ผู้ผลิตสายไฟเอซีแทบทุกเจ้าจะใช้คำสาธยายประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ตัวเองออกไปในทางนามธรรมเกือบจะทั้งนั้น น้อยมากที่จะอธิบายถึงผลการใช้งานด้วยภาษาที่นักเล่นเครื่องเสียงอ่านแล้วเห็นภาพและพอจะอาศัยพึ่งพาเป็นแนวทางในการเลือกซื้อไปใช้งานได้ตรงกับความต้องการได้ สุดท้ายแล้ว ผู้ซื้อก็ต้องใช้วิธีเสี่ยงซื้อไปลองแม็ทฯ เสียงกับซิสเต็มของตนเอาเอง ได้ผลลัพธ์ออกมาถูกใจก็แฮ้ปปี้ไป เหมือนซื้อหวยแล้วถูก ถ้าได้เสียงออกมาไม่ถูกใจ แก้ปัญหาซิสเต็มได้ไม่ตรงจุดก็เศร้ากันไป
“The PowerCable”
สายไฟเอซีที่ระบุบุคลิกเสียงให้ด้วย!
สินค้าประเภทแอคเซสซอรี่ อย่างพวกสายสัญญาณ, สายลำโพง หรือแม้แต่สายไฟเอซี ในเมืองนอกเขาจะมีการให้ทดลองใช้งานกับซิสเต็มของตัวเองก่อนตัดสินใจซื้อด้วย (อาจจะมีการมัดจำเงินไว้เท่าราคาสายก่อนเอาไปลอง) ในบ้านเราก็อาจจะมีบางร้านทำแบบนั้น แต่ก็ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมเท่าไร เพราะคนซื้อบ้านเรามองว่าวิธีนั้นเยิ่นเย้อเสียเวลา เลยต้องจบด้วยการซื้อมาลองเสี่ยงแม็ทฯ ดูเองอย่างที่ว่า ซึ่งทาง Clef Audio คงมองเห็นปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาเลยคิดค้นวิธีทำสายไฟเอซีที่มีการระบุแนวเสียงของสายไฟเอซีแต่ละรุ่นเอาไว้บนบรรจุภัณฑ์เสร็จสรรพ นัยว่าเป็นข้อมูลให้ผู้ซื้อเลือกซื้อได้ตรงกับวัตถุประสงค์ความต้องการใช้งานนั่นเอง
3 รุ่น 3 ระดับ
สายไฟเอซีในอนุกรม The PowerCable ที่ Clef Audio ทำออกมาจำหน่ายครั้งนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 รุ่น โดยตั้งชื่อรุ่นว่า The PowerCable ‘ONE’, The PowerCable ‘TWO’ และ The PowerCable ‘THREE’ เรียงลำดับตามขั้น คือรุ่น ONE จะเป็นรุ่นเล็กสุด ส่วนรุ่น THREE จะเป็นรุ่นใหญ่สุดในขณะนี้ โดยมีรุ่น TWO แทรกอยู่ระหว่างกลาง
The PowerCable ‘ONE’
นี่เป็นรุ่นเล็กสุด ออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นทดลองอัพเกรดสายไฟเอซีจากสายแถมเส้นสีดำที่ให้มากับตัวเครื่อง ความยาวของไฟตัวนี้วัดจากปลายสุดของขั้วต่อด้านตัวผู้ไปถึงปลายสุดของขั้วต่อด้านตัวเมียอยู่ที่ 158 ซ.ม.
ปลั๊กตัวผู้ฝั่งที่ใช้เสียบเข้ากับเต้ารับบนผนังห้อง หรือเต้ารับของตัวกรองไฟ กับปลั๊กตัวเมียที่ใช้เสียบเข้ากับหลังเครื่องเป็นของ Furutech รุ่น FI-15(G)Plus ทั้งคู่ ซึ่งเป็นหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กตัวเดียวกันกับที่ผมเคยเอามาทดสอบไปแล้ว (REVIEW – FI-15(G)Plus) ซึ่งผมพบว่ามันเป็นหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กที่มีคุณภาพคุ้มค่ากับราคามาก คู่นี้รวมกันตกห้าพันเศษ ตั้งแต่เนื้องานการออกแบบตัวบอดี้, วัสดุที่ใช้ในแต่ละจุด ตลอดไปจนถึงระบบการล็อคสาย เขาทำออกมาได้เหนือกว่าหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กที่มีอยู่ทั่วไปมาก หยิบมาเทียบกันก็จะเห็นความแตกต่างชัดเจน อีกทั้งผมได้ทดลองเอาไปเชื่อมต่อกับสายไฟธรรมดาฟังเทียบกับสายไฟแถมเส้นใหญ่ที่หล่อหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กมาในตัว พบว่าหลังจากตัดหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กของสายแถมตัวนั้นออกแล้วใส่หัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กของ Furutech รุ่นนี้เข้าไปแทน ปรากฏว่าเสียงดีขึ้นเยอะมาก.!
สำหรับคนที่มีฝีมือช่างอยู่บ้าง และมีสายไฟอยู่แล้ว ถ้าสนใจจะซื้อเฉพาะหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กของ Furutech รุ่นนี้มาทดลองเปลี่ยนเพื่ออัพเกรดเสียงของสายไฟเอซีเส้นเดิมดูก็ติดต่อขอซื้อเฉพาะหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กของเขาก็ได้ ซึ่งปกติเขาจะขายเฉพาะหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณขี้เกียจจะเปื้อนไม้เปื้อนมือ ก็สามารถเลือกซื้อสายไฟเอซีรุ่น The PowerCable ‘ONE’ ตัวนี้ไปใช้อัพเกรดสายไฟแถมตัวเดิมได้เลย
ตัวสายไฟที่เอามาใช้ทำรุ่น ‘ONE’ ตัวนี้ก็เป็นสาย Power ของแบรนด์เดียวกัน รหัสรุ่น FP-314Ag-II เปลือกนอกสีน้ำตาล ขนาดผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 13 ม.ม. ใช้ตัวนำทองแดงปลอดอ็อกซิเจน OFC เคลือบผิวด้วยโลหะเงิน ผ่านกระบวนการแช่ Cryogenic และล้างสนามแม่เหล็กด้วยเทคนิคอัลฟ่าโปรเซสซิ่งที่ Furutech คิดค้นขึ้นมา
The PowerCable ‘TWO’
ตัว ‘TWO’ นี้เป็นรุ่นกลาง แทรกอยู่ระหว่าง ‘ONE’ กับ ‘THREE’ หัวปลั๊กตัวผู้กับท้ายปลั๊กตัวเมียก็ยังคงใช้ของ Furutech รุ่น FI-15(G)Plus เหมือนรุ่น ‘ONE’ อีกทั้งความยาวของตัวสายก็เท่ากัน วัดได้ 158 ซ.ม. เหมือนกัน
ส่วนที่ ‘ONE‘ กับ ‘TWO‘ ต่างกันก็คือตัวสายไฟที่ใช้ แม้ว่าสายไฟที่ตัว ‘TWO‘ ใช้จะเป็นของ Furutech เหมือนกัน แต่เป็นคนละรุ่น รุ่นที่ใช้ในตัว ‘TWO‘ รหัสรุ่นคือ FP-S022N ซึ่งเส้นตัวนำที่ใช้ด้านในเป็น Nano OFC ขนาด 14AWG บวกกับการเคลือบผิวด้วยทองและเงินเหลวที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมากระดับนาโนเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำไฟฟ้าที่ดียิ่งขึ้น ก่อนจะนำไปผ่านการแช่เย็นด้วยกระบวนการอัลฟ่าโปรเซสซิ่งถึง 2 ชั้น จากนั้นก็ชีลด์ภายนอกด้วยตาข่ายร่างแหโลหะแล้วหุ้มด้วย PVC ที่ให้ความยืดหยุ่นสูงแต่แข็งแรง เปลือกนอกของรุ่นนี้จะให้สีออกโทนน้ำเงินหม่นๆ
จะเห็นว่าตัวสายไฟที่ใช้ในรุ่น ‘TWO’ นี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าสายไฟที่ใช้ในรุ่น ‘ONE’ อยู่พอสมควร ซึ่งเป็นที่มาของราคาที่ขยับสูงกว่ารุ่น ‘ONE’ ขึ้นไปอีกขั้น
The PowerCable ‘THREE’
นี่เป็นรุ่นใหญ่สุดในอนุกรม The PowerCable ของ Clef Audio ก็ยังคงใช้หัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กรุ่น FI-15(G)Plus เหมือนรุ่น ‘ONE’ และรุ่น ‘TWO’ ส่วนที่ต่างจากสองรุ่นนั้นก็คือสายไฟเอซี ซึ่งในรุ่น ‘THREE’ นี้ใช้สายไฟรุ่น FP-S032N ซึ่งเป็นสายไฟที่มีขนาดหน้าตัดใหญ่ถึง 17 ม.ม. ดูด้วยสายตาจะเห็นขนาดของสายไฟที่ใช้ในรุ่น ‘ONE’ และรุ่น ‘TWO’ จะเล็กกว่าที่ใช้ในรุ่น ‘THREE’ ค่อนข้างชัดเจน
โครงสร้างของเส้นตัวนำรุ่น FP-S032N กับรุ่น FP-S022N จะคล้ายกัน เส้นตัวนำในรุ่น FP-032N ใช้ใหญ่กว่าคือขนาด 12AWG ส่วนอื่นที่เหลือก็เหมือนกัน
ทดลองฟังเสียง
ผมได้รับสายไฟเอซีของ Clef Audio มาทดสอบพร้อมกันทั้ง 3 เส้น ซึ่งพิจารณาจากราคาขายของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นนี้ คือรุ่น ‘ONE’ = 8,700 บาท/เส้น, รุ่น ‘TWO’ = 10,400 บาท/เส้น และรุ่น ‘THREE’ = 13,900 บาท/เส้น นำไปเปรียบเทียบกับสายไฟเอซีสำเร็จรูปของแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาดแล้ว ถือว่าสายไฟเอซีทั้งสามรุ่นของ Clef Audio กลุ่มนี้จัดอยู่ในระดับกลางๆ ผมจึงเซ็ตอัพชุดเครื่องเสียงระดับกลางๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ทดลองฟังเสียงของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นนี้
เพื่อให้การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและแนวเสียงของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นนี้มีความแม่นยำมากที่สุด ผมจึงใช้ลำโพงระดับกลางสูงของ Q Acoustic รุ่น Concept 300 (REVIEW) เป็นตัวตั้ง แล้วใช้แอมปลิฟาย 2 ชุด 2 ระดับในการทดลองขับลำโพงคู่นี้
ในการทดสอบรอบแรก ผมใช้ตัว all-in-one ของ Cambridge Audio รุ่น EVO 75 (REVIEW) ขับ Concept 300 โดยผ่านสายลำโพง single-to-biwire ของ Nordost รุ่น Heimdall และใช้สาย LAN Cat6 ของ Fuse Audio เชื่อมต่อสัญญาณจาก router เพื่ออาศัยฟังท์ชั่นสตรีมมิ่งในตัว EVO 75 เป็นอินพุต ซึ่งซิสเต็มนี้เทียบเสียงได้ง่าย เพราะตัดตัวแปรออกไปได้เยอะ
ในการฟังเทียบผมใช้สายไฟแถมเส้นสีดำที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เป็นตัวแทนของสายไฟแถมทั่วไป เพื่อจะดูว่าสายไฟเอซีทั้งสามรุ่นของ Clef Audio ให้อะไรต่างไปจากสายแถมบ้าง.?
หลังจากนั้น ผมก็เปลี่ยนเอา Cambridge Audio EVO 75 ออก แล้วเปลี่ยนมาใช้เพาเวอร์แอมป์ของ Ayre Acoustic รุ่น V-3 ขับ Concept 300 โดยใช้ DAC/Pre-amp ของ NuPrime รุ่น Evolution DAC ทำหน้าที่เป็นทั้ง source และปรีแอมป์ ผ่านสายสัญญาณ XLR รุ่น Gold MK II ของ Life Audio (REVIEW) ส่วนสายลำโพงก็ยังคงเป็น Nordost Heimdall เหมือนเดิม ซึ่งการทดสอบในช่วงที่สองนี้ผมจึงมีโอกาสเปลี่ยนสายไฟเอซีเทียบกันได้มากขึ้น คือทดลองใช้กับปลายทางคือเพาเวอร์แอมป์ และสลับมาทดลองใช้กับตัวทางคือ DAC/Pre-amp ด้วย
เพลงที่ใช้วัดผล
หลังจากทดลองฟังสายไฟเอซีของ Clef Audio ทั้งสามเส้นผ่านไปนานแรมเดือนจนเสียงของแต่ละเส้นมันนิ่งแล้ว (ผ่านเบิร์นฯ แล้ว) ผมก็เริ่มทดลองเล่นกับเพลงต่างๆ อยู่พักหนึ่งเพื่อเก็บรายละเอียด เมื่อพร้อมที่จะสรุปผลการทดลองฟัง ผมจึงเลือกเพลงที่ใช้วัดผลในการตอบสนองกับความถี่ทุ้ม–กลาง–แหลม และด้านอื่นๆ ออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็นำเพลงเหล่านั้นมาทดลองฟังเปรียบเทียบระหว่างสายไฟแต่ละเส้นอีกรอบ ขณะทดลองฟังในขั้นตอนสรุปนี้เองที่ผมพบว่า บางแทรคฟังออกยากเพราะมันมีประเด็นที่ต่างกันไม่เยอะ ทั้งหมดนั้นมีอยู่ 3 แทรค ที่ทำให้ผมสังเกตเห็น (ด้วยหู) ถึงลักษณะความแตกต่างของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นนี้ค่อนข้างชัดพอจะนำมาสรุปเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นนี้ได้
อัลบั้ม : Serenading Duke Ellington (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Alice Babs
สังกัด : Prophone
แทรคที่ใช้จากอัลบั้มนี้คือ แทรคที่ 3 เพลง “Don’t Get Around Much Anymore” จุดเด่นของแทรคนี้คือโชว์เสียงร้องกับไดนามิกเร้นจ์ที่เปิดกว้างเป็นพิเศษ
อัลบั้ม : Japanese Melodies (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Yo-Yo Ma
สังกัด : Sony Music
แทรคแรกเพลง “Matsushima-Ondo” ในอัลบั้มชุด Japanese Melodies นี้โดดเด่นมากทางด้านไดนามิกทรานเชี้ยนต์ (สปีด, ความฉับไว) ของทั้งย่านเสียงแหลมและเสียงกลาง รวมถึงยังถ่ายทอดฮาร์มอนิกของเสียงเครื่องดนตรีที่ทำด้วยไม้กับเครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะออกมาได้เหมือนจริงมากด้วย
อัลบั้ม : Master of Chinese Percussion (DSF64)
ศิลปิน : Yim Hok-Man
สังกัด : Marco Polo
เสียงทุ้มตั้งแต่ย่านเบสต้นๆ ลงไปจนถึงเบสลึกๆ ของแทรคแรกเพลง “Poem of Chinese Drum” บันทึกมาได้โดดเด่นมากเป็นพิเศษ
ลักษณะการทดลองฟังเพื่อวัดผล
เพลงทั้งสามแทรคที่ผมเลือกมาทดสอบเสียงของสายไฟเอซีทั้งสามเส้นฝนขั้นตอนสรุปผลสุดท้ายนี้เป็นแทรคเพลงที่มี gain สัญญาณใกล้เคียงกัน ความหมายคือ เมื่อลองฟังทั้งสามเพลงต่อเนื่องกัน (ผมเล่นจากไฟล์เพลงและทำ playlist รวมทั้งสามเพลงนี้เอาไว้ด้วยกัน) โดยไม่ปรับเปลี่ยนวอลลุ่มเลย พบว่าความดังของทั้งสามเพลงนี้ออกมาใกล้เคียงกัน ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ ส่วนวิธีการวิเคราะห์เสียงของสายไฟเอซีแต่ละเส้น ในขั้นต้นผมจะฟังเปรียบเทียบกับสายแถมเท่านั้น จะยังไม่เอาทั้งสามรุ่นมาฟังเทียบกันเอง ซึ่งขั้นตอนฟังเทียบกันระหว่างสามรุ่นนี้จะทำในขั้นตอนหลัง
เสียงของสายไฟเอซี Clef Audio ทั้งสามรุ่น
หลังจากลองฟังผ่านไปแล้ว สิ่งแรกที่ผมขอสรุปก่อนเลยเพราะมันชัดเจนมากคือ สายไฟเอซีของ Clef Audio ทั้งสามเส้นนี้ให้เสียงที่ “ดีกว่าสายแถม” มาก.! หลังจากฟังสายแถมเสร็จ ถอดออกแล้วเสียบสายไฟ The PowerCable ลงไปแทนแล้วฟังเพลงเดิมซ้ำ แทบจะไม่ต้องเปลี่ยนกลับไปฟังสายแถมเลย เพราะความแตกต่างมันเด่นชัดมาก แม้แต่สายรุ่นเล็กสุดคือ The PowerCable ‘ONE’ ก็ยังฟังออกชัดว่าทุกเสียงที่อยู่ในเพลงที่ฟังมันมีมวลที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ละเสียงมันมีรูปทรงที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น คือตอนฟังผ่านสายแถม ผมก็ได้ยินว่าในเพลงที่ฟังมันมีเสียงของอะไรอยู่ในเพลงเหล่านั้นบ้าง แต่หลังจากเปลี่ยนเอาสายไฟ The PowerCable ลงไปแทนสายแถมแล้ว จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเสียงที่เคยได้ยินจากสายแถมมันโผล่พ้นอากาศขึ้นมาแค่ “บางส่วน” เท่านั้น ซึ่งก็คือ “อิมแพ็ค” หรือหัวเสียงที่เป็นสัมผัสแรกของเสียงนั้นๆ ที่โผล่จากอากาศขึ้นมาให้ได้ยิน ในขณะที่รายละเอียดที่เป็นส่วนของ “บอดี้” ของแต่ละเสียงจะออกมาแค่จางๆ ไม่เข้มและไม่เป็นทรง ซึ่งรายละเอียดในส่วนที่เป็น “บอดี้” ของแต่ละเสียงนั้นก็คือฮาร์มอนิกของแต่ละเสียงที่มีความสำคัญมาก เพราะฮาร์มอนิกเหล่านี้แหละที่ทำให้เรารู้ว่า เสียงแต่ละเสียงที่อยู่ในเวทีเสียงที่เราฟังอยู่นั้นเป็นเสียงของเครื่องดนตรีประเภทไหนบ้าง
สายแถมจะอ่อนด้อยมากในการถ่ายทอดความถี่ตั้งแต่ย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้ม เมื่อลองฟังเสียงตีกลองจีนในเพลง Poem of Chinese Drum นั้นชัดมาก เสียงกลองจะมาเฉพาะหัวๆ โน๊ต ส่วนตัวเสียงกลับหางเสียงแทบจะหายไปเลย พอเปลี่ยนสายไฟ The PowerCable ลงไปแทนสายแถม ปรากฏว่า เสียงทุ้มต่างกันมหาศาล แค่สายตัว The PowerCable ‘ONE’ ก็เห็นความแตกต่างได้ชัดมากแล้ว เสียงกลองที่ออกมามีบอดี้ที่หนาขึ้น มีมวลที่อวบอิ่ม ในย่านทุ้มลึกๆ ก็แผ่ตัวทอดหางเสียงต่ำๆ ออกมาให้สัมผัสได้
เสียงที่ฟังความแตกต่างยากหน่อยคือเสียงกลาง แต่ก็ไม่ถึงกับยากมาก ถ้าฟังผิวเผินแบบไม่จับอะไรมาก จะรู้สึกว่า สายแถมก็ให้เสียงร้องของ Alice Babs ในเพลง Don’t Get Around Much Anymore ออกมาเด่นชัดดีน่าพอใจแล้ว (ต้องยกคุณงามความดีให้กับซาวนด์เอนจิเนียร์ของค่าย Prophone ด้วยที่บันทึกเสียงเพลงนี้ออกมาได้เยี่ยมยอดมาก!) แต่พอเอาสายไฟรุ่น The PowerCable ‘ONE’ ของ Clef Audio ลงไปเสียบแทนสายแถม ฟังเพลงเดียวกัน วูบแรกจะรู้สึกเหมือนกับว่า เสียงร้องของ Alice Babs จะถอยหลังลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงนิดนึง ไม่เปิดพุ่งออกมาเหมือนตอนฟังผ่านสายแถม คือวูบแรกจะรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงร้องมันทึบลงนิดนึง แต่พอฟังไปนานอีกนิด แล้วสลับไปสายแถมอีกที คราวนี้จะรู้สึกได้ว่าเสียงของ Alice Babs ตอนฟังกับสายแถมเธอดูจะโฉ่งฉ่าง ก๋ากั๋นไปหน่อย พอเปลี่ยนสาย The PowerCable ‘ONE’ ลงไปแทน จะรับรู้ได้ถึงความเป็นมืออาชีพของเธอขึ้นมาทันที ผัสสะได้ถึงการควบคุมคำร้องที่มีจังหวะจะโคนมากขึ้น..
ประเด็นที่ฟังเสียงร้องของแทรคนี้ผ่านสายไฟตัว The PowerCable ‘ONE’ แล้วรู้สึกทึบลงนิดนึงเมื่อเทียบกับสายแถม ผมมาได้คำตอบหลังจากทดลองเปรียบเทียบสายแถมกับสายไฟตัว The PowerCable ‘TWO’ คือตัว The PowerCable ‘TWO’ ให้เสียงร้องที่ “กระจ่างชัด” พอๆ กับสายแถม แต่ภายใต้ความกระจ่างชัดนั้น มันมีบางอย่างที่ต่างกัน คือสายแถมมันให้เสียงร้องในแทรคนี้ออกมากระจ่างชัดในตอนแรกที่ฟัง แต่พอฟังไปสักพักจะรู้สึกว่าเสียงร้องนั้นมีลักษณะที่แผดและสว่างจ้าเกินไป ช่วงที่เธอโหนขึ้นโน๊ตสูงๆ จะปรากฏชัดมากถึงลักษณะของอาการแผดจ้าที่ว่า (ไม่เกี่ยวกับ “ความดัง” นะ เพราะผมลองลดวอลลุ่มลงมาแล้ว ปรากฏว่าไดนามิกเร้นจ์หดแคบลง อาการแผดลดลง ในขณะที่อาการจ้าก็เบาลงแต่ยังไม่หายไปทั้งหมด) ในขณะที่สายตัว The PowerCable ‘TWO’ กับตัว The PowerCable ‘THREE’ ให้เสียงร้องของ Alice Babs ที่มีลักษณะเปิดกระจ่างโดยแทบจะไม่มีอาการจ้าเกิดขึ้นเลย ผมไม่ต้องลดวอลลุ่มลงตลอดการฟังด้วยสาย The PowerCable ‘TWO’ และ The PowerCable ‘THREE’ จึงทำให้ได้ไดนามิกเร้นจ์ที่สวิงได้อย่างเต็มที่ อารมณ์เพลงมาเต็ม.!
แทรค Matsushima-Ondo ก็ฟังไม่ยาก เพราะคุณสมบัติทางด้านไดนามิกทรานเชี้ยนต์ของเสียงในย่านแหลมที่เกิดจากเครื่องดนตรีที่ทำมาจากโลหะของแทรคนี้มันคือยาขมของสายแถมโดยแท้ ฟังแทรคนี้กับสายแถมแล้วผมอยากจะหรี่วอลลุ่มอย่างมาก ฟังไม่จบเพลงต้องรีบเปลี่ยนเอาสาย The PowerCable เข้าไปแทน แค่สายรุ่น The PowerCable ‘ONE’ ฟังเพลงนี้ก็ชนะสายแถมขาดกระจุยแล้ว ที่ระดับวอลลุ่มเดียวกันผมพบว่าสายไฟรุ่น The PowerCable ‘ONE’ คุมพีคของเสียงเครื่องเคาะโลหะในแทรคนี้ไว้ได้ดีกว่าสายแถมมาก คือหัวเสียงมันไม่พุ่งแหลมออกมาเสียดหูเหมือนสายแถม อิมแพ็คของเสียงเครื่องเคาะมันนุ่มลงนิดนึง ทำให้ฟังสบายหูมากขึ้นเยอะ..
เมื่อลองฟังแทรคนี้กับสายไฟรุ่น The PowerCable ‘TWO’ ผมพบว่า ปลายเสียงเครื่องเคาะมันทอดยาวออกไปมากขึ้น.. คือมากกว่าตอนฟังผ่านสายไฟรุ่น The PowerCable ‘ONE’ (ประเด็นเสียงแหลมนี้ตัดสายไฟแถมทิ้งไปได้เลย) โดยเฉพาะเสียงเครื่องเคาะที่ทำมาจากวัสดุประเภทโลหะชัดมาก คือมันทอดยาวออกไป ทำให้ฟังแล้วรู้สึกถึงความกังวานของเสียงเครื่องเคาะที่ทำจากโลหะเหล่านั้นได้ชัดขึ้น ซึ่งตอนฟังจากสายแถมไม่ค่อยเกิดความรู้สึกนี้ เมื่อกลับไปลองฟังผ่านสายรุ่น The PowerCable ‘ONE’ ก็ได้ยินความกังวานนี้เหมือนกัน แต่น่าแปลกตรงที่ว่า ตอนฟังกับรุ่น The PowerCable ‘TWO’ มันรู้สึกถึงความกังวานนี้ได้เองเลยโดยไม่ต้องพยายามตั้งใจฟัง น่าจะสรุปว่า The PowerCable ‘TWO’ ตอบสนองความถี่สูงไปได้ไกลกว่ารุ่น The PowerCable ‘ONE’ ลองเทียบกับรุ่น The PowerCable ‘THREE’ พบว่าระหว่างรุ่น ‘TWO‘ กับรุ่น ‘THREE‘ มันให้ปลายเสียงแหลมไม่ต่างกันมาก แต่รุ่น ‘THREE’ ให้บอดี้ของเสียงเครื่องเคาะออกมามากกว่า ทำให้ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็นชิ้นเป็นอันของเครื่องเคาะมากขึ้น คือฟังผ่านรุ่น The PowerCable ‘THREE’ แล้วจะรู้สึกว่าเครื่องเคาะเหล่านั้นมันมีขนาดความหนาของโลหะที่ใช้ทำบ่งบอกออกมาด้วย
จุดเด่นอันหนึ่งของสายไฟรุ่น The PowerCable ‘TWO’ ที่ผมชอบมากคือมันให้ “ความใส” ของพื้นเสียงที่ดีมาก ถือว่าเป็นจุดเด่นมากเมื่อเทียบกับราคาของสายไฟเอซีในระดับนี้ ซึ่งความใสที่มันให้ออกมาทำให้เกิดข้อดีในแง่ของการถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงที่มีความดังต่ำๆ อย่างเช่นรายละเอียดในส่วนของฮาร์มอนิกของเสียงแต่ละเสียง ทำให้ได้ความสมบูรณ์ครบถ้วนของตัวเสียง ไปจนถึงรายละเอียดในส่วนที่เป็นแอมเบี้ยนต์ หรือบรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ เสียงทั้งหมดด้วย
สายไฟเอซีรุ่น The PowerCable ‘TWO’ กับรุ่น The PowerCable ‘THREE’ จะไม่ค่อยต่างกันมากเมื่อใช้กับ all-in-one รุ่น EVO 75 ของ Cambridge Audio แต่จะเริ่มเห็นความต่างก็ต้องใช้กับเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustic V-3 ในซิสเต็มหลังที่เปลี่ยนเข้าไปแทน EVO 75 คือแนวเสียงของ The PowerCable ‘TWO’ กับ The PowerCable ‘THREE’ จะออกมาคล้ายกัน ไปทางเดียวกัน แต่ The PowerCable ‘THREE’ จะให้มวลของเนื้อเสียงที่หนากว่า กับให้เสียงที่มีการควบคุมดีกว่า ตรงนี้อธิบายยากนิดนึง มันเป็นความรู้สึก อย่างเช่นตอนฟังเพลง Matsushima-Ondo ผ่านสายไฟ The PowerCable ‘THREE’ จะรู้สึกว่าเสียงโดยรวมมันตรึงแน่นกว่า การเน้นย้ำดีกว่า ปลายเสียงไม่แกว่ง ตอนเปิดดังๆ จะรู้ถึงความต่างได้ชัดขึ้น ฟังเบาๆ จะไม่ค่อยรู้สึกต่าง เผลอๆ จะรู้สึกเหมือนเสียงเปิดน้อยกว่ารุ่น ‘TWO’ ซะด้วยซ้ำไป เสียดายว่าผมมีสายไฟเหล่านี้แค่อย่างละเส้น ตอนใช้ Evolution DAC + เพาเวอร์แอมป์ V-3 เลยไม่ได้ทดลองใช้ทั้งสองตัว ถ้ามีสองเส้นและเปลี่ยนใช้ทั้งสองตัวน่าจะเห็นบุคลิกของสายไฟทั้งสองรุ่นนี้ชัดขึ้น
สรุป
ปกติ อุปกรณ์ประเภทหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กและสายไฟเอซีของ Furutech เขามีชื่อเสียงอยู่แล้ว โดยเฉพาะหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊กมีแบรนด์ผู้ผลิตสายไฟเอซีหลายยี่ห้อซื้อไปใส่สายไฟของตนออกมาขาย ต้องขอบคุณทาง Clef Audio ที่จับเอาหัวปลั๊ก+ท้ายปลั๊ก และสายไฟเอซีเหล่านี้มาแพ็คเป็นสายสำเร็จ ทำให้ง่ายสำหรับคนที่ต้องการหาซื้อสายไฟเอซีไปอัพเกรดเสียงของซิสเต็ม ไม่ต้องเสียเวลาทำเอง ใครที่ไม่เคยอัพเกรดสายไฟเอซีเลย แนะนำให้ทดลองซื้อรุ่น The PowerCable ‘ONE’ รุ่นเล็กสุดไปทดลองเปลี่ยนตรงแอมปลิฟายดู แล้วคุณจะตรงใจกับผลลัพธ์ที่ได้..!!! /
********************
ราคา :
The PowerCable ‘ONE’ = 8,700 บาท / เส้น
The PowerCable ‘TWO’ = 10,400 บาท / เส้น
The PowerCable ‘THREE’ = 13,900 บาท / เส้น
********************
สนใจสอบถามได้ที่
Clef Audio โทร. 02-932-5981-2
clef-audio.com
Line ID: clefaudio
********************
หาซื้อได้ที่ :
– LennShop โทร. 086-770-0680
– HD HiFi โทร. 064-989-1936
– สวีตพิก. โทร. 092-914-2365
– HiFi Center. โทร. 081-853-4088
– Speakerbox โทร. 095-596-2888
– เชษฐาไฮไฟ โทร. 062-494-9914
– HiFi 99. โทร. 081-999-1699
– WeHiFi ภูเก็ต โทร. 081-271-2073
– Taan โทร. 081-801-4224
– Rak HiFi & Theater โทร. 085-568-8888