รีวิวเครื่องเสียง Audiolab รุ่น Omnia ออล-อิน-วัน อินติเกรตแอมปลิฟาย

ออดิโอแล็ปกำลังก้าวข้ามพรหมแดนของคำว่า all-in-one ไปสู่อาณาจักรใหม่ที่มีคำจำกัดความนำหน้าว่า “High Qualityแล้ว ด้วยการแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้ทำแค่เอาฟังท์ชั่นการทำงานส่วนต่างๆ ยัดใส่เข้าไปในตัวถังเดียวกันเท่านั้น แต่พวกเขายังได้ จัดการให้แต่ละส่วนในนั้นทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย

รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป..

ประจักษ์พยานแรกที่ audiolab ทำให้เราเห็นว่าพวกเขากำลังจะ ขยับตัวเองขึ้นไปสู่สถานะที่สูงขึ้น มีความเป็นไฮเอ็นด์มากขึ้นก็คือ รูปร่างหน้าตาภายนอกที่ได้รับการปรุงโฉมใหม่ทุกจุด ซึ่งต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมานั้น รูปร่างหน้าตาภายนอกของแอมป์แบรนด์นี้คือจุดอ่อนที่สุด แม้ว่าทางด้านสมรรถนะการทำงานขอวงจรภายในจะได้ถูกพัฒนาปรับปรุงมาตลอดจากเจนเนอเรชั่นสู่เจนเนอเรชั่น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยถูกปรับปรุงมาก่อนหน้านี้ก็คือรูปร่างหน้าตาและคุณภาพของตัวถังนี่แหละ

Omnia เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อแบรนด์ audiolab ตัวแรกที่ออกแบบตัวถังได้สวย ลงตัวมาก ชิ้นส่วนและงานประกอบก็เรียบร้อยดูดี ตัวถังภายนอกสีเงินทั้งตัว ความปราณีตเสมอกันหมดทั้งตัว ทุกตารางนิ้ว การประกอบตัวถังใช้วิธีสอดเข้าลิ้น มีน็อตให้เห็นแค่ไม่กี่ตัว สำหรับแบรนด์นี้ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติการออกแบบอย่างแท้จริง.!!

ดูว่า น้อยแต่ มาก“..!!

A = ถาดรับแผ่นซีดี
B = หน้าจอแสดงผล
C = ปุ่มกดควบคุมการเล่นเพลงและปรับวอลลุ่ม
D = ไฟ LED แสดงสภาวะเชื่อมต่อเน็ทเวิร์ค
E = ปุ่มเพาเวอร์เปิด/ปิดเครื่อง
F = รูเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 6.3 ..
G = ช่องรับคลื่นคำสั่งจากรีโมทไร้สาย

แผงหน้าของ Omnia ดูเกลี้ยงเกลาเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่จริงๆ แล้วมีซ่อนความสามารถเอาไว้เยอะ เริ่มจากเล่นแผ่นซีดีได้ ซึ่งในท้องตลาดมีอยู่ไม่กี่ตัวสำหรับเครื่องเล่นประเภท all-in-one ที่สามารถเล่นแผ่นซีดีได้ด้วย โดยมากมักจะตัดฟังท์ชั่นนี้ออกไป แต่ Omnia ใส่มาให้ และที่ให้มาก็ไม่ใช่ขี้ไก่ ข้อมูลในเว็บไซต์ของผู้ผลิตแจ้งว่า คุณภาพของภาคซีดีทรานสปอร์ตในตัว Omnia อยู่ในระดับเดียวกับตัวซีดีทรานสปอร์ตรุ่น 6000CDT นั่นเอง มีระบบ buffer กักเก็บสัญญาณที่อ่านจากแผ่นซีดีเพื่อรับมือกับแผ่นซีดีที่มีปัญหาในการอ่านข้อมูล ซึ่งภาคทรานสปอร์ตจะปรับสปีดในการอ่านข้อมูลและอ่านทวนซ้ำเมื่อพบข้อมูลที่อ่านออกมามีปัญหา ระบบบัฟเฟอร์ที่ว่านี้ทำให้ภาคทรานสปอร์ตของ Omnia สามารถอ่านแผ่นซีดีที่มีรอยขูดขีดได้ดี

พื้นที่ตรงกลางแผงหน้าปัดมีจอแสดงผลขนาดกว้าง 8 .. x สูง 4.8 .. อยู่หนึ่งจอ ซึ่งทำหน้าที่สารพัดอย่าง เนื้อจอเป็น IPS LCD สีสันสดใส และดูจากมุมไหนสีก็ไม่ซีด..

นอกจากจะโชว์รายละเอียดของอินพุตที่ใช้แล้ว ทางผู้ผลิตยังออกแบบภาพกราฟฟิก VU มิเตอร์มาให้เลือกใช้ 2 แบบ ทั้ง VU analog ที่แสดงภาพเป็นเข็มซ้ายขวากระดิก กับ VU digital ที่แสดงภาพเป็นไฟวิ่งสองแถวซ้ายขวา ซึ่งกราฟฟิกทั้งสองแบบนั้นจะเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับปริมาณเอ๊าต์พุตของภาคขยายที่ป้อนให้กับลำโพงแบบเรียลไทม์ ชอบแบบไหนก็เลือกใช้แบบนั้นได้เลย

ตัวอย่างการแสดงผลบนจอกรณีที่ผมสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL เข้าทางอินพุต Ethernet ของ Omnia (ภาพบน) ซึ่งคุณสามารถใช้ปุ่ม DISPLAY (ภาพล่าง ในวงกลมสีแดง) บนรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ โดยกดซ้ำๆ ลงไปเพื่อสลับเลือกรูปแบบการแสดงผลบนจอ หรือถ้าไม่ชอบก็ยังสามารถสั่งปิดจอได้ด้วย นอกจากนั้น บนแผงหน้าของ Omnia ก็ให้ปุ่มกดเล็กๆ มาอีก 5 ปุ่ม เพื่อใช้เลือกอินพุต, ควบคุมการเล่นเพลง และปรับเพิ่ม/ลดวอลลุ่ม ถัดไปขวาสุดคือปุ่มกดเปิดทำงานและปิดเข้าโหมดสแตนด์บาย

ถัดลงมาด้านล่างใกล้ส่วนฐานของเครื่องจะมีช่องรับสัญญาณรีโมทกับช่องเสียบแจ๊คหูฟังมาให้ ซึ่งในส่วนของแอมป์ที่ใช้ขับหูฟังก็ตั้งใจออกแบบมาเหมือนกัน เป็นภาคขยายที่ใช้วงจร current-feedback ที่ให้รายละเอียดได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่ากับภาคขยายหูฟังที่แยกชิ้นออกมาราคาสามสี่หมื่นบาท แต่จากการทดลองฟังด้วยหูฟัง AKG รุ่น K702/65th เสียงที่ออกมาก็ไม่ขี้เหร่ รายละเอียดดีพอสมควร เนื้อเสียงอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ ถ้าไม่ได้เป็นนักเล่นหูฟังระดับที่เอาจริงเอาจังมากก็ถือว่าสอบผ่านกับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ไม่เกิน 200 โอห์ม พอเสียบแจ๊คหูฟังเข้าไป ตัวเครื่องจะตัดสัญญาณที่ส่งออกไปที่ขั้วต่อสายลำโพงทันที การปรับวอลลุ่มก็ใช้วิธีกดปุ่มบนแผงหน้าโดยตรง หรือจะกดปุ่มวอลลุ่มบนรีโมทไร้สายก็ได้

สารพัดอินพุต..

H = เมนสวิทช์
I = เสารับคลื่น Wi-Fi
J = ช่อง USB-A สำหรับอัพเดตเฟิร์มแวร์
K = อินพุต Ethernet
L = ช่องอินพุต USB-A สำหรับฮาร์ดดิส/แฟรชไดร้
M = ช่องอินพุต USB-B สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือสตรีมเมอร์
N = ที่เชื่อมต่อกราวนด์สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียง
O = เสารับคลื่น Bluetooth
P = ช่องอินพุตสัญญาณอะนาลอก สำหรับปรีแอมป์ภายนอก, เครื่องเล่นแผ่นเสียง และ AUX
Q = ช่องอะนาลอก ปรีเอ๊าต์
R = ช่องดิจิตัล อินพุต (coaxial & optical)
S = ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต (coaxial & optical)
T = ช่องต่อสัญญาณรีโมทภายนอก
U = ขั้วต่อสายลำโพงข้างซ้าย
V = ขั้วต่อสายลำโพงข้างขวา
W = ช่องเสียบปลั๊กไฟเอซี

อะนาลอก อินพุต / เอ๊าต์พุต

ต้องปรบมือชื่นชมให้กับความสมบูรณ์แบบของ อินพุตที่ Omnia ให้มา ซึ่งต้องบอกว่า ครบถ้วนจริงๆ ไม่ว่าคุณจะใช้แหล่งต้นทางแบบไหนมันรองรับได้หมด ต่อให้เป็นคนหัวเก่าที่ชอบเล่นแผ่นเสียง เขาก็มีภาคขยายหัวเข็ม MM มาให้ในตัวเสร็จสรรพ สำหรับคนที่ยังไม่เคยและอยากจะลองเล่นแผ่นเสียง ขอแค่คุณมีเครื่องเล่นแผ่นเสียง+หัวเข็ม MM และแผ่นเสียงที่อยากฟังก็สามารถเล่นกับ Omnia ได้แล้ว หรือถ้าคุณมีเครื่องเล่นแผ่น SACD ที่มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว ก็สามารถนำเครื่องเล่น SACD ของคุณมาเล่นกับ Omnia ได้ โดยการเชื่อมสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจากเครื่องเล่น SACD ของคุณ มาต่อเข้าที่อินพุต AUX ของ Omnia ช่องใดช่องหนึ่งที่มีมาให้ถึง 3 ช่อง คนที่เล่นแผ่นเสียงถ้าอยากจะอัพเกรดภาคโฟโนภายนอกก็ทำได้เหมือนกันโดยเอาสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จากโฟโนปรีแอมป์ผ่านเข้ามาทางอินพุต AUX ก็ได้ ซึ่ง 3 ช่องที่ให้มาถือว่าครอบคลุมได้หมด

ถ้ากำลังขับ 50 วัตต์ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ของ Omnia น้อยเกินไปสำหรับคุณ กลุ่มนักออกแบบที่ audiolab ได้เตรียมช่อง Pre-Amplifier Output มาให้แล้ว แค่หาเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับสูงเท่าที่คุณต้องการมาเชื่อมต่อกับช่องปรีเอ๊าต์ฯ นี้ก็เรียบร้อย ส่วนภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว Omnia ก็ไม่ได้สูญเปล่า เชามีช่องเพาเวอร์แอมป์ อินพุตมาให้เพื่อรองรับสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอกได้ เพื่อว่าในอนาคต ถ้าคุณต้องการเพิ่มอุปกรณ์ประเภท DSP (Digtal Signal Processing) เข้ามาคั่นกลางระหว่างปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ของ Omnia เพื่อใช้ปรับแต่งเสียง ก็สามารถใช้อ๊อปชั่นนี้ได้เลย

จะเห็นว่า ทีมออกแบบ Omnia เขาคิดเยอะจริงๆ ให้อ๊อปชั่นมาเพียบ ตอบสนองความต้องการของคุณได้ครบทุกท่า เปิดโอกาสให้คุณออกแบบลักษณะการเล่นเครื่องเสียงได้หลากหลายตามความต้องการของแต่ละคนได้เลย..!!

ดิจิตัล อินพุต / เอ๊าต์พุต

ฝั่งของอินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัล Omnia ก็ให้มาครบมากๆ มีให้หมดทั้งแบบใช้สายและไร้สาย ซึ่งแต่ละอินพุตที่ให้มามีความสามารถในการรองรับแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตไม่เท่ากัน ไล่มาตั้งแต่ระบบอินพุตแบบดั้งเดิมคือ coaxial และ optical ที่ให้มาอย่างละ 2 ช่อง ไว้ใช้รองรับสัญญาณดิจิตัล PCM มาตรฐาน S/PDIF โดยรับแซมปลิ้งของสัญญาณอินพุตได้ตั้งแต่ 44.1kHz ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดที่ 192kHz ไม่รองรับสัญญาณ DSD และดีโค๊ดเดอร์ MQA ไม่ทำงานกับสองอินพุตนี้

ส่วนอินพุต USB-A ที่รองรับการดึงไฟล์เพลงจากแฟรชไดร้ หรือ USB-HDD ซึ่งการใช้งานอาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะอินพุต USB-A ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในแอพฯ Play-Fi ต้องใช้รีโมทไร้สายในการเลือกอินพุตและควบคุมการเล่นไฟล์ ผมทดลองใส่ไฟล์ฟอร์แม็ตต่างๆ ลงบนแฟรชไดร้แล้วเสียบใช้งานกับ Omnia ผมพบว่า ช่องอินพุตนี้เล่นไฟล์ PCM ได้แค่ระดับ 44.1kHz แต่เล่นไฟล์ DSD ได้ (เมื่ออยู่ในแพ็คเกจ DSF) แต่ก็ได้แค่ระดับ DSD64 (DSD2.8MHz) เท่านั้น แต่ที่น่าสงสัยคือไฟล์ MQA เมื่อผมลองเอาไฟล์ MQA ที่ผมริปจากแผ่น MQA-CD มาเล่นผ่านอินพุต USB-A ของ Omnia พบว่ามันเล่นได้ มีเสียงเพลงออกมา แต่บนจอไม่มีอะไรแจ้งให้รู้ว่ามันเล่นที่ไฟล์ WAV 44.1kHz หรือถอดรหัส MQA ออกมาด้วย.? ตอนท้ายของการทดสอบ ผมทดลองเล่นไฟล์ MQA ไฟล์เดียวกันผ่านทางอินพุตอีก 2 อินพุต คืออินพุต USB-B โดยใช้โปรแกรม roon รันบน nucleus แล้วป้อนสัญญาณจาก nucleus ไปที่ Omnia ทางอินพุต USB-B ด้วยสาย USB-A>B ของ Kimber Kable รุ่น Copper และลองสตรีมด้วยเน็ทเวิร์คผ่านทางอินพุต Ethernet ด้วยโปรแกรม Play-Fi เล่นไฟล์เดียวกัน ผลปรากฏว่า เล่นผ่านอินพุต USB-B และ Ethernet บนจอจะโชว์ชัดว่ามีการถอดรัส MQA ออกมาได้เต็มสูบคือไปถึงระดับ 352.8kHz และเสียงที่ออกมาก็ดีกว่าเล่นผ่านเข้าทางอินพุต USB-A มาก ผมอยากจะสรูปว่า ทางอินพุต USB-A เล่นไฟล์ MQA ได้ แต่ดีโค๊ดเดอร์ไม่ทำงาน คือไม่ถอดออกมาเป็นไฮเรซฯ ให้ เสียงที่ออกมาเป็นแค่ 44.1kHz

จากตารางข้างบนจะเห็นว่า อินพุต USB-B ที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์มีความสามารถสูงสุดในจำนวนอินพุตทั้งหมดที่ Omnia ให้มา คือเล่นฟอร์แม็ต PCM ได้สูงลิ่วถึงระดับ 768kHz ซึ่งสูงกว่าระดับที่จะหาได้ในปัจจุบัน ส่วนฟอร์แม็ต DSD เล่นได้ถึงระดับ DSD512 ซึ่งสูงมาก และสุดท้ายคือฟอร์แม็ต MQA ที่สามารถถอดได้สูงสุดคือ 352.8kHz เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน รองลงมาคืออินพุต USB-A ถ้าเน้นที่ฟอร์แม็ตของไฟล์เพลงที่เล่นได้ เพราะเล่นได้ทั้ง 3 ฟอร์แม็ต คือ PCM, DSD และ MQA แต่ถ้าเน้นที่ความสามารถในการรองรับความละเอียดของสัญญาณอันดับสองต้องเป็นของอินพุต Ethernet เพราะอินพุต USB-A รองรับความละเอียดของสัญญาณได้ต่ำกว่า คือเล่นฟอร์แม็ต PCM ได้แค่ 44.1kHz ส่วนฟอร์แม็ต DSD ก็เล่นได้แค่ DSD64 เท่านั้น

อินพุต Ethernet ของ Omnia นั้นทาง audiolab ไปเอาเทคโนโลยีสตรีมมิ่งที่ใช้กับรุ่น 6000A Play มาใส่ไว้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ร่วมกันพัฒนากับ DTS ใช้แอพลิเคชั่น Play-FI ในการเล่นไฟล์เพลง รองรับการเล่นฟอร์แม็ต PCM ได้ตั้งแต่ 44.1kHz ขึ้นไปจนถึง 192kHz

เมื่อผมทดลองให้เล่นไฟล์ที่มีแซมปลิ้งเรตสูงกว่า 192kHz ขึ้นไปคือฟอร์แม็ต PCM 24/352.8 ปรากฏว่าแอพฯ Play-Fi แจ้งขึ้นมาบนหน้าจอว่า sample rate นี้ไม่รองรับ

และยังไม่รองรับฟอร์แม็ต DSD ด้วย เมื่อผมพยายามจะให้เล่นไฟล์ DSF ที่เก็บสัญญาณ DSD หน้าจอแอพฯ จะแจ้งว่า “No Audio Content Avilableซึ่งข้อจำกัดนี้อยู่ที่แอพฯ ที่ยังไม่สามารถสตรีมสัญญาณ DSD ผ่านทางเน็ทเวิร์คได้ ไม่ได้จำกัดที่ความสามารถของภาค DAC ที่อยู่ในตัว Omnia

แต่ก็มีเรื่องที่น่ายินดีที่อินพุต Ethernet ของ Omnia รองรับการเล่นไฟล์ MQA ได้เต็มสูบ คือถอด MQA ได้ถึงระดับ 352.8kHz สูงสุดเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน คนที่ใช้ TIDAL เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณหลักได้แฮ้ปปี้กันถ้วนหน้า เมื่อเล่นไฟล์ TIDAL Master กับอินพุต Ethernet ของ Omnia ตัวนี้..!!

การเชื่อมต่อระบบ

ถ้าคุณรักความเรียบง่าย ขอแค่ลำโพงหนึ่งคู่ กับสาย LAN หนึ่งเส้น แค่นี้ก็ฟังเพลงกับ Omnia ได้แล้ว ถ้าที่บ้านยังไม่มีระบบเน็ทเวิร์ค ขอแค่ลำโพงหนึ่งคู่ + สมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องที่คุณใช้โทรฯ และเล่นออนไลน์นั่นแหละ แค่นี้ก็สามารถเล่นไฟล์เพลงจากสมาร์ทโฟนของคุณแล้วยิงตรงผ่าน Bluetooth มาที่ Omnia ได้เลย แต่ถ้าไม่สะดวกเล่นสตรีมมิ่งทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth ก็ไม่เป็นไร เอาแผ่นซีดีมาเล่นกับ Omnia ก็ได้ ถ้ามีไฟล์เพลงอยู่ในคอมฯ ก็ก้อปปี้ไฟล์เหล่านั้นลงบนแฟรชไดร้แล้วเอามาเสียบที่ช่อง USB-A ด้านหลังของ Omnia แล้วใช้รีโมทควบคุมการเล่นไฟล์เพลงบนแฟรชไดร้ผ่านเข้าทางอินพุต USB HDD ก็ได้ ง่ายๆ แบบนี้แหละ..!!!

ผมพยายามลองเล่น Omnia ให้ได้มากเงื่อนไขที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งเบื้องต้นหลังทดลองเล่นสำหรับผมต้องบอกว่า รู้สึกประทับใจในความเสถียรของการทำงานแต่ละฟังท์ชั่นมาก มันมิได้แสดงอาการงอแงหรือเอ๋อออกมาให้เห็นตลอดการทดสอบใช้งานนานนับเดือน ทุกอินพุตของ Omnia สามารถทำงานได้ผลจริงตามที่คู่มือระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็นอินพุตอะนาลอกหรืออินพุตดิจิตัล ใช้งานได้ลื่นไหลตลอดทั้งแบบใช้สายและไร้สาย

ควบคุมการเล่นไฟล์ด้วยแอพลิเคชั่นผ่านเน็ทเวิร์ค

การใช้งานอินพุต Ethernet ของ Omnia คือไฮไล้ท์ของออลอินวันตัวนี้ เป็นการเล่นไฟล์เพลงผ่านทางเน็ทเวิร์คที่พัฒนาร่วมกับ DTS จึงต้องใช้แอพลิเคชั่นในการควบคุมการเล่นไฟล์เพลงของ Play-Fi* แต่จริงๆ แล้ว แอพลิเคชั่น Play-Fi เองก็พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐาน UPnP แบบเดียวกับอีกหลายๆ แอพฯ ที่หลายคนรู้จักและอาจจะเคยใช้งานมาก่อน อย่างเช่น Mconnect และ 8Player Pro

(* แนะนำให้อ่าน รีวิว ของ Audiolab รุ่น 6000A Play เพื่อให้เข้าใจการทำงานของแอพฯ Play-Fi ให้มากขึ้น)

ผมทดลองใช้ทั้งแอพ Mconnect และ 8Player Pro ในการสตรีมไฟล์เพลงทั้งจาก TIDAL และจาก NAS มาเล่นบน Omnia เพื่อดูว่าต่างจากการเล่นด้วยแอพฯ Play-Fi อย่างไรบ้าง.? ปรากฏว่า Mconnect กับ 8Player Pro ก็สามารถเล่นไฟล์ PCM ได้ แต่… ได้แค่ 44.1kHz เท่านั้น แม้ว่าผมจะทดลองเล่นไฟล์ที่ความละเอียดสูงกว่า 44.1kHz อย่างเช่น 24/96 หรือ 24/192 ทว่า บนจอของ Omnia กลับแสดงผลออกมาว่ากำลังเล่นไฟล์ 44.1kHz ทุกครั้ง .!!?? เหมือนกับว่า ทั้งแอพฯ Mconnect และ 8Player Pro ไม่ยอมปล่อยสัญญาณที่สูงกว่า 44.1kHz มาให้ Omnia ทั้งๆ ที่ไฟล์ที่มันกำลังเล่นเป็นไฟล์ไฮเรซฯ PCM ที่มีความละเอียดของสัญญาณสูงกว่า 44.1kHz แท้ๆ ??

กรณีข้างต้น ผมเข้าใจว่า ต้นเหตุของปัญหาน่าจะอยู่ที่ตัวแอพลิเคชั่น Mconnect และ 8Player Pro ที่ใช้เล่นไฟล์เพลง เพราะเมื่อผมทดลองเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ไฟล์เดียวกันนั้น โดยเปลี่ยนมาใช้แอพฯ Play-Fi พบว่าบนจอของ Omnia แจ้งออกมาชัดเจนว่ากำลังเล่นไฟล์ไฮเรซที่มีสเปคฯ ตรงตามต้นฉบับทุกครั้ง และเสียงที่ออกมาก็ ดีกว่าตอนเล่นด้วยแอพฯ Mconnect และ 8Player Pro ราวฟ้ากับเหว เป็นการยืนยันชัดเจนว่าแอพฯ UPnP อื่นใดที่ไม่ใช่ Play-Fi ก็สามารถใช้เล่นไฟล์เพลงกับ Omnia ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่ได้เต็มที่เหมือนเล่นด้วยแอพฯ Play-Fi นั่นเอง โดยเฉพาะคุณภาพเสียงต่างกันเยอะมาก..!!!

ทดลองฟังเสียงจริงๆ จังๆ

เนื่องเพราะ Omnia เป็น all-in-one ดังนั้น องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน คือ source + pre + power ที่อยู่ในตัว Omnia จึงทำงานผสานกันออกมาเป็น องค์รวมของคุณภาพเสียงที่ส่งออกไปยังลำโพง ซึ่งทางผู้ผลิตได้ทำการปรับจูนเอ๊าต์พุตของ Omnia ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดไว้ ณ จุดหนึ่ง ซึ่งการแม็ทชิ่ง ลำโพงเข้ากับ Omnia คือหนทางในการค้นหาจุดที่ให้เสียงดีที่สุดของ Omnia ที่ว่านั้น

ถ้าคุณปรารถนาซิสเต็มที่เรียบง่าย จบลงแค่ Omnia + ลำโพงหนึ่งคู่ คุณก็ต้องให้ความพิถีพิถันในการแม็ทชิ่งลำโพงเข้ากับ Omnia ให้มากหน่อย ซึ่งปัจจัยแรกที่ต้องยกมาตั้งเป็นโจทย์หลักในการค้นหาลำโพงมาแม็ทชิ่งกับออลอินวัน Omnia ตัวนี้ก็คือ กำลังขับของภาคขยายที่ Omnia มีอยู่ เนื่องจาก Omnia ตัวนี้ใช้พื้นฐานทางด้านแอมปลิฟาย (ปรี+เพาเวอร์) ของรุ่น 6000A จึงมีสเปคฯ เหมือนกัน คืออยู่ที่ 50 วัตต์ต่อข้างที่ 8 โอห์ม หรือ 75 วัตต์ต่อข้าง เมื่อเจอโหลด 4 โอห์ม ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขกำลังขับที่อยู่ในระดับ ปานกลางค่อนไปทางต่ำสำหรับค่าเฉลี่ยของแอมป์ class-AB ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

พิสูจน์ 50 วัตต์ ของ Omnia
มดหรือ ช้าง” .?

ผมมักจะใช้ลำโพง Totem Acoustics รุ่น The One เป็นเกณฑ์ตัดสินสมรรถนะของภาคขยายของแอมป์เสมอ เพราะลำโพง The One คู่นี้มันมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว คือถ้าเจอกับแอมป์ที่ออกแบบภาคขยายมาดี แม้ว่าแอมป์จะตัวเล็ก ตัวเลขกำลังขับไม่ได้สูงมาก ดูแววแแล้วเหมือนจะขับไม่ออก แต่ผลลัพธ์มักจะออกมาดีเกินคาด ในทางกลับกัน ถ้าเจอกับแอมป์ที่ออกแบบมาไม่ดี แม้ว่าแอมป์ตัวนั้นจะระบุกำลังขับมากมายมหาศาล เสียงที่ได้ออกมากลับมีลักษณะอั้นและตื้อ กลายเป็นขับไม่ออกไปซะงั้น.!

ผมทดลองเชื่อมต่อ Omnia กับ The One ด้วยสายลำโพงหลายเส้นจนมาลงตัวกับสายลำโพงของ Atlas รุ่น Equator MK II โดยใช้อินพุต Ethernet ที่เล่นด้วยแอพฯ Play-Fi เป็นแหล่งต้นทางหลักของสัญญาณที่ใช้ในการทดสอบโดยดึงเพลงมาจาก TIDAL สลับกับดึงไฟล์เพลงมาจาก NAS ของผมเอง

แม้ว่า เทคโนโลยีในการสตรีมไฟล์เพลงของ Omnia จะใช้พื้นฐาน Play-Fi เหมือนกับรุ่น 6000A Play แต่ภาค DAC ในตัว Omnia ใช้ชิป DAC เบอร์ ES9038Q2M ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าตัว ES9018K2M ที่ใช้ในตัว 6000A Play ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เสียงของ Omnia ออกมาดีกว่าตอนผมทดสอบ 6000A Play ในระดับที่รู้สึกได้ชัด ความนุ่มเนียน ละเมียดละมัยของเสียง การแยกแยะรายละเอียดไปจนถึงช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีที่ฉีกถ่างจากกันเป็นจุดเด่นที่รับรู้ได้โดยไม่ต้องเพ่ง

กับเพลงทั่วๆ ไปที่ให้เกนสัญญาณในระดับปานกลาง ผมพบว่า กำลังขับ 50 วัตต์ ของ Omnia สร้างความพอใจในการเสพอรรถรสของเพลงให้กับผมได้มากกว่าที่คาด ไม่ว่าจะเป็นพ๊อพ, ร็อค หรือแจ๊ส มันกระทุ้งความมันส์ในอารมณ์ผ่าน The One ออกมาได้หมด ตลอดเวลาที่ผมนั่งฟังเสียงของ Omnia ขับลำโพงโทเท็ม The One มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าใจเราปรารถนา ความเป็นดนตรี” ในระดับที่ขอแค่ให้ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้อย่างน่าพอใจ เราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก.?

มันเพอร์เฟ็กต์.? ยังไม่ถึงขนาดนั้น คนที่ชอบฟังเพลงมากๆ มักยอมรับได้กับข้อตำหนิเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงที่ไม่กระทบกับความเป็นดนตรีได้ง่าย ซึ่งหัวใจของความเป็นดนตรีก็คือ ไทมิ่งของจังหวะเพลงที่แม่นยำ ไม่หน่วงช้าและไม่เร่งรีบจนทำให้จังหวะของเพลงเสียหายไป นี่คือจุดเด่นที่ทำให้ Omnia + The One สามารถสะกดให้ผมนั่งฟังมันได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ มีแต่อยากจะลองฟังเพลงโน้นเพลงนี้ไปเรื่อยๆ

อัลบั้ม : Tracy Chapman (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Tracy Chapman
สังกัด : Elecktra

เมื่อตัดความสิเหน่หากับบทเพลงออกไปให้หมด ไม่เอาใจช่วย เปลี่ยนมามองที่ คุณภาพเสียงล้วนๆ ผมพบว่า Omnia + The One ยังมีความไม่สมบูรณ์กระจายอยู่ในบางจุด อย่างเช่น ยังมีอาการจ้าๆ แทรกอยู่ในย่านเสียงสูงประปราย ซึ่งจะถูกเน้นออกมามากน้อยขึ้นอยู่กับคุณภาพของเพลงที่เล่นด้วย โดยเฉพาะเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปส่วนมากจะมีจุดอ่อนตรงนี้พอดี ยกตัวอย่างเช่นเสียงกีต้าร์ของเทรซี่ แชปแมนในแทรคแรกของอัลบั้มข้างต้นซึ่งเป็นไฟล์ต้นฉบับมาจากแผ่นซีดีบันทึกมาค่อนข้างแห้งและขาดน้ำหนัก เมื่อฟังผ่าน Omnia + The One ชุดนี้เสียงกีต้าร์ที่ว่านี้จะถูกเน้นลักษณะด้อยออกมาให้ได้ยินชัดขึ้น เนื่องจากทั้ง Omnia และ The One มีแนวการถ่ายทอดที่เน้นความสมจริงของสัญญาณต้นทางมากกว่าที่จะเกลี่ยให้ออกมานุ่ม

อัลบั้ม : Mozart Violin Concertos (MQA)
ศิลปิน : Marianne Thorsen & Trondheim Solistene
สังกัด : 2L

อัลบั้ม : Dire Straits (MQA)
ศิลปิน : Dire Straits
สังกัด : Universal Music

เมื่อผมทดลองเอาเพลงไฮเอ็นด์ฯ มาลองฟังผ่าน Omnia + The One พบว่าอาการจ้าในย่านเสียงสูงทุเลาลงไปมากจนแทบจะไม่มีเหลือ แต่ด้วยบุคลิกเสียงของ Omnia ที่เปิดกระจ่าง ไทมิ่งดี ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ไฮเอ็นด์ฯ อย่างไฟล์ MQA ที่ระดับแซมปลิ้งเรต 352.8kHz จึงกระโดดขึ้นไปอีกขั้น สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกในการถ่ายทอดเสียงที่เที่ยงตรงและแม่นยำของตัว Omnia ที่ส่งผลให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่สด กระชับ ตอบสนองเร็ว ไม่เฉื่อยและไม่นุ่มนิ่มจนเกินไป โทนเสียงไปทางเดียวกับต้นฉบับสัญญาณที่ป้อนให้มัน ฟังแล้วได้อรรถรสของความเป็นดนตรีอย่างมาก

เมื่อเทียบกับการเล่นจากแผ่นซีดีโดยป้อนแผ่นเข้าที่ช่องรับแผ่นซีดีของ Omnia ผมพบว่า เสียงที่ได้จากการเล่นด้วยแผ่นซีดีมีบุคลิกที่ต่างไปจากเล่นด้วยไฟล์เพลงผ่านเข้าทางอินพุต Ethernet อยู่สมควร ซึ่งมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ แง่บวกคือเล่นจากแผ่นซีดีจะให้บอดี้ของตัวเสียงที่ขยายใหญ่ แผ่ออกมามากกว่า ทำให้ฟังแล้วได้ความรู้สึกนิ่มและนวลหู แต่ในแง่ความสด กระจ่าง และไทมิ่งจะเป็นรองเล่นด้วยไฟล์เพลงผ่านทาง Ethernet อยู่นิดหน่อย คือเล่นจากแผ่นซีดีจะให้ไทมิ่งที่หน่วงช้ากว่านิดๆ ส่วนตัวแล้วผมชอบลักษณะเสียงที่ได้จากการเล่นด้วยไฟล์เพลงผ่านทางอินพุต Ethernet มากกว่า

ในช่วงท้ายๆ ของการทดสอบ ผมทดลองเอาเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustics รุ่น V-3 เข้าไปทดลองจับคู่กับช่อง Pre-Out ของ Omnia โดยยังคงใช้ลำโพง Totem Acoustics รุ่น The One ตัวเดิม ผลปรากฏว่า ผมได้เสียงที่มีลักษณะแผ่ตัวออกมามากขึ้นทั้งทางด้านกว้างและลึก ได้น้ำหนักเสียงของโน๊ตที่ดีขึ้น หัวโน๊ตมีการย้ำเน้นที่ดีขึ้น ความเป็นตัวตนของแต่ละเสียงมีความชัดเจนมากขึ้น สกัดลอยออกมาในอากาศได้เด่นชัดมากขึ้น บอดี้มีทรวดทรงที่เป็นสามมิติมากขึ้น เนื้อมวลหนาขึ้น ทั้งหมดนี้รวมๆ กันแล้ว ดีกว่าตอนขับด้วยกำลังขับ 50 วัตต์ ในตัว Omnia ประมาณ 20-25% (ตัว V-3 ให้กำลังขับข้างละ 100 วัตต์ที่ 8 โอห์ม และ 200 วัตต์ที่ 4 โอห์ม) แต่ผมพบว่า นอกจากความแตกต่างทางด้านคุณสมบัติของเสียงในแง่ต่างๆ ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อผมเอาเพาเวอร์แอมป์ V-3 เข้าไปรับหน้าที่แทนเพาเวอร์แอมป์ในตัว Omnia ผมเจอว่า โทนเสียงที่ได้ออกมายังคงมีบุคลิกไปในทิศทางเดียวกันกับตอนใช้เพาเวอร์แอมป์ในตัว Omnia แสดงว่า ภาคปรีแอมป์ของ Omnia มีอิทธิพลกับเสียงโดยรวมค่อนข้างมาก แม้ว่าจะใช้เพาเวอร์แอมป์ต่างยี่ห้อเข้าไปแทนที่ก็ยังไม่สามารถลบล้างแนวเสียงของภาคปรีแอมป์ของ Omnia ลงไปได้หมด และผมยังพบว่า Omnia จัดเกนสัญญาณของภาคปรีแอมป์มาดีมาก ตอนจับกับ V-3 ผมต้องเร่งวอลลุ่มที่ Omniaสูงกว่าตอนใช้เพาเวอร์แอมป์ในตัวประมาณ 10% เพื่อให้ได้ความดังเฉลี่ยออกมาใกล้เคียงกัน ซึ่งถือว่าไม่มีอาการ mismatch ระหว่างสัญญาณเอ๊าต์พุตของปรีฯ กับความแรงทางด้านอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ ไปกันได้

ก่อนสรุปจบการทดสอบ ผมทดลองเปลี่ยนเอาลำโพง Monitor Audio รุ่น Silver 100 Limited edition เข้ามาจับคู่กับ Omnia พบว่า แนวเสียงที่ออกมาจะเปลี่ยนไปตามบุคลิกของลำโพงประมาณ 70% คือเสียงโดยรวมจะลดความจริงจังลง มีความรอมชอมและฉ่ำๆ หวานๆ เข้ามาแทนที่มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน อีก 30% ของโทนเสียงก็ยังคงเป็นความสดกระจ่างที่เป็นบุคลิกของ Omnia ปรากฏออกมา ทำให้พอสรุปได้ว่า โทนเสียงที่เป็นตัวตนของ Omnia คือความสด กระจ่าง เปิดเผย ไทมิ่งดี ซึ่งเป็นโทนเสียงที่เครื่องเสียงระดับสูงมักจะมีอยู่ในตัว

สรุป

Omnia ทำคะแนนโดยรวมได้สูงกว่าที่ผมคาดไว้พอสมควร โดยเฉพาะทางด้านน้ำเสียงที่มีความเป็นไฮเอ็นด์ฯ ปรากฏออกมาให้สัมผัสได้อย่างน่าทึ่ง ต้องชมทีมวิศวกรของ Audiolab ที่สามารถปรับจูนการทำงานของภาค DAC และภาคแอมปลิฟายในตัว Omnia ให้ทำงานสอดรับประสานกันออกมาได้ผลลัพธ์เป็นที่อย่างน่าพอใจมาก

ในตอนท้ายๆ ผมทดลองอัพเกรดเสียงของ Omnia ด้วยสายไฟเอซีของ Purist Audio Design รุ่น Neptune ผมพบว่า มันทำให้เสียงของ Omnia ดีขึ้นอย่างชัดเจน แรงอัดฉีดดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้บุคลิกเสียงเปลี่ยนไป มิหนำซ้ำ กลับทำให้ความถี่ในย่านต่ำมีความจะแจ้งมากขึ้น หัวโน๊ตในย่านเสียงทุ้มมีความโดดเด่นมากขึ้น ทำให้แยกแยะรายละเอียดได้ดีขึ้น ฉุดให้เสียงทุ้มพุ่งทะลุพื้นเสียงออกมาให้ได้ยินมากขึ้น ชัดขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มพลังกระแทกกระทั้นมากขึ้นด้วย

เมื่อได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดจริงๆ แล้ว พูดได้ว่า Omnia เป็นผลงานที่เชิดหน้าชูตา audiolab อย่างมาก เมื่อได้เห็นหน้าตาของ Omnia ทีแรกและรับรู้ถึงราคาค่าตัวที่ขยับสูงขึ้นไปกว่ารุ่น 6000A Play ก็ทำให้รู้ว่า ทาง audiolab หมายมั่นที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ก้าวขยับสูงขึ้นไปกว่าที่ผ่านมาอีกขั้น ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาทำสำเร็จสมความตั้งใจ เพราะ Omnia ไม่ได้เป็น all-in-one ที่มีฟังท์ชั่นเพรียบพร้อมเท่านั้น แต่มันยังมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามน่ามอง (ลูกเล่นบนจอแสดงผลเท่มาก.!) รวมถึงน้ำเสียงที่ดีกว่า audiolab ทุกรุ่นที่เคยทำออกมาด้วย

ถ้ามีโอกาสได้สัมผัสกับ Omnia อย่างจริงๆ จังๆ ด้วยมือ, ตา และหู ของคุณเอง ผมเชื่อว่า Omnia ตัวนี้จะเป็น ตัวจบสำหรับคุณได้ไม่ยาก.!!! /

********************
ราคา = 64,900 บาท / ตัว*
(* โปรโมชั่นจากราคาเต็ม = 84,900 บาท)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5

facebook: @hifitowerShop
LineID: @hifitower

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า