‘R-2R DAC’ กับ ‘Chip DAC’ แบบไหนเสียงดีกว่ากัน.? ช่วงก่อนหน้านี้ สักปีกว่าๆ ที่ผ่านมา จะมีคำถามนี้ออกมาถี่มาก เพราะถอยหลังจากช่วงนั้นไปอีกหน่อย เป็นช่วงเวลาที่มี R-2R DAC รุ่นใหม่ๆ ออกมาในตลาดมากเป็นพิเศษ จนทำให้เกิดกระแส R-2R DAC ขึ้นมา
‘R-2R DAC’ คืออุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ “ไม่ใช้” ชิปสำเร็จรูปเข้ามาทำหน้าที่ในขั้นตอนการแปลงสัญญาณ “ดิจิตัล” ให้ออกมาเป็นสัญญาณ “อะนาลอก” ซึ่งต่างจากดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์อีกประเภทที่เรียกรวมๆ กันว่า ‘Chip DAC’ ซึ่งตรงกับชื่อคือใช้ชิปสำเร็จจากผู้ผลิตชิปแบรนด์ต่างๆ เข้ามาช่วยทำหน้าที่ในขั้นตอนการแปลงสัญญาณ “ดิจิตัล” ให้ออกมาเป็นสัญญาณ “อะนาลอก” ซึ่งนี่คือความแตกต่างหลักๆ ระหว่างดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ทั้งสองชนิดนี้
กลับมาที่คำถามที่ว่า ‘R-2R DAC’ กับ ‘Chip DAC’ แบบไหนเสียงดีกว่ากัน.? คำถามนี้คิดว่าตอบไม่ยาก ถ้าคุณจับ DAC ทั้งสองประเภทนี้ที่มี “ราคาเท่ากัน” มาทดลองฟังในซิสเต็มเดียวกันคุณก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ได้ทันที แต่เท่าที่ผ่านมา ต้องขอบอกว่า “ตอบยาก” และไม่สามารถฟันธงได้ เพราะผมยังไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ DAC ทั้งสองชนิดที่มี “ราคาเท่ากัน” เป๊ะๆ มาอยู่ในมือพร้อมกันเลย ที่เน้นว่าต้องเป็นเครื่องที่มีราคาเท่ากันเป๊ะๆ ก็เพราะผมต้องการตัดประเด็นปัจจัยทางด้าน “ราคา” ออกไป เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่า ความแตกต่างทางด้าน “ราคา” ของ DAC มีผลกับระดับ “คุณภาพเสียง” มากกว่าความแตกต่างทางด้านดีไซน์ระหว่าง R-2R DAC กับ Chip DAC
พูดง่ายๆ คือ ถ้าฟังเปรียบเทียบระหว่าง DAC ที่มีราคาต่างกันเยอะๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะแปรผันไป–มา คือ R-2R DAC ที่มีราคาสูงกว่า มักจะให้คุณภาพเสียงออกมาดีกว่า Chip DAC ที่มีราคาต่ำกว่า และในทางกลับกัน Chip DAC ที่มีราคาสูงกว่า ก็มักจะให้คุณภาพเสียงออกมาดีกว่า R-2R DAC ที่มีราคาต่ำกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเจอแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่า.. ไม่สามารถฟันธงได้.!!!
อย่าว่าแต่ตอบฟันธงเลยว่า ระหว่าง R-2R DAC กับ Chip DAC แบบไหนเสียงดีกว่ากัน.? แต่ถ้ามีใครมาท้าให้ผมทำ Blind Test ทดลองฟังเปรียบเทียบระหว่าง DAC ทั้งสองประเภทนี้ ผมก็ไม่ขอรับคำท้า เพราะท้ายที่สุด ถ้าออกแบบได้ถูกต้องจริงๆ แล้ว เสียงของ R-2R DAC และเสียงของ Chip DAC หรือ DAC ที่ใช้ชิปสำเร็จ มันจะออกมาทางเดียวกัน คือได้ออกมาเป็น “เสียงที่ดี” เหมือนกัน..
‘Bruno Putzeys’ จาก Philps มาเป็น Hypex, Grimm Audio, Kii Audio จนมาถึง Mola Mola
Mola Mola คือใคร.? เชื่อว่าหลายคนที่เห็นชื่อแบรนด์นี้แล้วจะส่ายหน้าบอกไม่รู้จัก แม้ว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คนที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์นี้มีชื่อว่า Bruno Putzeys ก็คงจะไม่ช่วยอะไรอยู่ดี ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ชอบค้นคว้าติดตามเรื่องราวเบื้องหน้า–เบื้องหลังของวงการเครื่องเสียงมาก่อน แต่ถ้าใบ้ให้เพิ่มเติมว่า Bruno Putzeys คนนี้เคยทำงานอยู่กับแบรนด์ Philips ล่ะ…
Philips เป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ของโลก เป็นผู้ให้กำเนิด Compact Disc หรือ CD ร่วมกับ Sony ซึ่งฟิลิปส์เติบโตและยิ่งใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าเครื่องเสียงและภาพมานานตั้งแต่ยุค ‘70 เป็นต้นมาจนถึงปลายยุค ’80 ก่อนจะเบนเข็มไปเน้นผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพ ปัจจุบัน Philips ได้เลิกโฟกัสสินค้ากลุ่ม Home Audio ระดับไฮเอ็นด์ฯ ไปแล้ว
Bruno Putzeys จบจากสถาบัน National Technical School for Radio and Film โดยมุ่งเน้นมาที่สาขา Power Stages for switching audio amplifiers หลังจากจบเขาเข้าไปทำงานอยู่กับแบรนด์ Philips ที่แล็ปในเมือง Leuven ประเทศเบลเยี่ยมนานถึง 10 ปี ที่นั่น เขาได้คิดค้นการทำงานของแอมปลิฟาย class D ขึ้นมารูปแบบหนึ่ง ให้ชื่อว่า UcD ซึ่งหลังจากฟิลลิปส์ปฏิเสธที่จะนำเอาเทคโนโลยีแอมป์ class D ‘UcD’ ที่เขาคิดไปขยายผลต่อเป็นผลิตภัณฑ์ (เป็นช่วงที่ฟิลลิปส์หันหลังให้กับวงการเครื่องเสียง) Bruno Putzeys ก็หอบประดิษฐ์กรรมของเขาออกไปสร้างอาณาจักรใหม่ของตัวเองภายใต้ชื่อ Grimm Audio และ Hypex แล้วผลักดันผลิตภัณฑ์ประเภท AD/DA และผลิตภัณฑ์ประเภท analogue signal processing (DSP), เพาเวอร์แอมป์ class D และสวิทช์โหมด เพาเวอร์ซัพพลาย ออกมา จนถึงปี 2014 เขาก็ออกจาก Hypex มาก่อตั้งแบรนด์ Kii Audio เพื่อผลิตลำโพงแอ๊คทีฟ กับตั้งแบรนด์ Purifi Audio ร่วมกับเอ็นจิเนียร์ดิจิตัล ออดิโอขั้นเทพอย่าง Lars Risbo (เป็นคนค้นคิดเทคโนโลยีไดเร็กต์ สวิทชิ่ง PCM-PWM) เพื่อพัฒนาชุด KIT สำหรับลำโพงและแอมปลิฟายโมดูลออกมาสำหรับงาน OEM
Mola Mola ‘ Tambaqui DAC ‘
ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์จากมันสมองของ Bruno Putzeys
ระหว่างที่ไปสานงานที่ Purifi Audio บรูโน่ก็เริ่มโปรเจคพัฒนา A/D และ D/A คอนเวิร์ตเตอร์สำหรับแบรนด์ Mola Mola ตั้งแต่ปี 2012 โดยอาศัยเทคนิค upsampled สัญญาณดิจิตัลอินพุตที่ป้อนเข้ามาจากทุกอินพุตของ Tambaqui ขึ้นไปสู่ระดับแซมปลิ้งที่สูงถึง 3.125MHz ที่ความละเอียด 32bit ต่อแชมเปิ้ล หลังจากนั้นก็ทำการแปลงสัญญาณนั้นไปเป็นฟอร์แม็ต PWM (Pulse Width Modulation) ก่อนจะส่งเข้าสู่ภาค FIR DAC (Finite-Impulse-Response-DAC) แบบ discrete 32 stage ที่แยกโมโนสองชุด จากนั้นก็ไปผ่านด่านสุดท้ายคือภาคฟิลเตอร์ I/V converter ออเดอร์ที่ 4 แค่สเตจเดียว สุดท้ายจึงได้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่มีไดนามิกเร้นจ์ที่สวิงได้กว้างถึง 130dB เกือบถึงขีดสูงสุดของระดับไดนามิกเร้นจ์ของสัญญาณ PCM 24bit (1.76+6.02×24 = 146.24dB) และเหนือกว่าสัญญาณ DSD256 เยอะ.!
นับว่าเป็นเทคนิคการออกแบบภาค DAC ที่น่าสนใจมาก.! โดยเฉพาะเทคนิคการแปลงสัญญาณในขั้นตอนก่อนส่งเข้าสู่ภาค DAC ซึ่งเป็นการแปลงข้ามจากมัลติบิตไปเป็น PWM ก่อนส่งเข้าภาค DAC (ในกรอบสีแดงภาพบน) ส่วนภาพล่างคือรูปแบบการจัดวางแผงวงจรจริงของการทำงานตามแผนผังภาพบน ซึ่งแยกส่วนออกเป็น 2 แผงซ้อนกัน แผ่นบนนั้นเป็นการทำงานในส่วนของการ Oversampling, DSD conversion และแปลง multi-bit 3.125MHz/32bit เป็น PWM ส่วนแผ่นล่างคือส่วนของ DAC แบบ discrete ที่แยกโมโนเป็น 2 แผงสำหรับแชนเนลขวา (R) และแชนเนลซ้าย (L)
ดีไซน์สวย..
วางความตื่นเต้นจากดีไซน์ภายในไว้ก่อน หันมาดูรูปร่างภายนอกของ DAC ตัวนี้สักนิด..
ไม่ง่ายเลยที่จะออกแบบรูปร่างหน้าตาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคให้ดูแล้ว “กระแทกตา” ได้มากเท่านี้.! ในขณะที่ภายในมันซับซ้อนไปด้วยเทคนิคการออกแบบเชิงดิจิตัล แต่รูปร่างภายนอกของ DAC ตัวนี้กลับมีลักษณะเส้นสายของตัวถังที่อ่อนโยน พิจารณาจากชื่อแบรนด์ เข้าใจว่าคนออกแบบน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากปลาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Mola Mola หรือ ‘Ocean Sunfish’
โมลา โมลา เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างประหลาด ดูผิดแผกไปจากปลาทั่วๆ ไป นิสัยก็ประหลาดคือชอบลอยตัวขึ้นมาอยู่ใกล้ผิวน้ำเพื่อรับแสงอาทิตย์ จึงได้ชื่อเล่นว่า “ปลาแสงอาทิตย์” (Ocean Sunfish) ไม่มีข้อมูลจากผู้ผลิตที่แสดงความเชื่อมโยงว่า เพราะเหตุใดจึงเอาปลาพันธุ์นี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อแบรนด์
ด้านบนของตัวถังมีลักษณะโค้งเป็นลอนเหมือนหลังปลา หรือรูปคลื่นในทะเล ทำด้วยโลหะอะลูมิเนียมสีบรอนซ์เงิน ต่อเนื่องลงมาถึงแผงหน้าปัดที่มีลักษณะโค้งเว้าเข้าด้านใน รอบๆ นอกของตัวถังด้านข้างซ้าย–ขวา และอ้อมไปถึงด้านหลังมีกรอบอะลูมิเนียมสีดำล้อมอยู่อีกชั้น สัดส่วนของตัวถังมาในพิกัด half-size หน้า กว้าง 20 ซ.ม. x ลึก 32 ซ.ม. x สูง 11 ซ.ม. น้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 5.2 กิโลกรัม
รายละเอียดบนหน้าปัด และแผงหลัง
แผงหน้าของ Tambaqui มีลักษณะโค้งเข้าด้านใน มีจอแสดงผลทรงกลมขนาดใหญ่อยู่ 1 จอ ติดตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่บนแผงหน้า ด้านข้างของจอทางซ้ายและขวามีปุ่มกดทรงกลมขนาดเล็กติดตั้งอยู่ข้างละ 2 ปุ่ม เหนือปุ่มแต่ละปุ่มจะมีไฟ LED ดวงเล็กๆ กำกับอยู่ ซึ่งปุ่มทั้งสี่ปุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นทั้งปุ่มที่ใช้กดเปิดการทำงานของตัวเครื่อง (ไฟสีขาว) และกดปิดเครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย (ไฟสีแดง) ในกรณีที่ต้องการเปิดหรือปิดเครื่อง คุณสามารถกดที่ปุ่มไหนก็ได้ทั้งสี่ปุ่มนี้ ส่วนหน้าที่อย่างที่สองของปุ่มกดเหล่านี้คือทำตัวเป็น ‘input’ ให้คุณกดเลือกใช้งาน
ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าวกไปดูที่แผงหลัง คุณจะพบว่า DAC ตัวนี้มีอินพุตให้คุณเลือกใช้มากกว่าจำนวนปุ่มบนหน้าปัดที่มีให้กดเลือก คือให้มาทั้งหมด 7 อินพุต (ในกรอบสีแดง) เรียงจากซ้ายไปขวาได้แก่
1. I2S (HDMI)
2. Network (LAN)
3. S/PDIF (RCA)
4. AES/EBU (XLR)
5. Optical (Toslink)
6. USB (type B) และ
7. Bluetooth (Wireless)
แต่เนื่องจากปุ่มที่มีไว้ให้กดเลือกอินพุตบนหน้าปัดมีอยู่แค่ 4 ปุ่ม ทางผู้ออกแบบจึงใช้วิธี “ผูกโยง” การทำงานของปุ่มกดทั้ง 4 ปุ่มบนหน้าปัดเข้าไปไว้กับการปรับตั้งค่าในแอพลิเคชั่น Mola Mola ที่พวกเขาออกแบบไว้นั่นเอง (* ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ ‘แอพลิเคชั่น Mola Mola’)
นอกจากขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุตทั้ง 7 ชนิดแล้ว ที่แผงหลังของ Tambaqui ยังมีขั้วต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตมาให้อีก 3 ชุด เป็นสัญญาณเอ๊าต์พุตที่เตรียมไว้ให้ใช้กับหูฟัง 2 ชุด ผ่านช่องเสียบแจ๊คหูฟังขนาดมาตรฐาน 6.3mm กับขั้วต่อสำหรับแจ๊ค DIN 4 pin ของหูฟังแบบบาลานซ์อย่างละหนึ่งช่อง อีกชุดที่เหลือเป็นช่องสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่เตรียมไว้ให้ต่อออกไปใช้กับภาคปรีแอมป์ผ่านทางขั้วต่อบาลานซ์ XLR ไม่มีเอ๊าต์พุตสำหรับขั้วต่ออันบาลานซ์ หรือ RCA ไว้ให้ แต่ทางผู้ผลิตได้แถมอะแด๊ปเตอร์ XLR > RCA ของ NEUTRIK มาให้ 2 ตัว เอาไว้สำหรับคนที่นำ Tambaqui ไปใช้กับปรีแอมป์ หรืออินติเกรตแอมป์ ที่ไม่มีอินพุต XLR
ช่องเสียบที่เหลือนอกจากนั้นก็มีช่องอิน/เอ๊าต์สำหรับสัญญาณทริกเกอร์สวิทช์ กับช่องเสียบสำหรับสายไฟอซีเพื่อป้อนไฟเข้าเครื่อง ให้มาเป็นมาตรฐาน IEC แบบสามขาแยกกราวนด์ ผู้ใช้สามารถอัพเกรดไปใช้สายไฟคุณภาพสูงได้
ในกระเป๋าใส่เครื่องมีรีโมทไร้สายอันเล็กๆ แถมมาให้ สามารถใช้ปรับวอลลุ่มในกรณีใช้ภาคปรีฯ ในตัว Tambaqui เมื่อต่อเอ๊าต์พุตของ DAC ตัวนี้ตรงเข้ากับอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ นอกจากนั้นก็ใช้สั่งเปิดใช้งานและสั่งปิดเข้าโหมดสแตนด์บายได้
ความสามารถในการรองรับไฟล์เพลง
อินพุตแต่ละช่องของ Tambaqui มีความสามารถในการรองรับกับสัญญาณดิจิตัล อินพุตไม่เท่ากัน …
อินพุตที่รองรับสัญญาณได้ “ต่ำสุด” ได้แก่อินพุต Bluetooth คือรองรับได้แค่ระดับ 48kHz/16bit ในขณะที่อินพุตที่รองรับสัญญาณได้สูงขึ้นมาอีกระดับก็คือ Optical, S/PDIF, AES/EBU และ I2S ซึ่งถูกกำหนดให้รองรับสัญญาณอินพุตได้สูงสุดถึงระดับ 192kHz/24bit (*อินพุตทั้ง 5 รูปแบบ ที่กล่าวมานี้ไม่รองรับสัญญาณ DSD)
ส่วนอินพุตที่ถูกกำหนดให้รองรับสัญญาณได้สูงที่สุดก็คืออินพุต USB และ Network คือรองรับสัญญาณ PCM ได้สูงสุดถึงระดับ 384kHz/32bit และอินพุตทั้งสองช่องนี้ยังรองรับสัญญาณ DSD ได้ถึงระดับ DSD256 อีกด้วย (ทั้งผ่านฟอร์แม็ต DoP และ Native*)(*ไม่รองรับ Native DSD ทางอินพุต USB เมื่อเล่นไฟล์จาก Windows)
แอพลิเคชั่น Mola Mola
แอพลิเคชั่นที่ออกแบบมาให้ใช้ปรับตั้งฟังท์ชั่นการทำงานของ Tambaqui ตัวนี้ใช้ชื่อว่า ‘Mola Mola Remote’ เป็นแอพฯ ฟรีที่มีให้โหลดมาใช้บนอุปกรณ์พกพาได้ฟรี มีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android
ลักษณะของหน้าเปิดของแอพฯ ตัวนี้ก่อนเชื่อมต่อกับ DAC ซึ่งในการใช้งานนั้น มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ “ทีละอุปกรณ์” คือไม่สามารถเปิดแอพฯ บน device สองตัวพร้อมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมโหลดแอพฯ มาไว้บน iPad กับ iPhone แต่เวลาจะใช้แอพฯ เชื่อมต่อกับ Tambaqui ผมสามารถเชื่อมต่อได้แค่ iPad หรือ iPhone เท่านั้น ไม่สามารถเชื่อมต่อแอพฯ กับ Tambaqui พร้อมกันทั้งบน iPad และบน iPhone ได้ เข้าใจว่าทางผู้ผลิตคงป้องกันไม่ให้เกิดการปรับตั้งค่าโดยผู้ที่ไม่ได้ใช้งานเครื่องโดยตรงก็เป็นได้
ภาพข้างบนนี้คือหน้าหลัก (หน้า Home) ของแอพฯ Mola Mola Remote ซึ่งมีฟังท์ชั่นใช้งานหลายๆ อย่างให้ใช้ โดยที่ A = ใช้แทนสวิทช์ปิด (สแตนด์บาย) และเปิดใช้งาน, B = เข้าสู่เมนู settings ของตัวเครื่อง, C = ‘Edit Preset X’ ใช้ปรับตั้งพรีเซ็ตเพื่อกำหนดอินพุตให้ตรงกับปุ่มกดบนแผงหน้าของตัวเครื่อง ซึ่งคุณสามารถปรับตั้งได้ทั้ง 4 พรีเซ็ต (Preset 1 – Preset 4) ส่วนพื้นที่ด้านล่างนั้นเป็นฟังท์ชั่นที่ใช้ควบคุมวอลลุ่มซึ่งอ้างอิงมาจากการปรับตั้งแต่ละอินพุตที่หน้าเมนู ‘Edit Preset’ โดยที่สัญลักษณ์รูปลำโพงตรงตำแหน่ง D = ใช้เพื่อเปิด/ปิดโหมด mute
การเปลี่ยนอินพุตให้ตรงกับปุ่มกดบนแผงหน้า เริ่มต้นด้วยการเลือกก่อนว่าคุณต้องการจะเปลี่ยนอินพุตไหนระหว่าง Preset 1 ถึง Preset 4 ที่มีอยู่เดิม สมมุติว่าต้องการเปลี่ยนอินพุตที่ Preset 1 ซึ่งเดิมเป็นอินพุต ‘Network‘ อยู่ ก็ให้เริ่มด้วยการแตะที่ปุ่มอินพุตนั้น ให้ด้านหลังอินพุตนั้นมีเครื่องหมายบวกบนวงกลมสีเขียวปรากฏขึ้น จากนั้นก็แตะลงไปที่ปุ่ม ‘Edit Preset 1’ แอพฯ จะพามาที่หน้าเมนูนี้ (ภาพบน) ให้แตะลงไปที่หัวข้อ ‘Source input’ (ศรชี้ภาพบน) หลังจากแตะลงไปแล้ว จะปรากฏหน้าต่างของ source ทั้งหมดขึ้นมาให้เลือก (ภาพล่าง) เมื่อคุณเลือกไปที่ source ไหน ตรงท้ายของชื่อ source นั้นจะมีเครื่องหมายถูกปรากฏขึ้นมาให้รู้ว่าคุณกำลังเลือกใช้ source นั้นอยู่
กรณีที่ซิสเต็มของคุณมี source มากกว่า 4 ชนิด คุณต้องคอยทำการปรับตั้ง Preset สลับอินพุตใดอินพุตหนึ่งที่กำหนดไว้เพื่อเปลี่ยนไปเป็นอินพุตที่ 5 ที่ต้องการใช้เข้ามาแทน แต่ถ้าคุณมี source ไม่เกิน 4 ชนิด ก็ามารถเลือกกำหนดทิ้งไว้ตลอดได้เลย ถ้าต้องการให้ชื่อของ source ที่กำลังใช้งานปรากฏออกมาตรงกับความเป็นจริง คุณก็สามารถเข้าไปเปลี่ยนชื่อ source นั้นได้
อีกฟังท์ชั่นที่อยู่ในหน้าเมนู Preset คือการปรับตั้งเพื่อกำหนด “ปลายทาง” ของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต ซึ่งในแอพฯ ใช้ชื่อเรียกฟังท์ชั่นนี้ว่า ‘Routing’ โดยมีปลายทางให้เลือก 3 ทาง คือ
1. Line = ผ่านวอลลุ่มของแอพฯ สามารถปรับดัง–เบาผ่านแอพฯ ได้
2. Headphones = ผ่านวอลลุ่มของแอพฯ สามารถปรับดัง–เบาผ่านแอพฯ ได้
3. Direct = ไม่ผ่านวอลลุ่มของแอพฯ ความดังเท่ากับเร่งวอลลุ่มสูงสุด
ลักษณะสัญญาณที่ส่งออกไปที่ปลายทางของช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ Tambaqui จะอิงกับการปรับตั้งระดับ ‘Output Level’ ของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่อยู่บนหน้าเมนู Settings ด้วย
ฟังท์ชั่น ‘Output Level’ นี้ มีผลโดยตรงกับคุณภาพเสียง คุณต้องลองปรับตั้งแล้วฟังเสียงดู ซึ่งในนั้นมีให้เลือกปรับตั้ง “ความแรง” ของสัญญาณเอ๊าต์พุตอยู่ 3 ระดับ คือ 6V (เกนแรงที่สุด), 2V (เกนมาตรฐานทั่วไป) และ 0.6V (เกนเบา) ซึ่งหลักการก็คือ เลือกระดับเอ๊าต์พุตให้แม็ทชิ่งกับเกน (ความไว) ของช่องอินพุตของปรีแอมป์ หรืออินติเกรตแอมป์ที่คุณใช้อยู่ (***แนะนำให้ทดลองปรับเลือกแล้วฟังดูก่อนทำอย่างอื่น โดยเลือกใช้เกนที่ “แรงที่สุด” เท่าที่อินพุตของปรีแอมป์หรืออินติเกรตแอมป์จะรองรับได้ แต่ตอนทดลองฟังเอ๊าต์พุตที่ระดับ 6V ให้ระวังอย่าเร่งวอลลุ่มสูงเกินไป) นอกจากนั้น ที่หน้าเมนู Settings ยังมีให้ปรับฟังท์ชั่นอื่นๆ อยู่ด้วยเช่น ปรับบาลานซ์ซ้าย–ขวา, ปรับตั้งความสว่างของจอ, ปรับโหมดวอลลุ่ม ฯลฯ
ลองเล่น+ลองฟัง ยกที่ 1 : อินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S
ประเด็นหลักของการแม็ทชิ่งอุปกรณ์ประเภทดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์อยู่ที่การเลือกใช้ “อินพุต” ที่ใช้งานร่วมกับซิสเต็มของเราแล้วได้เสียงออกมาดีที่สุด ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เราต้องกลับไปเช็คดูว่า อุปกรณ์เครื่องเล่นไฟล์เพลงที่เราใช้อยู่ให้เอ๊าต์พุตอะไรออกมาบ้าง.? กับอีกอย่างคือ เช็คดูว่า ไฟล์เพลงที่เรามีอยู่และใช้ฟังประจำ ส่วนใหญ่เป็นไฟล์ประเภทไหน.?
โดยปกติแล้ว ไฟล์เพลงที่ให้เรโซลูชั่นของสัญญาณอยู่ที่ระดับ CD Quality คือ 16/44.1 จะสามารถใช้งานผ่านอินพุตของ DAC ได้แทบทุกช่อง แต่ถ้าเล่นไฟล์ที่ให้สัญญาณออกมาสูงกว่า 16/44.1 ก็ต้องตรวจเช็คความสามารถของช่องอินพุตของ DAC ดูด้วยว่าจะรองรับได้ที่ช่องอินพุตไหนบ้าง.?
สำหรับ Tambaqui ต้องกลับมาดูตารางนี้อีกที (ภาพบน) จะเห็นว่า ถ้าเล่นไฟล์ที่ให้สัญญาณออกมาระดับ 16/44.1 คุณสามารถเลือกใช้อินพุตของ Tambaqui ได้ทุกช่อง (แต่ละช่องให้เสียงไม่เหมือนกัน.!) ส่วนไฟล์เพลงที่ให้สัญญาณออกมาเป็น PCM Hi-Res ที่ระดับไม่เกิน 24/192 ก็ใช้ได้เกือบทุกช่อง ยกเว้น Bluetooth ในขณะที่ไฟล์เพลง DSF กับ DIFF ที่ให้สัญญาณออกมาเป็นฟอร์แม็ต DSD จะใช้อินพุตได้แค่ 2 ช่องคือ USB กับ Network (Ethernet) เท่านั้น
ยกแรกของการลองเล่น+ลองฟัง ผมลองฟังเสียงของอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ก่อน โดยใช้ Roon nucleus+ เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต ดึงไฟล์เพลงจาก NAS มาเล่นด้วยโปรแกรม Roon แล้วส่งสัญญาณผ่านเอ๊าต์พุต USB ของ nucleus+ ไปเข้าที่อินพุต USB ของ Denafrips GAIA (ตัวสีดำๆ อยู่ชั้นกลางในรูปข้างบน) ซึ่งทำหน้าที่เป็นดิจิตัล–ทู–ดิจิตัล คอนเวิร์ตเตอร์เพื่อแปลงสัญญาณที่รับเข้ามาทางอินพุต USB ให้เป็นสัญญาณขาออกไปที่เอ๊าต์พุตทุกช่องของ GAIA นั่นคือ Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S (*ต้องอาศัยความช่วยเหลือของ Denafrips GAIA เพราะ Roon nucleus+ มีแต่เอ๊าต์พุต USB และ Network แค่สองอย่าง)
ส่วนทางฝั่ง Tambaqui ผมใช้สายดิจิตัลที่ส่งมาจากเอ๊าต์พุตของ GAIA เชื่อมต่อเข้าที่อินพุตของ Tambaqui ทุกช่องที่มีตั้งแต่ Optical (สายยี่ห้อ ProLink), Coaxial (สาย Kimber Kable รุ่น Illumination), AES/EBU (สายยี่ห้อ Vandamme) และ I2S (สาย HDMI ยี่ห้อ Liton) พร้อมกัน ในการฟังเทียบผมก็ใช้วิธีกดเลือกอินพุตจากหน้าปัดของ Tambaqui โดยตรง
ผลการทดลองเล่นผมพบว่า การซิ้งค์สัญญาณ I/O ที่อินพุต Optical, Coaxial และ AES/EBU ระหว่าง GAIA กับ Tambaqui เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่มีปัญหาการซิ้งค์ที่ I/O ช่อง I2S คือเล่นไฟล์แล้วไม่มีเสียงออก ปรากฏว่า ฟอร์แม็ต I2S ระหว่างเอ๊าต์พุตของ GAIA กับอินพุตของ Tambaqui เป็นคนละฟอร์แม็ตกัน
ต้องขอบคุณ คุณดร นาทอง แอดมินกลุ่ม Accessory Lovers Thailand ที่นำ USB Interface ของ Matrix Audio รุ่น X-SPDIF 3 ที่สามารถแปลงสัญญาณขาเข้าทางช่อง USB ให้ออกมาเป็นฟอร์แม็ต I2S มาทดลองจับคู่กับอินพุต I2S ของ Tambaqui พบว่า เอ๊าต์พุต I2S ของ Matrix X-SPDIF 3 เข้ากับอินพุต I2S ของ Tambaqui ได้ (*ลักษณะเสียงที่ได้ผมจะไปให้ข้อมูลรวมไว้ในหัวข้อ “เสียงของ Tambaqui”)
ลองเล่น+ลองฟัง ยกที่ 2 : อินพุต USB, Network
ยกที่สอง ผมทดลองฟังเสียงจากช่องอินพุต USB กับช่องอินพุต Network ของ Tambaqui โดยใช้วิธีต่อตรงจาก Roon nucleus+ ไปที่อินพุต USB และ Network ของ Tambaqui
จากเอ๊าต์พุต USB ของ nucleus+ ผมใช้สาย USB A>B ของ Kimber Kable รุ่น Copper เชื่อมต่อไปที่อินพุต USB ของ Tambaqui และเชื่อมสาย LAN (Ethernet) จาก Router ไปที่อินพุต Network ของ Tambaqui ซึ่ง Roon nucleus+ จะมองเห็น Tambaqui เป็น endpoint ของ Roon เนื่องจากอินพุต Network ของ Tambaqui ได้รับการรับรองเป็น Roon Ready นั่นเอง
ทั้งอินพุต USB และอินพุต Network ของ Tambaqui ได้รับการออกแบบให้เป็นอินพุตที่มีความสามารถสูงสุดของ external DAC ตัวนี้ ทำให้อินพุตทั้งสองมีความสามารถรองรับไฟล์เพลงตระกูล PCM ได้สูงถึงระดับ DXD คือ 32bit/384kHz และสามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้สูงถึงระดับ DSD256 ผ่านเอ็นโค๊ดดิ้งด้วยฟอร์แม็ต DoP และ Native
ซิสเต็มอ้างอิง
ตอนสรุปเสียงของ Tambaqui
Mola Mola Tambaqui ตัวนี้ใช้เวลาอยู่ในห้องฟังของผมนานเกินเดือน มันถูกหยิบออกมาทดลองจับคู่กับแอมป์+ลำโพงหลายชุดในช่วงเวลานั้น เมื่อผ่านการเบิร์นฯ มาจนมั่นใจแล้ว ผมก็จัดแม็ทชิ่งแอมป์+ลำโพงมาเข้ากับ Tambaqui เพื่อวิเคราะห์เสียงของ DAC ตัวนี้จนได้เซ็ตที่ลงตัวกับมันมากที่สุดอยู่ 2 ชุด
เซ็ตแรกประกอบด้วยอินติเกรตแอมป์ของ Mola Mola รุ่น Kula (150W ที่ 8 โอห์ม / 300W ที่ 4 โอห์ม) ขับลำโพง Mission รุ่น 770 (2 ทาง / อิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม / ความไว 88dB)
เซ็ตที่สอง ประกอบด้วยอินติเกรตแอมป์ของ McIntosh รุ่น MAC7200 (200W ที่ 2-4-8 โอห์ม) ขับลำโพง Usher Audio รุ่น UA-50 (3 ทาง / อิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม / ความไว 87dB) ส่วนเส้นสายเชื่อมต่อต่างๆ ของทั้งสองเซ็ตนี้ผมใช้เหมือนกันทั้งหมด นั่นคือ ใช้สายสัญญาณของ Life Audio รุ่น Gold MK II (XLR) ยาวข้างละ 6 เมตร จับคู่กับสายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aureus ยาวข้างละ 2.5 เมตร ตบท้ายด้วยสายไฟเอซีของ Purist Audio Design รุ่น Corvus ก่อนจะสำทับด้วยระบบ noise reduction grounding hubs รุ่น ALTAIRA ของ Shunyata Research (REVIEW) อีกชั้น
เสียงของอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ของ Tambaqui
มีข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งสำหรับอุปกรณ์ประเภท DAC คือ ถ้าเป็น DAC ที่มี “ราคาไม่สูง” เอาว่าไม่เกินเครื่องละ 30,000 บาท แต่ให้อินพุตมาครบทุกรูปแบบ มีความเป็นไปได้สูงว่า อินพุตที่รองรับสัญญาณได้สูงๆ ซึ่งก็คืออินพุต USB กับ Network มักจะให้เสียงออกมาแย่ เผลอๆ จะแย่กว่าอินพุตที่รองรับสัญญาณขาเข้าได้ “ต่ำกว่า” อย่าง Coaxial หรือ AES/EBU ซะด้วยซ้ำไป.!
เป็นไปได้ยังไง.? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น..??
สาเหตุที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ความผิดของอินพุต USB หรือ Network แต่เป็นเพราะว่า อินพุต USB และ Network เป็นอินเตอร์เฟซ I/O ที่มี bandwidth กว้างมาก จึงมีความสามารถในการรับ/ส่งสัญญาณที่มีสเปคฯ สูงกว่าอินพุตรูปแบบอื่น ทว่า ต้นเหตุที่ทำให้เสียงของอินพุต USB และ Network ที่อยู่ใน DAC ราคาไม่แพงให้เสียงออกมาไม่ดี เป็นเพราะว่า “วงจรภาครับ” กับ “ภาคดีทูเอฯ” ภายใน DAC ตัวนั้นไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับสัญญาณอินพุตที่มีความละเอียดสูงได้ดี เนื่องจากการจัดการกับสัญญาณอินพุตที่มีความละเอียดสูงมากๆ จำเป็นต้องอาศัยการออกแบบที่มีความเข้าใจและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคดิจิตัลระดับสูง และต้องอาศัยการทำงานของเทคโนโลยีแวดล้อมที่มีความแม่นยำสูง รวมถึงต้องใช้ความสามารถของหน่วยประมวลผลที่มีความเร็วสูงในขณะที่ต้องมีความถูกต้องระดับสุด มีความผิดพลาดต่ำมากๆ จนแทบจะตรวจวัดไม่ได้ คือเกินมาตรฐานที่ทั่วไปยอมรับได้ลงไปอีก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ “ต้นทุน” ที่ DAC ราคาไม่แพงทั้งหลายไม่สามารถจ่ายได้ external DAC ราคาไม่สูงส่วนใหญ่ที่ให้อินพุต USB และ Network มาจึงหวังแค่ “ไม้ประดับ” ที่ช่วยทำให้สเปคฯ ของเครื่องออกมา “ดูดี” ในแง่ของความสามารถรองรับสัญญาณได้สูง ในขณะที่อินพุตที่หวังผลทางคุณภาพเสียงได้จริงๆ ในทางปฏิบัติจึงอยู่แค่ระดับ Optical และ Coaxial กับสัญญาณอินพุตที่มีสเปคฯ ไม่เกิน 24/96 เท่านั้น
โดยพื้นฐานแล้ว การเอาอินพุตที่มีแบนด์วิธสูงๆ อย่าง USB และ Network เข้ามาใส่ไว้ใน external DAC ก็เพื่อให้เป็นช่องทางรองรับสัญญาณดิจิตัล ออดิโอที่มีสเปคฯ สูงๆ ระดับ Hi-Res 24/192 ขึ้นไปรวมถึงฟอร์แม็ต DSD ที่มีสเปคฯ สุดโหด ทว่า การที่จะทำให้สัญญาณดิจิตัล ออดิโอสเปคฯ เทพๆ เหล่านั้นกลายเป็นสัญญาณอะนาลอกขาออกที่มีคุณภาพสมฐานะต้นฉบับดิจิตัลที่รับเข้ามา ภาค DAC ที่ใช้รับมือกับสัญญาณเหล่านั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูงทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ผสานกัน ซึ่งแน่นอนว่า การที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ระดับนั้นออกมาได้ external DAC ตัวนั้นก็ต้องใช้ต้นทุนสูงในการออกแบบและผลิต นั่นคือที่มาของราคาขายที่ต้องสูงตามไปด้วย.. อันนี้คือสัจจะธรรม ของดีจริงๆ ราคาถูกๆ ไม่มีในโลก..!!!
ทดสอบอินพุต Optical
ด้วยราคาค่าตัวของ Tambaqui ที่สูงถึง 420,000 บาท ทำให้ผมต้องตั้งความหวังกับ “ทุกอินพุต” ของมัน ไม่ว่าจะเป็นอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ซึ่งแม้ว่าจะมีความสามารถรองรับสัญญาณได้จำกัด คือรองรับ PCM ได้อย่างเดียว และรับได้แค่ระดับ 24/192 แต่รองรับ DSD ไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านแบนด์วิธของอินพุตเหล่านี้ แต่เนื่องจากราคาที่สูงของ DAC ตัวนี้ เสียงของอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ก็ควรจะออกมา “ดีที่สุด” เท่าที่มาตรฐานของสัญญาณอินพุตเหล่านั้นจะให้ได้ ซึ่งจากการทดลองฟังด้วยไฟล์เพลง PCM หลายระดับ ตั้งแต่ CD Quality 16/44.1 ไปจนถึงไฮเรซฯ 24/88.2, 24/96 และ 24/192 ผมพบว่า เสียงที่ออกมาจากอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ของ Tambaqui ตัวนี้มันอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก มากพอที่จะหยุดแค่นี้ได้เลย ถ้ามีไฟล์เพลงอยู่แค่ระดับนี้ ผมก็ไม่มีความอยากจะดิ้นรนไปไขว่คว้าหาไฟล์ที่มีสเปคฯ สูงกว่านี้อีก
ทดสอบอินพุต Coaxial (S/PDIF)
กับไฟล์เพลง WAV 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีนับพันแผ่นที่ผมเก็บสะสมมา เมื่อเลือกมาฟังผ่านอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ของ Tambaqui ตัวนี้ ผมแฮ้ปปี้กับเสียงที่ได้ออกมามาก มันให้ความน่าฟังที่ผสมผสานอยู่ระหว่าง “ความเป็นดนตรี” กับ “ความสมจริง” ได้อย่างลงตัว กับเพลงเก่าๆ ที่รู้อยู่ว่าบันทึกเสียงไม่ได้ดีมาก เมื่อนำมาลองฟังผ่านอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ของ Tambaqui ตัวนี้แล้ว มันก็มีฟ้องให้ได้ยินตำหนิที่เกิดจากการบันทึกเสียงออกมาให้รู้ แต่ตำหนิเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกเน้นออกมามากจนถึงกับทำให้อรรถรสของเพลงถูกทำลายไป ผมยังคงเสพเพลงเหล่านั้นได้อย่างเพลิดเพลิน ซึ่งจะว่าไปแล้ว แม้ว่าบางเพลงจะมีตำหนิของการบันทึกเสียงปรากฏออกมาให้ได้ยิน แต่เมื่อฟังรวมๆ แล้ว ผมพบว่า มันยังฟังดีกว่าผ่าน DAC ที่มีระดับต่ำกว่านี้เยอะมาก..!!
ทดสอบอินพุต AES/EBU
ระหว่างอินพุต Optical, Coaxial, AES/EBU และ I2S ให้เสียงต่างกันอย่างไร.? แน่นอนว่า แต่ละอินพุตในจำนวน 4 รูปแบบนี้ให้เสียงออกมาต่างกัน แต่ก็เป็นความต่างในแง่ของ “คุณสมบัติ” บางแง่มุมเท่านั้น ทว่าในแง่อื่นๆ ของเสียงมันไปทางเดียวกัน ภาพรวมของความเป็นดนตรีไปทางเดียวกันแต่ลดหลั่นในแง่ระดับ “ความลึกซึ้ง” ซึ่งแน่นอนว่า มันก็มีเรื่องของคุณภาพของสายดิจิตัลของแต่ละรูปแบบที่ใช้เข้ามาเป็นเงื่อนไขอยู่ด้วย ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะหาสายต่างประเภทกันแต่ให้คุณภาพออกมา “เท่ากัน“
อัลบั้ม : Happier Than Ever (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Billie Eilish
สังกัด : Interscope
จากการทดลองฟังเพลง ‘Getting Older‘ ของ Billie Eilish จากอัลบั้ม Happier Than Ever เทียบกันระหว่างอินพุต Optical, Coaxial และ AES/EBU ผมพบว่า อินพุต AES/EBU ให้เสียงที่แยกแยะตัวตนของแต่ละเสียงออกมาได้ “เคลียร์” กว่าอินพุต Optical กับ Coaxial ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่มีเสียงทุ้มหนักๆ หนาๆ ที่เป็นเสียงของเบสซินธิไซเซอร์เดินย้ำๆ ปูเป็นพื้นไปทั้งเพลง โดยมีเสียงร้องของบิลลี่ลอยอยู่เหนือเสียงทุ้มเหล่านั้น ซึ่งยอมรับว่าแยกเสียงร้องออกมาจากเสียงทุ้มได้ยากสำหรับเพลงนี้ เพราะเสียงร้องจะเบากว่าเสียงทุ้มพอสมควร ตอนฟังผ่านอินพุต Optical และ Coaxial ของ DAC ตัวนี้ ผมพบว่า เสียงร้องของบิลลี่ถูกความถี่ต่ำกลบทับจนกลืนกันไปบางส่วน บางช่วงฟังแล้วแยกคำร้องได้ไม่ชัด เมื่อเทียบกับฟังผ่านอินพุต AES/EBU ผมพบว่า อินพุต AES/EBU สามารถแยกเสียงร้องของบิลลี่ให้ลอยออกมาจากเสียงเบสซินธ์ฯ ได้ชัดเจนกว่า สามารถติดตามคำร้องของเธอไปได้ตลอด ในขณะเดียวกัน เสียงเบสซินธ์ที่เดินย้ำๆ อยู่ก็ถูกแยกออกเป็นตัวโน๊ตที่ชัดเจนมากกว่า ไม่ได้เป็นเสียงทุ้มที่มีความถี่ที่ใกล้เคียงกันไปทั้งเพลง อีกทั้งแต่ละโน็ตก็มีความกระชับและเก็บตัวได้ดีกว่าอินพุต Optical และ Coaxial อีกด้วย
อัลบั้ม : Necessarily So… (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Siri’s Svale Band
สังกัด : Sonor Records
อีกเพลงที่ทำให้แน่ใจมากขึ้นกับข้อสังเกตข้างต้น คือตอนลองฟังเพลง ‘Smoke Gets In Your Eyes’ ของ Siri’s Svale Band ซึ่งเป็นเพลงที่มีลักษณะคล้ายกับเพลง ‘Getting Older’ ของ Billie Eilish คือมีเสียงทุ้มที่เล่นคลอไปกับเสียงร้องตลอดทั้งเพลง และเป็นเสียงทุ้มที่มีความดังมากด้วย ทำให้เสียงร้องมีโอกาสจะถูกกลบทับได้ง่ายถ้า DAC แยกรายละเอียดในย่านหลางและทุ้มได้ไม่ขาดจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของ Tambaqui แต่อย่างใด เพราะนอกจากจะแยกเสียงร้องให้ลอยออกมาจากเสียงทุ้มได้อย่างชัดเจนแล้ว DAC ตัวนี้ยังแสดงให้เห็นว่า เสียงทุ้มที่เล่นคลอไปกับเสียงร้องนั้นคือดับเบิ้ลเบสที่มีรายละเอียดออกมาครบ ตั้งแต่หัวเบส บอดี้และหางเบส ฟังแล้วรับรู้ได้ว่าเป็นเสียงเบสที่มนุษย์เล่น ไม่ใช่เสียงเบสที่สร้างขึ้นจากคีย์บอร์ดเหมือนเสียงทุ้มในเพลง ‘Getting Older’ เพราะมันมี “น้ำหนัก” ของการลงปลายนิ้วดีดลงไปบนสายเบสปรากฏออกมาให้ได้ยินด้วย
ในจำนวนสี่อินพุตแรกที่ฟังเทียบกันครั้งนี้ ผมพบว่า คุณบรูโน่ “ไม่ได้ตั้งใจ” ที่จะทำให้อินพุต I2S ของ Tambaqui มีความพิเศษเหนือกว่าอินพุตอื่นๆ อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง (รวมถึงตัวผมเองด้วย.!) ดูได้จากความสามารถของภาครีซีฟเวอร์ของอินพุต I2S ที่รองรับสัญญาณอินพุตได้จำกัดอยู่แค่ฟอร์แม็ต PCM สูงสุดที่ 24/192 เท่านั้น ไม่รองรับฟอร์แม็ต DSD และที่สำคัญคือ ฟอร์แม็ต I2S ที่ใช้กับ Tambaqui ไม่สามารถซิ้งค์กับเอ๊าต์พุต I2S บางฟอร์แม็ตได้ จากการทดลองของผมพบว่า เอ๊าต์พุต I2S ของ Denafrips GAIA ไม่ซิ้งค์กับอินพุต I2S ของ Tambaqui เมื่อจับคู่กันจะไม่มีเสียงออก ต้องเปลี่ยนไปใช้ USB interface ของ Matrix รุ่น X-SPDIF 3 ถึงจะมีเสียงออก ซึ่งเสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับอีก 3 อินพุตที่รองรับสัญญาณได้เท่ากันตือ Optical, Coaxial และ AES/EBU ผมพบว่า อินพุต I2S ของ Tambaqui ให้ลักษณะเสียงที่มีความใส สะอาดกว่าทั้งสามอินพุตนั้น แต่ในแง่ของความลื่นไหลกับความอิ่มหนาของมวลเสียง จะเป็นรองอินพุต AES/EBU อยู่นิดหน่อย และฟังนานๆ จะพบว่าอินพุต I2S ของ Tambaqui จะให้โทนของเสียงออกไปทางสว่างกว่าอินพุต Coaxial และ AES/EBU นิดนึง ซึ่งในแง่นี้ผมพบว่าอินพุต AES/EBU ให้โทนเสียงที่มีความเป็นกลางสูงกว่า
สรุปโดยส่วนตัวกับสายดิจิตัลและตัว DDC ที่มีอยู่ ในจำนวนอินพุตทั้ง 4 ของ Tambaqui คือ Optical, Coaxial (S/PDIF), AES/EBU และ I2S ผมให้คะแนนอินพุต AES/EBU สูงสุด เหนือกว่าอีกสามอินพุตที่เหลือ โดยใช้ไฟล์เพลงที่มีสเปคฯ 16/44.1 และ 24/88.2 กับ 24/96 เป็นตัวตัดสิน ส่วนอันดับสองที่ให้คุณภาพเสียงเป็นรอง AES/EBU อยู่นิดหน่อยก็คืออินพุต I2S ซึ่งตัวแปรจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัว DDC กับสาย HDMI ด้วย ถ้าได้แหล่งกำเนิดสัญญาณ I2S ที่ดีมากๆ บวกกับสาย HDMI ที่แม็ทชิ่งกับอินพุต I2S ของ Tambaqui ก็อาจจะได้เสียงออกมาสู้กับอินพุต AES/EBU ได้เหมือนกัน
เสียงของอินพุต USB และ Network ของ Tambaqui
ถ้าคุณมีไฟล์เพลงที่มีความละเอียดสูงจำนวนมาก รวมทั้งไฟล์เพลงตระกูล DSD อยู่เยอะ คุณต้องใช้อินพุต USB หรือ Network ของ Tambaqui ในการเล่นไฟล์เพลงเหล่านั้น
ในทางทฤษฎีแล้ว สัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต PWM กับ 1-bit Pulse Density Modulation ของฟอร์แม็ต DSD มันมี “ความคล้ายคลึง” กับสัญญาณอะนาลอกมาก เคยอ่านผ่านตามาว่า ถ้าทำการแซมปลิ้งที่ระดับความถี่สูงมากพอ จะสามารถแปลงสัญญาณ PWM นั้นให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ LPF (Low Pass Filter) กรอง pulse หรือความถี่ดิจิตัลที่ไม่ต้องการออกไป ส่วนที่เหลือก็จะได้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่มีคุณภาพดีมากแล้ว ซึ่งนี่คงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Bruno Putzeys เลือกใช้วิธีแปลงสัญญาณดิจิตัล อินพุตทั้ง PCM และ DSD “ทุกระดับ” ที่เข้ามาทางอินพุต “ทุกอินพุต” ให้ออกมาเป็นสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต PWM (หลังจากอัพฯ สัญญาณอินพุตเหล่านั้นไปที่ 3.125MHz/32bit แล้ว) ก่อนจะส่งไปให้ภาค DAC ทำการแปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่มีแบนด์วิธสูงถึง 80kHz
จากข้อมูลข้างต้นนั้น ดูเหมือนว่า เราน่าจะคาดหวังคุณภาพเสียงจากฟอร์แม็ต DSD ที่เล่นผ่าน Tambaqui ได้มากกว่า external DAC ตัวอื่นๆ ที่ดีไซน์ภาค DAC ต่างไปจากนี้ ซึ่งประเด็นของการแปลงสัญญาณฟอร์แม็ต DSD นี้คือ “ยาขม” ของ DAC แทบทุกตัวในท้องตลาด ที่ส่วนมากจะทำออกมาได้ “ไม่ดี” เท่ากับฟอร์แม็ต PCM
ทางด้านเทคนิค Bruno Putzeys ใช้วิธีจัดการกับสัญญาณ DSD ด้วยการ “แปลง” หรือ convert (ในชาร์ตวงจรใช้คำว่า “reconstruction”) สัญญาณ 1-bit ของ DSD64, DSD128 และ DSD256 ให้ออกมาเป็นสัญญาณมัลติบิตที่ระดับ 3.125MHz/32bit ด้วยอัลกอรึธึ่ม Cheby Polynomial Interpolator ออเดอร์ที่ 6 ก่อน จากนั้นก็ส่งเข้ากระบวนการแปลงให้เป็นสัญญาณ PWM ที่ระดับ 100MHz/1bit (ความละเอียดเท่ากับต้นฉบับ 3.125MHz/32bit) ด้วยอัลกอรึธึ่ม Ripple Compensated PWM Noise Shaper ออเดอร์ที่ 7 แล้วส่งเข้าภาค DAC เพื่อแปลงออกมาเป็นเอ๊าต์พุตในขั้นตอนสุดท้าย
โชคดีที่ Roon nucleus+ มีทั้งเอ๊าต์พุต USB และ Network จึงง่ายที่จะทำการทดสอบอินพุตทั้งสองของ Tambaqui พร้อมกัน และผมก็สามารถสลับฟังเทียบระหว่างอินพุตทั้งสองนี้ได้ง่ายๆ อีกด้วย
ทดสอบอินพุต USB
ทดสอบอินพุต Network
ผมเริ่มด้วยการทดลองฟังไฟล์เพลงตระกูล DSD ก่อนเลย เพราะอยากรู้ว่า Tambaqui จะสอบผ่านมั้ยกับสัญญาณ DSD ไล่จาก DSD64, DSD128, DSD256 และตบท้ายด้วย DSD512
เล่นไฟล์ DSF64 ทางอินพุต USB
เล่นไฟล์ DSF64 ทางอินพุต Network
เล่นไฟล์ DSF128 ทางอินพุต USB
เล่นไฟล์ DSF128 ทางอินพุต Network
เล่นไฟล์ DSF256 ทางอินพุต USB
เล่นไฟล์ DSF256 ทางอินพุต Network
สรุปเบื้องต้น ในแง่สมรรถนะของการแปลงสัญญาณ DSD ของ Tambaqui ผลลัพธ์ที่ออกมาพบว่า ภาค DAC ของ Tambaqui สามารถแปลงสัญญาณ DSD ได้สูงสุดถึงระดับ DSD256 ตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ในสเปคฯ ทั้งทางอินพุต USB และ Network ได้อย่างราบลื่น ไร้การสะดุด ส่วนคุณภาพเสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ระดับที่น่าพอใจมาก เสียงโดยรวมที่ได้ออกมามีลักษณะที่เปิด กระจ่าง รายละเอียดพร่างพราย สปีดดี ไดนามิกสวิงได้กว้าง ไม่มีอาการอับทึบ ไม่อืดและไม่หน่วงช้าเหมือนอย่างที่ DAC ส่วนใหญ่มักจะเป็น ผมสังเกตว่า ภาค DAC ในตัว Tambaqui จะทำงานกับสัญญาณ DSD64 ออกมาได้ดีมาก ไทมิ่งดี จังหวะเพลงมีความถูกต้องแม่นยำ ไม่เอื่อยช้า ไดนามิกก็สวิงได้กว้าง ทำให้เสียงโดยรวมมีลักษณะสด กระจ่าง และสะอาด ส่วนสัญญาณ DSD128 กับ DSD256 จะมีอาการติดนุ่มนิดๆ ความสดของเสียงจะน้อยกว่า DSD64 นิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับที่ผมเคยลองเล่น DSD128 กับ DSD256 กับ external DAC ส่วนใหญ่ที่มีราคา ไม่เกิน 200,000 บาท มักจะออกมาไม่ดี ส่วนใหญ่จะให้เสียงออกมาอับๆ ทึบๆ ไม่เปิดกระจ่าง ไดนามิกไม่กว้าง
สาเหตุที่ทำให้ Tambaqui ถ่ายทอดเสียงของ DSD128 และ DSD256 ออกมาได้ดี น่าจะเป็นเพราะมันให้เอ๊าต์พุตที่มีความแรงมากถึง 6V นั่นเอง ซึ่งถ้าอินพุตของปรีแอมป์ หรืออินติเกรตแอมป์ของคุณสามารถรองรับเกนของสัญญาณอินพุตที่สูงถึง 6V ได้โดยไม่มีอาการขลิป แนะนำให้เลือกใช้เอ๊าต์พุตที่ระดับ 6V เสมอ เพราะมันเป็นระดับของสัญญาณเอ๊าต์พุตที่มีเกนขยายสูง ช่วยเสริมให้เกนของสัญญาณ DSD สเปคฯ สูงๆ อย่าง DSD128 และ DSD256 มีพลังมากขึ้น เสียงที่ออกมาจึงมีลักษณะที่เปิดและสดกระจ่าง
อัลบั้ม : Now The Green Blade Riseth (DSD128)
ศิลปิน : The Stockholm Cathedral Choir, Gustaf Sjokvist – organ
สังกัด : Naxos (2xHD Mastering)
อัลบั้มชุด ‘Now The Green Blade Riseth‘ เวอร์ชั่นนี้ รีมาสเตอร์มาจากอะนาลอก มาสเตอร์เทปโดยค่าย Naxos ออกมาเป็นฟอร์แม็ต DSD และ PCM ที่มีความละเอียดถึง 4 ระดับให้เลือกซื้อ คือ DSD128, DSD64, FLAC 192kHz และ FLAC 96kHz จัดจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ NativeDSD.com ผมโหลดซื้อมาเป็นเวอร์ชั่น DSD128 และเคยนำมาลองฟังผ่าน external DAC หลายตัวที่รองรับได้ถึง DSD128 ซึ่งเสียงที่ได้อออกมายังไม่ค่อยน่าพอใจ แต่มาครั้งนี้ ผมยอมรับเลยว่า ฟังผ่าน Tambaqui ครั้งนี้ได้เสียงอออกมาดีที่สุดเท่าที่เคยฟังอัลบั้มนี้มาทั้งหมด.!
บรรยากาศของเสียงออกมาโดดเด่นมากเป็นพิเศษ แอมเบี้ยนต์ของโบสถ์แผ่ออกมาเต็มห้อง ครอบคลุมสนามเสียงกว้างมาก ให้ความรู้สึกที่เปิดโล่ง ผ่อนคลาย ไม่มีอาการอึดอัดเลย ในขณะเดียวกัน เลเยอร์ของเสียงร้องประสาน และเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็ถูกแยกเกลี่ยออกมาให้เห็น (ด้วยหู) เป็นชั้นๆ แต่ละส่วนให้โฟกัสที่ชัดเจน รับรู้ได้ถึงตำแหน่งของกลุ่มเสียงประสานแต่ละกลุ่ม
จากการฟังเปรียบเทียบระหว่างอินพุต USB กับอินพุต Network ของ Tambaqui โดยใช้ Roon nucleus+ เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต ผมพบว่า อินพุต Network ให้เสียงที่ดีกว่าอินพุต USB พอสมควร สังเกตได้จากลักษณะเสียงที่ได้จากอินพุต Network ให้ความรู้สึกผ่อนปรนมากกว่า ปลายเสียงทอดไปได้ไกลกว่า ไต่ระดับคอนทราสน์ไดนามิกได้ต่อเนื่องกว่าทั้งขาขึ้น (จากเบาไต่ขึ้นไปหาดัง) และขาลง (จากดังลดลงมาเบา) และไทมิ่งของเสียงที่ได้จากอินพุต Network ก็มีความแม่นยำมากกว่า ทำให้จังหวะของเพลงมีลีลาที่ต่อเนื่องลื่นไหลมากกว่า ซึ่งความแตกต่างทั้งหมดนี้อาจจะไม่มากถึงขนาดที่ทำให้เสียงของอินพุต USB ฟังแย่ ถ้าไม่เทียบกัน เสียงของอินพุต USB ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ แต่ถ้าได้ระบบเน็ทเวิร์คที่ดี อินพุต Network ของ Tambaqui คือที่สุดสำหรับ external DAC ตัวนี้.!!!
ลองเล่นไฟล์ DSF512 ทางอินพุต USB
ลองเล่นไฟล์ DSF512 ทางอินพุต Network
ในสเปคฯ ของ Tambaqui ระบุไว้ว่า ภาค DAC ในตัวของมันรองรับ DSD ได้ถึงระดับ DSD256 แต่หลังจากผมทดลองเล่นไฟล์ DSF512 ผ่านทางอินพุต USB ของ Tambaqui ปรากฏว่ามี noise ออกมา ฟังไม่เป็นเพลง แต่เมื่อเปลี่ยนไปเข้าทางอินพุต Network ปรากฏว่าโปปรแกรม Roon รู้ว่าภาค DAC ของ Tambaqui รองรับ DSD512 ไม่ได้ จึงได้ทำการ downsampling จาก DSD512 ลงมาอยู่ที่ DSD256 ก่อนส่งให้ Tambaqui ซึ่งสามารถเล่นได้.. นี่คือประสิทธิภาพของการเป็น Roon Ready
ก่อนจะปิดการทดสอบ ผมได้ทดลองเล่นไฟล์ WAV16/44.1, FLAC 24/96 และ FLAC 24/192 กับอินพุต USB และ Network ของ Tambaqui พบว่า อินพุต Network ของ Tambaqui ให้เสียงออกมา “ดีที่สุด” ดีกว่าทุกอินพุตที่ DAC ตัวนี้มีมาให้ใช้ ..!!!
สรุป
เมื่อ ปี 1999 มิสเตอร์ Kiyoshi Masuda หัวหน้าทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ ออดิโอของบริษัท Sharp Corperation เป็นคนนำเสนออินติเกรต แอมปลิฟายของ Sharp รุ่น SM-SX100 ซึ่งเป็นอินติเกรตแอมป์ดิจิตัลตัวแรกของโลกที่นำเอาหลักการทำงานของ Delta-Sigma Modulator หรือการแปลงข้ามไป–มาระหว่างสัญญาณดิจิตัลแบบ multi-bit กับ 1-bit ซึ่งเป็นพื้นฐานการทำงานที่ใช้ในการออกแบบภาค D-to-A converter มาใช้ออกแบบให้ทำงานเป็นแอมปลิฟายขยายสัญญาณเสียง
จุดเด่นของภาคขยายที่ใช้ในอินติเกรตแอมป์ SM-SX100 ก็คือการทำให้สัญญาณดิจิตัลจากต้นทางอินพุตสามารถทะลุออกไปทางเอ๊าต์พุตเพื่อขับลำโพงโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกแต่อย่างใด หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำให้สัญญาณอินพุตทั้งที่อยู่ในรูปของสัญญาณ multibit PCM และ Single-bit DSD เปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสัญญาณ single-bit PWM ที่มีอัตราแซมปลิ้งเรตที่สูงมากๆ จากนั้นก็นำสัญญาณ PWM นั้นไปผ่านวงจร Low-Pass Filter กรองส่วนที่ไม่ต้องการทิ้งไป เหลือเฉพาะสัญญาณ digital PWM ที่ต้องการแล้วส่งออกไปขับดันลำโพง
การปรากฏตัวของอินติเกรตแอมป์ Sharp รุ่น SM-SX100 ครั้งนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้เกิดกับวงการเครื่องเสียง มันเป็นเมล็ดพันธุ์ความคิดที่ถูกหว่านกระจายไปทั่ววงการแอมปลิฟาย ก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ในการออกแบบ digital amplifier ให้แพร่กระจายออกไป จนเป็นที่มาของดิจิตัลแอมป์ในปัจจุบัน
ปี 2012 Bruno Putzeys ได้หยิบเอาพื้นฐานการออกแบบภาค DAC ด้วยกรรมวิธี Delta-Sigma Modulation มาใช้ในการออกแบบ Mola Mola Tambaqui ตัวนี้ ทำให้ Tambaqui ตัวนี้เป็น DAC ที่ไม่ต้องมีขั้นตอนแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นอะนาลอกตรงเอ๊าต์พุต แนวทางเดียวกับเอ๊าต์พุตของ Sharp SX-SM100 ตัวนั้น คือเป็นเอ๊าต์พุตที่ขับดันด้วยสัญญาณดิจิตัล PWM + FIR output stage แต่ด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่ามาก
อินติเกรตแอมป์ของ Sharp SX-SM100 ให้เสียงที่ใส กระจ่าง แต่ติดแห้ง เพราะเอ๊าต์พุตของ SX-SM100 เป็น PWM ที่ใช้อัตรา quantization ที่ระดับ 2.8224MHz เพื่อใช้กับอินพุต PCM 16/44.1 และ DSD64 ซึ่งเป็นมาตรฐานของยุคนั้น ในขณะที่ Bruno Putzeys ออกแบบเอ๊าต์พุต PWM ของ Tambaqui ตัวนี้ให้มีอัตรา quantization ที่สูงถึงระดับ 100MHz เพื่อใช้กับอินพุต PCM/DXD 32/384 และ DSD256 ซึ่งเป็นมาตรฐานของสัญญาณอินพุตสูงสุดในยุคปัจจุบัน นั่นคือที่มาของเสียงที่มีคุณสมบัติครบตามอุดมคติ ทั้งความสะอาด บริสุทธิ์ อบอุ่น นุ่มนวล และสดกระจ่าง ในเวลาเดียวกัน
Mola Mola Tambaqui ตัวนี้ไม่ได้เป็นแค่ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ หรือ DAC ทั่วไป แต่มันคือผลงานระดับ Innovation ที่เปลี่ยนพื้นฐานแนวคิดในการออกแบบอุปกรณ์ประเภท ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ หรือ DAC ไปโดยสิ้นเชิง พูดได้ว่านี่คือ ดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ หรือ DAC ที่ให้เสียงเที่ยงตรงตามต้นฉบับของ source ดิจิตัลที่ป้อนเข้ามา โดย “ตัด” ขั้นตอนการแปลงสัญญาณจากดิจิตัลเป็นอะนาลอกก่อนส่งไปที่แอมป์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ลดทอนคุณภาพเสียงทิ้งไป เสียงของ Tambaqui ตัวนี้จึงให้ความบริสุทธิ์ตรงตามต้นฉบับมากที่สุด..!!! /
*************************
ราคา : 420,000 บาท / ตัว
*************************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
บริษัท Komfort Sound
โทร. 083-758-7771
facebook : komfortsound