รีวิว Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’

ถ้าถามว่า จุดเด่นของสายออดิโอ เคเบิ้ลแบรนด์ Nordost คืออะไร.? ต้องยอมรับว่า หลังจาก Nordost เปิดตัวสายลำโพงรุ่นแรกออกมาสู่ตลาดเมื่อ ปี 1992 ชื่อรุ่นว่า ‘Flatline Goldซึ่งเป็นสายลำโพงที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับทุกคนที่เห็น เพราะมันมีรูปทรงที่แบนและบาง ไม่เหมือนสายลำโพงของแบรนด์อื่นๆ ที่มักจะมีรูปทรงที่เป็นเส้นกลม ซึ่งทางผู้ผลิตคือ Nordost มีคำตอบให้สำหรับข้อสงสัยนี้ ด้วย เหตุผล 5 ข้อ ที่ช่วยอธิบายว่า เหตุใดคุณจึงสมควรที่จะเลือกใช้สายลำโพงที่มีลักษณะแบนบาง.?

เหตุผลข้อแรก : Minimizes Strand Interactionสายลำโพงทั่วไปมักจะรวบๆ เส้นตัวนำทั้งหมดให้อยู่ชิดกัน ทำให้เส้นตัวนำเหล่านั้นเกิดปฏิกิริยาต่อกัน ในขณะที่สัญญาณไหลผ่านไปในเส้นตัวนำแต่ละเส้นจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นมา ซึ่งสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นนี้จะไปเหนี่ยวนำเส้นตัวนำอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก่อให้เกิดปัญหาทำให้การส่งผ่านสัญญาณถูกหน่วงให้ช้าลง ในขณะเดียวกัน การเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กที่เกิดจากเส้นตัวนำที่รบกวนซึ่งกันและกันยังทำให้คุณสมบัติทางด้าน capacitance ของเส้นตัวนำเพิ่มสูงขึ้น และยังส่งผลทำให้ข้อมูลสำคัญของสัญญาณที่วิ่งอยู่ภายในเส้นตัวนำสูญเสียไป เมื่อเส้นตัวนำถูกจัดวางให้แยกห่างจากกัน อย่างที่เห็นในดีไซน์แบบ flat cable จึงทำให้ปัญหาการรบกวนระหว่างกันมีน้อยลง, ส่งผลให้คุณสมบัติทางด้าน capacitance ต่ำลง และทำให้การส่งผ่านสัญญาณเป็นไปเต็มสปีด ไม่เกิดความหน่วงช้า (latency) ขึ้น

เหตุผลข้อที่สอง : Optimizes Mechanical Resonancesเนื่องจากวัสดุทุกชนิดจะมี resonance frequency ที่จำเพาะเจาะจงของมันเอง อันนี้หมายรวมถึงเส้นตัวนำที่เอามาใช้ทำสายลำโพงด้วย ซึ่งจะทำให้มันเกิดการสั่นขึ้นตามค่าเรโซแนนซ์เฉพาะของมันในขณะที่มีสัญญาณไหลผ่าน ถ้าเส้นตัวนำอยู่ชิดกัน (ยิ่งอยู่ติดกันยิ่งแย่) จะทำให้เส้นตัวนำแต่ละเส้นมีลักษณะที่แด้มฯ กันเอง คือทำให้เส้นตัวนำนั้นไม่สั่นไปตามค่าเรโซแนนซ์ตามธรรมชาติของมัน มีผลให้การไหลผ่านของสัญญาณไม่ลื่นไหลไปอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเส้นตัวนำถูกเรียงอยู่บนโครงสร้างของสายลำโพงที่แบนราบ ผู้ออกแบบจึงสามารถกำหนด ระยะห่างระหว่างตัวนำแต่ละเส้นให้มีช่องว่างที่เหมาะเพื่อให้เส้นตัวนำแต่ละเส้นมี space ในการสั่นตามธรรมชาติได้อย่างอิสระ นอกจากนั้น เมื่อเส้นตัวนำทั้งหมดวางเรียงเสมอกัน ทำให้ง่ายต่อการกำหนดความยาวของเส้นตัวนำเพื่อปรับจูนไม่ให้มีปัญหา การสั่นก้อง” (internal microphony) ภายในตัวสายเกิดขึ้น รวมถึงเรโซแนนซ์ของอิมพีแดนซ์ที่ความถี่สูงด้วย

เหตุผลข้อที่สาม : Decreases Skin Effectเนื่องจากความถี่สูงจะเดินทางไปบนผิวของตัวนำมากกว่าที่จะเดินทางลึกลงไปในเนื้อตัวนำ ซึ่งคุณสมบัติของความเหนี่ยวนำที่เส้นตัวนำมีอยู่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า skin effect ขึ้นรอบๆ ตัวนำ ส่งผลทำให้เกิดเป็นความต้านทานต่อการไหลผ่านของสัญญาณความถี่สูงที่วิ่งไปบนผิวของตัวนำ ซึ่งตัวนำที่เป็นเส้นฝอยหลายๆ เส้นที่ขมวดรวมกันเป็นเส้นเดียวดูเหมือนจะช่วยลดปัญหา skin effect ได้ แต่เมื่อเส้นตัวนำหลายๆ เส้นมาอยู่ใกล้กันก็หนีไม่พ้นปัญหาไปได้ แต่สายลำโพงที่แยกตัวนำห่างออกจากกัน ยิ่งไปกว่านั้น Nordost ยังใช้ท่อฉนวน FEP เป็นตัวขวางแต่ละเส้นตัวนำเอาไว้ ทำให้เส้นตัวนำแต่ละเส้นไม่สัมผัสกันจึงไม่เกิดปัญหา Skin Effect และไม่ทำให้ความต้านทานสูงขึ้น จึงไม่ส่งผลเสียต่อการส่งผ่านสัญญาณเสียงสูง

เหตุผลที่สี่ : Reduces Physical Surface Contactปริมาณไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดสะสมอยู่บนพรม และบนพื้นห้องจะส่งผลร้ายต่อการไหลเวียนของสัญญาณเสียงที่วิ่งอยู่ในสายลำโพง เมื่อมีการสัมผัสระหว่างสายลำโพงกับพื้นห้อง จะทำให้คุณสมบัติทางด้าน capacitance เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเป็นสายลำโพงที่มีลักษณะแบน คุณจึงสามารถลดส่วนที่เป็น หน้าสัมผัสระหว่างสายลำโพงกับพื้นห้องให้น้อยลงได้ด้วยการวางเอียงขอบข้างของสายลงที่พื้น ซึ่งทำให้สายนิ่งได้มากกว่า เมื่อเทียบกับสายลำโพงที่มีลักษณะเป็นเส้นกลม

เหตุผลที่ห้า : Convenienceเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับคุณภาพเสียง แต่ความแบนของสายลำโพงอาจจะมีประโยชน์ในกรณีถ้าคุณต้องการแอบสายไปไว้ใต้พรมหรือสอดเข้าไปในผนัง จะทำได้ง่ายกว่าสายลำโพงแบบที่มีลักษณะเส้นกลมขนาดใหญ่

จะเห็นว่า ความแบนบางของสายลำโพงของ Nordost เขามีเหตุผลทางเทคนิครองรับ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพเสียงซะด้วย คุณอาจจะสงสัยว่า เมื่อสายลำโพงแบนๆ มีข้อดีมากขนาดนี้แล้วทำไมจึงไม่ค่อยมีใครทำสายลำโพงแบนๆ แบบนี้ออกมา.? คำตอบสั้นๆ ก็คือ มันทำยาก.! ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือเฉพาะทาง สาเหตุที่ Nordost ทำได้ก็เพราะว่าเดิมทีนั้น แบรนด์นี้เขาทำสายเคเบิ้ลให้กับวงการบินมาก่อน ซึ่งต้องใช้วิทยาการระดับสูงเหล่านี้อยู่แล้ว การพัฒนาดัดแปลงมาใช้กับสายเชื่อมต่อสำหรับสัญญาณเสียงจึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่าฝ่าแรงสำหรับพวกเขา

Nordost Blue Heaven ‘Leif 3’
หนึ่งในตัวตึงของระดับ affordable ของ Nordost

ปัจจุบันแบรนด์ Nordost มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 4 ซีรี่ย์ แยกเป็น 4 ระดับ ไล่จากเล็กสุดขึ้นไปสูงสุดก็คือ

ซีรี่ย์ Leif
ซีรี่ย์ Norse
ซีรี่ย์ Reference (Valhalla)
ซีรี่ย์ Supreme Reference (Odin)

รุ่น Blue Heaven ที่ผมนำมาทดสอบครั้งนี้ เป็นหนึ่งใน 4 รุ่น ที่อยู่ในซีรี่ย์ Leif ซึ่งซีรี่ย์นี้ถือว่าเป็นซีรี่ย์เล็กสุด แต่เนื่องจากพื้นฐานของแบรนด์ Nordost เขาเป็นผู้ผลิตสายออดิโอ เคเบิ้ลที่ป้อนให้กับตลาดเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ มาตั้งแต่แรก ด้วยเหตุนี้ ซีรี่ย์เล็กสุดอย่าง Leif นี้ถ้าเทียบกับโครงสร้างตลาดเครื่องเสียงทั้งหมดแล้ว ต้องถือว่าผลิตภัณฑ์ของ Nordost ในซีรี่ย์ Leif ทั้ง 4 รุ่น นี้จัดอยู่ในระดับ mid-end ขึ้นไปจนถึงระดับ mid-to-high เลยทีเดียว

ในซีรี่ย์ Leif นี้มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 4 รุ่น เริ่มจากรุ่นเล็กไปรุ่นใหญ่ ก็คือ

รุ่น White Lightning
รุ่น Purple Flare
รุ่น Blue Heaven
รุ่น Red Dawn

ในแต่ละรุ่นได้ทำสายเชื่อมต่อออกมาหลายรูปแบบ ทั้งสายเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก, สายเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตัล , สายลำโพง และสายไฟเอซี ซึ่งในรุ่น Blue Heaven เขามีทำสายเชื่อมต่อออกมามากประเภทกว่ารุ่นอื่นๆ พูดได้ว่าแทบจะครบทุกรูปแบบของสายเชื่อมต่อก็ว่าได้

ส่วนซีรี่ย์ Leif 3 ก็คือ การอัพเกรดผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 รุ่น ที่อยู่ในซีรี่ย์ Leif ขึ้นมานิดนึง แต่ไม่ได้อัพเกรดขึ้นมาเป็น Leif 3 ทั้งหมด ในแต่ละรุ่นจะมีแค่สายไฟเอซี, สายสัญญาณ RCA กับ XLR และสายลำโพง แค่ 3 ประเภท เท่านั้นที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นมาเป็นซีรี่ย์ Leif 3 ซึ่งสายเชื่อมต่อรุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ ที่ผมได้รับมาทดสอบครั้งนี้ก็มาครบทั้ง สายสัญญาณอะนาลอก, สายลำโพง และสายไฟเอซี

สายไฟเอซี Blue Heaven ‘Leif 3’

คุณ Joe Renolds เจ้าของแบรนด์ Nordost เคลมว่า สายไฟเอซีมีอิทธิพลกับเสียงของซิสเต็มมากที่สุดเมื่อเทียบกับสายต่อเชื่อมแบบอื่น คือเขาว่าสายไฟเอซีสามารถอัพฯ หรือดาวน์ คุณภาพเสียงของซิสเต็มได้มากกว่าสายสัญญาณและสายลำโพง เขาจึงมักแนะนำให้เปลี่ยนสายไฟเอซีก่อนสำหรับคนที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนสายเชื่อมต่อในระบบเลย

สายไฟเอซี Blue Heaven ‘Leif 3’ ใช้ตัวนำทองแดง OFC 6N ที่มีลักษณะเป็นเส้นฝอยจำนวน 105 เส้นตีเกลียวขึ้นมาเป็นเส้นตัวนำขนาด 14 AWG จำนวน 3 เส้น โดยที่ตัวนำแต่ละเส้นจะถูกนำไปใส่ไว้ในท่อฉนวน FEP (Fluorinated Ethylene Propylene) ที่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นตัวนำเล็กน้อย โดยที่บนเส้นตัวนำจะมีเส้นฉนวน Mono-Filament ที่ทำด้วยวัสดุ FEP ขนาดเล็กจิ๋วพันเป็นเกลียวห่างๆ อยู่บนเส้นตัวนำตลอดทั้งเส้น เมื่อเส้นตัวนำเข้าไปอยู่ในท่อฉนวน FEP จึงทำให้เส้นฉนวน Mono-Filament ทำหน้าที่ค้ำยันไม่ให้เส้นตัวนำไปแตะอยู่กับผนังของท่อฉนวน ซึ่งก็เท่ากับว่า เส้นตัวนำ เสมือนลอยอยู่ในอากาศซึ่งมีสถานะเป็นฉนวน เทคนิคพิเศษนี้เป็นสิทธิบัตรของ Nordost ซึ่งมีผลทำให้สัญญาณวิ่งไปบนตัวนำได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อสปีดของสัญญาณเสียงที่ฉับไว ไม่ถูกหน่วงอยู่ภายในตัวสาย และโครงสร้าง Mono-Filament ยังมีผลช่วยแด้มป์เรโซแนนซ์ไปด้วยในตัว ทำให้เส้นตัวนำมีความนิ่ง

นอกจากนั้น สายไฟเอซี Blue Heaven ‘Leif 3’ เส้นนี้ยังได้ผ่านกระบวนการปรับจูนที่พวกเขาเรียกว่า Mechanically Tuned Lengths คือเป็นการจูนความยาวที่เหมาะสมกับ resonance frequency ตามธรรมชาติของเส้นตัวนำด้วยวิธีการคำนวนจากส่วนผสมของวัสดุตัวนำ, คำนวนตามขนาดของเส้นตัวนำและลักษณะการประกอบเข้าไปในสาย อย่างเช่น ตีเกลียวหรือเดินตรง เพื่อค้นหาความยาวที่เหมาะสมสำหรับตัวนำนั้นๆ ให้มากที่สุดเพื่อให้สิ่งที่เรียกว่า timing error ในการส่งผ่านสัญญาณมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด

มีรูปแบบของขั้วต่อให้เลือกหลายอย่าง ฝั่งขั้วต่อตัวเมีย (เข้าเครื่อง) ตามมาตรฐาน IEC มีทั้งแบบ 15A และ 20A ให้เลือก ส่วนฝั่งตัวผู้ (เข้าผนัง) มีให้เลือกทั้งมาตรฐาน US, UK, EU และ AUS เส้นที่ผมได้รับมาทดสอบครั้งนี้ติดตั้งหัวปลั๊กมาตรฐาน US ส่วนตัวเมียเป็นมาตรฐาน IEC 15A ความยาว 1.5 เมตร ราคาขายอยู่ที่ 19,000 บาท / เส้น

สายสัญญาณอะนาลอก Blue Heaven ‘Leif 3’

ติดขั้วต่อบาลานซ์ XLR

ติดขั้วต่อ RCA

ใช้วัสดุตัวนำ OFC 6N แบบแกนเดี่ยวขนาด 24 AWG เคลือบเงิน จำนวน 4 เส้น ตีเกลียวแยกเป็น 2 ชุด (2 เส้นต่อชุด) โดยมีฉนวนที่ทำด้วยวัสดุ FEP คุณภาพสูงแยกกัน 2 ชั้น มีให้เลือกทั้งแบบที่ติดตั้งขั้วต่อ RCA และขั้วต่อ XLR โดยใช้ขั้วต่อคุณภาพสูง ชุบทอง ของแบรนด์ Neutrik ทั้งหมด เส้นที่ผมได้รับมาทดสอบครั้งนี้ติดตั้งขั้วต่อ XLR โดยมีความยาวข้างละ 2 เมตร ราคาขายอยู่ที่ 39,000 บาท / คู่

สายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’

สายลำโพงรุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ ตัวนี้ได้สานต่อรูปแบบของสายลำโพงทรงแบนบางที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเมื่อครั้งที่ Nordost เริ่มเข้ามาในวงการครั้งแรกพร้อมกับนำเอาสายลำโพงรุ่น Flatline ที่มีลักษณะแบนและบางเข้ามาแนะนำให้นักเล่นเครื่องเสียงรู้จัก ตราบจนถึงบัดนี้ผ่านมาแล้วเกือบ 30 ปี ดีไซน์ของสายลำโพงแบนๆ ก็ยังคงได้รับการยอมรับ และได้ถูกพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพมาเรื่อยๆ จนมาถึงยุคปัจจุบัน

ติดขั้วต่อ banana

Blue Heaven ‘Leif 3’ ใช้ตัวนำ OFC 6N แบบแกนเดี่ยว ขนาด 24 AWG จำนวน 18 เส้น นำไปผ่านกระบวนการอัดรีดฉนวน FEP ลงหุ้มเส้นตัวนำเอาไว้ด้วยระยะห่างแต่ละเส้นที่เท่ากันเป๊ะ ทำให้ได้ค่าความเป็นฉนวนที่เท่ากันตลอดเส้น ส่วนขั้วต่อมีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ Z-plug banana กับขั้วต่อแบบก้ามปู ทั้งสองแบบผ่านการชุบทองอย่างดี

สายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ เป็นสายต่อสำเร็จจากโรงงาน มีความยาวให้เลือกตั้งแต่ 1 เมตร ขึ้นไปจนถึง 7 เมตร โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 บาท (1 เมตร) ไปจนถึง 102,000 บาท (7 เมตร) เส้นที่ผมได้รับมาทดสอบมีความยาว 2 เมตร ราคาขายอยู่ที่ 42,000 บาทต่อคู่

จัดชุดเตรียมทดสอบฟังเสียง

ผมใช้ Esoteric รุ่น N-05XD ทำหน้าที่เป็นทั้งสตรีมเมอร์และปรีแอมป์ จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ class-A ของแบรนด์เดียวกันรุ่น S-05 ที่ออกแบบมาคู่กัน ช่วยกันขับลำโพง 3 คู่ คือ Wharfedal รุ่น Super Linton (REVIEW) ราคาคู่ละ 85,000 บาท

คู่ที่สองคือ Canton รุ่น Reference 5 (REVIEW) ราคาคู่ละ 400,000 บาท

และคู่ที่สามชื่อแบรนด์ Silent Pound รุ่น Challenger II ราคาตั้งคู่ละ 1,350,000 บาท เมื่อพิจารณาจากราคาของลำโพงแต่ละคู่แล้ว ผมคิดว่าความเหมาะสมของสายเชื่อม Blue Heaven ‘Leif 3’ ทั้งเซ็ตนี้น่าจะอยู่ที่ลำโพง WharfedaleSuper Lintonมากที่สุด ส่วนลำโพง CantonReference 5’ กับ Silent PoundChallenger IIสองคู่นั้นถือว่าเอามาค้นหาว่าสายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนเท่านั้น

ช่วงที่ผมทำการทดลองฟังเสียงของอินติเกรตแอมป์ Primare รุ่น i35 Prisma DM36 (PREVIEW) ผมก็มีโอกาสเอาสายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ ไปใช้เชื่อมต่อระหว่าง i35 Prisma DM36 กับลำโพง Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEWเพื่อทดลองฟังเสียงด้วย พบว่าสายลำโพงของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ ตัวนี้มันไปกันได้ดีกับซิสเต็มระดับกลางสูงแบบนี้เหมือนกัน (ส่วนสายสัญญาณเป็นของ Life Audio รุ่น Gold MK II ยาว 7 เมตร)

สรุปลักษณะเสียงของสายเชื่อมต่อ Nordost Blue Heaven ‘Leif 3’ ทั้งเซ็ต (สายไฟเอซี, สายสัญญาณ และสายลำโพง)

ใครที่เคยมีประสบการณ์ใช้สายเชื่อมต่อของแบรนด์ Nordost มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสายสัญญาณ, สายลำโพง หรือสายไฟเอซี คงจะรับรู้ได้ถึง คุณสมบัติเด่นของสายแบรนด์นี้กันแล้ว ซึ่งก็คือ สปีดในการตอบสนองต่อสัญญาณที่ฉับไว และไม่ใช่ฉับไวเฉพาะความถี่ในย่านแหลมเท่านั้น แต่ตอบสนองได้รวดเร็วตั้งแต่แหลมลงไปจนถึงทุ้ม ซึ่งเป็นผลมาจากค่า capacitance ของตัวสายที่ต่ำมากๆ ใครที่ไม่เคยลองใช้สายเชื่อมต่อของ Nordost ในซิสเต็มของตัวเองมาก่อนเลย และอยากจะลองสัมผัสกับ สปีดระดับรถสปอร์ตเหยียบมิดของสายแบรนด์นี้ แนะนำให้เริ่มต้นด้วย สายลำโพงเป็นอันดับแรก ถ้าชอบใจค่อยขยับไปสายไฟและสายสัญญาณ

อัลบั้ม : Italia (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Nicola Benedetti
สังกัด : Decca/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/7397105?u)

สปีดในการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตที่ฉับไวของสายเชื่อมต่อของ Nordost Blue Heaven ‘Leif 3’ ตัวนี้มันเป็นคุณสมบัติที่เหมาะมากกับเพลงแนวคลาสสิก ซึ่งสายเชื่อมต่อของ Nordost เซ็ตนี้ได้พิสูจน์ให้ผมได้ยินเต็มสองหูถึงประสิทธิภาพในการตอบสนองกับ สปีดของสัญญาณที่ทันกับต้นฉบับแบบไม่มีหลุด ผมเลือกเพลงที่ถือว่าโหดหินกับการทดสอบทางด้านสปีดในการตอบสนองสัญญาณมาลองฟัง นั่นคืองานประพันธ์ชุด Four Seasons ของ Antonio Vivaldi ท่อน Summer, III: Presto ที่บรรเลงโดยวง Scottist Chamber Orchestra ผสานกับฝีมือโซโล่ไวโอลินของนักไวโอลินสาวสัญชาติสก๊อตแลนด์ชื่อว่า Nicola Benedetti ที่สีได้รวดเร็วระดับไฟแลบ มีผลให้ไทมิ่งของเพลงท่อนนี้มีความเร็วมาก ทั้งโซโล่และออเคสตร้าที่แบ็คอัพ ต่างคนต่างโหมประโคมกันออกมาแบบไม่ยั้งและไม่ย่อหย่อนให้กัน ซึ่งสายเชื่อมต่อของ NordostBlue Heaven Leif 3ชุดนี้สามารถ แกะเสียงไวโอลินของนิโคล่าออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ทุกโน๊ตของเธอปรากฏออกมาชัดมาก เร็วแต่ชัด ไม่มีอาการเบลอเลย ซึ่งถ้าสายเชื่อมต่อของ Nordost เซ็ตนี้ตอบสนองสปีดของเสียงในย่านแหลมได้ไม่เร็วพอ เสียงไวโอลินในแทรคนี้จะมีลักษณะที่ติดกันไปเป็นพืด ไม่แยกออกมาเป็นเส้นๆ แบบนี้แน่ๆ.!

จากเพลงเดียวกันนี้ มีอีกอย่างที่ผมรับรู้ได้ถึงความโดดเด่นของสายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ นั่นคือมันให้พื้นเสียงที่มี ความใสมากเป็นพิเศษ และเป็นความใสที่มาพร้อมความโปร่งเปิดตลอดทั้งย่านเสียง ฟังแล้วรู้สึกได้เลยว่า สาย Nordost เซ็ตนี้ไม่ได้พยายามที่จะ roll-off หรือลดทอนพลังของความถี่สูงให้แผ่วปลายเสียงลงมาเพื่อให้โทนเสียงแหลมมีลักษณะนุ่มหู แต่ Nordost กลับเปิดปลายแหลมให้กระจ่างชัดออกมา ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะการให้เสียงแหลมที่เปิดเผยสุดๆ แบบนี้ ถ้าซิสเต็มไม่ดีพอมันจะกลายเป็นฟ้องความไม่ดีในการถ่ายทอดเสียงแหลมของซิสเต็มนั้นออกมาให้ได้ยิน ซึ่งคนที่วินิจฉัยไม่ขาดอาจจะมองว่าเป็นข้อเสียของสายเชื่อมต่อก็ได้ อันนี้คือดาบสองคม แต่ตอนที่ผมทดลองฟังกับซิสเต็มที่ประกอบด้วยสตรีมเมอร์+เพาเวอร์แอมป์ของ Esoteric ซีรี่ย์ 05 กับลำโพงของ CantonReference 5เสียงแหลมที่ออกมาจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบยับ เพราะซิสเต็มต้นทางและลำโพงมีคุณภาพดีพอ ซึ่งพอสายเชื่อมต่อในระบบมีลักษณะที่เปิดเผย จึงทำให้ผมรับรู้ได้ถึงลักษณะทางด้าน texture ของมวลเสียงที่ซิสเต็มนี้ให้ออกมาด้วย มันคือ resolution ที่อยู่ในเพลงที่ฟัง ทำให้รู้เลยว่า เสียงไวโอลินของ Nicola Benedetti ในแทรคนี้บันทึกมาได้ พอดีมาก คือเสียงแต่ละโน๊ตออกมาคมชัด ไม่มัว เป็นความคมชัดที่เต็มไปด้วยรายละเอียด รู้สึกได้ว่ากำลังฟังเสียงของแส้หางม้าที่ถูกกดถูไปบนเส้นลวดอย่างมีลีลา ซึ่งจะมีลักษณะของเสียงที่ติดแห้งนิดๆ ออกมาด้วยซึ่งถ้าหลับตาฟังก็เหมือนกำลังฟังเสียงของคนสีไวโอลินจริงๆ นั่นแหละ..

อัลบั้ม : Pastoral & Nature (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Primrose/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/19337768?u)

ผมมีเพลงเดียวกันอีกเวอร์ชั่น เป็น แทรคที่ 10 อยู่ในอัลบั้มชุด Pastoral & Nature ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลงคลาสสิกที่ตัดเอาท่อนดีๆ มารวมกัน แต่ไม่ได้ระบุชื่อศิลปินที่บรรเลงเอาไว้ เมื่อเอามาลองฟังกับซิสเต็มเดียวกันนี้ พบว่า เสียงโซโล่ไวโอลินของเวอร์ชั่นหลังนี้จะออกมาแข็งๆ คมๆ และพุ่งเสียดออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอาการของคุณภาพของไฟล์เพลงที่ทำมาไม่ดี หรืออาจจะเป็นที่มาสเตอร์ของเพลงนี้ก็ได้ ซึ่งสาย Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ก็ไม่ได้พยายามที่จะกลบเกลื่อนข้อตำหนิของแทรคนี้เหมือนกัน แต่ทว่า เสียงที่ออกมาก็ไม่ได้เลวร้ายจนถึงขั้นที่ทำให้ถึงกับทนฟังไม่ได้ ยังฟังได้ แค่รับรู้ว่าเวอร์ชั่นนี้บันทกึเสียงมาสู้เวอร์ชั่นของนิโคล่าไม่ได้ เมื่อกลับมาฟังเวอร์ชั่นที่โซโล่ไวโอลินโดย Nicola Benedetti อีกครั้ง จะเห็นได้เลยว่าคุณภาพเสียงต่างกันชัดเจน เสียงไวโอลินของนิโคล่าฟังดีกว่ามาก ให้รายละเอียดที่เป็นธรรมชาติมากกว่าเยอะ แสดงถึงลักษณะการตอบสนองของสายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ที่มุ่งเน้นแสดง ความจริงในเพลงออกมาให้ได้ยินอย่างเที่ยงตรงโดยไม่มีการตัดทอนใดๆ

ประเด็นนี้ผมเห็นด้วยกับแนวทางที่ Nordost ตั้งใจปรับจูนเสียงของสายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ให้มีลักษณะของความเป็น มอนิเตอร์ออกมาแบบนี้ เพราะนักเล่นระดับกลางสูงเขามีทักษะมากพอในการ แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูนเพื่อรีดประสิทธิภาพของซิสเต็มกันดีอยู่แล้ว สิ่งที่นักเล่นระดับนี้ (รวมถึงผมด้วย.!) ต้องการก็คือ สายเชื่อมต่อที่เปิดเผยและปลดปล่อยเสียงของซิสเต็มออกมาอย่างที่มันเป็นของมันจริงๆ โดยไม่เข้าไปลดทอนหรือฟิลเตอร์ส่วนไหนออกไป ซึ่งนี่ก็คือคุณสมบัติที่ทำออกมาได้ถูกใจผมมากสำหรับสายเชื่อมต่อ Nordost เซ็ตนี้

อัลบั้ม : Drop 7 (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1kHz)
ศิลปิน : Little Simz
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/340523963?u)

ได้ยินเสียงทุ้มในเพลง Mood Swing จากอัลบั้ม Drop 7 ของ Little Simz แล้ว มันทำให้ผมต้องหวนคิดถึงสายเชื่อมต่อรุ่น Blue Heaven เวอร์ชั่นแรกๆ ที่ผมเคยใช้อยู่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นจำได้ว่า Blue Heaven เวอร์ชั่นแรกนั้นไม่ได้เด่นทางด้านทุ้มเท่ากับกลางแหลม คือมันให้เสียงกลางไปถึงแหลมที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับสายเชื่อมต่อแบรนด์อื่นในระดับราคาพอๆ กัน ส่วนทุ้มที่ให้ออกมานั้นจะไม่ได้แน่นหนามาก ซึ่งในขณะนั้นผมก็ยอมรับได้เพราะรุ่นนี้เป็นรุ่นที่อยู่ในระดับเริ่มต้นของแบรนด์ (ตอนนั้นผมใช้ฟังเทียบกับรุ่น Valhalla ซึ่งให้เสียงดีกว่าทุกย่านรวมถึงทุ้มด้วย)

พอมาถึงเวอร์ชั่น Leif 3 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดตัวนี้ ผมเลยตั้งใจทดสอบความสามารถในการถ่ายทอดเสียงในย่านต่ำของสายเวอร์ชั่นใหม่เซ็ตนี้มากเป็นพิเศษ พอได้ยินโน๊ตเบสลูกแรกในเพลง Mood Swing หลุดพ้นลำโพงออกมาเท่านั้น ผมก็ขนลุกเกรียว.! เฮ้ยย.. สายเส้นสีฟ้าเวอร์ชั่นใหม่เซ็ตนี้มันให้เสียงทุ้มออกมาดีกว่าเวอร์ชั่นแรกมาก และเป็นเสียงทุ้มที่มีพลังดีดตัวซะด้วย ใครเคยฟังเพลง Mood Swing ในอัลบั้มนี้คงจะรู้ดีว่า เสียงทุ้มในเพลงนี้มันดีดดิ้นมากแค่ไหน ซึ่งสาย Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้มันถ่ายทอดออกมาให้ได้ยินครบหมด ทั้งหนัก แน่น และกระชับตึงตัว ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ได้ละทิ้งรายละเอียดของเสียงกลางและแหลมในเพลงนี้ไปด้วย ผมยังคงติดตามรายละเอียดของเสียงร้องและเสียงประกอบอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ได้จมหายไปกับเสียงทุ้มแต่อย่างใด แสดงว่าสาย Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้มีความสามารถในการตอบสนองความถี่เสียงได้กว้างมาก และยังสามารถถ่ายทอดไดนามิกเร้นจ์ที่มีอัตราสวิงที่กว้างขวางอีกด้วย เสียงที่ออกมาจึงไม่อั้น และมีเนื้อมวลที่ดี

อัลบั้ม : Liberty (TIDAL MAX/FLAC-24/48)
ศิลปิน : Anette Askvik
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/5761227?u)

เบสลึกๆ ล่ะ ทำได้ดีแค่ไหน.? เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมหลังฟังเพลง Mood Swing จบลง ผมเลยเลือกเพลง Liberty ของ Anette Askvik จากอัลบั้มชื่อเดียวกันขึ้นมาฟังต่อเลย ซึ่งจุดเด่นของเพลงนี้ที่มักจะนำมาใช้ทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงก็คือมวลของ แอมเบี้ยนต์นี่เอง เพราะในเพลงนี้จะมีมวลของความถี่ต่ำที่แผ่คลุมอยู่ทั้งเพลง ถ้าลำโพงมีขนาดใหญ่และตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ลึกพอ (ผมใช้ลำโพง Canton รุ่น Reference 5 กับ Silent Pound รุ่น Challenger II ในการทดสอบครั้งนี้ ซึ่งทั้งสองคู่นั้นลงได้ลึกพออยู่แล้ว) แค่วินาทีแรกที่เพลงนี้เริ่มต้นขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงมวลบรรยากาศที่แผ่จากลำโพงออกมาปกคลุมอยู่รอบห้อง ซึ่งความถี่ต่ำที่ว่านั้นมันอยู่ในระดับที่ลึกมาก และคงจะมีความดังพอสมควร แต่ประสาทหูของมนุษย์สามารถรับรู้ได้แค่เสียงฮือเบาๆ ดังอยู่รอบตัว กับอีกส่วนเป็นความรู้สึกที่ความถี่นั้นมาตกกระทบกับผิวหนัง ซึ่งความรู้สึกนี้จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่า ซิสเต็มที่ฟังเพลงนี้มันปล่อยออกมามากแค่ไหน

ผมทดลองเปลี่ยนไปใช้สายลำโพงรุ่น Tyr 2 เข้าไปแทนที่สายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ โดยที่ยังคงใช้สายสัญญาณและสายไฟเอซีของ Blue Heaven ‘Leif 3’ เหมือนเดิม ผลออกมาว่า Tyr 2 ให้มวลของแอมเบี้ยนต์ที่มีความหนาแน่นมากกว่า แผ่เต็มมากกว่า ถ้าเทียบสัดส่วนกันแล้วตอนใช้สายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ น่าจะทำได้ประมาณ 60% ของทั้งหมดที่ Tyr 2 ทำได้ ซึ่งผมก็พอใจมากแล้ว เนื่องจาก Tyr 2 เป็นรุ่นใหญ่สุดในซีรี่ย์ Norse 2 ซึ่งเป็นซีรี่ย์ที่อยู่ในระดับสูงกว่า Leif 3 ขึ้นไปอีกขั้น (ที่ความยาวเท่ากัน Tyr 2 ราคาสูงกว่า Blue Heaven ‘Leif 3’ เกือบ 10 เท่า.!)

อัลบั้ม : Three Shades of Gray (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Betty Johnson, Elisabeth Gray & Lydia Gray
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/30611997?u)

อัลบั้ม : Acoustic Covers (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : John Adams
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/188599859?u)

โดยปกติแล้ว อุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นไหนที่สามารถตอบสนองความถี่ได้กว้าง มักจะให้เสียงกลางออกมาดี ซึ่งข้อสังเกตนี้ใช้ได้กับสาย Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ด้วย เพราะเสียงร้องของสาวๆ ในเพลง Danny Boy จากอัลบั้มชุด Three Shade of Gray ซึ่งอยู่ในย่านกลางไปถึงกลางสูง กับเสียงร้องของ John Adams ในเพลง Bohemian Rhapsody จากอัลบั้มชุด Acoustic Covers ซึ่งอยู่ในย่านกลางต่ำ มันออกมาดีมาก.! อย่างแรกคือ โฟกัสที่มีความคมชัด ให้อิมเมจของตัวเสียงร้องที่มีทรวดทรง ไม่แบน เนื้อมวลของเสียงร้องมีความเนียน ไม่หยาบ และมีความหนา ไม่บาง

ความประทับใจอย่างที่สองที่ได้จากการฟังเสียงร้องของทั้งสองเพลงข้างต้นนั้นก็คือ ไทมิ่งของการขยับเคลื่อนของเสียงร้องที่ไม่เฉื่อย ให้คอนทราสน์ไดนามิกที่ลื่นไหล มีลักษณะอ่อนแก่ในการเชื่อมโยงระหว่างคำร้องออกมาให้รับรู้ได้ นั่นทำให้ฟังแล้วเข้าถึง อารมณ์ของนักร้องได้อย่างแนบแน่นมากขึ้นเพราะจังหวะเพลงไม่เพี้ยน ซึ่งในแง่ของการถ่ายทอดเสียงกลางของสาย Nordost เซ็ตนี้ รวมๆ แล้วผมให้ผ่านแบบไม่หักเลย.!!

สรุป

เคยมี FC ถามว่า ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอะไรไปนิดๆ หน่อยๆ เสียงของซิสเต็มก็เปลี่ยนไปแล้ว แบบนี้เราจะค้นหาบุคลิกเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้นออกมาได้ยังไง.? หรือจริงๆ แล้ว เครื่องเสียงแต่ละชิ้นมันไม่มีบุคลิกเฉพาะตัวกันแน่.??

ก่อนอธิบายอะไรเพิ่มเติม ขออนุญาตตอบคำถามที่สองก่อนว่า จริงๆ แล้ว อุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชิ้น มัน มีบุคลิกเสียงเฉพาะตัวของมันเองครับ ส่วนคำถามแรกที่ว่า เราจะค้นหาบุคลิกเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้นออกมาได้ยังไง.? ซึ่งก็จริงว่า เมื่อเราเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่ร่วมอยู่ในซิสเต็มนั้นไปสักอย่างหนึ่ง จะส่งผลทำให้เสียงของซิสเต็มนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งย่อมกระทบกับบุคลิกเฉพาะตัวของอุปกรณ์ชิ้นที่เราต้องการค้นหาบุคลิกเสียงของมันด้วย แต่การทำแบบนั้นก็คือกระบวนการในการค้นหาบุคลิกเฉพาะของอุปกรณ์ที่เป็นเป้าหมายที่ได้ผลมากที่สุด สมมุตว่า คุณต้องการค้นหาบุคลิกเสียงของสายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ คุณต้องคงที่สายลำโพงคู่นี้เอาไว้ในซิสเต็ม ตลอดเวลาแล้วทดลองเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นอื่นเข้าไป ซึ่งตามแนวทางของผมแล้ว ถ้าทดสอบสายลำโพง ผมจะทดลองเปลี่ยนสายสัญญาณโดยเลือกสายสัญญาณที่ผมรู้แนวเสียงของมันอยู่แล้วมาทดลองสลับกันจับคู่กับสายลำโพงที่ต้องการทดสอบ

แต่ก่อนจะวิเคราะห์แล้วสรุปผลการทดลองฟัง จำเป็นต้องทำการแม็ทชิ่งให้ได้ gain รวมของเสียงจากซิสเต็มออกมาเต็ม (full) ที่สุดก่อน ซึ่งมันยากตรงนี้ เพราะถ้าไม่มีอุปกรณ์มาให้ทดลองแม็ทชิ่งมากพอ การวิเคราะห์เสียงของอุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบก็จะไม่แม่น

การทดลองแม็ทชิ่งซิสเต็มที่ใช้ในการทดสอบสายเชื่อมต่อของ NordostBlue Heaven Leif 3เซ็ตนี้ถือว่าเป็นงานที่ไม่ยาก เพราะผมแค่คงที่สายไฟเอซี, สายสัญญาณ และสายลำโพง เซ็ตนี้เอาไว้ แล้วทดลองเปลี่ยนลำโพงกับแหล่งต้นทางสัญญาณเท่านั้น ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้ ผมมีซิสเต็มให้ทดลองแม็ทชิ่งเพื่อค้นหาบุคลิกเสียงของสายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้ 3 – 4 ชุด ซึ่งหลังจากทดลองใช้สายเชื่อมต่อ Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้กับซิสเต็มเหล่านั้นแล้ว ผมก็ยังได้ทดลองสลับเปลี่ยนสายลำโพงกับสายสัญญาณแบรนด์อื่นเข้ามาฟังดูด้วย

คุณสมบัติเด่นมากๆ ของสายเชื่อมต่อของ Nordost อยู่ที่ สปีดในการตอบสนองสัญญาณ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ timing ของซิสเต็ม (และส่งผลต่อเนื่องไปถึงการรับรู้ pitch ของจังหวะเพลง) ซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ ของสายเชื่อมต่อแบรนด์นี้ แต่การที่พยายามทำให้สายเชื่อมต่อตอบสนองต่อ สปีดที่เร็วที่สุดเท่าเทียมกันทุกๆ ความถี่ถือว่าเป็นเรื่องท้าทาย เพราะมันได้ยาก และถ้าไม่สามารถควบคุมสปีดของความถี่ให้เสมอกันทุกความถี่แล้ว มันจะส่งผลไปถึงคุณสมบัติทางด้าน โทนัลบาลานซ์ของเสียงได้ง่าย

ในยุคแรกๆ นั้นมีบุคลิกเอนเอียงไปทาง HOT คืออยู่เลยจุด NEUTRAL ไปทางด้าน HOT เยอะหน่อย (ลูกศรสีเทาเข้ม) คือให้ปริมาณกลางแหลม ออกมามากกว่าทุ้ม ถ้านำไปใช้กับซิสเต็มที่มีบุคลิกเสียงโดยรวมออกไปทาง HOT อยู่แล้ว จะทำให้เสียงของซิสเต็มเอนเอียงไปทาง HOT มากยิ่งขึ้น สายเชื่อมต่อของ Nordost เจอเนอเรชั่นแรกๆ จึงแม็ทกับซิสเต็มที่ให้เสียงโดยรวมออกไปทางซึมๆ ทึบๆ อั้นๆ ได้ดี แต่เสียงของ Blue Heaven ‘Leif 3’ ตัวนี้แสดงให้เห็นว่า ทาง Nordost ได้ทำการปรับจูนเสียงของสายเชื่อมต่อเวอร์ชั่นใหม่นี้ให้มีบุคลิกเสียงลงมาใกล้ NEUTRAL มากขึ้น (ลูกศรสีเทาอ่อน) โดยที่ยังคงรักษาคุณสมบัติทางด้าน สปีดในการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตให้มีความฉับไวเหมือนเดิม

Blue Heaven ‘Leif 3’ ให้ความเป็นกลางมากขึ้น หมายความว่าไง.? คือมัน (Blue Heaven ‘Leif 3’) ถ่ายทอด (ยอมให้ความถี่เสียงไหลผ่าน) ความถี่เสียงตั้งแต่แหลมลงไปถึงทุ้มตั้งแต่ต้นทาง (อินพุตของสาย) ไปถึงปลายทาง (เอ๊าต์พุตของสาย) ด้วย สปีดที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น เมื่อความถี่ตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้มเดินทางจากต้นทางมาถึงปลายทางได้พร้อมกัน ก็เป็นผลดีต่อ โทนัลบาลานซ์ของสายที่มีความเป็นกลางมากขึ้นนั่นเอง

ถ้าคุณมีซิสเต็มระดับกลางๆ ที่ให้เสียงดีถูกใจ และถ้าคุณอยากปลดปล่อยเสียงที่ดีของซิสเต็มของคุณออกมาให้มากที่สุดโดยไม่มีอะไรตกหล่นหรือถูกบิดเบือนไป.. อยากให้ทดลองใช้สายเชื่อมต่อของ Nordost รุ่น Blue Heaven ‘Leif 3’ เซ็ตนี้เข้าไป เชื่อมโยงสัญญาณในซิสเต็มของคุณดูเถิด..!!

********************
ราคา :
สายไฟเอซี Blue Heaven ‘Leif 3’ = 16,000 บาท (ความยาว 1 เมตร)
สายสัญญาณ Blue Heaven ‘Leif 3’ = 29,000 บาท (ความยาว 1 เมตร)
สายลำโพง Blue Heaven ‘Leif 3’ = 30,000 บาท (ความยาว 1 เมตร)
มีความยาวอื่นๆ ให้เลือก ด้วยราคาที่น้อยกว่าจำนวนเท่าของความยาว
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: DECO2000Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า