ทาง Accuphase ก็ทำการอัพเกรดอินติเกรตแอมป์ Class-A ระดับไฮเอ็นด์ฯ ของพวกเขาอีกครั้งใน ปี 2017 ออกมาเป็นรุ่น E-650 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ห้า

ตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรกคือรุ่น E-530 มาจนถึงเจนเนอเรชั่นที่ห้าคือรุ่น E-650 ทุกรุ่นให้กำลังขับข้างละ 30 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม พร้อมกำลังสำรองมากถึง 200% คือสามารถเบิ้ลกำลังขับให้มากขึ้นเป็นสองเท่าได้เมื่อโหลดลดลงครึ่งหนึ่งตลอดทางตั้งแต่ 8 โอห์ม ลงมาถึง 2 โอห์ม นั่นคือ 60W ต่อข้างที่โหลด 4 โอห์ม และขยับขึ้นไปเป็น 120W ต่อข้างที่โหลด 2 โอห์ม ซึ่งนอกจากคุณสมบัติของภาคขยายเอ๊าต์พุตแบบ Class-A จะเป็นจุดขายของอินติเกรตแอมป์ซีรี่ย์นี้แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องของ กำลังสำรองนี่แหละที่เป็นเสมือน เสาหลักที่ช่วยค้ำจุนประสิทธิภาพของอินติเกรตแอมป์อนุกรมนี้ให้ แรงขึ้นไปอีกขั้น.!!

Accuphase E-700
อินติเกรตแอมป์ Class-A เจนเนอเรชั่นที่หก

ใน ปี 2019 แอคคิวเฟสทำอินติเกรตแอมป์ Class-A รุ่น E-800 ออกมาเพื่อฉลองครบรอบห้าสิบปีของแบรนด์ โดยตั้งใจที่จะทำให้ E-800 เป็นรุ่นเรือธงในกลุ่มของแอมป์ Class-A ที่ขยับสูงกว่าอนุกรม E-600 ขึ้นไปอีกระดับ มีการปรับปรุงในสาระสำคัญทางด้านกำลังขับ จาก 30W ขึ้นมาเป็น 50W ทำให้ E-800 มีสมรรถนะที่สูงกว่าอนุกรม E-600 ขึ้นไปอีกขั้น (* REVIEW E-800)

ล่าสุด ปี 2024 นี้เอง แอคคิวเฟสปล่อยอินติเกรตแอมป์ Class-A รุ่น E-700 ออกมา ซึ่งเป็นรุ่นที่มีสมรรถนะสูงกว่ารุ่น E-650 ขึ้นมาอีกระดับ คือให้กำลังขับอยู่ที่ 35W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม / 70W ต่อข้างที่โหลด 4 โอห์ม และ 140W ต่อข้างที่โหลด 2 โอห์ม พร้อมกับได้ปรับปรุงคุณสมบัติอื่นๆ ให้ดีขึ้นด้วย ก่อนจะเข้าไปดูว่าทำอะไรไปบ้าง.? เราไปดูหน้าตาของรุ่น E-700 ตัวนี้กันก่อน..

พัฒนาการไม่หยุดยั้ง
แต่หน้าตาไม่เคยเปลี่ยน

ตัวถังสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำกับแผงหน้าสีทองแชมเปญ คือเอกลักษณ์ทางด้านสีสันภายนอกของ Accuphase ที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงปัจจุบัน ใครเห็นก็จำได้ ส่วนความกว้างและความลึกของตัวถังก็แทบจะเท่ากันหมดทุกรุ่นที่เป็นอินติเกรตแอมป์ ความแตกต่างที่ชัดเจนมากๆ จะไปอยู่ที่ ความสูงของตัวถัง ยกตัวอย่างรุ่น E-530, E-550 และรุ่น E-560 จะมีหน้ากว้างเท่ากันหมดคือ 465 .. ส่วนความสูงกับความลึก ในแต่ละรุ่นจะต่างกันนิดๆ หน่อยๆ หลังจากนั้นตั้งแต่รุ่น E-600, E-650 มาจนถึงรุ่น E-700 ตัวล่าสุดนี้ ทางผู้ผลิตเลือกใช้ตัวถังที่มีขนาดสัดส่วนเท่ากันทั้งสามรุ่น คือกว้าง = 465 .. x ลึก = 428 .. x สูง = 191 .. ในขณะที่น้ำหนักของ E-700 อยู่ที่ 24.9 กิโลกรัม

ฟังท์ชั่นบนแผงหน้า

ในโลกนี้มีแนวทางการดีไซน์หน้าตาของอินติเกรตแอมป์อยู่ 2 รูปแบบหลักๆ แบบแรกเรียกว่าเป็นดีไซน์ลักษณะ “full functionคือติดตั้งปุ่มปรับสำหรับควบคุมสั่งงานฟังท์ชั่นต่างๆ ไว้บนแผงหน้าทั้งหมด ส่วนอีกรูปแบบเรียกว่าสไตล์ “minimalistคือบนแผงหน้าจะมีเฉพาะปุ่มควบคุมฟังท์ชั่นหลักๆ ที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งอินติเกรตแอมป์ยุคใหม่ๆ จะมาในแนว minimalist กันเยอะ เพราะเอาฟังท์ชั่นการปรับตั้งการทำงานของตัวเครื่องส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ในเมนูเครื่อง

Accuphase ยังคงรักษาแนวทางการออกแบบสไตล์ไฮบริดจ์ฯ คือ full function บวก minimalist ที่แอบเก็บปุ่มปรับส่วนใหญ่ไว้ใต้ฝาปิด ซึ่งเป็นดีไซน์แบบเดิมๆ ที่ใช้ออกแบบในอดีตมาจนถึงรุ่นใหม่ในปัจจุบัน อย่างรุ่นล่าสุด E-700 ก็ยังคงเป็นดีไซน์แบบ full function คือแม้ว่าจะมีฟังท์ชั่นการทำงานมากมายหลายอย่างอยู่ในตัว แต่พวกเขาก็ไม่เลือกที่จะใช้วิธีรวบรวมฟังท์ชั่นเหล่านั้นเข้าไปไว้ในเมนูอิเล็กทรอนิค แต่ยังคงออกแบบให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ ด้วยวิธีแมนน่วลผ่านทางปุ่มปรับที่อยู่บนแผงหน้าของตัวเครื่องและที่ซ่อนอยู่ใต้ฝาปิด

เริ่มจากปุ่มกด (A) ที่มีหน้าที่เปิด/ปิดการทำงานของเครื่อง ซึ่งทาง Accuphase ยังคงยืนยันที่จะใช้ปุ่มกดแบบนี้เป็นปุ่ม main power เพียงปุ่มเดียวในการควบคุมเปิด/ปิดไฟเลี้ยงเข้าเครื่อง ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้ระบบ standby ที่สามารถเปิด/ปิดเครื่องผ่านทางรีโมทคอนโทรลได้ ซึ่งจะสะดวกต่อผู้ใช้มากกว่า ถ้าให้เดาคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลทางด้านคุณภาพเสียงหรือเปล่า.? อันนี้ไม่แน่ใจ..

บนแผงหน้าอุปกรณ์ประเภทปรีแอมป์และอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase ทุกตัวจะมีปุ่มหมุนขนาดใหญ่อยู่ 2 ปุ่ม ที่ติดตั้งแยกกันอยู่ที่ขอบข้างซ้ายและข้างขวาของแผงหน้า ซึ่งเป็นแพลทเทิ้นเดียวกับ E-700 ตัวนี้ โดยปุ่มที่อยู่ทางด้านซ้าย (B หันหน้าเข้าหาเครื่อง) จะถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ในการเลือกอินพุตของแหล่งต้นทางสัญญาณที่เชื่อมต่ออยู่กับช่องอินพุตของ E-700 ส่วนปุ่มทางขวา (E) นั้นเป็นปุ่มวอลลุ่มที่ใช้สำหรับปรับความดัง

หน้าจอแสดงผลของ E-700 ประกอบด้วย มิเตอร์แสดงระดับเอ๊าต์พุตของแอมป์ที่ปล่อยออกไป (C) ด้วยไฟ LED จำนวน 2 ตัว แยกสำหรับแชนเนลซ้ายและแชนเนลขวาออกจากกัน ส่วนจอเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างมิเตอร์เอ๊าต์พุต (D) นั้นคือจอ multi display ซึ่งปกติจะแสดงระดับวอลลุ่มที่ใช้ แต่ถ้าคุณติดตั้งบอร์ด Digital input รุ่น DAC60 เข้าไป ที่จอเล็กๆ นี้จะโชว์สเปคฯ ของสัญญาณดิจิตัลที่รับเข้ามาขึ้นมาให้รู้ มีทั้งหน่วย MHz สำหรับสัญญาณตระกูล DSD และ kHz สำหรับสัญญาณตระกูล PCM แต่ถ้าคุณติดตั้งบอร์ดอ๊อปชั่นสำหรับภาคขยายหัวเข็ม MM/MC รุ่น AD-60, AD-50, AD-30 หรือ AD-20 จอเล็กๆ นี้จะใช้แสดงค่าอินพุต อิมพีแดนซ์ของภาคขยายหัวเข็ม MC

E-700 มีภาคขยายสำหรับหูฟังมาให้ พร้อมรูเสียบแจ็คหูฟังขนาดมาตรฐาน 6.3mm (F) และรุ่นนี้มีฝาปิดด้วยกลไกสำหรับซ่อนปุ่มสั่งงานฟังท์ชั่นต่างๆ ด้วย ซึ่งการเปิด/ปิดกลไกนี้กระทำผ่านปุ่มกดขนาดเล็ก (G) ที่อยู่ข้างๆ ฝาปิดนั่นเอง ส่วนตอนปิดก็แค่ดันฝาขึ้นไปปิดด้วยมือ

ฟังท์ชั่นที่ซ่อนอยู่ใต้ฝากลไก

เรียงจากซ้ายไปขวาก็มีปุ่มหมุนที่ชื่อว่า SPEAKER (H) เอาไว้เลือกลักษณะการเชื่อมต่อเพาเวอร์ของภาคเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปทางขั้วต่อลำโพง A หรือ B หรือ A+B เนื่องจาก E-700 ให้ขั้วต่อสายลำโพงมาให้ 2 ชุด แยกเป็นชุด A และชุด B ถัดไปเป็นฟังท์ชั่นปรับทุ้มแหลม (I) โดยแยกออกเป็นปุ่ม BASS กับปุ่ม TREBLE โดยให้สเกลการปรับตั้งไว้ตำแหน่งละ 10dB (+/-5dB) ซึ่งคุณสามารถปิดการทำงานของฟังท์ชั่น Tone Control ได้ด้วยการกดปุ่ม TONE ที่อยู่ใกล้ๆ ปุ่มหมุน BASS เพื่อบายพาสสัญญาณไม่ให้ผ่านฟังท์ชั่นนี้

ส่วนปุ่มกดจำนวน 9 ปุ่ม ที่อยู่ถัดไป (J)(ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง) เป็นที่รวบรวมการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ อาทิเช่น ฟังท์ชั่นปรับเฟสระหว่าง INVERT กับ NON-INVERT, ปุ่มปรับตั้งสัญญาณเอ๊าต์พุตให้เป็นโมโน, ปุ่มเปิดใช้ฟังท์ชั่น LOUDNESS, ปุ่มเลือกการแสดงข้อมูลของจอแสดงผล, ปุ่มเลือกอินพุต DAC กรณีที่ติดตั้งบอร์ดอ๊อปชั่นที่เป็นบอร์ด DAC และตบท้ายด้วยปุ่มเลือกอินพุต Phono MC/MM กรณีที่ติดตั้งบอร์ดอ๊อปชั่นที่มาพร้อมปุ่ม FILTER ที่ใช้เลือกใช้ฟิลเตอร์ Subsonic ตัดความถี่ต่ำและปุ่ม MC LOAD เพื่อเลือกโหลดอิมพีแดนซ์ของหัวเข็ม (*สี่ปุ่มที่อยู่แถวล่างจะไม่มีผลใดๆ ถ้าคุณไม่ได้ติดตั้งบอร์ดอ๊อปชั่น DAC หรือบอร์ดโฟโน)

อีก 3 ปุ่มหมุน ที่อยู่ถัดจากกรอบสีแดงนั้นเป็นปุ่ม ปรับบาลานซ์ (K), ปุ่ม MAIN IN (L) เลือกช่องอินพุตของสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอก ซึ่งใช้ปุ่มนี้ในกรณีที่คุณต้องการใช้ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-700 ร่วมกับสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอกเท่านั้น ซึ่งมีช่องอินพุตให้เลือก 2 แบบ คือขั้วต่อ RCA สำหรับสัญญาณแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ กับขั้วต่อ XLR สำหรับสัญญาณแบบบาลานซ์ และสุดท้ายคือปุ่ม RECORDER (M) ที่ใช้ควบคุมฟังท์ชั่นบันทึกเสียง

ช่องอินพุต + เอ๊าต์พุตที่แผงหลัง

ถึงแม้ว่า E-700 จะให้ขั้วต่อสารพัดรูปแบบมาเยอะมาก แต่พวกเขาก็ออกแบบตำแหน่งการจัดวางขั้วต่อเหล่านั้นไว้ได้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยมาก มีการจัดแยกประเภทของขั้วต่อออกเป็นกลุ่มๆ จัดเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน โดยยึดเอา รูปแบบของขั้วต่อเป็นเกณฑ์

จากภาพข้างบนนั้น ในกรอบสีฟ้าเป็นขั้วต่อสัญญาณแบบ RCA ทั้งหมด ให้ไว้รองรับการเชื่อมต่อกับสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์ ซึ่งมีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยไว้ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณอะนาลอก อินพุต (INPUTS) ระบบเสียงสเตริโอ ซึ่งมีให้ทั้งหมด 5 ชุด แต่ละชุดมีชื่อกำกับไว้ชัดเจนว่าให้ใช้กับแหล่งต้นทางประเภทใดบ้าง แต่ถ้าจำเป็นก็สามารถสลับใช้ได้ ชุดที่สอง RECORDER มีไว้ให้ใช้กรณีที่ต้องการบันทึกเสียง และชุดที่สามเป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตของสัญญาณ PRE OUT กับช่องอะนาลอกอินพุต MAIN IN สำหรับใช้ร่วมกับภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-700

ส่วนขั้วต่อในกรอบสีเขียวนั้นเป็นกลุ่มของขั้วต่อ XLR ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ 4 ชุด โดยที่ชุดแรกให้มาสำหรับใช้รองรับสัญญาณอะนาลอกบาลานซ์จากเครื่องเล่นซีดี (BAL CD INPUTS) ส่วนชุดที่สองเป็นช่องอินพุต BAL INPUTS สำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอกบาลานซ์จากแหล่งต้นทางอื่นๆ ที่ให้ความแรงของสัญญาณในระดับ Line Level ชุดที่สาม PRE OUT (BAL) ช่องนี้ให้สัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์แบบบาลานซ์ และชุดที่สี่ MAIN IN (BAL) เป็นช่องอินพุตสำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอกบาลานซ์จากปรีแอมป์ภายนอก ส่วนขั้วต่อสายลำโพงที่อยู่ในกรอบสีม่วงนั้น จะเห็นว่าเขาแยกมาให้ 2 ชุด คือชุด A กับชุด B รองรับโหลดได้ชุดละ 8 โอห์ม ถ้าเชื่อมต่อทั้งสองชุดพร้อมกัน ภาคขยายในตัว E-700 จะรองรับโหลดของลำโพงสูงสุดได้ 16 โอห์ม

มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่คุณควรจะต้องรู้ถ้าต้องการจะใช้งานช่องเอ๊าต์พุตหรือช่องอินพุต XLR ของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่เป็นของแบรนด์ Accuphase นั่นคือ Accuphase ใช้มาตรฐานในการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงทางขั้วต่อ XLR ที่ต่างจากมาตรฐานที่ผู้ผลิตทางฝั่งอเมริกาใช้อยู่ เนื่องจากมาตรฐาน XLR ที่ฝั่งอเมริกาใช้จะทำการเชื่อมต่อ สัญญาณซีกบวก (+) เข้าที่ขาหมายเลข 2 ของขั้วต่อ XLR และเชื่อมต่อ สัญญาณซีกลบ () เข้าที่ขาหมายเลข 3 ในขณะที่ขาหมายเลข 1 ใช้เชื่อม สัญญาณกราวนด์ ส่วนมาตรฐานที่ Accuphase ใช้จะเชื่อมต่อ สัญญาณซีกบวก (+) ไว้ที่ขาหมายเลข 3 ส่วน สัญญาณซีกลบ () เชื่อมต่อไว้ที่ขาหมายเลข 2 และเชื่อมต่อ สัญญาณกราวนด์ ไว้ที่ขาหมายเลข 1 เมื่อดูที่กรอบสี่เหลี่ยมสีแดงในภาพข้างบน จะเห็นว่า สัญญาณอะนาลอก PRE OUT (BAL) ของ E-700 เชื่อมต่อ สัญญาณซีกบวก (+ หรือ NON-INV) ไว้ที่ขาหมายเลข 3 ดังนั้น ถ้าคุณจะเอาสัญญาณ PRE OUT (BAL) ของ E-700 ไปใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์แบรนด์อื่น ให้ตรวจเช็คด้วยว่า ช่องอินพุต XLR ของเพาเวอร์แอมป์แบรนด์นั้นทำการเชื่อมต่อสัญญาณไว้แบบไหน ถ้าไม่ตรงกัน คุณต้องเปิดใช้ฟังท์ชั่น INVERT PHASE ของ E-700 เพื่อสลับให้ตรงกัน

ส่วนในวงกลมสีแดงนั่นคือสวิทช์กลไกที่ใช้โยกเพื่อเปลี่ยนขาที่ใช้เชื่อมต่อสัญญาณภายในตัว E-700 ให้ตรงกับสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอกที่ป้อนเข้ามาทางช่อง MAIN IN (BAL) ของ E-700 ซึ่งตรงจุดนี้ต้องทำการเซ็ตอัพให้ถูกต้องเพราะมีผลกับเสียงเยอะมาก.!!

ดีไซน์ภายใน

เมื่อพูดถึงจุดเด่นในแง่ของการออกแบบที่เป็นข้อดีต่อคุณภาพเสียงโดยตรงแล้ว ต้องยอมรับว่า E-700 มีอยู่หลายจุด เริ่มจากภาคปรีแอมป์ที่ใช้วงจรขยายสัญญาณแบบ Class-A และออกแบบเส้นทางเดินสัญญาณจากภาคอินพุตไปจนถึงเอ๊าต์พุตในลักษณะที่เป็น fully balanced คือบาลานซ์ตั้งแต่ต้นทางต่อเนื่องไปถึงปลายทาง เหตุผลก็เพื่อรักษา gain และความบริสุทธิ์ของสัญญาณอินพุตเอาไว้ให้ถึงที่สุดนั่นเอง

ส่วนภาคเพาเวอร์แอมป์ก็มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น E-650 ขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการใช้ทรานซิสเตอร์ MOSFET จำนวน 4 คู่ (รวมสองข้าง = 8 ตัว) นำมาจัดวงจรขยายแบบ push-pull Class-A เพื่อรีดกำลังขับออกมาที่ระดับ 35W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม ในขณะที่รุ่น E-650 ใช้ทรานซิสเตอร์ MOSFET จำนวน 3 คู่ (รวมสองข้าง = 6 ตัว) จัดวงจรขยายออกมาได้กำลังขับข้างละ 30W ที่โหลด 8 โอห์ม จะเห็นว่า แม้ E-700 จะใช้ทรานซิสเตอร์มากกว่าถึง 2 ตัว (1 คู่) แต่ผู้ออกแบบกำหนดให้ได้กำลังขับออกมามากกว่าแค่ 5W เท่านั้น คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมได้กำลังเพิ่มมาน้อยจัง.?

กรณีของ E-650 ใช้ทรานซิสเตอร์ทั้งหมด 6 ตัว (3 คู่) ถูกกำหนดให้จ่ายกำลังออกมาเท่ากับ 30W ก็เท่ากับว่า ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวถูกวงจรขยายรีดกำลังออกมาตัวละ 30/6 = 5W ในขณะที่ E-700 ใช้ทรานซิสเตอร์ทั้งหมด 8 ตัว (4 คู่) ถูกกำหนดให้จ่ายกำลังขับออกมาเท่ากับ 35W คิดเฉลี่ยแล้ว ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวถูกวงจรขยายรีดกำลังออกมาตัวละ 35/8 = 4.375W นั่นก็เท่ากับว่า ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวที่อยู่ใน E-700 มีภาระในการทำงาน เบากว่าทรานซิสเตอร์แต่ละตัวที่อยู่ในรุ่น E-650 ผลคือ ทำให้โอกาสที่จะเกิดความเพี้ยนอันเนื่องมาจากการทำงานเกินกำลังของทรานซิสเตอร์แต่ละตัวที่อยู่ใน E-700 มีเปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าในรุ่น E-650 ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลถึงความเนียนสะอาดของเสียงที่ได้จากภาคขยายของรุ่น E-700 ที่เหนือกว่ารุ่น E-650 ไปอีกขั้น

สรุปคือ แม้ว่าการเพิ่มทรานซิสเตอร์เข้าไปในภาคขยายของ E-700 อีกหนึ่งคู่ (เมื่อเทียบกับ E-650) จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่การควบคุมการทำงานของทรานซิสเตอร์แต่ละตัวให้ต่ำลง ทำให้ได้ผลดีกลับมาถึง 2 อย่างพร้อมกัน นั่นคือได้สมรรถนะทางด้านกำลังขับที่สูงขึ้นประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์คือจาก 30W เป็น 35W และยังได้เนื้อเสียงที่เนียนสะอาดมากขึ้นเพราะทรานซิสเตอร์แต่ละตัวถูกกำหนดให้ทำงานเบาลงด้วย (มีโอกาสเกิดความเพี้ยนน้อยลง)

จากภาพด้านบนจะเห็นการวางแผงวงจรที่แยกสำหรับแชนเนลซ้ายกับแชนเนลขวาออกจากกันในลักษณะที่เรียกว่า dual-mono (กรอบสี่เหลี่ยมสีขาว) และออกแบบภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่มีพลังสูง ด้วยการใช้หม้อแปลงเทอร์รอยขนาดใหญ่เป็นขุมพลัง (วงกลมสีขาว) โดยมีคาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีความจุกระแสสูงถึง 56,000 ไมโครฟารัด แยกข้างละตัว (วงรีสีขาว) เพื่อให้สามารถทำหน้าที่จ่ายกำลังให้กับวงจรขยายแต่ละข้างได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ และด้วยภาคจ่ายไฟที่อัดแน่นระดับนี้ มีผลให้ E-700 มีกำลังสำรองมากถึง 200% คือเริ่มจาก 35W ที่โหลด 8 โอห์ม ขยับขึ้นไปเป็น 70W ที่โหลด 4 โอห์ม และทะยานขึ้นไปถึง 140W ที่โหลด 2 โอห์ม อีกทั้งยังให้ damping factor สูงถึง 1000 ด้วย.!!

ถึงแม้ว่าบนแผงหน้าของตัวเครื่องจะมีปุ่มควบคุมสั่งงานมาให้ครบแล้ว แต่ผู้ผลิตก็ยังมีรีโมทไร้สายสวยๆ มาให้ใช้ควบคุมสั่งงานระยะไกลด้วย เป็นรุ่น RC-250 ซึ่งครอบคลุมการสั่งงานหลักๆ ได้ทั้งหมด และตัวรีโมทฯ ก็ดูแข็งแรง สวยงาม สมฐานะเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์

แม็ทชิ่ง

มีพฤติกรรมแปลกๆ ที่แอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A ทั้งหลอดและโซลิดสเตทแสดงออกมาเหมือนๆ กันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ พฤติกรรมในการขับดันลำโพงที่ถ้าฟังเสียงด้วยหูจะรู้สึกได้ว่ามัน ขัดกับตัวเลขในสเปคฯ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมพบว่า กรณีที่เป็นแอมป์โซลิดสเตทที่ทำงานด้วยวงจรขยาย Class-A ถ้าจะนำไปเทียบเสียงกับกำลังขับของแอมป์โซลิดสเตทด้วยกันที่ใช้วงจรขยาย Class-AB ให้เอา 5 คูณตัวเลขกำลังขับของแอมป์ Class-A ก่อนนำไปเทียบ ถ้าเป็นแอมป์หลอด Single Ended Class-A ให้คูณด้วย 3 แต่ถ้าเป็นแอมป์หลอด Push-Pull Class-A ให้คูณด้วย 5 เหมือนแอมป์โซลิดสเตท Class-A

ดังนั้น ถ้าจะเอาตัวเลขกำลังขับของ E-700 ไปแม็ทชิ่งกับลำโพง ก็ให้เอาตัวเลข 5 ไปคูณกับกำลังขับของ E-700 ก็จะได้ออกมาเป็นตัวเลขกำลังขับที่ให้สมรรถนะออกมา ใกล้เคียงกับแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-AB นั่นคือ 35W x 5 = 175W ที่โหลด 8 โอห์ม

ในการทดสอบครั้งนี้ ผลจากการทดลองใช้ E-700 ขับลำโพงที่มีอยู่ในห้องฟังขณะนั้น ผมได้ผลลัพธ์ของเสียงที่น่าพอใจจากการจับคู่ E-700 กับลำโพง 3 คู่ในตารางข้างบนนั้น นั่นคือลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One กับ Focal รุ่น Kanta No.1 ซึ่งสองคู่นี้เป็นลำโพงสองทางวางบนขาตั้ง ส่วนอีกคู่เป็นลำโพงตั้งพื้นของ Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW) เมื่อดูจากตัวเลข Power Recommendation ที่ผู้ผลิตลำโพงทั้ง 3 คู่ นั้นระบุไว้ในสเปคฯ จะเห็นว่า ตัวเลขกำลังขับของ E-700 ที่คูณด้วย 5 คือ 175W ที่ 8 โอห์ม จัดว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับสูงสุดที่ลำโพงแต่ละคู่แนะนำไว้ทั้งหมด แสดงว่า กำลังขับของ E-700 ไม่มีปัญหาในการจับคู่กับลำโพงทั้งสามคู่นั้น และมั่นใจได้ว่าสามารถขับออกมาได้เต็มที่ทั้งสามคู่

ลักษณะเสียงและ คุณภาพเสียงของ E-700

ถ้าคุณไม่เคยฟังเสียงของแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A มาก่อน แต่เคยผ่านตาข้อความที่อ้างถึงเสียงของแอมป์ Class-A มาบ้าง เชื่อว่าภาพเสียงของแอมป์ Class-A ในหัวของคุณก็คงจะไม่พ้นเสียงที่นุ่มนวล ฉ่ำหวาน ลื่นไหล.. อะไรแบบนั้น ซึ่งถามว่าถูกต้องมั้ย.? ก็ต้องขอตอบว่า มันก็ไม่ผิดไปจากนั้น แต่ยังมีอีกบุคลิกหนึ่งของแอมป์ Class-A ที่ไม่ค่อยมีใครเขียนบันทึกไว้ เนื่องจากแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A มีข้อด้อยอยู่ที่ กำลังขับดังนั้น ถ้าไปจับคู่กับลำโพงที่มันขับได้ไม่เต็มที่ เสียงที่ออกมาจะไม่ใช่ ตัวตนที่แท้จริงของแอมป์ตัวนั้น คือมันจะยิ่งไปเพิ่มลักษณะความนุ่มนวลให้กับเสียงที่ออกมาจากลำโพงคู่นั้นมากขึ้น ในขณะที่จุดเด่นของวงจรขยายแบบ Class-A จริงๆ แล้วก็คือความสามารถในการถ่ายทอด timing ที่แม่นยำ เพราะ Class-A ขยายสัญญาณเร็วมากเนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาสลับการขยายสัญญาณไป-มาระหว่างซีกบวกกับซีกลบ ทำให้ได้คุณสมบัติทางด้าน contrast dynamic ที่ลื่นไหล และยังมีความสามารถในการแสดงรายละเอียดระดับ micro dynamic ออกมาได้อย่างเยี่ยมยอดอีกด้วย

ลักษณะ ความนุ่มนวล + ฉ่ำหวาน + ลื่นไหลของเสียงที่ได้จากแอมป์ Class-A เกิดขึ้นเพราะ ไม่มีความเพี้ยน crosstalk ที่เกิดขึ้นตรงรอยต่อระหว่างเฟสบวกกับเฟสลบของสัญญาณเหมือนวงจรขยายคลาสอื่นๆ แต่จริงๆ แล้ว การที่วงจรขยาย Class-A ทำให้เฟสของสัญญาณมีความถูกต้องนั้น มันมีผลต่อคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของเสียงโดยตรง ซึ่งต่อเนื่องไปถึงคุณสมบัติทางด้าน มิติเวทีเสียงและคุณสมบัติทางด้าน แอมเบี้ยนต์หรือบรรยากาศที่เปิดโล่งตามมา ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า แอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A มันจะให้เสียงออกมาดีแทบจะทุกคุณสมบัติ ถ้าจับกับลำโพงที่มันขับไหวก็แทบจะไม่มีข้อด้อยใดๆ เลย.!!

อัลบั้ม : Visual Voice (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Bonnie Koloc
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/105780150?u)

อัลบั้ม : Nothing’s Gonna Change My World (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Barbara Dickson
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/69348578?u)

อัลบั้ม : Song (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Tutu Puoane
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/31510544?u)

เสียงร้องของสามสาวในสามอัลบั้มข้างบนนี้คือเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ภาคขยาย Class-A ในตัว E-700 ของ Accuphase ตัวนี้คือ ของจริง.!!เพราะมันสามารถถ่ายทอดเสียงร้องของนักร้องสาวทั้งสามคนนี้ออกมาได้อย่าง มีชีวิตชีวามาก.!

รูปธรรมของคำว่า มีชีวิตชีวาที่ E-700 ถ่ายทอดออกมานี้ มันหมายถึงเสียงร้องที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงที่ร้องออกมาจาก ปากของคนร้องจริงๆ เพราะไม่แค่ ได้ยินว่าเธอๆ เหล่านั้นเอ่ยคำร้องออกมาว่าอะไร แต่ผมได้ยินลึกลงไปถึงรายละเอียดของอากัปกิริยาที่พวกเธอกระทำในการปลดปล่อยคำร้องออกมาแต่ละพยางค์ที่ไม่เหมือนกัน บางคำร้องนั้นถูกปล่อยออกมาแบบเต็มเสียงด้วยอารมณ์ที่บดขยี้ ในขณะที่บางคำร้องถูกปล่อยออกมาแบบแผ่วๆ ทอดถอนด้วยอารมณ์ที่ผ่อนปรน ทดท้อ สิ้นหวัง ซึ่ง E-700 ทำให้ผมรับรู้ได้ถึง ความตั้งใจในการปลดปล่อย อารมณ์ของพวกเธอออกมากับทุกคำร้องได้อย่างชัดเจนมาก.!!

ช่วงที่ E-700 จับคู่กับลำโพง FocalKanta No.1นั้นคือคู่ขวัญสำหรับคนที่ชอบฟังเพลงร้องอย่างแท้จริง.! ทุกเพลงที่มีเสียงร้องทั้งของนักร้องชายและนักร้องหญิง เมื่อฟังผ่าน E-700 + Kanta No.1 คู่นี้จะทำให้ผมรู้สึกจมลึกเข้าไปถึงอารมณ์ที่นักร้องเหล่านั้นถ่ายทอดออกมากับเสียงร้องได้เสมอ กับเพลงช้าๆ ที่มีลีลากินใจอย่างเพลง For The Time Being ของ Tutu Puoane นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงถึงศักยภาพของ E-700 ในแง่ของความต่อเนื่อง ลื่นไหล และฉ่ำหวาน แถมด้วย ความเปิดโปร่งที่โดดเด่นมากอีกคุณสมบัติหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้ยินเหมือนกันกับตอนที่เปลี่ยนลำโพงมาเป็น Audio PhysicClassic 8เข้าไปแทน Kanta No.1 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ข้อดีของวงจรขยาย Class-A ของ E-700 ในแง่ของการตอบสนองเฟสสัญญาณที่แม่นยำไม่มีความผิดเพี้ยน มันมีผลกับทุกความถี่ ตั้งแต่ทุ้มขึ้นไปถึงแหลม.! (Kanta No.1 ตอบสนองความถี่สูงขึ้นไปได้ถึง 40kHz ในขณะที่ Classic 8 ตอบสนองความถี่สูงขึ้นไปได้ถึง 30kHz) โดยเฉพาะในย่านความถี่สูง เมื่อไม่มีปัญหา phase error เกิดขึ้นก็ทำให้ข้อมูลส่วนที่เป็นแอมเบี้ยนต์ที่เกิดขึ้นจากความควบแน่นของมวลความถี่สูงก็ปรากฏออกมาให้สัมผัสได้ชัดมากขึ้น ถ้าลำโพงสามารถตอบสนองขึ้นไปได้เกิน 20kHz เมื่อขับด้วย E-700 คุณจะได้สัมผัสกับคำว่า แอมเบี้ยนต์ที่ชุ่มฉ่ำอย่างชัดเจน.!

อัลบั้ม : Unusual (TIDAL MAX/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Marian Hill
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/88460315?u)

อัลบั้มชุดนี้เล่นกับความถี่ต่ำเยอะมาก.! เกือบทุกเพลงจะมีเสียงความถี่ต่ำที่เรียกว่า Bass Synth ซึ่งสร้างขึ้นจากซินธิไซเซอร์ให้ทำหน้าที่แทนเบสกีต้าร์ในการสร้างเรื่องราวในย่านต่ำของแต่ละเพลง ที่ผมชอบคือคนแต่งเขามีการเรียบเรียงโน๊ตต่ำๆ ออกมาได้อย่างมีลีลาและมีมิติ ทำให้แต่ละเพลงซึ่งมีโครงสร้างดนตรีที่ไม่ได้ซับซ้อนแต่ฟังดูมีความน่าสนใจ และด้วยคุณภาพการบันทึก+มิกซ์เสียงที่เยี่ยมยอดของเพลง Differently มีการจัดวาง (composition) ชิ้นเสียงลงไปบนเวทีเสียงได้อย่างเหมาะสมและสมดุล มีความเชื่อมโยงของแต่ละเสียงที่โยนและรับกันได้อย่างพอเหมาะ ไทมิ่งเป๊ะมาก ทุกเสียงมีตัวตนที่คมเข้ม โดยเฉพาะเสียงทุ้มที่มีความกระชับ ขึ้นรูปเป็นตัว มีทรวดทรงเป็นสามมิติ เคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง ซึ่งผมเคยฟังเพลงนี้กับแอมป์ Class-AB ที่มีกำลังขับมากกว่า E-700 สามถึงสี่เท่า แต่บอกเลยว่า E-700 กับ Totem AcousticThe Oneถ่ายทอดคุณภาพของเสียงทุ้มจากอัลบั้มนี้ออกมาได้ไม่ด้อยไปกว่าตอนฟังผ่านแอมป์ Class-AB ที่มีกำลังขับสูงกว่าสามถึงสี่เท่าเลย.!!

อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : John Lanchbery & Orchestra Of The Royal Opera House
สังกัด : DECCA/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/351127039?u)

อัลบั้ม : Beethoven: Symphony No. 5 & 6 (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Riccardo Chailly & Gewandhausorcherter
สังกัด : DECCA/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/7889841?u)

อัลบั้ม : Mussorgsky: Pictures at an Exhibition (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Sir Malcolm Sargent conduct The London Symphony Orchestra
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/79240889?u)

ถ้าถามว่าเพลงประเภทไหนที่ โหด-หิน-สุดๆสำหรับชุดเครื่องเสียงและลำโพงในการถ่ายทอดออกมาให้ได้อรรถรสในระดับที่พูดได้เต็มปากว่าน่าพอใจ เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงเพลงที่มีท่วงทำนองหนักหน่วงอย่างพวกร็อคหรือเฮฟวี่ แต่จริงๆ แล้ว แนวเพลงที่ยากต่อการถ่ายทอดออกมาให้ได้อรรถรสสูงถึงระดับที่น่าพอใจก็คือเพลงแนวคลาสสิก เพราะเพลงร็อคโดยธรรมชาติจะให้ได้อารมณ์ต้องเปิดดังเข้าไว้ ซึ่งเครื่องเสียงสมัยใหม่โดยเฉพาะลำโพงยุคใหม่ๆ มีความสามารถในการทนรับกำลังขับของแอมป์ได้สูงขึ้นมาก แม้ว่าจะเป็นลำโพงที่มีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ถ้าแอมป์ถึง ก็สามารถเปิดได้ดังเกินพอสำหรับการฟังในบ้าน สามารถตอบสนองความต้องการของคอร็อคได้สบาย เพราะคนฟังเพลงร็อคไม่ได้ซีเรียสกับ เนื้อเสียงว่าจะต้องเนียนกริ๊บ ตอนเร่งดังๆ ถ้าปลายเสียงมีอาการแตกพร่าหรือที่เรียกว่า overshoot ติดปลายเสียงมาบ้างคอร็อคทั้งหลายก็รับได้ แถมบางคนบอกว่าต้องมีปลายเสียงติดหยาบออกมานิดๆ ถึงจะได้อารมณ์ของซาวนด์แบบร็อคจริงๆ ประเภทเนียนๆ เกลี้ยงๆ ไม่ใช่ซาวนด์ร็อค.!!

ผิดกับแนวคลาสสิก ซึ่งต้องการทั้งอัตราสวิงไดนามิกเร้นจ์ที่ต้องเปิดกว้างสุดๆ เพราะเพลงคลาสสิกมีทั้งช่วงที่ดนตรีแผ่วเบามากๆ มีทั้งช่วงที่มีความดังปานกลาง และมีทั้งช่วงที่พุ่งขึ้นไปดังสนั่นปานฟ้าถล่มคือตอนที่เครื่องดนตรีเกือบร้อยชิ้นในวงออเคสตร้าโหมกระหน่ำขึ้นมาพร้อมๆ กันอย่างสุดเสียง ซึ่งนอกจากความดังที่มากับอัตราสวิงไดนามิกที่กว้างสุดๆ แล้ว เพลงคลาสสิกยังต้องการ ความเนียนของเนื้อเสียงที่ดีด้วย เนื่องจากเสียงทั้งหมดที่อยู่ในเพลงคลาสสิกเกิดจากการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอะคูสติกล้วนๆ ไม่มีการใช้ไมโครโฟนดูดเสียงเข้าไปขยายด้วยวงจรอิเล็กทรอสิคส์ของแอมปลิฟายแล้วพ่นออกมาทางลำโพงเหมือนดนตรีประเภทอื่น ด้วยเหตุนี้ เสียงดนตรีจากเพลงคลาสสิกในธรรมชาติจึงมีความเนียนสะอาดปราศจากเม็ดเกรนที่เกิดจากการขยายด้วยวงจรอิเล็กทรอนิคเข้ามาปนเปื้อน ซึ่งก็มีแค่วงจรขยายของแอมปลิฟายที่ทำงานในโหมด Class-A เท่านั้น ที่ขยายสัญญาณแล้วทิ้งร่องรอยความหยาบของเม็ดเกรนไว้บนคลื่นเสียงน้อยที่สุด น้อยกว่าแอมป์ที่ใช้วงจรขยายคลาสอื่นๆ มาก.!! (*เพราะการนำสัญญาณที่บันทึกเสียงไว้มาเล่นกลับผ่านลำโพง ยังไงก็ต้องมีการขยายเสียงด้วยแอมปลิฟายก่อน)

ความพลิ้วไสวของหมู่เครื่องสายในอัลบั้มชุด La Fille Mal Gardee เมื่อฟังผ่าน E-700 มันมีออกมาครบให้เสพ ทั้งความพลิ้วหวาน และความนุ่มเนียน เสียงฟรุ๊ตและโอโบมีบอดี้และรูปทรงที่ชัดเจน มีเนื้อมวลที่อิ่มเนียน ไม่แห้ง และให้มูพเม้นต์ที่ชวนติดตาม ลื่นไหล ว่องไว และต่อเนื่องเป็นสายน้ำ แต่ที่น่าประทับใจสุดๆ และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอีกด้านของคำว่า Class-A รูปแบบของ Accuphase ที่ได้ยินจาก E-700 ที่หาได้ยากจากแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย Class-A ตัวอื่นๆ นั่นคือความสามารถในการถ่ายทอดความเด็ดขาดของเสียงเครื่องสายในชิ้นงานประพันธ์ชุด Symphony No.5 ของบีโธเฟ่น ซึ่งนอกจากจะเนียนแล้ว E-700 ยังสามารถฉายรังสีของความดุดันที่แฝงออกมากับเสียงเครื่องสายออกมาให้สัมผัสได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ใครว่าแอมป์ Class-A ดุไม่เป็นคงต้องไปลองฟัง E-700 ตัวนี้แล้วล่ะ..!!

พอเปลี่ยนมาฟังงานประพันธ์ของ Mossorgsky ชุด Pictures at an Exhibition เวอร์ชั่นที่แต่งสำหรับการบรรเลงด้วยวงออเคสตร้าโดย Ravel ท่อนสุดท้าย The Great Gate of Kiev ก็ถือว่าปิดจ๊อบลงได้อย่างสวยงามกับการทดสอบความสามารถในการตอบสนองสัญญาณทางด้านไดนามิก ทรานเชี้ยนต์ของ E-700 ตัวนี้ เพราะตลอด 4:02 นาที ของแทรคนี้ มัน (E-700) ทำให้ผมนั่งฟังจนลืมหายใจโดยมีความเร้าใจพลุ่งพล่านอยู่ในตัว.!!

สรุป

ผมเคยทดสอบ Accuphase รุ่น E-800 ไปแล้ว วันนี้หลังจากทำการทดสอบ E-700 เสร็จ หลอดไฟในสมองของผมสว่างวาบขึ้นมาทันที คือมันทำให้ผมเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเลยว่า แอมป์ Class-A ไม่ได้ให้เสียงออกมาเหมือนกันไปทั้งหมด แม้ว่าทางด้าน “คุณภาพเสียง” มันจะดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน แต่ทางด้าน “โทนเสียง” หรือบุคลิกเสียงของแอมป์ Class-A แต่ละตัวจะขึ้นอยู่กับ การปรับจูนของคนออกแบบด้วย อย่างตัว E-800 นั้น จะให้เนื้อเสียงที่โดดเด่นไปทางอวบหนา ในขณะที่ E-700 ถูกจูนมาให้มีความสดมากกว่า ไทมิ่งฉับไวกว่า ซึ่งระดับของความแตกต่างของโทนเสียงไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพของเสียง แต่มันเป็นการกำหนด บุคลิกเฉพาะตัวของแอมป์ตัวนั้นๆ

ใครชอบเพลงช้า หลงรักความอิ่มฉ่ำ เพลงที่ชอบฟังออกแนวอะคูสติกเยอะหน่อย แนะนำให้ลองฟัง E-800 น่าจะเจอเนื้อคู่ ส่วนใครที่ฟังเพลงหลากหลาย ชอบฟังเพลงสมัยใหม่พอๆ กับเพลงยุคเก่า ได้หมดตั้งแต่ร็อคไปยันคลาสสิก แนวเสียงของ E-700 น่าจะเข้าทางคุณมากกว่า.. หลังจากเลือกโทนเสียงที่ชอบได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงค่อยไปหาลำโพงมาแม็ทฯ แค่นี้ก็จบ.!!

****************************
ราคา : 390,000 บาท / เครื่อง
****************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. HI-END AUDIO
โทร. 02-101-1988
facebook: @hiendaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า