หลังกลับมาจากเดินทางไปดูงานเครื่องเสียงที่ฮ่องกง มีคนถามว่า มีอะไรดีๆ บ้าง.? ผมบอกตรงๆ ว่าไอ้ที่ว่า “ดีจริงๆ” น่ะแทบจะหาไม่ได้ อันนี้คิดว่า “ประสบการณ์ในการฟัง” ของเราอาจจะมีส่วนด้วย คือพอเราพัฒนาการฟังให้สามารถแยกแยะอะไรๆ ได้ละเอียดมากขึ้น ประกอบกับมีห้องฟังที่มีความพร้อมมากขึ้น เปิดโอกาสให้สามารถเซ็ตอัพ ปรับจูนเสียงได้ละเอียดมากขึ้น เมื่อมาเดินฟังในงานแสดงโชว์แบบนี้จึงได้เห็น (ได้ยินนั่นแหละ!) ตำหนิของเสียงที่เกิดจากการเซ็ตอัพที่มีข้อจำกัดได้ชัดเจนมากขึ้น เลยหาห้องที่ให้เสียงสมบูรณ์แบบออย่างที่เราตั้งความหวังไว้แทบจะไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนเซ็ตอัพจะไม่เก่งนะ แต่ปัญหามันน่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นปัญหาของห้องที่ไม่เหมาะสมในการเซ็ตอัพแล้ว ยังมีเรื่องของปัญหาแม็ทชิ่งอีก เป็นเพราะบริษัทที่มาออกงานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงที่พวกเขานำเข้าไปจำหน่ายมาจับคู่ด้วยกัน พอไม่แม็ทช์กันก็ต้องเลยตามเลย จะไปใช้ของคนอื่นก็ไม่ได้ หลายๆ ห้องจึงมีปัญหาทางด้านมีสแม็ทช์ให้เห็นอยู่เยอะ
แต่หลังจากทบทวนอยู่นาน ผมก็พอจะจำได้ว่า ได้ไปฟังลำโพงเล็กคู่หนึ่งในห้องฟังใหญ่ห้องหนึ่งที่ชั้นสาม เป็นลำโพงของประเทศฝรั่งเศส ชื่อแบรนด์ Revival Audio
รุ่น Sprint 3 (ศรชี้ – ภาพบน)
ในงานวันนั้นเขาขับด้วยอินติเกรตแอมป์ตัวใหญ่ยักษ์ของอิตาลี ชื่อแบรนด์ Pathos เสียงออกมาดีทีเดียว แม้ว่าจะอยู่ในลักษณะการเซ็ตอัพที่ไม่สามารถโชว์ศักยภาพของลำโพงออกมาได้เต็มที่ แต่เสียงที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามันใหญ่โตมโหฬาร เกินส่วนสัดของตัวตู้ไปเยอะเลย.! ผมจำได้ว่าแบรนด์นี้มีตัวแทนในบ้านเรา หลังจากกลับมาได้ไม่นาน คุณเอ็ม เสือใต้จากสำนัก MSound ได้จัดส่ง Revival Audio รุ่น Atalante 3 มาให้ผมทดสอบ เมื่อถามถึงรุ่นที่ผมไปได้ยินมาจากในงาน ก็ทราบว่าคู่นั้นเป็นรุ่น Sprint 3 ซึ่งอยู่ในวรรณะที่ต่ำกว่า Atalante 3 ที่คุณเอ็มส่งมาให้..
ในภาพนี้คือรุ่น Atalante 3 ที่ผมไปเห็นในงาน
“.. รุ่น Sprint 3 เป็นรุ่นใหม่ แต่ซีรี่ย์เล็กกว่า อย่างจารย์ต้องฟัง Atalante 3 ครับ สมน้ำสมเนื้อกว่า.!!” น่าจะไม่อยากขาย Sprint 3 แหละ.. ผมดูออก 555
Revival Audio เป็นใครมาจากไหน.?
เป็นธรรมเนียมของเรา ก่อนจะเข้าไปสัมผัสกับผลงานของใคร เราก็ควรจะทำความรู้จักกับเจ้าของผลงานซะก่อน
แบรนด์ Revival Audio เป็นผู้ผลิตลำโพงที่มีฐานพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ตั้งรกรากอยู่ในเขตการปกครอง Alsace ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส มีพรหมแดนชิดกับเยอรมันและสวิสเซอร์แลนด์ เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติสวยงามมาก ทั้งทิวทัศน์และบ้านเรือน เป็นเขตพื้นที่ที่มีศิลปะฝังรากลึกลงไปในทุกอณู ผมชอบฉากเปิดของเว็บไซต์ของพวกเขามาก เห็นภาพของบ้านเรือนสไตล์บาวาเรี่ยนแล้วทำให้จินตนาการไปถึงเทพนิยายโบราณ ให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงรสนิยมของเจ้าของแบรนด์ที่มีกลิ่นอายของศิลปะขจรกระจายออกมาฟุ้งไปหมด
ไม่น่าเชื่อว่าแบรนด์นี้เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ปี 2022 นี้เอง ที่ว่าไม่น่าเชื่อก็เพราะว่าถ้าคุณได้เห็นตัวลำโพงจริงๆ เหมือนผม มันน่าจะเป็นลำโพงที่ผ่านการขัดเกลามานานกว่านั้น แต่เมื่ออ่านข้อมูลเบื้องหลังแบรนด์นี้เพิ่มเติมก็เริ่มเข้าใจว่า เพราะเหตุใด งานปราณีตศิลป์ระดับนี้จึงสามารถอุบัติขึ้นได้ด้วยเวลาที่รวดเร็วเช่นนี้
จากข้อมูลที่เจอในเว็บไซต์ของพวกเขา พบว่า มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ประการ ที่เกื้อหนุนให้มีลำโพงแบรนด์ Revival Audio เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ องค์ประกอบแรกมาจากประสบการณ์ในการออกแบบลำโพงมานานกว่า 30 ปีของดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Daniel Emonts (คนซ้ายในภาพข้างบน) ผู้ซึ่งเคยร่วมออกแบบลำโพงชั้นนำของโลกมาแล้วมากมาย เริ่มตั้งแต่ Altec Lansing, Focal และ Dynaudio กับอีกคนคือ Jacky Lee (คนขวา) ที่เข้ามาช่วยในการออกแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ถ้าขยับเข้าไปพิจารณาที่ตัวตู้ของ Atalante 3 ใกล้ๆ จะเห็นว่าบนแผงหน้าของตัวตู้มีสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่สลักลงบนแผ่นไม้กลมๆ ฝังอยู่ และที่มุมล่างบนผนังข้างตู้ด้านขวา (หันหน้าเข้าหาหน้าตู้) จะมีโลโก้แบรนด์กับชื่อแบรนด์ที่ยิงด้วยเลเซอร์สลักอยู่ด้วย เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ถึงความปราณีตในการออกแบบ เหมือนจะจงใจเน้นความคลาสสิกเป็นพิเศษ ซึ่งจากข้อมูลที่รู้มาจากเว็บไซต์ของแบรนด์นี้เขาระบุว่า ได้รับความดูแลทางด้านการออกแบบรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์จากบริษัท A+A Cooren Design Studio ซึ่งเป็นบริษัทที่รับงานอินดัสเชี่ยล ดีไซน์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ในรูปลักษณ์ที่สร้างสรรค์ด้วยการใช้วัสดุธรรมชาติเข้ามาผสมผสานกับดีไซน์เชิงศิลปะ ดำเนินงานโดย Aki กับ Arnaud Cooren หนึ่งญี่ปุ่น+หนึ่งฝรั่งเศส จึงไม่แปลกใจที่ตู้ลำโพงของ Revival Audio ‘Atalante 3’ คู่นี้ถึงได้มีภาพลักษณ์และกลิ่นอายของความเป็น “งานศิลป์” ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
Revival Audio รุ่น Atalante 3
ลำโพงเล็ก.. ทรงโต.!
ตัวตู้ของ Atlante 3 ทำด้วยไม้ปะผิวไม้แท้สีวอลนัททั้งตัว ดูคลาสสิกมาก..
คำจำกัดความทางสรีระของลำโพงคู่นี้คือ “ลำโพงสองทาง วางหิ้ง ขนาดเล็ก” แต่ทว่า มองด้วยสายตาแล้ว ตัวตู้ของ Atalante 3 ตัวนี้จะว่าเล็กก็ไม่เชิง จะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ มันก้ำกึ่ง สาเหตุก็เพราะตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ที่ใช้ในลำโพงรุ่นนี้มันมีขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว เลยทำให้แผงหน้าของตัวลำโพงมีความกว้างมากถึง 24 ซ.ม. (9.6 นิ้ว) มองตรงๆ จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวใหญ่ ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ข้างละ 11 กิโลกรัม
Atalante 3 เป็นลำโพงตู้เปิด โดยซ่อนท่อระบายอากาศขนาดใหญ่ไว้ที่ด้านบนของแผงหลัง และติดตั้งขั้วต่อสายลำโพงไว้ที่ส่วนล่างของแผงหลัง เป็นขั้วต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลไวร์ ตัวขั้วต่อเป็นโลหะ เนื้องานดูดีมาก
ที่ใต้ตัวตู้ของลำโพงทั้งสองข้างมีวงแหวนยางแข็งๆ อยู่ข้างละ 4 วง ถูกยึดติดอย่างแน่นหนาแข็งแรงอยู่กับส่วนฐานของตัวตู้ด้วยน็อตสกรูขนาดใหญ่ นัยว่าผู้ออกแบบต้องการให้วงแหวนยางทั้งสี่วงนี้ทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ช่วยลดแรงปะทะของส่วนฐานของตู้ที่จะกระทำกับแผ่นแพลทด้านบนของขาตั้ง ซึ่งแน่นอนว่า คุณแดเนี่ยล แกคงคาดหวังให้วงแหวนยางเหล่านี้ช่วยลดเรโซแนนซ์ของตัวตู้นั่นแหละ..
ไม่ได้พิเศษแค่ตู้นะ…
ในเว็บไซต์ revivalaudio.fr ซึ่งเป็นอ๊อฟฟิเชียล เว็บไซต์ของแบรนด์นี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการออกแบบลำโพงคู่นี้อย่างละเอียด สะท้อนให้เห็นว่า คุณ Daniel Emonts กับคุณ Jacky Lee คิดมารอบคอบจริงๆ พวกเขาไม่ได้แค่ทำให้ลำโพงดูสวยต่อสายตา แต่เอาประสบการณ์ในการออกแบบลำโพงแบรนด์ดังๆ ในอดีตมาใช้อย่างเต็มที่ อัดโนฮาวลงไปเต็มเหยียดในทุกจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนประกอบสำคัญที่มีผลอย่างยิ่งยวดกับเสียงของลำโพง นั่นคือ “ไดเวอร์” และ “วงจรเน็ทเวิร์ค“
ทวีตเตอร์ซอฟท์โดม
เริ่มด้วยทวีตเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเสียงแหลม ซึ่งคุณแดเนี่ยล แกเลือกใช้ทวีตเตอร์แบบซอฟท์โดมขนาด 28 mm ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ได้มาจากประสบการณ์ 40 ปีที่ร่วมออกแบบลำโพงดังๆ มา เขาเชื่อในเสียงของทวีตเตอร์ซอฟท์โดมมากกว่าทวีตเตอร์แบบอื่น และเพื่อให้ลำโพงแบรนด์นี้สะท้อนตัวตนของเขาออกมาอย่างเต็มที่จริงๆ เขาจึงลงมือออกแบบทวีตเตอร์ตัวนี้ด้วยตัวเอง และตั้งโค๊ดรหัสชื่อให้มันว่า RASCTM
เริ่มตั้งแต่ออกแบบไดอะแฟรมทรงโดมครึ่งวงกลมที่ทำด้วยผ้าให้มีรูปทรงลักษณะที่สามารถรักษารูปทรงของโดมให้คงรูปไว้ได้ตลอดเวลา แม้จะเป็นช่วงที่มันต้องขยับตัวอย่างรุนแรงเพื่อสร้างความถี่เสียงในย่านสูงออกมา ตัวโดมก็ต้องเคลื่อนไหวด้วยลักษณะที่สมดุลตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน โดมทวีตเตอร์ตัวนี้ยัง “ต้อง” สามารถรักษาทรงของมันไว้ได้แม้ในขณะที่ต้องขยับตัวเพื่อสร้างความถี่ในย่าน 1-8kHz ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่ต่ำมากสำหรับทวีตเตอร์
กลยุทธที่คุณแดเนี่ยล แกเอามาใช้ในการออกแบบโดมทวีตเตอร์ตัวนี้ให้มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการข้างต้นก็คือ ออกแบบส่วนฐานของไดอะแฟรม (โดม) ให้เป็นวงแหวนสองชั้น (เรียกว่า Asymmetric Dome Suspension) มีผลช่วยผ่อนแรงตึงตัว ช่วยลดโอกาสที่ไดอะแฟรมจะเกิดการ break-up ขณะที่โดมขยับตัวอย่างรุนแรง อีกเทคนิคที่เขานำมาใช้ก็คือ ออกแบบน้ำยาเคลือบโดมทวีตเตอร์ด้วยสูตรพิเศษ เพื่อเพิ่มความแกร่งของโดมทวีตเตอร์อีกชั้นหนึ่ง
นอกจากนั้น ในส่วนของระบบแม่เหล็กที่ใช้ในการขับดันไดอะแฟรมของทวีตเตอร์ก็ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ แทนที่จะใช้แม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมที่มีกำลังสูงแต่มีขนาดเล็ก คุณแดเนี่ยล แกเลือกใช้แม่เหล็กเฟอร์ไร้ต์แทนเพราะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า และมีราคาต้นทุนต่ำกว่านีโอไดเมี่ยม (มีผลต่อราคาขายที่ต่ำกว่าด้วย) ส่วนเรื่องของกำลัง แกก็เลยต้องใช้แม่เหล็กเฟอร์ไร้ต์ที่มีมวลขนาดใหญ่เพื่อให้มีกำลังมากพอ ซึ่งกลายเป็นว่ามีข้อดี คือทำตัวเป็นระบบระบายความร้อนที่ช่วยดูดซับความร้อนของว้อยคอยซ์ไปในตัว
ยังไม่หมดแค่นั้น คุณแดเนี่ยล แกยังมีเทคนิคในการปรับจูนเสียงของทวีตเตอร์ตัวนี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเทคนิคระดับที่แอดวานซ์มาก นั่นคือเทคนิคที่เรียกว่า Anti Reflection Inner Dome (ARID) เป็นเทคนิคที่มาจากแนวคิดที่ว่า อากาศที่อยู่ใต้โดมทวีตเตอร์จำนวนมากนั้น ถ้าปล่อยให้มันรวมตัวกัน มันจะสร้างแรงต้านต่อการขยับตัวของโดมของทวีตเตอร์ ทำให้โดมทวีตเตอร์ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ คุณแดเนี่ยล แกเลยออกแบบโครงสร้างพลาสติกในช่องที่อยู่ใต้โดมทวีตเตอร์ให้มีลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบและไม่สมมาตร เพื่อให้ช่วยสลายพลังงานของคลื่นอากาศที่อยู่ใต้โดมทวีตเตอร์ลงขณะที่โดมถอยหลังกลับ ทำให้ช่วยลดแรงต้านของมวลอากาศที่อยู่ใต้โดมลงไปได้มาก ส่งผลให้ไดมทวีตเตอร์ขยับตัวเข้า–ออกได้อย่างเต็มวงสวิงของสัญญาณ
มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์
ไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ที่ใช้ใน Atalante 3 มีเบื้องหลังที่น่าสนใจ เริ่มจากไดอะแฟรมของกรวยทำมาจากใย ‘หินบะซอลต์‘ ซึ่งมีลักษณะคล้ายใยแก้ว สกัดมาจากหินลาวา ซึ่งไม่เคยมีใครนำวัสดุประเภทนี้มาใช้ในวงการไฮไฟฯ มาก่อน เหตุผลที่คุณแดเนี่ยล เลือกใช้วัสดุตัวนี้ นอกจากจะเป็นเพราะคุณสมบัติที่เป็นคุณต่อเสียงของมันแล้ว วัสดุประเภทนี้ยังมีคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ลักษณะของเส้นใย ‘บะซอลต์‘ (Basalt) ที่สานขึ้นรูปก่อนเอามาทำไดอะแฟรมของตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ ซึ่งสกัดมาจากลาวา หรือแม็กม่าที่เย็นตัวแล้ว ซึ่งเส้นใยบะซอลต์นี้จะมีความแกร่งสูงกว่าเส้นใยหินและเคฟล่า
เส้นใย ‘บะซอลต์‘ ที่สานเป็นแผ่นแล้วจะถูกนำมาซ้อนทับลงบนแผ่นโฟมบางๆ (ศรชี้) ที่มีคุณสมบัติดูดซับพลังงานโดยมีกาวโพลีเมอร์ชนิดพิเศษช่วยผสานอยู่ตรงกลาง ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างลักษณะที่เรียกว่า ‘แซนด์วิช‘ (Basalt Sandwich Construction = BSC) ส่งผลให้ไดอะแฟรมของไดเวอร์มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ตัวนี้มีน้ำหนักเบา ขยับตัวได้เร็ว และมีคุณสมบัติในการ ‘แด้มปิ้ง‘ (ดูดกลืนพลังงานความสั่นสะเทือน) ได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติในอุดมคติสำหรับวัสดุที่ใช้ทำแผ่นไดอะแฟรมของไดเวอร์
สำหรับการออกแบบระบบแม่เหล็กของตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ตัวนี้ คุณแดเนี่ยล แกก็ใช้แนวคิดเดียวกันกับการออกแบบทวีตเตอร์ นั่นคือ เลือกใช้แม่เหล็กเฟอร์ไร้ต์ที่มีขนาดใหญ่เพื่อให้ได้พลังแม่เหล็กที่มากพอ ซึ่งถ้าไปใช้แม่เหล็กนีโอไดเมี่ยม จะมีขนาดเล็กกว่า แต่มีราคาสูงกว่าและในการผลิตแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมจะก่อให้เกิดปัญหากับธรรมชาติ ในขณะที่แม่เหล็กเฟอร์ไร้ต์เป็นมิตรกับธรรมชาติมากกว่า
ยังไม่หมด.! ตัวโครง (basket) ที่จับยึดชิ้นส่วนต่างๆ ของไดเวอร์ ถูกออกแบบให้มีลักษณะที่โปร่งโล่งมากเป็นพิเศษ นัยว่าเพื่อลดการสะสมพลังงานความสั่นสะเทือนและเพื่อผลในการระบายความร้อนไปพร้อมกัน แต่ที่เป็นผลดีต่อเสียงที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทำให้ไดอะแฟรมเคลื่อนตัวเดินหน้า–ถอยหลังได้อย่างอิสระ เพราะไม่มีมวลอากาศต้านอยู่ใต้ไดอะแฟรมนั่นเอง
ปิดท้ายด้วยวงจรตัดแบ่งความถี่
เพราะมีประสบการณ์มากพอ คุณแดเนี่ยล แกเลยใช้วิธีจูนเสียงของวงจรเน็ทเวิร์คด้วยการฟังด้วยหู คือเปลี่ยนอุปกรณ์แล้วลองฟังจนได้เสียงที่พอใจ จากนั้นก็ตบด้วยการวัดค่าด้วยเครื่องมือวัดอีกรอบ ซึ่งเขาบอกว่า บางครั้งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้น อาจจะปรากฏให้เห็นจากการวัดค่าที่ออกมาเล็กน้อยมาก แต่ส่งผลต่อเสียงเยอะมาก.!
หลักการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คของคุณแดเนี่ยล แกเรียบง่ายมาก เริ่มจากการใช้คอมโพเน้นต์น้อยๆ เท่าที่จำเป็นจริงๆ ไฮไล้ท์ที่แกใช้ในการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คของลำโพงทุกรุ่นในซีรี่ย์ Atalante 3 ก็คือสายสัญญาณของ Van Den Hul รุ่น Skyline Hybrid ซึ่งเป็นสายสัญญาณที่ใช้ตัวนำทองแดง OFC ที่เคลือบทับด้วยคาร์บอน
แนวทาง “แม็ทชิ่ง“
คงเป็นเพราะ Atalante 3 ให้เร้นจ์ในการตอบสนองความถี่ด้านต่ำ (Low Frequency) ที่ลงไปลึกถึง 44Hz ประกอบกับตัวเลข “ความไว” (sensitivity) ที่ลงไปอยู่ที่ระดับ 87dB ค่อนข้างทาง “ความไวต่ำ” (ปานกลางอยู่ที่ 88 – 90dB) กับอิมพีแดนซ์ที่ระบุไว้ที่ 4 โอห์ม ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนี้ทำให้ลำโพงคู่นี้มีภาพลักษณ์ออกมาคล้ายกับว่าเป็น “ลำโพงกระหายกำลัง” ..?
ความสามารถในการรับมือกับ “ความดัง” ของสัญญาณเสียง (pure music) ของลำโพงคู่นี้อยู่ที่ 150W ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำให้เริ่มต้นด้วยกำลังขับของแอมป์ “อย่างต่ำ” ที่ 30W โดยมีขนาดของห้องฟังที่แนะนำไว้ด้วยคืออยู่ที่ 15 – 35 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน กxย ของห้องก็อยู่ราวๆ 3×5 ตรม. ถึง 5×7 ตรม. ก็ถือว่าครอบคลุมขนาดห้องได้กว้างมาก แต่จากประสบการณ์ เมื่อดูจากขนาดลำโพงเทียบกับขนาดห้องที่ผู้ผลิตบอกมา ผมคิดว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบฟังเสียงเข้ม ชอบเปิดดังและเป็นเสียงที่สวิงไดนามิกได้กว้างๆ แบบเต็มสเกลจริงๆ กับลำโพงขนาดตู้ประมาณนี้ น่าจะไปได้ดีกับห้องที่มีขนาดไม่เกิน 4×6 ตรม. ถ้าไปลงในห้อง 5×7 ตรม. ผมว่าเสียงมันจะจางไปหน่อย เนื้อเบสน่าจะไม่พอแผ่คลุมพื้นที่ห้องที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้อัดแอมป์เข้าไป 150W เต็มสเปคฯ ที่ลำโพงรับได้ก็เถอะ..!
จับคู่กับอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 (115W x 2 ที่ 4 โอห์ม)
จากตัวเลข “กำลังขับสูงสุด” ที่ Atalante 3 แนะนำไว้คือ 150W ที่อ้างอิงกับโหลดอิมพีแดนซ์ปกติคือ 4 โอห์ม จริงๆ แล้วถือว่าไม่ได้มากเลย ถ้าใช้สูตรของผมคำนวนค่าตัวเลขกำลังขับในระดับ “หวังผล” ก็คือ 150 x 75/100 = 112.5W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม ถ้าทดไปที่ 8 โอห์ม ก็จะได้ตัวเลขออกมาที่ 112.5 หารด้วย 2 = 56.25W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม หรือคร่าวๆ ก็ประมาณ 60W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม
อือมม.. ตัวเลขระดับนี้ก็ไม่ถือว่ากระหายกำลังมากนะ.!
เมื่อมองสำรวจในห้องฟังของผมตอนนี้ ตาไปปะทะกับอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 เข้าให้ ลองยกมาพลิกดูสเปคฯ ของ Stereo 230 พบว่า มันให้กำลังขับที่ 8 โอห์ม อยู่ข้างละ 75W แต่ถ้าวัดที่ 4 โอห์ม จะได้กำลังขับเท่ากับ 115W โป๊ะเช๊ะ.! ใกล้เคียงกับกำลังขับที่ลำโพงแนะนำไว้มาก ผมไม่รอช้า จับมาคู่กันทันที หลังจากฟังเสียงคร่าวๆ แล้วบอกเลยว่า Revival Audio Atalante 3 + LEAK Stereo 230 คู่นี้มันคือเนื้อคู่ที่เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างแท้จริง.. เพราะไม่ใช่แค่ขับออกสบายๆ เท่านั้น แม้แต่รูปร่างหน้าตามันก็ออกมากลมกลืนกันด้วย เป็นคู่ที่คอ “วินเทจ” เห็นแล้วต้องซี๊ดดด.. !!!
จับคู่กับอินติเกรตแอมป์ Audiolab รุ่น 9000A (160W x 2 ที่ 4 โอห์ม)
จับคู่กับอินติเกรตแอมป์ McIntosh รุ่น MAC7200 (200W x 2 ที่ 4 โอห์ม)
จับคู่กับอินติเกรตแอมป์ Mola Mola รุ่น Kula (300W x 2 ที่ 4 โอห์ม)
ในห้องผมมีอินติเกรตแอมป์ที่มีกำลังมากพอขับลำโพงคู่นี้อยู่ 4 ตัว นอกจาก LEAK Stereo 230 แล้ว ก็มี Audiolab 9000A (160W ที่ 4 โอห์ม)(REVIEW), McIntosh MAC7200 (200W ที่ 4 โอห์ม) และ Mola Mola Kula (300W ที่ 4 โอห์ม) ผมทะยอยยกออกมาทดลองขับ Atalante 3 ครบทุกตัว
มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ค้นพบในขั้นตอนที่ผมทดลองแม็ทชิ่งลำโพงคู่นี้ คือตอนแรกที่ได้รับลำโพงคู่นี้มาจากตัวแทน สภาพของกล่องค่อนข้างบอบช้ำ คะเนแล้วคาดว่าลำโพงถูกใช้งานมานานพอสมควร ซึ่งตอนแรกผมก็คิดไปว่าลำโพงน่าจะผ่านเบิร์นฯ มาแล้ว แต่หลังจากทดลองสลับแอมป์เข้าไปขับลำโพงคู่นี้อยู่สอง–สามตัว ผมพบว่า เสียงที่ออกมามันมีอาการไม่หลุดตู้ ไดนามิกสวิงได้ไม่เต็มที่ในย่านความถี่ต่ำๆ ซึ่งตอนแรกผมวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะพฤติกรรมของลำโพงที่อาจจะกินกำลังแอมป์มากกว่าปกติ ประกอบกับตัวเลขในสเปคฯ ของลำโพงก็มีแนวโน้มให้คิดไปแบบนั้น แต่พอเอาอินติเกรตแอมป์ McIntosh MAC7200 ซึ่งมีกำลังขับอยู่ที่ 200W ที่ 4 โอห์ม กับ Mola Mola Kula ที่มีกำลังขับมากถึง 300W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม (ซึ่งไม่ควรจะขับ Atalante 3 ไม่ออก) มาลองขับดูบ้าง พบว่า เสียงของลำโพงคู่นี้ก็ยังมีอาการเหมือนยังไม่เบิร์นฯ ผมจึงปล่อยให้ MAC7200 นวดลำโพงคู่นี้ต่อเนื่องอยู่ 2 วัน (นับรวมๆ ประมาณ 30-40 ชั่วโมง) อาการตื้อๆ อืดๆ จึงหายไป ทุกอย่างออกมาในลักษณะที่ควรจะเป็น สรุปแล้ว กลายเป็นว่า ลำโพงคู่นี้อาจจะยังไม่เคยถูกนวดด้วยแอมป์ที่มีกำลังสูงๆ มาก่อน เพราะตอนมาถึงมือผมมันยังมีอาการ “ออกไม่สุด” ปรากฏอยู่ หลังจากโดนแอมป์ยักษ์ๆ สองตัวยวดไปสองวัน อาการทึบๆ มืดๆในย่านทุ้มของลำโพงคู่นี้ที่ได้ยินตอนแรกๆ ก็หายไปจนหมด ทุกความถี่เปิดกระจ่างออกมาให้ได้ยินครบเครื่อง
หลังจากผ่านเบิร์นฯ (จริงๆ) แล้ว ผลทางเสียงโดยรวมที่ลำโพงคู่นี้ให้เสียงออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจตั้งแต่ตอนจับคู่กับ LEAK Stereo 230 แล้ว แสดงให้เห็นว่า โดยพื้นฐานแล้ว ลำโพงคู่นี้ก็ไม่ได้ต้องการกำลังขับที่สูงมากอย่างที่สเปคฯ ของมันชี้นำเอาไว้ และเมื่อลองใช้แอมป์ที่มีกำลังขับใกล้เคียงกับกำลังขับสูงสุดที่ Atalante 3 รับได้คือ Audiolab 9000A พบว่า เสียงโดยรวมที่ออกมาจะมีลักษณะที่ “ควบคุม” ตัวมากขึ้น ขนาดของตัวเสียงแต่ะชิ้นมีความกระทัดรัดมากขึ้น เปิดให้ช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีมีลักษณะที่ถ่างกว้างออกจากกันมากขึ้น ใครชอบเสียงกว้างๆ วงโปร่งๆ หางเสียงทอดยาวๆ น่าจะถูกใจแอมป์+ลำโพงคู่นี้
จากการทดลองใช้แอมป์ที่มีกำลัง “สูงกว่า” สเปคฯ ของลำโพงที่แนะนำไว้อย่าง Mola Mola Kula และ McIntosh MAC7200 ขับลำโพงคู่นี้ พบว่า เสียงของ Atalante 3 มีอาการตึงตัวมากไปนิด ช่วงความดังของเพลงที่ระดับปกติทั่วไปฟังดีเลย เวทีเสียงฉีกกว้างออกไปสุดขอบ มูพเม้นต์ของแต่ละเสียงมีความเป็นอิสระ แต่ช่วงพีคของเพลงที่มีเสียงเครื่องดนตรีหลายชิ้นอัดพลังออกมาพร้อมๆ กันจะมีอาการตื้อนิดๆ แสดงให้เห็นว่า ลำโพงมันต้านพลังของแอมป์ไม่ไหว ช่วงตื้อทำให้รายละเอียดที่มีความดังต่ำๆ (Low Level Resolution) ถูกอัดทับจนจมหายไปบางส่วน สรุปแล้ว ช่วงกำลังขับที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับลำโพง Revival Audio คู่นี้ควรจะอยู่ระหว่าง 100 – 150W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม กำลังสวย..!
เซ็ตอัพตำแหน่งในห้องฟัง
Revival Audio Atalante 3 ระบุแชนเนลของลำโพงแต่ละข้างเอาไว้ชัดเจน โดยพิมพ์ตัวอักษร L และ R มาบนสติ๊กเกอร์ที่แปะอยู่ด้านหลังใต้ตำแหน่งติดตั้งขั้วต่อสายลำโพง เมื่อจัดวางซ้าย–ขวาถูกต้อง ตำแหน่งของทวีตเตอร์จะชี้ออกไปทางด้านข้างทั้งซ้ายและขวา
ห้องฟังของผมมีสัดส่วนอยู่ที่ 3.6x6.6 = 23.67 ตรม. ถือว่าอยู่ในพิกัดที่ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้แนะนำไว้ หลังจากทดลองขยับตำแหน่งจากจุดเริ่มต้นตามสูตร ซ้าย–ขวา = 180 ซ.ม. และห่างหลังที่ระยะ ความลึกของห้อง หารด้วย 3 คือ 6.6 หาร 3 = 2.2 เมตร (220 ซ.ม.) ในขั้นตอนแรกของการไฟน์จูนระยะชิดซ้าย–ขวาเพื่อหาระยะโฟกัส ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ต้องการระยะห่างซ้าย–ขวาอยู่ที่ 161 ซ.ม. ซึ่งเป็นระยะที่ทำให้โฟกัสของเสียงคมชัดที่สุด (ไม่โทอิน) และมีผลให้ความเข้มของสนามเสียงทั้งซ้าย–กลาง–ขวา มีความเสมอสมานกันตลอด ไม่มีอาการโหว่กลาง
ส่วนระยะห่างผนังหลัง หลังจากทดลองขยับเดินหน้า–ถอยหลังอยู่พักใหญ่ ผมพบว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นลำโพงตู้เปิดที่มีท่อระบายเบสขนาดใหญ่ยิงออกทางด้านหลัง แต่ลำโพงคู่นี้ก็ยังต้องการผนังหลังเข้ามาช่วยหนุนเพื่อให้ได้โทนัลบาลานซ์ที่แน่นและสมดุล ระยะสุดท้ายที่ให้เสียงลงตัวมากที่สุดคือระยะห่างหลังอยู่ที่ 168.5 ซ.ม. ซึ่งได้ผลรวมที่ดีที่สุดตอนขับด้วย LEAK Stereo 230 แต่เมื่อเปลี่ยนมาขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังขับสูงๆ เสียงที่ออกมาจะกระชับมากเกินไป ไม่ว่าจะพยายามดึงลำโพงถอยห่างผนังหลังออกมามากขึ้น หรือดันเข้าไปชิดผนังหลังมากขึ้นก็ช่วยให้เสียงผ่อนลงไม่ได้มาก สรุปคือ ให้แม็ทชิ่งแอมป์ให้ลงตัวให้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยเซ็ตหาตำแหน่งที่ลงตัว
เสียงของ Atalante 3
เวลาเห็นทวีตเตอร์ซอฟท์โดมแล้วผมนึกถึงอะไรรู้มั้ยครับ.? หลายๆ คนอาจจะนึกถึงเสียงแหลมที่ละเอียดเนียน แต่สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือลักษณะของเสียงที่ “เปิดกระจ่าง” ตั้งแต่ย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดที่ลำโพงคู่นั้นถ่ายทอดออกมา
อาการ “เปิดกระจ่าง” (clarity หรือ clearness) ของเสียงที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามันเต็มไปด้วยความเปิดเผยของตัวตนของแต่ละเสียงที่มีความโดดเด่น ชัดเจน สาเหตุเพราะโดมผ้าไหมอาบน้ำยา ที่ใช้ทำไดอะแฟรมซอฟท์โดมของทวีตเตอร์ เป็นวัสดุที่มีเรโซแนนซ์ในย่านความถี่สูง ที่เรียกว่า “ริ้งกิ้ง” ต่ำกว่าโดมทวีตเตอร์ที่ทำด้วยวัสดุประเภทอื่น นั่นทำให้ผมสามารถอัดความดังของแอมป์เข้าไปได้สูงๆ เพื่อระเบิดไดนามิกของเสียงให้สวิงออกมาให้กว้างที่สุดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าทวีตเตอร์มีปัญหาเรโซแนนซ์ในตัว เวลาเปิดอัดดังๆ จะฟังแล้วรู้สึกรำคาญกับเรโซแนนซ์ที่ถูกเร่งขึ้นมา
คุณแดเนี่ยลเองก็น่าจะรับรู้ถึงความสำคัญของจุดนี้ เขาจึงออกแบบให้มีการแด้มปิ้งที่ด้านหลังของโดมทวีตเตอร์ (Back Chamber Damping = BCD) ขึ้นมาใช้กับทวีตเตอร์ของลำโพงคู่นี้ นั่นยิ่งทำให้ความถี่เสียงที่ทวีตเตอร์ตัวนี้สร้างขึ้นมามีความสะอาด บริสุทธิ์ ตรงตามความถี่ต้นฉบับโดยปราศจากปัญหาริ้งกิ้ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมสามารถอัดเสียงออกมาจากลำโพงคู่นี้ออกมาได้ดังเต็มห้อง ไดนามิกของเสียงถูกคลี่คลายออกมาได้จนสุดสเกล ผลคือเสียงที่มีความสด มีชีวิตชีวาเข้าใกล้การบรรเลงสดในสตูดิโอจริงๆ มาก ซึ่งไม่ใช่ว่าลำโพงสองทางตัวเล็กๆ ทุกคู่จะสามารถทำให้เกิดบรรยากาศที่ว่านั้นขึ้นมาได้.!
อัลบั้ม : Crescent Crawl (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Bruce Katz Band
สังกัด : Audioquest
นี่คือหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของค่าย Audioquest ที่มี Joe Harley เป็นโปรดิวเซอร์ (บันทึกเสียงโดย Allen Sides กับ Michael C. Ross / ทำมาสเตอร์โดย Bernie Grundman) แนวเพลงของอัลบั้มนี้คือ Electric Blue ที่มีกลิ่นอายแจ็สกับร็อคผสมอยู่อ่อนๆ ซึ่งเพลงที่ผมมักจะนำมาใช้ในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงก็คือเพลง ‘Contrition’ ซึ่งเป็นเพลงที่มีจังหวะเนิบนาบ อ้อยอิ่ง จากไดนามิกคอนทราสน์หรือ “ความต่อเนื่อง” ของเสียงออร์แกนไฟฟ้า Hammond B-3 ฝีมือของ Bruce Katz ผสมกับการย้ำเน้นหัวโน๊ตที่กระชับเร็วและรุนแรงจากเสียงกลองจากฝีมือของ Lorne Entress
ถ้าอารมณ์ของเพลงนี้จะพุ่งถึงจุดพีคได้ ซิสเต็มที่ใช้เล่นเพลงนี้จะต้องให้คุณสมบัติทางด้าน “คอนทราสน์ ไดนามิก” ที่ดีมากๆ เพราะเสียง Hammond B-3 ในแทรคนี้จะแสดงตัวออกมาในลักษณะของมวลความถี่ที่มีระดับความดังที่ปรับเปลี่ยนเคลือนไหวไป–มาอยู่ตลอด ลำโพงในซิสเต็มที่ใช้เล่นเพลงนี้จะต้องสามารถถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงที่เบามากๆ ขึ้นไปจนถึงระดับที่ดังปานกลางได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ซิสเต็มที่ใช้เล่นเพลงนี้ก็จะต้องมีคุณสมบัติในการตอบสนองกับความฉับพลันของเสียงหัวไม้กลองกระแทกหนังกลองสแนร์ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ซึ่งลำโพง Atalante 3 คู่นี้ทำออกมาได้อย่างไม่ที่ติ ทำให้เพลงนี้มีทั้งความสด และความลุ่มลึกออกมาพร้อมกัน ฟังแล้วรู้สึกถูกดึงเข้าไปหาอารมณ์เพลงอย่างไม่รู้ตัว.!
อัลบั้ม : Bach, Paganini & Massenet (DSD64)
ศิลปิน : I Filarmonici Di Roma, Uto Ughi – violino
สังกัด : Fone Records
พูดถึงความต่อเนื่อง ต้องหาเสียงเครื่องดนตรีที่ใช้วิธี “สี” มาฟังทดสอบ และเมื่อพูดถึงเครื่องดนตรีที่ใช้วิธี “สี” ด้วยคันชักที่ใช้ทดสอบความต่อเนื่องตั้งแต่ย่านเสียงกลางไปถึงกลางสูได้ดีก็คงต้องเป็นเสียงไวโอลิน ซึ่งส่วนตัวผมกำลังชอบฟังเสียงไวโอลินในอัลบั้มนี้ เป็นไฟล์ฟอร์แม็ต DSF64 ที่ผมริปออกมาจากแผ่น SACD เลยถือโอกาสหยิบมาทดสอบประสิทธิภาพในการถ่ายทอดไดนามิก คอนทราสน์ของลำโพงคู่นี้ซะเลย
จากชาร์ตด้านบนนี้จะเห็นว่า เร้นจ์ความถี่ของโน๊ตที่มาจากเสียงไวโอลินทั้งหมด จะครอบคลุมอยู่ระหว่างความถี่ประมาณ 200Hz ซึ่งเป็นความถี่ของโน๊ตต่ำสุด ขึ้นไปจนถึง 3540Hz ซึ่งเป็นความถี่ของโน๊ตสูงสุดของไวโอลิน ซึ่งย่านเสียงของโน๊ตไวโอลินทั้งหมดนี้ก็อยู่ในย่านความถี่ตอบสนองของลำโพงคู่ที่กำลังทดสอบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ย่านความถี่ที่ลำโพงคู่นี้ตอบสนองได้มัน “กว้างกว่า” ความถี่ fundamental ที่เป็นเสียงหัวโน๊ตของไวโอลินมาก ซึ่งแน่นอนว่า ครอบคลุมไปถึงส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงไวโอลินด้วย ดังนั้น เสียงไวโอลินจากอัลบั้มนี้ที่ออกมาจากลำโพงคู่นี้ควรจะมีความครบถ้วนสมบูรณ์ในแง่ของตัวโน๊ต ทว่า เสียงไวโอลินจากเพลง Meditation (from ‘Thais’) มันไม่ได้แค่เป็นความต่อเนื่องของเสียงโน๊ตไวโอลินแต่ละตัวที่ ดัง–เบา ร้อยเรียง ต่อเนื่องกันไปเป็นสายตามลีลาการสีของ Uto Ughi เท่านั้น ทว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมพบว่าลำโพงคู่นี้ทำได้ “ดีกว่า” ลำโพงเล็กที่มีขนาดใกล้เคียงกันหลายๆ ตัวที่ผมเคยฟังมา..
ความแตกต่างที่ว่าก็คือ เสียงไวโอลินของ Uto Ughi ที่ได้ยินจากลำโพง Atalante 3 คู่นี้มันไม่มีอาการเฟี๊ยวฟ๊าวติดมากับปลายเสียงเหมือนที่เคยได้ยินจากลำโพงหลายๆ ตัวที่ผ่านมา ประเด็นนี้ผมตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนที่ Uto เล่นโน๊ตสูงๆ ทอดปลายยาวๆ ขยี้ไวเบรโต้รัวๆ ซึ่งผมเคยรู้สึกระคายหูตอนฟังผ่านลำโพงบางคู่มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนฟังกับลำโพงราคาไม่แพงที่ใช้ทวีตเตอร์โดมโลหะส่วนใหญ่ แต่คราวนี้ พิสูจน์แล้วว่า ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมของ Atalante 3 เจ๋งจริง.! โน๊ตสูงๆ ของไวโอลินออกมาสะอาด พลิ้ว และทอดปลายไปได้สุดจริงๆ ผมกดฟังเพลงนี้สองรอบต่อเนื่องกัน โดยรอบที่สองผมทดลองเร่งวอลลุ่มของแอมป์ให้ดังจนเต็มห้อง พบว่าเสียงไวโอลินในแทรคนี้ก็ยังคงรักษาความสะอาดไร้เรโซแนนซ์ของมันเอาไว้ได้ แค่ว่าเมื่ออัดวอลลุ่มขึ้นมามากๆ จนล้นห้อง เสียงแหลมของลำโพงตัวนี้มันจะออกอาการสว่างจ้าขึ้นมา แต่เมื่อลดวอลลุ่มลงไปอยู่ในระดับฟังปกติ อาการจ้าๆ ที่ปลายเสียงแหลมก็หายไป
อัลบั้ม : Muddy Water Blues (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Paul Rodgers
สังกัด : Victory
คุณสมบัติของเสียงที่คุณควรจะคาดหวังได้จากลำโพงสองทางวางขาตั้งที่มั่นใจว่า “มีคุณภาพสูงพอ” ก็คือ คุณสมบัติทางด้าน “มิติ–เวทีเสียง” และถ้าคุณใช้ความพิถีพิถันในการเซ็ตอัพอย่างละเอียด คุณควรจะได้เสียงที่ “หลุดตู้” คือต้องไม่รู้สึกว่าเสียงที่กำลังฟังมันดังออกมาจากตู้ลำโพงซ้าย–ขวาที่วางอยู่ข้างหน้า ซึ่งลำโพงสองทางที่ใช้เทคโนโลยีการออกแบบสมัยใหม่ยุคนี้สามารถทำได้ทุกคู่
เพลงนี้บันทึกและมิกซ์เสียงมาได้เด่นมากในแง่ของเวทีเสียงที่สามารถจัดวางเสียงร้องและเสียงดนตรีในเพลงนี้ให้แยกกันอยู่เป็นที่เป็นทางอย่างชัดเจน บางเสียงอยู่ซ้าย บางเสียงอยู่ขวา เสียงกีต้าร์หลุดเลยลำโพงซ้าย–ขวาออกไปไกล ในขณะที่เสียงร้องประสานฉีกไปอยู่หลังระนาบลำโพง ลึกห่างจากกลุ่มของเสียงดนตรีและเสียงร้องของพอล โรดเจอร์ลงไปทางด้านหลังของเสียงต่างๆ ซึ่งนี่คือมิติ–เวทีเสียงอันยอดเยี่ยมที่ผมได้ยินผ่านลำโพง Revival Audio คู่นี้.! สรุปฟันธงได้เลยว่า Atalante 3 คู่นี้สามารถสร้างปรากฏการณ์ “มิติเสียงหลุดตู้” ได้จริง..!!!
อัลบั้ม : The Power Of The Orchestra (DSD64)
ศิลปิน : Royal Philharmonic Orchestra, Rene Leibowitz – conductor
สังกัด : RCA Victor/Analogue Productions
ไดนามิกเร้นจ์ในเพลง Contrition มันไม่ได้เน้นพีค แต่เน้นความต่อเนื่อง ลื่นไหล ซึ่ง Atalante 3 มันสอบผ่านสบายๆ และดูเหมือนจะเป็น “ของหวาน” สำหรับมันซะด้วยซ้ำไป นอกจากเพลง Contrition แล้ว ผมก็มีลองทดสอบด้วยเพลงร้องและเพลงบรรเลงที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทที่ใช้เทคนิคการบรรเลงด้วยวิธีสีและเป่าที่เน้นความต่อเนื่อง ลื่นไหลไปอีกหลายเพลง ซึ่งลำโพงคู่นี้ก็ถ่ายทอดไดนามิก คอนทราสน์ของเพลงเหล่านั้นออกมาได้อย่างน่าพอใจ
ทีนี้มาถึงโจทย์ยากสำหรับลำโพงขนาดเล็ก นั่นคือคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก ทรานเชี้ยนต์” ที่มีช่วงพีคของเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้น หลายๆ ย่านความถี่ปะเดปะดังออกมาพร้อมกัน ผมเลือกเพลงคลาสสิกแนวโอเวอเจ้อร์จากอัลบั้ม The Power Of The Orchestra ชุดนี้มาใช้อ้างอิงในการทดสอบคุณสมบัติในการสวิงไดนามิกของลำโพงคู่นี้ว่ามันจะถ่ายทอดออกมาได้กว้างสุดแค่ไหน ซึ่งแทบจะทุกเพลงในอัลบั้มชุดนี้ล้วนแต่เด่นทางด้านสวิงไดนามิกด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะแทรค ‘A Night On Bare Mountain’ นั้นดุเดือดมาก เพราะมันสวิงครบทุกความถี่ ตั้งแต่แหลมไปยันทุ้ม และเป็นการสวิงแบบไม่ยั้งซะด้วย ..!
ผมเลือกเวอร์ชั่นที่เป็นไฟล์ DSF64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ของค่าย Analogue Productions มาใช้อ้างอิง จะได้ตัดประเด็นเสียงหยาบออกไปเพราะ DSD มีความละเอียดมากกว่าไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ริปมาจากแผ่นซีดีถึง 4 เท่า เริ่มต้นฟังแค่ขึ้นต้นแทรค ‘A Night On Bare Mountain’ ไม่ถึงสองนาทีก็รู้เรื่องแล้ว.! ฟังจบเพลงนี้ต้องรีบเขียนบทสรุปเลยว่า Atalante 3 คู่นี้เป็นลำโพงเล็กที่สวิงไดนามิกได้สุดมาก แน่นอนว่าถ้านับลงไปถึงความถี่ในย่านทุ้มกลางๆ ลงไปถึงทุ้มลึกๆ มันเป็นรองลำโพงที่มีตัวใหญ่กว่าอย่าง Mission 770 ที่ผมเอามาทดสอบพร้อมกัน (รีวิวของ Mission 770 จะตามมาในไม่ช้า) แต่ในย่านกลางขึ้นไปสูงมันฉีดไดนามิกขึ้นไปได้ดีกว่าที่คิด ผมสังเกตว่า ปลายเสียงช่วงพีคของลำโพงคู่นี้มันนิ่งดี ไม่มีอาการแกว่ง แสดงว่าการขยับเคลื่อนตัวเดินหน้า–ถอยหลังของโดมทวีตเตอร์ค่อนข้างจะสมมาตร สังเกตจากเสียงโน๊ตของเครื่องดนตรีที่อยู่ในย่านความถี่ในย่านสูงมันมีโฟกัสที่ชัดเจน ไม่วูบวาบ
สรุป
แม้ว่าลำโพงคู่นี้จะเป็นลำโพงเล็ก แต่มันทนรับกับกำลังขับได้สูงมาก สามารถเปิดอัดเพื่อขยายอัตราสวิงของไดนามิกออกมาได้เต็มสเกล ถ้าห้องไม่ใหญ่เกินไป จะฟังเพลงอะไรก็ถึงอารมณ์ได้อย่างเต็มที่แน่ๆ ผมเองเป็นคนที่บ้าคลั่งคุณสมบัติทางด้านไดนามิกมากเป็นพิเศษผมยังรู้สึกว่ายอมรับได้กับอัตราสวิงไดนามิกของลำโพงคู่นี้..!!
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบมิติ–เวทีเสียงมากเป็นพิเศษ คุณต้องชอบลำโพงคู่นี้ เพราะมันผลักเสียงให้ลอยหลุดออกไปนอกตู้ได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน มันมีคุณสมบัติที่ต่างจากลำโพงโชว์มิติหลายๆ คู่ที่ให้เสียงเปิดกว้างแต่มักจะให้เนื้อเสียงที่บอบบาง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของ Atalante 3 ตัวนี้ ด้วยเหตุที่ใช้มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์ขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว บวกกับทวีตเตอร์แบบซอฟท์โดมที่จำกัดภาระในการสร้างความถี่สูงไว้แค่ 20kHz (-3dB) และถูกกำหนดให้ลงมาทำงานลึกถึง 2.8kHz ทำให้เสียงกลางและแหลมของลำโพงคู่นี้มีเนื้อมวลที่หนา ไม่บอบบาง ภาพของเวทีเสียงที่ได้จากลำโพงคู่นี้จึงมีทั้งความแผ่กว้างและได้เนื้อมวลที่อิ่มหนาไปพร้อมกัน
ลำโพงคู่นี้ไม่ได้ต้องการแอมป์ที่มีพละกำลังมาก แต่ต้องเป็นกำลังขับที่มีคุณภาพ และส่วนประกอบที่สำคัญที่จะช่วยทำให้ Atalante 3 คู่นี้แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่มากที่สุดก็คือ คุณภาพของแหล่งต้นทาง ยิ่งได้ต้นทางดี ก็เหมือนติดปีกให้กับลำโพงคู่นี้ ช่วงหนึ่งของการทดสอบผมใช้ DAC ของ Mola Mola รุ่น Tambaqui (REVIEW) ราคาตัวละสี่แสนกว่ามาลองเซ็ตอัพจัดชุดร่วมกับลำโพงคู่นี้ด้วย เสียงโดยรวมออกมาดีมาก.!! /
**********************
ราคา : 95,000 บาท / คู่
**********************
สนใจสอบถามที่ :
– Msound โทร. 096-978-7424
– MAS Hi-Fi ชลบุรี โทร. 081-982-0282
– ศราวุธ กทม. 091-718-8716
– เต่า ออดิโอ กทม. โทร. 088-005-5156
– สมชาย MUSE โทร. 081-628-7662
– ยุทธ HiFi House โทร. 083-636-4447
– โจ้ Soundbox โทร. 089-920-8297