รีวิว Bluesound รุ่น NODE X ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ที่รองรับมิวสิค สตรีมมิ่ง และมีดีโค๊ดเดอร์ MQA ในตัว

Bluesound เปิดตัว NODE เจนเนอเรชั่นแรกออกมาเมื่อ ปี 2013 หลังจากนั้นไม่นาน Bluesound NODE ก็ก้าวขึ้นมาเป็นดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ ขวัญใจมหาชนสำหรับระดับราคา “ไม่เกิน 30,000 บาท” ทันที ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนรอบด้าน คือสามารถรองรับการเล่นไฟล์เพลงได้หลากหลายรูปแบบทั้งการเล่นไฟล์เพลงด้วยวิธีใช้สายและไร้สาย มี DAC ในตัว มีระบบมัลติรูม มีแอพฯ คอนโทรลเป็นของตัวเอง ฯลฯ ที่สำคัญคือ ให้คุณภาพเสียงที่ปรับจูนมาดีมาก ช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา Bluesound NODE ได้ผ่านการอัพเกรดระดับไมเนอร์แช้งค์มาโดยตลอดจนมาถึงเวอร์ชั่น NODE X ตัวนี้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Bluesound NODE จึงครองตำแแหน่งตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับ “Streamer DACที่มีราคาไม่เกิน 30,000 บาท เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน..!

Bluesound NODE X
ฉลองครบรอบ 10 ปีของความเป็นผู้นำ.!!

ตอน Bluesound NODE เวอร์ชั่นแรกเผยโฉมออกมาเมื่อปี 2013 วงการมิวสิค สตรีมมิ่งยังเตาะแตะอยู่เลย การมาถึงของ NODE จึงทำหน้าที่เป็นลีดเดอร์ของวงการไฮไฟฯ ยุคมิวสิค สตรีมมิ่งโดยปริยาย ปี 2023 นี้ เป็นปีที่ Bluesound NODE ดำรงอยู่ในตลาด Streamer DAC มาครบสิบปีในฐานะของผู้นำทางด้านนี้ ทางผู้ผลิตใช้โอกาสนี้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่คือ NODE X ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญนี้

โดยเนื้อแท้แล้ว NODE X ก็คือ NODE ดั้งเดิมที่ใช้ตัวถังเดียวกัน รวมถึงใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในที่เหมือนกัน เกือบ 100%นั่นก็ความหมายว่า ทาง Bluesound เขานำเอา NODE รุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันมาทำการ อัพเกรดอุปกรณ์ข้างในบางส่วนเพื่อให้ออกมาเป็น NODE X นั่นเอง

จากภาพข้างบน ตัวบนนั้นคือ NODE X ส่วนตัวล่างคือ NODE รุ่นก่อนหน้า (บางคนก็เรียกว่า New NODE) จะเห็นว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกเหมือนกันมาก มีจุดแตกต่างบนแผงหน้าระหว่างสองรุ่นนี้อยู่ 2 จุด จุดแรกคือ สีของตัวถังซึ่งตัวถังของรุ่น NODE X จะเป็นสีเงิน ในขณะที่รุ่น NODE ดั้งเดิมจะมีสีขาวด้านกับสีดำด้าน ส่วนอีกจุดอยู่ที่ รูเสียบแจ๊คหูฟังซึ่งในรุ่นก่อนหน้าจะติดตั้งรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาดเล็ก 3.5 mm (ศรชี้) ในขณะที่รูเสียบหูฟังของรุ่น NODE X เป็นรูเสียบขนาดใหญ่ 6.5 mm

หันมาดูแผงหลังของรุ่น NODE X เทียบกับรุ่น NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้า ดูเผินๆ ก็เหมือนกัน จำนวนช่องเสียบ input/output เท่ากัน, หน้าที่ของแต่ละช่องเสียบที่กำกับไว้ก็เหมือนกันทุกช่อง รวมถึงตำแหน่งติดตั้งก็เหมือนกันทุกช่อง สรุปแล้วคือ แผงหลังภายนอกดูแล้วเหมือนกัน 100%

ขยับมาดูด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นที่ติดตั้งแผงควบคุมสั่งงานด้วยการสัมผัสบนแผ่นกระจก เมื่อพิจารณาจากลักษณะภายนอก พบว่า ทั้งสองเวอร์ชั่นก็ให้มาเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งรูปลักษณะและขนาดสันฐาน ส่วนฟังท์ชั่นการใช้งาน ต้องไปขอดูขั้นตอนทดลองใช้งานจริงๆ อีกที

เปลี่ยนชิป DAC

ความแตกต่างที่เป็น หัวใจสำคัญ ระหว่าง NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้า กับ NODE X อยู่ที่ “DAC Chipซึ่งใน NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าใช้ชิปของค่าย Burr-Brown เบอร์ PCM 5242 รับหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตัล อินพุตทั้งหมดให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก ในขณะที่เวอร์ชั่น NODE X เปลี่ยนไปใช้ชิปของค่าย ESS Technology เบอร์ ES9028Q2M

การเปลี่ยนมาใช้ชิป DAC ของค่าย ESS Technology เบอร์ ES9028Q2M ซึ่งเป็น Stereo Chip Set ระดับพรีเมี่ยมที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Burr-Brown PCM 5242 พอสมควร ด้วยพื้นฐานของชิป DAC ที่ใหม่กว่า และอยู่ในระดับที่สูงกว่า ส่งผลให้ได้คุณสมบัติทางด้าน Dynamic Range หรือ S/N Ratio (SNR) ของ NODE X ทะยานขึ้นไปสูงกว่า NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้ามากถึง 5dB.!

ถ้าเข้าใจเรื่อง SNR คุณจะรู้ว่า ความแตกต่างของภาค DAC ที่มีค่า SNR ต่างกัน 5dB อันนี้มีผลกับคุณภาพเสียงมาก คือ SNR เป็นสเปคฯ ที่เปรียบเทียบระหว่างความดังของสัญญาณเสียงกับความดังของสัญญาณรบกวน ตัวเลข SNR มันจะบอกให้รู้ว่าระดับของสัญญาณเสียง (signal = S) อยู่สูงกว่าระดับของสัญญาณรบกวน (noise = N) มากน้อยแค่ไหน (หน่วยเป็นเดซิเบล = dB) ถ้าภาค DAC มีสเปคฯ SNR สูงๆ ก็แสดงว่าสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ภาค DAC ตัวนั้นให้ออกมาจะมี ความดังของสัญญาณสูงกว่าระดับความดังของสัญญาณรบกวน (noise) ที่เป็นแบ็คกราวนด์อยู่ในระบบ

สรุปคือ DAC ตัวที่ให้ SNR สูงกว่าจะทำให้คุณได้ยิน รายละเอียดของเสียงมากกว่านั่นเอง..

สเปคฯ อีกตัวที่มีผลกับคุณภาพเสียงโดยรวม นั่นคือ ‘distortionซึ่งก็หมายถึงความผิดเพี้ยนของเสียงนั่นแหละ สเปคฯ ตัวนี้ยิ่งมีค่าน้อยยิ่งดี จากตารางข้างบนจะเห็นว่า เมื่อ NODE X เปลี่ยนมาใช้ชิป ES9028Q2M มีผลให้สเปคฯ distortion ลดต่ำลงอย่างมากเกือบ 10 เท่า.! ซึ่งอาจจะไม่ได้เยอะมากในแง่ของการได้ยินหรือรับรู้ความแตกต่างที่เกิดขึ้น เพราะจริงๆ แล้ว ตัวเลข 0.002% ก็ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้ว ผมไม่แน่ใจซะด้วยซ้ำไปว่าจะสามารถฟังความแตกต่างออกระหว่าง 0.002% ของ NODE กับ 0.0003% ของ NODE X คงต้องไปดูกันอีกทีตอนทดลองฟังเทียบ ..

เอ๊าต์พุต หูฟังคือจุดเปลี่ยนที่เห็นชัด.!

ดูเหมือนรูเสียบแจ๊คหูฟังของ NODE X ที่เปลี่ยนมาใช้รูเสียบขนาดใหญ่ 6.3 mm จะบอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่า Bluesound ต้องการผลักดัน NODE X ให้เข้าไปอยู่ในแวดวงของนักเล่นหูฟังมากขึ้น ซึ่งหลังจากพลิกเข้าไปพิจารณาในสเปคฯ ของ NODE X อย่างละเอียด พบว่า เป็นไปอย่างที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้จริงๆ เพราะวิศวกรของ Bluesound พวกเขาไม่ได้แค่เปลี่ยนรูสียบแจ๊คหูฟัง แต่พวกเขาได้ทำการอัพเกรดประสิทธิภาพของภาคขยายหูฟังขึ้นมาด้วย โดยการเพิ่มเทคโนโลยีสำหรับหูฟังเข้ามาอย่างหนึ่ง นั่นคือ THX AAA

THX AAA คืออะไร.? อันนี้เป็นเทคโนโลยีทางด้านแอมปลิฟายที่ค่าย THX คิดค้นขึ้นมา มาจากคำเต็มๆ ว่า ‘THX Achromatic Audio Amplifierซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ THX คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้กับระบบเสียงของหูฟังโดยให้ความสำคัญกับเรื่องของ สัญญาณรบกวน‘ (noise) กับ ความผิดเพี้ยน‘ (distortion) ของเสียงที่ต้องลดลงให้เหลือน้อยที่สุด กับอีกเรื่องคือ ‘กำลังขับ(power consumption) ที่ต้องทำให้มากพอที่จะดึงประสิทธิภาพของหูฟังออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่หูฟังที่ได้ชื่อว่าขับยากๆ ก็อยู่ในข่าย

ในเว็บไซต์ thx.com มีแจกแจงข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี THX AAA เอาไว้อย่างละเอียด คือมีแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1. AAA Catalyst สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทพกพา/ไร้สาย อย่างเช่น หูฟังที่มีระบบ noise canceling, อุปกรณ์ไร้สายที่ใช้คลื่น Bluetooth

2. AAA Frontier สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพกพา/ไร้สายระดับไฮเอ็นด์ฯ อย่างพวก แอมป์พกพา, DAC+Amp และเครื่องเล่นไฟล์เพลงไฮเรซฯ

3. AAA Vanguard สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทแอมป์ตั้งโต๊ะ หรือ DAC+Amp ระดับไฮเอ็นด์

แต่ Bluesound ไม่ได้แจ้งไว้ชัดๆ ว่าเทคโนโลยีแอมป์ THX AAA ที่ใช้อยู่ใน NODE X เป็นแบบไหน และใช้ชิป THX AAA เบอร์อะไร ตระกูลเลขตัวเดียวสองตัว หรือเลขสามตัว..?

ในคู่มือของ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้า ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหูฟังไว้น้อยมาก ตามที่เห็นในตารางข้างบน คือแจ้งให้รู้ว่ารูเสียบหูฟังเป็นแบบมินิ 3.5 mm แค่นั้นเอง ไม่ได้มีสเปคฯ อะไรเกี่ยวกับภาคขยายหูฟังบอกไว้เลย ค่อนข้างชัดเจนว่าภาคขยายหูฟังของ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้เป็นแค่ ของแถม

แต่พอมาดูในสเปคฯ ของ NODE X มันต่างกันชัดเจนมาก.! ข้อมูลทางด้านสเปคฯ ของ NODE X ที่เกี่ยวกับแอมป์หูฟังบอกให้รู้ว่า ภาคขยายหูฟังที่อยู่ในตัว NODE X มีกำลังขับอยู่ที่ 100mW เมื่อขับอิมพีแดนซ์ของหูฟังที่ 16 โอห์ม, ถ้าใช้หูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ 32 โอห์ม กำลังขับจะวัดได้ 130mW, วัดได้ 17mW ถ้าขับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์สูงเท่ากับ 250 โอห์ม และถ้าเจอกับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ 600 โอห์ม กำลังขับหูฟังในตัว NODE X จะลดลงไปอยู่ที่ 11mW ซึ่งดูจากตัวเลขแล้วอาจจะมองว่าค่อนข้างน้อย แต่ก็ต้องไปทดลองฟังของจริงอีกที

ทดสอบภาคขยายหูฟังของ NODE X

ไหนๆ ก็พูดถึงหูฟังกันแล้ว ก็ถือโอกาสทดสอบภาคขยายหูฟังของ NODE X ไปเลยก็แล้วกัน ผมหยิบหูฟังแบบฟูลไซค์ที่เก็บสะสมไว้ออกมาลองฟังกับ NODE X สามตัว เริ่มจาก Beyerdynamic รุ่น T1 Tesla (อิมพีแดนซ์ 32 โอห์ม), AKG รุ่น K720/65th Anniversary (อิมพีแดนซ์ 62 โอห์ม) และตบท้ายด้วย Sennheiser รุ่น HD650 ตัวเก๋าของผมที่เอามาทดลองฟังกับ NODE X แบบตั้งใจวัด ความอึดถึกของภาคขยายของ NODE X โดยเฉพาะ เนื่องจากตัว HD650 มีอิมพีแดนซ์ที่สูงถึง 300 โอห์ม ถ้ากำลังขับของแอมป์ไม่ถึงจริงๆ ก็คงขับไม่ออก

ใครใช้ Bluesound อยู่คงรู้ว่า Bluesound มีแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า BluOS อยู่ ซึ่งออกแบบมาให้ไว้ใช้ควบคุมสั่งงานและปรับตั้งฟังท์ชั่นต่างๆ บนอุปกรณ์ของ Bluesound เป็นแอพฯ ฟรีที่มีให้โหลดมาใช้ได้ครบทุกฟอร์แม็ต ทั้งโมบายและคอมพิวเตอร์ ซึ่งในนั้นมีฟังท์ชั่นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานภาคขยายหูฟังโดยตรง นั่นคือฟังท์ชั่น ‘Output Level Fixed’ (ศรชี้ ภาพข้างบน) ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะเสียบแจ๊คหูฟังเข้าไปที่ช่องเสียบด้านหน้าเครื่อง ผมต่อเอ๊าต์พุตอะนาลอกของ NODE X เข้ากับอินติเกรตแอมป์ LEAK Stereo 230 ขับลำโพง KEF รุ่น R3 Meta อยู่ ซึ่งตอนนั้นผมปรับตั้งฟังท์ชั่น ‘Output Level Fixedไว้ที่ตำแหน่ง ‘Onคือให้ NODE X ปล่อยสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตออกมาดังสุด โดยที่ผมไปใช้วอลลุ่มของแอมป์ LEAK ในการควบคุมความดัง แต่เมื่อผมเสียบแจ๊คหูฟังเข้าไปที่รูเสียบด้านหน้าเครื่อง ฟังท์ชั่น ‘Output Level Fixedจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ตำแหน่ง Offโดยอัตโนมัติ และที่หัวข้อ Volume Limits (dB)’ ที่อยู่ถัดลงมา จะลดระดับลงมาอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของระดับความดังทั้งหมด นี่คือระบบป้องกันที่ Bluesound ออกแบบไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับหูของผู้ใช้หูฟัง กรณีลืมเปลี่ยนโหมดของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตตอนจะเปลี่ยนมาฟังหูฟัง

เมื่อใช้วอลลุ่มของตัว NODE X ขณะฟังเพลง คุณสามารถปรับระดับความดังของเสียงได้ด้วยการจิ้มไปที่หน้าจอแผ่นกระจกที่อยู่ด้านบนของตัวเครื่อง (ศรชี้ ภาพบน) แล้วลากไปทางซ้าย (ลดความดัง) และขวา (เพิ่มความดัง) ได้ หรือถ้าไม่ถนัดลากนิ้ว จะใช้วิธีจิ้มลงไปที่จุดขาวๆ ที่ปลายเส้นวอลลุ่มแทนก็ได้

นอกจากนั้น คุณยังสามารถปรับวอลลุ่มผ่านทางแอพลฯ BluOS ได้อีกทางหนึ่ง (ภาพด้านบน) โดยใช้ปลายนิ้วจิ้มที่ปุ่มกลมๆ สีขาวที่ศรชี้แล้วลากซ้ายขวาเพื่อปรับความดังได้เลย หรือจะใช้วิธีจิ้มลงไปที่เครื่องหมาย หรือเครื่องหมาย + ที่อยู่ถัดมาทางขวามือเมื่อต้องการลดหรือเพิ่มความดังก็ได้ ซึ่งผมชอบใช้วิธีจิ้มลงไปที่เครื่องหมายบวก/ลบมากกว่า คุมความดังได่ง่าย สะดวกมาก ..

ลองขับหูฟัง Beyerdynamic รุ่น T1 Tesla (32 โอห์ม)

ลองขับหูฟัง AKG รุ่น K720/65 Anniversary (62 โอห์ม)

ลองขับหูฟัง Sennheiser รุ่น HD650 (300 โอห์ม)

ผลการทดลองฟัง พบว่า กำลังขับสำหรับหูฟังในตัว NODE X สามารถขับดันหูฟัง Beyerdynamic T1 Tesla กับ AKG K720/65th Anniversary ได้อย่างเต็มที่ ทั้งความดัง, ไดนามิก, รายละเอียด และเวทีเสียงถูกขับออกมาได้อย่างหมดจด เสียงเปิดกระจ่าง โดยเฉพาะรุ่น T1 Tesla ให้รายละเอียดกลางแหลมออกมาได้โดดเด่นมาก ใครชอบฟังเสียงที่มีรายละเอียดย่านแหลมที่เปิดกระจ่างพร่างพรายจะต้องชอบ ส่วนขับ K720/65th Anniversary จะได้เสียงออกไปแนวโปร่งโล่ง กลางเด่นลอย ในขณะที่ตัวลุ้นคือ HD650 เพราะมีอิมพีแดนซ์สูงถึง 300 โอห์ม แต่ปรากฏว่า ภาคแอมป์ THX AAA ในตัว NODE X กลับขับออกมาได้สบายมาก ได้เสียงออกมาแนว dark ติดนุ่ม แต่ไม่อับทึบนะ ชิ้นดนตรีแยกตัวได้ชัดเจน เพียงแต่ว่าบุคลิกของโทนเสียงจะออกแนวสลัวนิดนึง ไม่สว่างกระจ่างโล่งเหมือนตอนขับ T1 Tesla คือไปกันคนละโทนเลย สรุปว่า กำลังขับของภาคแอมป์หูฟัง THX AAA ในตัว NODE X ใช้งานได้จริง หวังผลในแง่คุณภาพเสียงได้ เทียบกันแล้ว ภาคขยายหูฟังในตัว NODE X ให้เสียงดีกว่าภาคขยายหูฟังของ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าเยอะมาก..!!

ลองใช้กับชุดเครื่องเสียงบ้าน

ช่วงทดลองฟังเสียงเพื่อเก็บข้อมูล ผมยก NODE X เข้าไปแจมกับแอมป์+ลำโพงหลายชุด โดยไม่เลือกระดับราคาของชุด

จับคู่กับชุดแอมป์ Mola Mola รุ่น Kula + ลำโพง Mission รุ่น 770

จับคู่กับชุดแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 + ลำโพง KEF รุ่น R3 Meta

จับคู่กับชุดแอมป์ LEAK Stereo 230 + ลำโพง Usher Audio รุ่น UA-50

กับคำอ้างที่ว่า ชิป DAC เป็นหัวใจที่กำหนดเสียงของภาคดีทูเอฯ คอนเวิร์ตเตอร์ถือว่าใช้ได้จริงกับกรณีของ NODE vs. NODE X เพราะเสียงที่ได้ออกมาจากรุ่น NODE X มันแตกต่างกับเสียงของ NODE รุ่นก่อนหน้าอย่างมาก.!

และคำกล่าวที่ว่า ชิป DAC ของผู้ผลิตแต่ละเจ้า มีบุคลิกเสียงเฉพาะตัวที่ชัดเจนอันนี้ก็ถือว่าใช้ได้จริงอีกเหมือนกัน เพราะลักษณะโทนเสียงของ NODE X มันออกไปทางเปิดกระจ่าง จะแจ้งแทงตลอด เผยรายละเอียดออกมาแบบไม่อมพนำ ภาพลักษณ์ของเสียงที่ได้ยินจาก NODE X จึงออกไปทางสด สมจริง ซึ่งเป็นไปในแนวทางของชิป DAC จากค่าย ESS Technology มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต่างจากเสียงของ NODE รุ่นก่อนหน้าที่ให้ลักษณะเสียงออกไปทางเก็บตัว สุขุม รอมชอม แต่มีชั้นเชิงและอิ่มเนื้อ ซึ่งเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของชิป DAC ตระกูล PCM จากค่าย Burr-Brown มาตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปอยู่ใต้หลังคาเดียวกับ TI

ในแง่ของ บุคลิกเสียง” (sound’s character) คงจะใช้ตัดสินไม่ได้ว่าใครเหนือกว่าใคร ต้องอาศัย คุณภาพเสียง” (sound quality) ในการตัดสิน ซึ่งถ้าจะมองทางด้านเอ็นจิเนียริ่ง ก็คงต้องให้เครดิตกับสเปคฯ ที่สามารถวัดค่าได้ ซึ่งมีอยู่ 2-3 ค่า ที่มีน้ำหนักมากที่สุด นั่นคือ ‘Frequency Response’, ‘Signal-to-Noise ratioและ Distortionในขณะที่สเปคฯ ทางด้านความถี่ตอบสนอง (หรือ Frequency Response) ของทั้งสองตัวไม่ได้แจ้งเอาไว้ ซึ่งเดาว่าคงจะเปลี่ยนแปลงไปตามความถี่แซมปลิ้งของสัญญาณอินพุต คงเหลือแต่ Signal-to-Noise ratio (หรือ S/N ratio) กับ Distortion ซึ่งในตอนต้นๆ ของรีวิวนี้ผมได้นำตัวเลขสเปคฯ ทั้งสองค่าจากทั้งสองเวอร์ชั่นนี้มาแสดงไว้แล้ว ซึ่ง NODE X ให้ค่าที่ได้จากการวัดที่ สูงกว่าNODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าทั้งสองตัว จึงพอจะใช้เป็นข้อมูลสรุปได้ว่า NODE X ซึ่งใช้ชิป DAC ของ ESS Technology ให้ คุณภาพเสียงออกมา สูงกว่าNODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าที่ใช้ชิป DAC ของ TI (Burr-Brown)

มีข้อสังเกตอยู่ข้อหนึ่ง แม้ว่าชิป DAC ของ ESS Technology เบอร์ ES9028Q2M จะสามารถรองรับสัญญาณอินพุตที่เป็นฟอร์แม็ต PCM ได้สูงถึงระดับ 32-bit/384kHz แต่ทาง Bluesound ก็กำหนดให้มันทำงานแค่ระดับ 24-bit/192kHz เท่านั้น เท่ากับ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าที่ใช้ชิป Burr-Brown PCM 5242 ซึ่งก็สามารถรองรับสัญญาณอินพุตได้สูงถึง 32-bit/384kHz สำหรับตระกูล PCM

ทำไมไม่ทำให้รองรับสัญญาณอินพุตได้สูงกว่านี้.?

เข้าใจว่าวิศวกรของ Bluesound คงจะทำการปรับจูนแล้วเลือกเอาระดับอินพุตที่ภาค DAC รวมถึงภาค Clock, ภาคดิจิตัลฟิลเตอร์, ภาคเพาเวอร์ซัพพลาย และภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ NODE และ NODE X ทำงานร่วมกับอินพุตค่านั้นแล้วให้ผลลัพธ์ออกมา ดีที่สุดมากกว่า เพราะถ้าพูดถึงการทำงานของภาค D-to-A converter แล้ว มันมีความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้สูงที่สุด ไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพเสียง (สัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต) ที่ได้จาก DAC ตัวนั้น

อัลบั้ม : Audiophile Selection (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Tony O’Malley
สังกัด : Premium Records

เพลง ‘Autumn Leavesของ โทนี่ โอมอลลี่ จากอัลบั้มชุดนี้แสดงความโดดเด่นของ NODE X ออกมาให้ได้ยินแบบจะจะ ชัดๆ เพราะโทนของการบันทึกเสียงของอัลบั้มนี้ รวมถึงแนวทางการทำ digital remastered ของค่าย Premium Records เขามาในโทนจะแจ้ง เปิดกระจ่างสุดๆ อยู่แล้ว ถ้า DAC ตัวไหนให้เสียงที่ออกมาทางเปิดเผยแต่ปรับจูนคุณภาพมาไม่ถึงขั้น เพลงนี้มันจะฟ้องให้เห็นถึงความอ่อนด้อยคุณภาพของ DAC ตัวนั้นออกมาให้เห็นอย่างล้อนจ้อนไปเลย.!

NODE X ให้โทนเสียงของเพลงนี้ออกมาได้กระจ่างหูเป็นพิเศษ ทั้งเสียงเปียโนและเสียงร้องของคุณโทนี่ ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างโจ่งแจ้ง รายละเอียดทุกเม็ดถึงปอกเปลือกออกมาให้ได้ยินแบบไม่มีเหลือหรอ จะแจ้งแทงตลอดไปทุกอณู เสียงเปียโนกระจ่างชัดและหลุดลอยออกไปจากตู้ลำโพงอย่างเด็ดขาด ไปเท้งเต้งอยู่ในอากาศเหมือนผีหลอก มิติเสียงออกมาระดับที่ต้องร้องว้าวว…!! ใครที่ไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อน เชื่อว่ามาได้ยินตอนนี้ครั้งแรกจะต้องสะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้แน่ๆ เพราะ NODE X มันให้พื้นเสียงที่ใสเหมือนตาตั๊กแตน (นี่แหละ.. อิทธิฤทธิ์ของ SNR ที่ระดับ 118dB) ทำให้ทั้งเสียงเปียโนและเสียงร้องหลุดลอยเหนือแบ็คกราวนด์ขึ้นมาในอากาศได้อย่างเด่นชัด

เสียงร้องของคุณโทนี่ มีรายละเอียดที่เด่นชัดมากๆ บุคลิกเสียงของคนที่มีแก้วเสียงแหบหร้านเพราะอายุเยอะปรากฏออกมาให้ได้ยินชัดมาก.! ทุกอากัปกิริยาก่อนและหลังปล่อยเสียงออกมาจะได้ยินหมด ทั้งเสียงหายใจ เสียงขยับริมฝีีปาก ไปจนถึงเสียงสลัดปลายคำร้องที่เจาะใจ ไปจนถึงเสียงร้องที่แผดกร้าว ทั้งหมดนั้นถูกถ่ายทอดออกมาจาก NODE X อย่างหมดเปลือก ซึ่งพอสลับไปลองฟังผ่าน NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าแบบ A/B Test คือแค่สลับสายไฟเอซี, สาย LAN และสายสัญญาณ จาก NODE X มาที่ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้า ในขณะที่อย่างอื่นเหมือนเดิมทั้งหมด เสียงที่ออกมาไปคนละโทนเลย NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าให้ภาพลักษณ์ของเพลงนี้ที่ออกมาซอฟท์ลง รู้สึกได้เลยว่า ความจริงจังของเสียงเปียโนที่ผ่านน้ำหนักพรมนิ้ว และเสียงร้องที่ผ่านการเค้นออกมาจากลำคอลดดีกรีลงไปเล็กน้อย ปลายเสียงร้องและเสียงเปียโนลดน้อยลง เหมือนจางหายไปเร็วกว่า ทำให้อาการติดกร้าวนิดๆ ที่ได้ยินตอนฟังผ่าน NODE X บางเบาลงไป แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าความสดสมจริงแบบที่ NODE X ให้ออกมามันลดดีกรีลง กลายเป็นความรู้สึกที่ฟังสบายมากขึ้น เหมือนทั้งหมดถูก ขัดเกลาใหม่

แบบไหนดีกว่ากัน.? ผมเชื่อเลยว่า ถ้าไม่ได้มีการฟังเทียบกันในลักษณะ A/B Test แบบนี้ คนที่ได้ฟังเพลงนี้ผ่าน NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าก็คงแฮ้ปปี้กับเสียงแบบนั้นไปแล้วโดยไม่มีอะไรติดค้างคาใจ เพราะเสียงที่ได้ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ความสดกระจ่างผสมกับความนวลหูมาในสัดส่วนที่น่าพอใจมากแล้ว ซึ่งคิดว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความละเมียดละมัย ไม่ชอบเสียงที่สดและรุกเร้า คุณก็คงเลือก NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอะไรที่มัน real มากๆ แม้ว่าจะมีความไม่สมบูรณ์แบบของงานบันทึกเสียงถูกฟ้องออกมาให้ได้ยินแบบจะจะกลับรู้สึกยินดี คุณคงรีบตะครุบ NODE X ทันทีที่ฟังเพลงนี้จบ.!

ช่วงเวลาที่ทดสอบ NODE X นานเกือบเดือน ผมได้ลองฟังเพลงหลากหลายแนวกับ NODE X โดยมี NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าคอยเทียบอยู่ตลอด ยิ่งฟังนานก็ยิ่งชัดเจนในน้ำเสียงของ NODE X ที่ฉีกต่างออกไปจาก NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งบอกตามตรงว่า ในแง่ โทนเสียงแล้ว ผมก็ไม่กล้าฟังธงว่าโทนเสียงของใครดีกว่า เพราะมันขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนเลือกจริงๆ แต่ถ้าจะวัดกันทางด้าน คุณภาพเสียงผมฟันธงให้ NODE X ได้คะแนนเหนือกว่า NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้า เกิน 20% ขึ้นไป.!

NODE X คือไร้ที่ติ.? มิได้ครับ.. สัจจะธรรมของโลกคือไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีความจริงอีกอย่างที่เกี่ยวกับคำว่า ประสบการณ์นั่นคือ ถ้าคุณได้ฟังเสียงที่ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีโอกาสฟังเสียงที่ ดีกว่านั้นคุณจะจินตนาการไม่ออกว่า เสียงที่ดีกว่าเสียงที่คุณฟังอยู่มันเป็นอย่างไร ในการทดลองฟัง NODE X กับ NODE เวอร์ชั่นก่อนหน้าครั้งนี้ ผมมี external DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 ‘Twenty’ คอยประกบฟังเทียบอยู่ตลอด..

NODE X vs. QB-9 ‘Twenty’

Ayre Acoustics QB-9 ‘Twenty’ ตัวนี้เป็นตัวที่ผมเอา QB-9 เวอร์ชั่นแรกไปเข้าโครงการอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น ‘Twenty’ มาเมื่อไม่นานนี้เอง (*อ่านกรรมวิธีในการอัพเกรดกับผลลัพธ์ได้ ที่นี่) ซึ่งค่าตัวของ QB-9 ‘Twenty’ ตัวนี้อยู่ในระดับที่ สูงกว่าNODE X ประมาณ 4 เท่า ใช้ชิป ES9038Q2M ที่ให้ DNR อยู่ที่ 128dB สูงกว่าชิป ES9028Q2M ที่ใช้ใน NODE X อยู่ 10dB! จึงใช้เป็น ไม้บรรทัดวัดระดับประสิทธิภาพที่แท้จริงของ NODE X ได้

ตลอดการทดสอบครั้งนี้ ผมใช้ Roon nucleus+ ทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต เล่นไฟล์เพลงของผมเองที่เก็บอยู่ใน NAS แล้วส่งให้ NODE X ทางอินพุต LAN (Ethernet) ส่วนตอนฟังผ่าน QB-9 ‘Twenty’ จาก nucleus+ ส่งไปให้ QB-9 ‘Twenty’ ผ่านทางอินพุต USB (เพราะ QB-9 ‘Twenty’ มีอินพุต USB อย่างเดียว!)

ในการฟังเทียบ ผมแยกประเด็นพิจารณาไว้ 2 ขยัก ขยักแรกคือตอนลองฟังไฟล์ WAV ที่แพคเกจสัญญาณ PCM ตั้งแต่ 16/44.124/192 ส่วนอีกขยักคือตอนลองฟังไฟล์ DSF ที่แพคเกจสัญญาณ DSD ที่ระดับ DSD64

ผลจากการลองฟังไฟล์ WAV ที่แพคเกจสัญญาณ PCM ตั้งแต่ 16/44.124/192 เทียบกัน สิ่งแรกที่ผมสังเกตพบก็คือว่า โทนเสียงที่ออกมาของ NODE X และ QB-9 ‘Twenty’ มันไปในแนวทางเดียวกันเลย คือออกไปทางเปิดเผย กระจ่างชัด และแจกแจงรายละเอียดตั้งแต่ทุ้มขึ้นไปถึงแหลม ทว่า เมื่อฟังเทียบกันโดยพิจารณาในประเด็นของ คุณภาพเสียงจะพบว่า QB-9 ‘Twenty’ จะให้การแยกแยะรายละเอียดได้ดีกว่า โดยเฉพาะในย่านทุ้ม

อัลบั้ม : Necessarily.. So (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Siri’s Svale Band
สังกัด : Sonor Records

เพลง ‘Smoke Gets In Your Eyesในอัลบั้มนี้ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดใน ระดับที่ต่างกันระหว่าง NODE X กับ QB-9 ‘Twenty’ แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการฟังเพลงนี้ผ่าน NODE X ก่อน ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ารายละเอียดที่ NODE X ถ่ายทอดออกมามันจะมีอะไรที่ดีกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงเบส เสียงร้อง และเสียงไล้แส้ของมือกลอง NODE X ก็ปลดปล่อยออกมาให้ได้ยินครบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนมาฟังผ่าน QB-9 ‘Twenty’ ผมได้ยิน ชัดขึ้นว่าช่วงต้นอินโทร มือเบสดีดสายเบสพร้อมกันสองเส้น พอกลับไปฟังผ่าน NODE X ผมก็ได้ยินว่าเสียงเบสมีอาการควบกล้ำอยู่สองเสียง เพียงแต่ว่า NODE X แสดงส่วนที่เป็น หัวเสียงของโน๊ตเบสทั้งสองออกมาได้ไม่ชัดเท่ากับที่ QB-9 ‘Twenty’ ให้ออกมา หลังจากสลับฟังกลับไปกลับมาอีกสองสามรอบ ผมก็พบความแตกต่างเพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า QB-9 ‘Twenty’ ให้ น้ำหนักของมือเบสที่ออกแรงกระทำกับสายเบสที่รับรู้ได้มากกว่า บอดี้ของเสียงเบสที่ได้ยินผ่าน QB-9 ‘Twenty’ มีมวลที่อิ่มหนามากกว่า ทว่า.. ถ้าเอาความแตกต่างในแต่ละประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นมาบวกรวมกัน ก็น่าจะไม่เกิน 30%

หลังจากฟังเทียบกันอีก 2-3 เพลง ผลก็พอสรุปได้ว่า QB-9 ‘Twenty’ กับ NODE X ให้โทนเสียงออกมาในแนวทางเดียวกัน แต่ QB-9 ‘Twenty’ จะให้ โฟกัสกับ น้ำหนักเสียงที่ดีกว่าในอัตราไม่เกิน 30%

แต่ตอนฟังเทียบด้วยไฟล์ DSF64 โดยใช้ Roon nucleus+ เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต มีประเด็นที่ทำให้ได้เสียงออกมาต่างกันค่อนข้างเยอะ เนื่องจากภาคดิจิตัล อินพุตของ NODE X ล็อคเงื่อนไขในการตอบรับกับสัญญาณ DSD ไว้ที่ Convert to PCMเท่านั้น ไม่สามารถเลือกรูปแบบอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็น DoPหรือ Native

หลังจากแตกไฟล์ DSF64 ออกมาเป็น DSD64 แล้ว โปรแกรม Roon ได้ทำการแปลงสัญญาณ DSD ออกมาเป็น PCM (ทำ format conversion) ที่ระดับ 352.8kHz หลังจากนั้นก็ทำการเปลี่ยนความถี่แซมปลิ้ง (ทำ down sampling) จาก 352.8kHz ให้ลงมาอยู่ที่ 176.4kHz ซึ่งเป็นระดับแซมปลิ้งของสัญญาณ PCM ที่ภาค DAC ของ NODE X รองรับได้ ถือว่าเป็นกระบวนการทางดิจิตัล คอนเวอร์ชั่นที่ต้องมีการแปลงหลายชั้นซึ่งส่งผลต่อคุณภาพเสียงของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ได้ออกมาในขั้นตอนสุดท้าย

เปรียบเทียบกับตอนเล่นไฟล์เพลง DSF64 ไฟล์เดียวกันผ่าน QB-9 ‘Twenty’ จะเห็นว่า Roon เลือกวิธีการเล่นไฟล์ DSF64 ด้วยกรรมวิธี DSD over PCM v1.0 (DoP)’

ทางโปรแกรม Roon มีการแยก ระดับคุณภาพของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ผ่านกระบวนการทำดิจิตัล คอนเวอร์ชั่นไว้ทั้งหมด 4 ระดับ โดยระบุไว้ในหน้าต่าง Signal Pathซึ่งเรียงตามลำดับคุณภาพจาก ดีที่สุดลงไปถึงระดับ แย่สุดนั่นคือ Lossless > Enhanced > High Quality > Lossy จะเห็นว่า กระบวนการแปลงสัญญาณ DSD เป็น PCM ที่ Roon ทำให้กับ NODE X ได้คุณภาพเสียงของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตออกมาในระดับ High Qualityในขณะที่ Roon จัดการกับสัญญาณ DSD ให้กับ QB-9 ‘Twenty’ ด้วยวิธี DSD over PCM V1.0 (DoP)’ และระบุระดับคุณภาพของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตอยู่ที่ Lossless

ผลทางเสียงของการเล่นไฟล์ DSF64 ผ่าน external DAC ทั้งสองตัว พบว่า เสียงที่ได้จากการเล่นผ่าน QB-9 ‘Twenty’ ให้ความนวลเนียนของเนื้อเสียงมากกว่า แต่สิ่งที่ต่างกันเยอะอยู่ที่ ไทมิ่งของจังหวะเพลงซึ่ง QB-9 ‘Twenty’ ควบคุมจังหวะลีลาของการบรรเลงของศิลปินได้ดีกว่า ชัดเจนในแง่คอนทราสน์ ไดนามิกที่ลื่นไหล ต่อเนื่องมากกว่า ความแตกต่างอยู่ในระดับ 30-40% คือตอนฟังผ่าน NODE X จะรู้สึกว่าเสียงโดยรวมที่ได้จากไฟล์ DSF64 มีความนุ่มปกคลุมอยู่ ไดนามิกสวิงได้ไม่เต็มสเกล มีผลต่อความสดจะน้อยกว่าตอนฟังไฟล์ WAV (PCM) อย่างชัดเจน

สรุป

เมื่อพิจารณาในแง่ คุณภาพเสียงกับการ ชกข้ามรุ่นกับ QB-9 ‘Twenty’ ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามแนวทางที่ควรจะเป็น คือโดยรวมแล้ว เสียงของ NODE X เป็นรอง QB-9 ‘Twenty’ แต่มีข้อสังเกตของผมอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความแตกต่างที่รับฟังได้จากการเปรียบเทียบครั้งนี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาได้แค่ไม่เกิน 30% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยกว่าสัดส่วนความต่างของราคาของ external DAC ทั้งสองตัวนี้ นั่นสะท้อนให้เห็นถึง คุณภาพที่ เกินตัวเกินระดับราคาของ NODE X ตัวนี้.! ถ้าไฟล์เพลงที่คุณมีอยู่ไม่ได้สูงกว่า PCM 24/192 และถ้าคุณเน้นเล่นไฟล์เพลงที่สตรีมจาก TIDAL เป็นหลัก (NODE X รองรับการถอดรหัสไฟล์ MQA ด้วย) กับงบประมาณไม่เกิน 30,000 บาท NODE X คือทางเลือกอันดับต้นๆ ที่คุณควรจะพิจารณา

เมื่อพิจารณาในแง่ ฟังท์ชั่นใช้งานถ้าจะซื้อ External DAC สักตัว ด้วยงบไม่เกิน 3 หมื่นบาท คุณสมบัติข้อใดที่คุณต้องการให้มี.? สำหรับนักเล่นรุ่นใหม่บางคนอาจจะต้องการ วอลลุ่มในตัวเผื่อไว้ต่อตรงเข้าลำโพงแอ๊คทีฟ บางคนอาจจะต้องการให้มีสตรีมมิ่งในตัว เอาไว้สตรีมไฟล์เพลงจากผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ทอย่าง TIDAL ในขณะที่บางคนมองการณ์ไกล อยากได้ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตคุณภาพดี เอาไว้อัพเกรดภาค DAC ในอนาคต ฯลฯ ทั้งหมดนี้ NODE X เตรียมไว้ให้คุณพร้อมสรรพแล้ว..!!! /

**************************
ราคา : 29,900 บาท / เครื่อง
**************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Conice Electronic
โทร. 02-276-9644

สั่งซื้อได้ที่
conice.co.th

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า