“เสียงทุ้ม” เป็นย่านความถี่ที่มีอิทธิพลสูงมากสำหรับคำว่า “คุณภาพเสียง” (sound quality) และเป็นประเด็นสำหรับนักออกแบบลำโพงที่จะใช้เป็น “จุดเด่น” ในการออกแบบเพื่อโชว์กึ๋นกันว่าใครจะสามารถตัดการกับเสียงทุ้มได้ดีกว่ากัน
พูดถึง “การจัดการ” กับเสียงทุ้มของลำโพงก็ต้องเพ่งเล็งไปที่ไดเวอร์ตัวใหญ่สุดบนตู้ลำโพง นั่นคือ “วูฟเฟอร์” ที่รับหน้าที่ในการสร้างความถี่ในย่านทุ้มโดยตรงซึ่งวูฟเฟอร์จะทำงานร่วมกับ “ตัวตู้” ในการสร้างความถี่ต่ำออกมา ถ้านับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีการคิดค้นเทคนิคในการจัดการกับเสียงในย่านทุ้มผ่านทางการออกแบบตัวตู้ของลำโพงออกมาหลากหลายรูปแบบมาก อาทิเช่น
1. Open Baffle (หรือ Dipole)
2. Sealed Cabinet (หรือ Acoustic Suspension)
3. Bass Reflect (หรือ Ported/Vented)
4. Passive Radiator
5. Aperiodic Enclosure
6. Isobaric
7. Bandpass Enclosure
8. Transmission Line Enclosures และ
9. Horn Systems (*ดูเพิ่มเติม )
บางเทคนิคยังคงมีใช้ในการออกแบบลำโพงมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่หลายเทคนิคไม่ค่อยพบเห็นว่ามีการใช้ออกแบบลำโพงในยุคปัจจุบัน ซึ่งแต่ละเทคนิคจะให้ข้อดี–ข้อด้อยแตกต่างกันไป บางรูปแบบให้เสียงที่ดีแต่ทำยาก ใช้ต้นทุนสูง ที่นิยมใช้กันเยอะในปัจจุบันมีอยู่ 3-4 ระบบ เนื่องจากออกแบบไม่ยาก ใช้ต้นทุนไม่สูง และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ได้แก่ ระบบตู้ปิด (Sealed Cabinet), ระบบตู้เปิด (Bass Reflex), ระบบ Isobaric และ ระบบพาสซีฟ เรดิเอเตอร์ (Passive Radiator)
เทคนิคไหนดีที่สุด.? ฟันธงไม่ได้ เพราะลำโพงที่ใช้เทคนิคตัวตู้แต่ละแบบมันให้จุดด้อยจุดแข็งต่างกัน กินกันไม่ขาด อย่างเช่นตู้แบบ Sealed Cabinet หรือตู้ปิด จะให้เบสที่สะอาด หัวเบสกระชับ เก็บหางเบสได้สนิท ส่งผลให้เบสไม่บวมและไม่เบลอ ข้อด้อยอยู่ที่ต้องใช้ไดเวอร์ตัวใหญ่ถ้าต้องการสียงทุ้มที่ลงลึก และเปิดได้ดังๆ อีกข้อคือ ลำโพงตู้ปิดต้องการกำลังขับของแอมป์เยอะ ในขณะที่แบบตู้เปิด (Vented Cabinet) จะกินกำลังแอมป์น้อยกว่า เปิดได้ดังกว่า ให้เบสที่ลงลึกแบบมีมวลแผ่ใหญ่กว่าโดยไม่ต้องใช้ไดเวอร์ตัวใหญ่ หางเบสลาดยาวออกไปมากกว่า แต่หัวเบสจะไม่คมเท่าตู้ปิด และเก็บรวบหางเสียงได้ไม่เด็ดขาดเท่ากับตู้ปิดเพราะมีปัจจัยของห้องเข้ามาเกี่ยว นั่นจึงทำให้ลำโพงตู้เปิดเซ็ตอัพยากกว่าแบบตู้ปิดด้วย
สรุปคือ ตู้ปิด–ดีตรงเบสสะอาดกระชับ แต่ด้อยที่หางเสียงเบสไม่แผ่กว้าง เปิดดังมากไม่ได้ มวลต่ำๆ ไม่เยอะ ส่วนตู้เปิด–ได้เบสที่มีพลังและอวบใหญ่ ลากหางได้ยาว อัดได้ดังกว่า แต่มีข้อด้อยที่ไม่กระชับและสะอาดเท่าตู้ปิด ณ จุดนี้ ระบบตู้ลำโพงแบบกึ่งปิด–กึ่งเปิดที่ใช้ดอกลำโพงแบบไม่มีแม่เหล็กที่เรียกว่า Passive Radiator เข้ามาแทนที่ช่องระบายอากาศ ได้แทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลาง เป็นดีไซน์ที่พยายาม “รวบ” ข้อดีของตู้ลำโพงทั้งสองรูปแบบเข้ามาในตัว..!!!
Passif I ลำโพงรุ่นแรกของ Paul Barton ที่ใช้เทคนิค Passive Radiator
Paul Barton ในแล็ป NRC
ลำโพงรุ่น Passif 50 ถูกผลิตออกมาเพื่อฉลองครบรอบ ปีที่ 50 ของการก่อตั้งแบรนด์ PSB (ย่อมาจาก Paul และ Sue Barton) โดยที่ Passif 50 ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนผลลัพธ์ของการพัฒนาจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 50 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้แบรนด์ PSB ฉายความโดดเด่นขึ้นมาหลังจากที่พอล บาร์ตันถูกดึงเข้าไปร่วมวิจัยอยู่ใน NRC (National Research Council) ของแคนาดา เขาเปิดตัวลำโพงรุ่น Passif I ออกมาในปี 1974 ซึ่งเป็นลำโพงรุ่นแรกที่ Paul Barton ทดลองออกแบบโดยใช้เทคนิค Passive Radiator ในการควบคุมและขยายฐานเสียงในย่านต่ำ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะทำให้ได้เสียงที่มีความเป็นธรรมชาติสูง จนเป็นที่มาของคำว่า ‘True To Nature’ ที่ PSB ใช้เป็นสโลแกนหลังจากนั้นสืบมา
ต่อมาไม่นาน Paul Barton ก็ออกแบบรุ่น Passif II ตามออกมา ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้ลำโพงเรดิเอเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่น Passif I คือ 10 นิ้ว ด้วยความยอดเยี่ยมในแง่คุณภาพเสียงของรุ่น Passif II ในยุคนั้นมันโดดเด่นโดนใจมากถึงขนาดที่สถานีวิทยุกระจายเสียงของแคนาดา (CBC/Radio-Canada) ในยุคนั้นขอเอาลำโพงรุ่น Passif II ของ PSB ไปใช้เป็นลำโพงมอนิเตอร์ประจำอยู่ในทุกสถานีที่อยู่ในประเทศแคนาดาเลยทีเดียว นั่นส่งให้ชื่อเสียงของแบรนด์ PSB ขจรกระจายออกไปทั่ว จนทำให้แบรนด์ PSB เข้าไปเป็นแบรนด์ในใจของคนฟังเพลงทั่วไปอย่างรวดเร็ว
เก่า vs. ใหม่
ภาพของ Passif I (ซ้าย) และ Passif II (ขวา) เวอร์ชั่นที่ออกมาเมื่อปี 1974
เวอร์ชั่นล่าสุด Passif 50 (กรอบเล็ก) เทียบกับรุ่น Passif I ในอดีต
เวอร์ชั่นล่าสุด Passif 50 (ในกรอบเล็ก) เทียบกับรุ่น Passif II ในอดีต
มีการปรับปรุงลำโพงรุ่น Passif I และ Passif II ในระดับไมเนอร์แช้งค์หลายครั้งในช่วงอายุของลำโพงสองรุ่นนี้ ซึ่งเวอร์ชั่นดั้งเดิมของทั้งสองรุ่นนี้มีลักษณะภายนอกที่คล้ายกันมาก ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดอยู่ที่ขนาดของไดเวอร์ของตัวเรดิเอเตอร์ ในขณะที่ตัวทวีตเตอร์ขนาด 25 ม.ม. (1 นิ้ว) กับตัวมิด/วูฟเฟอร์ขนาด 162.5 ม.ม. (6.5 นิ้ว) ใช้เหมือนกัน ต่างกันที่ตัวเรดิเอเตอร์ คือในรุ่น Passif I ใช้ไดเวอร์เรดิเอเตอร์ขนาด (6.5 นิ้ว) เท่ากับขนาดของตัวมิด/วูฟเฟอร์ ส่วนรุ่น Passif II ใช้ไดเวอร์เรดิเอเตอร์ที่ใหญ่กว่ารุ่น Passif I คือใช้ขนาด 250 ม.ม. (10 นิ้ว) ทำให้รุ่น Passif II มีพื้นที่ไดอะแฟรมของตัวเรดิเอเตอร์ที่ใช้ผลักอากาศมากกว่า จึงทำให้สามารถสร้างความถี่ต่ำลงไปได้ลึกกว่ารุ่น Passif I คือลงไปได้ถึง 30Hz ในขณะที่รุ่น Passif I ลงไปได้แค่ 35Hz
ใน เอกสารเปิดตัว รุ่น Passif 50 ระบุว่า รุ่น Passif II คือแรงจูงใจในการทำรุ่น Passif 50 ออกมา ในขณะที่เอกสารที่พูดถึง ‘The Making of the Passif 50’ ระบุว่า Paul Barton จงใจเลือกรุ่น Passif I เป็นต้นแบบสำหรับอัพเกรดเป็นรุ่น Passif 50 ถ้ายึดตามเอกสาร ‘The Making of the Passif 50’ นั่นก็หมายความว่า ในอนาคต เราอาจจะได้เห็นรุ่นที่ใหญ่กว่า Passif 50 ออกมาอีกก็เป็นได้ โดยใช้ต้นแบบมาจากรุ่น Passif II ในอดีต แต่ถ้ายึดตามข้อความในเอกสารเปิดตัว Passif 50 ก็อาจจะมีแค่ Passif 50 รุ่นเดียวสำหรับการย้อนอดีตของ PSB ครั้งนี้ (*คงต้องรอดูกันต่อไป..)
สัดส่วนภายนอก + ไดเวอร์ที่ใช้
รูปทรงและสัดส่วนตัวตู้ของรุ่น Passif 50 ใกล้เคียงกับบรรพบุรุษทั้งสองรุ่นของมัน แต่ไดเวอร์ทั้งสามตัวไม่มีอะไรเหมือนกันเลยอย่างที่เกริ่นมาตอนต้น Passif 50 เปลี่ยนมาใช้ทวีตเตอร์โดมไตตาเนี่ยม แทนที่โดมผ้าที่ใช้ในรุ่น Passif I และ II ส่วนตัวมิด/วูฟเฟอร์ใช้ไดเวอร์กรวยกระดาษขนาด 6.5 นิ้ว ในขณะที่ตัวเรดิเอเตอร์ก็เลือกใช้ขนาด 8 นิ้ว กรวยทำด้วยกระดาษเหมือนกัน เซอร์ราวนด์ที่ใช้ยึดขอบไดอะแฟรมเข้ากับโครงตู้ของทั้งตัวมิด/วูฟเฟอร์และเรดิเอเตอร์ทำด้วยยางที่ให้ความยืดหยุ่นสูง
พื้นที่บนแผงหน้าที่อยู่รอบตัวทวีตเตอร์ถูกปิดทับด้วยแผ่นสักหลาดผืนใหญ่ (ศรชี้) เพื่อดูดซับเสียงแหลมจากตัวทวีตเตอร์ไม่ให้สะท้อนจากแผงหน้าย้อนกลับมารบกวนคลื่นเสียงจากทวีตเตอร์ที่ยิงตรงออกไปหาผู้ฟังและในแนว off-axis ซึ่งยังคงเป็นรูปแบบดีไซน์ที่เหมือนกับเวอร์ชั่นดั้งเดิม ตรงนี้จะช่วยให้ได้พื้นเสียงที่ใส และเพิ่มความนิ่งให้กับโฟกัสของเสียง
หน้ากากที่ให้มามีส่วนมากที่ช่วยให้ลุคของ Passif 50 มีความเป็นวินเทจย้อนไปถึงยุค ’70 ตัวแผงหน้ากากทำด้วยผ้าเนื้อหยาบ มีรูพรุน สีน้ำตาลอ่อน ผนึกติดกับตัวตู้ด้วยแม่เหล็ก สีของหน้ากากรับกับสีของผนังตู้ที่ปะผิวด้วยวีเนียร์โชว์ลายไม้สวยๆ ดูแล้วคลาสสิกมาก
ความแตกต่าง..
ระหว่าง Passif 50 กับเวอร์ชั่น Passif I และ II มีความแตกต่างกันอยู่หลายจุด นอกจากตัวไดเวอร์ทั้งสามตัวที่ต่างกันแล้ว อีกจุดที่สังเกตง่ายคือลักษณะการจัดวาง “ตำแหน่ง” ของตัวทวีตเตอร์ โดยที่รุ่น Passif 50 มีการจัดวางตำแหน่งของทวีตเตอร์ระหว่างลำโพงข้างซ้าย (Left Channel) กับข้างขวา (Right Channel) ในลักษณะ mirror-imaged ซึ่งกันและกัน เมื่อจัดวางลำโพงทั้งสองข้างอย่างถูกต้องตัวทวีตเตอร์ทั้งสองข้างจะมีลักษณะที่ยิงเข้าหากันซึ่งตรงนี้จะมีผลมากในแง่ของโฟกัสที่คมชัดมากขึ้น ในขณะที่เวอร์ชั่นเก่าทั้งสองรุ่นจัดวางทวีตเตอร์ไว้ในตำแหน่งเดียวกัน เมื่อเซ็ตอัพใช้งานทำให้ทวีตเตอร์ของลำโพงข้างซ้ายจะชี้เข้าด้านใน ในขณะที่ทวีตเตอร์ของลำโพงข้างขวาจะชี้ออกไปด้านนอก
อีกจุดที่แตกต่างกันระหว่างเวอร์ชั่น Passif 50 กับสองเวอร์ชั่นเก่า คือในรุ่น Passif 50 มีการออกแบบวัสดุแข็งที่เรียกว่า phase plug ที่ใช้บังไว้ที่ด้านหน้าของโดมทวีตเตอร์แบบใหม่ ไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นเก่า นัยว่าช่วยจัดมุมกระจายเสียงของทวีตเตอร์เพื่อให้ได้การกระจายนอกแกนตั้งฉากกับโดมทวีตเตอร์ (แนว off-axis) ที่มีความถูกต้องเชิงเฟสมากขึ้น ซึ่งทางผู้ออกแบบคือ Paul Barton ให้ความสำคัญกับประเด็นความถูกต้องของเฟสในมุมกระจายเสียงที่เป็น off-axis มากเป็นพิเศษมาตั้งแต่รุ่น Passif I เนื่องจากเขาพบว่า มุมกระจายเสียงนอกแกน (off-axis) มีความสำคัญกับคุณภาพเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะคุณสมบัติทางด้านเวทีเสียง ทั้งทางด้านกว้างและลึก
อีกจุดที่แตกต่างคือ “ขั้วต่อสายลำโพง” ซึ่งในเวอร์ชั่นใหม่ให้มาเป็นขั้วต่อแบบแยกสองชุดสำหรับทวีตเตอร์และมิด/วูฟเฟอร์ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถพลิกแพลงการเชื่อมต่อสายลำโพงได้หลายแบบ จะต่อแบบซิงเกิ้ลไวร์ฯ ก็ได้, แบบไบ–ไวร์ฯ ก็ได้ หรือจะดันไปให้สุดด้วยการขับลำโพงโดยแอมป์ 4 แชนเนล (stereo x2) ที่เรียกว่า bi-amp ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ขาตั้งทรงประหลาด..!!
Passif 50 แถมขาตั้งมาในกล่อง แต่แยกเป็นชิ้นๆ ให้มาประกอบเอง..
น่าแปลกที่เขาให้มาเป็นขาตั้งที่ทำด้วยไม้ ความสูงแค่ 20 ซ.ม. เท่านั้น (ไม่รวมเดือยแหลม) แยกมาในกล่องเป็นชิ้นๆ ผมยอมรับว่า หลังจากประกอบขาตั้งเสร็จ ลองยกดู มันเบามาก.! แถมแพลทบนของตัวขาตั้งที่รองรับส่วนฐานของตู้ลำโพงมันมีลักษณะที่เอียงลงไปทางด้านหลังด้วย มองดูด้วยสายตาแล้วมันไม่น่าจะวางลำโพงได้อย่างมั่นคงเลย ที่แพลทล่างของตัวขาตั้งส่วนที่ติดกับพื้นมีรูน็อตเกลียวมาให้ 4 รู หน้าสอง–หลังสอง มีไว้ให้เลือกติดตั้งเดือยแหลมหรือหมุดยางเพื่อยกตัวขาตั้งให้ลอยขึ้นมาจากพื้น
ซึ่งผมทดลองฟังดูแล้ว กรณีติดตั้งหมุดยางจะให้หัวเสียงที่นุ่มกว่าเดือยแหลมนิดนึง ท่อนล่างของสเปคตรัมตั้งแต่กลางต่ำลงมาถึงทุ้มตอนล่างสุดจะมีลักษณะที่อวบหนามากกว่าติดตั้งด้วยเดือยแหลมเล็กน้อย ในขณะที่ติดตั้งด้วยเดือยแหลมจะได้ความโปร่งของเสียงมากขึ้น เบสกระชับเร็วขึ้น แต่เปอร์เซ็นต์ความต่างไม่ได้เยอะมาก สำหรับผมถือว่าอยู่ในเกณฑ์รับได้ทั้งคู่ ในการแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพขั้นตอนสุดท้ายก่อนฟังสรุปผลการทดสอบผมตัดสินใจเลือกติดตั้งด้วยหมุดยาง เพราะพื้นห้องฟังของผมเป็นไม้ ถ้าใช้เดือยแหลมต้องรองด้วยจาน เทียบกับหมุดยางที่วางลงไปบนพื้นตรงๆ ผมพบว่า หมุดยางให้ค่าเฉลี่ยของเสียงที่น่าฟังมากกว่าติดตั้งด้วยเดือยแหลม โทนเสียงมันฟังดูอบอุ่นมากกว่า
แม็ทชิ่ง
ลำโพงคู่นี้ระบุความไวเมื่อวัดในห้องฟังทั่วไปอยู่ที่ 89dB แต่ตอนวัดในห้องไร้เสียงสะท้อนได้ความไวอยู่ที่ 87dB แสดงว่าลำโพงคู่นี้มีพฤติกรรมในการ “ต้านกำลังขับ” ของแอมป์อยู่ในระดับปานกลาง ก็ไม่ถือว่าโหดมาก ในขณะที่ตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่แนะนำถูกระบุไว้ในช่วง 30 – 200W อ้างอิงกับโหลดอิมพีแดนซ์ปกติที่ 6 โอห์ม แสดงว่า ถ้าคำนวนเทียบกับโหลด 8 โอห์ม ลำโพงคู่นี้ต้องการกำลังขับสูงสุดอยู่ราวๆ 150W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ซึ่งไม่ใช่สเปคฯ ที่น่ากลัวสำหรับแอมป์ในปัจจุบัน
จากการทดลองแม็ทชิ่งแอมป์เพื่อใช้ในการทดสอบฟังเสียงของ Passif 50 ตัวนี้ ผมพบว่า กำลังขับ 60W ของแอมป์ยุคใหม่ class D อย่างออล–อิน–วันของ Primare รุ่น i15 Prisma MK 2 ก็สามารถขับ Passif 50 ออกมาได้น่าพอใจแล้ว ซึ่งลำโพงคู่นี้แสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นว่ามันไม่ได้แข็งขืนกับกำลังขับของแอมป์มากนัก ด้วยกำลัง 60W ต่อข้างที่ 8 โอห์มของ i15 Prisma MK2 (ถ้าเทียบที่ 6 โอห์มก็น่าจะได้ประมาณ 90W ต่อข้าง) ก็สามารถดันเสียงกลางกับแหลมของลำโพงคู่นี้ให้ออกมาลอยอยู่ในอากาศได้อย่างสบายๆ ส่วนทุ้มก็อยู่ในเกณฑ์พอดีๆ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นก็ถือว่าแฮ้ปปี้ได้แล้ว แต่ถ้าชอบฟังหนัก เปิดดัง ผมพบว่าจุดลงตัวที่ให้ผลลัพธ์ของเสียงออกมาน่าพอใจมากสำหรับแนวที่ต้องการพลังเต็มเหนี่ยวคือขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ซึ่งให้กำลังขับข้างละ 140W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม โดยจับคู่กับปรีแอมป์ของ Denafrips รุ่น Athena ส่วนแหล่งต้นทางสัญญาณผมใช้ roon nucleus+ ในการเล่นไฟล์จาก NAS และสตรีมจาก TIDAL แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปให้ Liberty DAC ของ MyTek ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกป้อนให้กับอินพุต RCA ของปรีแอมป์ Athena ผ่านสายสัญญาณของ Nordost รุ่น Frey II ส่วนสายลำโพงจากเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo ไปที่ลำโพง Passif 50 เป็น Kimber Kable รุ่น 12TC (REVIEW)
ตัว roon nucleus+ ใช้ไฟเลี้ยงจากลิเนียร์ฯ ของ Nordost รุ่น QSource (REVIEW) และคุม noise ของระบบเน็ทเวิร์คด้วย QNet (REVIEW) ของ Nordost เช่นกัน ส่วนสายไฟเอซีที่ใช้ป้อนไฟให้กับเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo เป็นของ Life Audio รุ่น Signature 1
เซ็ตอัพ + ไฟน์จูน
ถ้าสังเกต จะพบว่า ลำโพงยุควินเทจมักจะมีขนาดตัวตู้ที่ใหญ่ ขนาดเป็นลำโพงสองทางวางขาตั้งก็ยังใช้ตัวตู้ที่ใหญ่กว่าลำโพงสองทางในยุคปัจจุบัน เหตุผลก็เพราะว่า ไดเวอร์ในยุคโน้น (40-50 ปีที่แล้ว) ยังไม่สามารถทนแรงกระทุ้งของแอมป์ได้มาก อีกทั้งในยุคนั้นแอมป์ที่มีวัตต์สูงๆ ก็ยังหายากและมีราคาแพง ทำให้ลำโพงยุคโน้นให้เสียงทุ้มได้ไม่เยอะ ในการออกแบบจึงต้องอาศัยตัวตู้ขนาดใหญ่มาช่วยปั๊มมวลเสียงทุ้มออกมา แถมยังต้องอาศัยผนังหลังของห้องกับพื้นช่วยด้วยสะท้อนมวลเสียงย่านต่ำเสริมเข้ามาอีกแรง
นั่นคือเหตุผลที่ลำโพงยุคโน้นมักจะวางใกล้พื้นและชิดผนัง ซึ่งตัว Passif 50 ตัวนี้ก็ใช้ขาตั้งที่มีความสูงแค่ 20 ซ.ม. ทำให้ดอกเรดิเอเตอร์อยู่ใกล้กับพื้นมาก นัยว่าเพื่อช่วยสะท้อนมวลของเสียงทุ้มขึ้นมาช่วยเสริมเสียงทุ้มที่ออกมาจากดอกเรดิเอเตอร์นั่นเอง ผมทดลองอุตริเอา Passif 50 ยกขึ้นวางบนขาตั้ง 24 นิ้ว ปรากฏว่าเสียงออกมาเละเป็นโจ๊ก เบสโหวงๆ กลวงๆ กระจัดกระจาย ไม่อัดแน่นเป็นลูก ส่งผลต่อเนื่องต่อเสียงกลางและแหลมที่ฟุ้งกระจายไปด้วย ใครที่คิดจะเปลี่ยนขาตั้งของ Passif 50 ผมแนะนำว่าอย่าคิดเลย.. มันส่งผลกับเสียงมาก และมุมเงยที่ 5 องศา ของลำโพงทั้งสองข้างเมื่อวางบนขาตั้งที่เขาให้มาก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกับโทนัลบาลานซ์, มิติ–เวทีเสียง และโฟกัส ในการเซ็ตอัพต้องปรับความเฉียงของแผงหน้าลำโพงให้เท่ากันทั้งสองข้าง ถ้ารู้สึกว่าโฟกัสเบลอ เวทีเสียงไม่ลอยขึ้นมาเหนือความสูงของลำโพง แนะนำให้ปรับจูนองศาเงยของลำโพงทั้งสองข้างให้เท่ากันให้มากที่สุด ตอนทดลองไฟน์จูนมุมเงยของลำโพงคู่นี้ผมพบว่า ปรับมุมให้เงย “มากกว่า” 5 องศา มีแนวโน้มที่เสียงทั้งหมดจะลอยตัวขึ้น แต่เบสบางลง มวลเสียงกลางน้อยลง ในทางตรงกันข้าม ถ้าปรับมุมเงยให้ “น้อยกว่า” 5 องศา คือตัวลำโพงปรับเข้าใกล้ตำแหน่งตั้งฉากกับพื้นมากขึ้น เสียงจะออกทึบลง หางเสียงจะหัวนลง เวทีเสียงจะจมลง ผมคิดว่า ในบางสถานะการณ์ของสภาพอะคูสติกในบางห้อง อาจจะต้องปรับมุมเงยของลำโพงทั้งสองตัวไปจากระดับมาตรฐาน (5 องศา) บ้างเล็กน้อย แต่ถ้าห้องของคุณไม่ได้เล็กเกินไป และไม่มีปัญหาอะคูสติก ที่มุมเงย 5 องศาตามมาตรฐานของลำโพงที่ผู้ผลิตกำหนดมาจะให้คุณภาพเสียงดีที่สุดในทุกด้าน
ที่ต้องเน้นคือ อย่าวางลำโพงสลับข้าง เพราะส่งผลให้โฟกัสของเสียงในย่านกลาง–แหลมแย่ลง โทนัลบาลานซ์กับสนามเสียงก็เพี้ยนไปเยอะ การเซ็ตอัพที่ถูกต้อง ตัวทวีตเตอร์ทั้งสองข้างจะต้องชี้เข้าด้านใน ส่วนระยะห่างผนังหลัง ผมพบว่า Passif 50 ตัวนี้ “ไม่ต้องการ” ผนังหลังเข้ามาช่วยปั๊มความถี่ต่ำเหมือนลำโพงยุคเก่า จากการทดลองเซ็ตอัพของผมพบว่า ผมสามารถใช้หลักการเซ็ตอัพตำแหน่งห่างผนังหลังด้วยสูตร “ความลึกของห้องหาร 3/หาร 5” ได้เลย เมื่อปรับจูนลงตัวแล้ว ผมพบว่า ระยะห่างหลังของ Passif 50 อยู่ในช่วงระยะ “ความลึกของห้องหาร 3/หาร 5” โดยถอยหลังจากระยะหาร 3 ลงไปประมาณ 20 ซ.ม. วัดจากผนังหลังมาถึงแผงหน้าของลำโพงอยู่ที่ 160 ซ.ม. (ระยะหาร 3 ในห้องผมอยู่ที่ 180 ซ.ม.) ส่วนระยะห่างซ้าย–ขวามาจบลงตัวที่ 186 ซ.ม. ได้ครบทั้งโฟกัส, เวที, ไดนามิก และมวล
อีกอย่างที่พบหลังจากไฟน์จูนตำแหน่ง Passif 50 จนได้เสียงที่ลงตัวแล้ว นั่นคือพบว่า ลำโพงคู่นี้ไม่ได้ต้องการมุมโทอินมากเหมือนกับลำโพงวินเทจยุคเก่าส่วนใหญ่ เข้าใจว่าเป็นเพราะคุณ Paul Barton แกจัดการกับมุมกระจายเสียงของทวีตเตอร์ด้วยการครอบด้วย phase plug บวกกับฝังโดมทวีตเตอร์ไว้ในหลุมถ้วยตื้นๆ ซึ่งทั้งสองเทคนิคนี้มีส่วนช่วยควบคุมมุมกระจายเสียงของโดมทวีตเตอร์อยู่แล้ว แถมด้วยใช้สักหลาดแผ่นใหญ่ปูล้อมรอบทวีตเตอร์เพื่อลดเสียงสะท้อนบนแผงหน้ารอบๆ ตัวทวีตเตอร์ไม่ให้พุ่งขึ้นมารบกวนเสียงที่ออกมาจากโดมทวีตเตอร์เข้าไปอีก ณ จุดลงตัวผมพบว่า ต้องวาง Passif 50 ไว่ในลักษณะหน้าตรงขนานผนังข้างทั้งสองข้างเสียงที่ออกมาจึงลงตัวทุกด้าน ไม่ได้โทอินเลย
หลังจากเบิร์นฯ มาถึงชั่วโมงที่ 50 ขณะที่ลองไฟน์จูนตำแหน่งวางลำโพง ผมก็ได้ทดลองจูนหาวิธีเชื่อมต่อสายลำโพงไปด้วย พบว่า Passif 50 ไปกันได้ดีกับสายลำโพง Kimber Kable รุ่น 12TC และเมื่อผมทดลองใช้จั๊มเปอร์ของ Nordost รุ่น Norse 2 Bi-Wire Jumpers มาเปลี่ยนแทนแท่งโลหะชุบทองที่มากับตัวลำโพง พบว่าเสียงโดยรวมดีขึ้นมาก เสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงสูงทั้งหมดเปิดตัวออกมามากขึ้น รายละเอียดพร่างพราย ระยิบระยับมากขึ้น หางเสียงกังวานยาวขึ้น มีผลให้โทนเสียงโดยรวมมีความสดกระจ่างน่าฟังมากขึ้นเยอะ
สรุปว่า Passif 50 ไม่ได้ต้องการผนังหลังช่วยปั๊มมวลเบสมากเท่ากับลำโพงยุคเก่า ซึ่งตรงกับข้อมูลของผู้ผลิตที่ระบุว่า พวกเขาใช้ไดเวอร์ที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงปรับจูนด้วยแนวทางของลำโพงยุคปัจจุบัน ทำให้การเซ็ตอัพจึงมาในแนวทางเดียวกับลำโพงยุคปัจจุบันทุกอย่าง รวมถึงไม่ต้องการมุมโทอินช่วยปรับเฟสของทวีตเตอร์ด้วย เพราะมันถูกปรับมุมกระจายเสียงมาแล้วด้วยเทคนิคที่กล่าวไว้ข้างต้น
เสียงของ Passif 50
ลำโพงคู่ที่ส่งมาให้ผมทดสอบเป็นลำโพงใหม่แกะกล่อง ผมพบว่า ช่วง 10 ชั่วโมงแรกเสียงของมันแย่มาก เบสตึงตัวสุดๆ กลางก็หุบ แหลมก็พุ่ง ผมต้องเปิดเบิร์นฯ ไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงแรกที่ผมใช้ออล–อิน–วันของ Primare รุ่น i15 ขับ ผมนึกว่าแอมป์ขับไม่ออก เพราะเสียงออกมาแบบที่บอกข้างต้น ซึ่งผมเดาเลยว่า ตัวมิด/วูฟเฟอร์กับเรดิเอเตอร์น่าจะต้องการเวลาเบิร์นฯ มากกว่าทวีตเตอร์เยอะ ผมเลยเปิดอัดด้วยเสียงกลองและเพอร์คัสชั่นเยอะๆ ด้วยระดับวอลลุ่มปานกลางสลับด้วยดังมากหน่อย เมื่อเบิร์นฯ ด้วยเสียงแบบนั้นผ่านมาถึงชั่วโมงที่ 20 เสียงโดยรวมเริ่มดีขึ้นมาก เสียงทุ้มเริ่มคลายตัวออกไป ฐานเสียงเริ่มขยายใหญ่ เวทีเสียงเริ่มพองตัวออกไปรอบด้าน ไดนามิกเริ่มสวิงกว้างมากขึ้น สลัดปลายเสียงออกไปได้สุดมากขึ้น ความต่อเนื่องลื่นไหลดีขึ้น คอนทราสน์ไดนามิกจากดังลงไปเบาและจากเบาสวิงขึ้นมาดังมีลำดับความต่อเนื่องมากขึ้น ละเอียดขึ้น ทำให้เริ่มสัมผัสอารมณ์ของเพลงได้แล้ว พอเบิร์นฯ ต่อไปจนถึงชั่วโมงที่ 50 เป็นต้นไป เสียงโดยรวมก็ดีขึ้นอีกมากและเริ่มคงที่แล้ว
อัลบั้ม : The Raven (WAV-16/44.1)
ศิลปิน: Rebecca Pidgeon
สังกัด : Chesky Records
อัลบั้ม : Ink (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Livington Taylor
สังกัด : Chesky Records
หลังจากเบิร์นฯ มาถึงชั่วโมงที่ 70 ผมพบว่า เสียงของ Passif 50 มีความคงที่มากแล้ว ในแต่ละชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เมื่อฟังด้วย Primare i15 ผมพบว่า เสียงโดยรวมของ Passif 50 + Primare i15 ออกมาทางสะอาด นุ่มนวล ฟังเพลงที่บันทึกเสียงโดยค่ายเพลงไฮเอ็นด์ฯ ทั้งหลายจะได้น้ำเสียงน่าฟัง ละมุนละมัยมาก ย่านทุ้มจะมีลักษณะที่ผ่อนตัว ไม่กระแทกกระทั้น ไม่ดุดัน นั่นทำให้เมื่อฟังเพลงแนวที่โชว์ความละเมียดละมัยอย่างเพลงที่โชว์เสียงร้องเด่นๆ อย่างสองอัลบั้มนี้ คือ The Raven ของ Rebecca Pidgeon กับชุด Ink ของ Livington Taylor จะได้อรรถรสอย่างมาก เข้าถึงอารมณ์สุดๆ เสียงร้องเป็นธรรมชาติมาก สะอาดและลอย สามารถรับรู้ได้ถึงความปราณีตบรรจงของการบันทึกเสียงได้อย่างชัดเจน ทุกจุดออกมาเนียนละมุน ไม่มี artifact ที่ทำให้เกิดอาการระคายหูเลย ยอดเยี่ยมมาก.! ถ้าตั้งคะแนนไว้เต็ม 10 ผมให้ 9 เลยสำหรับเพลงแนวนี้
อัลบั้ม : Unplugged (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Eric Clapton
สังกัด : Reprise
อัลบั้ม : Back In Black (Remasters) (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : AC/DC
สังกัด : Epic
แนวเพลงที่คู่แม็ทชิ่ง Passif 50 + Primare i15 ให้คะแนนรวมต่ำกว่า 9 ลงมานิดหน่อยคือแนวเพลงประเภทคอมเมอร์เชี่ยลที่โชว์พลังความสดสมจริงมากๆ อย่างสองอัลบั้มข้างต้น ซึ่งเป็นเพลงแนวฮาร์ด/เฮฟวี่ ร็อคที่คู่ของ Passif 50 + Primare i15 อาจจะให้ความรู้สึกถึงความสดแบบดิบๆ ออกมาน้อยไปหน่อบ เสียงกระแทกกลองตอนขึ้นต้นแทรค Back In Black มันยังไม่หนักและแน่นเต็มเหนี่ยวอย่างที่คอร็อคคาดหวัง คนที่ชอบความดิบเหมือนนั่งฟังหน้าวงแสดงสดอาจจะไม่ถึงใจนัก อือมม.. ต้นเหตุจะเป็นที่บุคลิกของ Passif 50 หรือเปล่า.? หรือว่าลำโพงมันต้องการกำลังขับที่สูงกว่านี้ถ้าจะให้ฟังเพลงแนวนี้ได้อย่างถึงอารมณ์จริงๆ ..??
เพื่อให้คลายสงสัย ผมจึงทดลองเปลี่ยนภาคแอมป์ใหม่ เอาที่กำลังขับมากกว่า i15 มาลองขับ Passif 50 ดูอีกที ว่าแล้วผมก็จัดชุดปรี+เพาเวอร์ฯ ที่ประกอบด้วยปรีแอมป์ Denafrips รุ่น Athena + เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ที่มีกำลังขับข้างละ 140 วัตต์ ซึ่งผมเริ่มคุ้นหูกับปรี+เพาเวอร์ฯ คู่นี้และพบว่ามันแม็ทชิ่งกันดีมาก ขับลำโพงหลายๆ คู่ออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดีน่าพอใจ พอมาขับ Passif 50 คู่นี้ เสียงที่ออกมาก็ดีกว่าตอนขับด้วย i15 ขึ้นไปอีกขั้น..!
นั่นไง..! พอได้กำลังอัดเข้าไปถึงๆ Passif 50 คู่นี้ก็เริ่มแสดงความดุดันออกมาให้ได้ยินมากขึ้น แม้ว่าเสียงกลองในอัลบั้ม Back In Black จะยังไม่ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้เต็มที่เท่ากับที่ผมเคยฟังจากลำโพง Klipsch รุ่น Heresy IV เวอร์ชั่นทำใหม่ แต่เมื่อจับกับแอมป์ที่มีพลังมากขึ้น Passif 50 ก็ทำคะแนนให้กับเพลงแนวฮาร์ด/เฮฟวี่ ร็อคได้สูงขึ้นกว่าตอนขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังขับน้อยกว่า น้ำเสียงโดยรวมของ Passif 50 มีท่าทีที่แสดงความจริงจังของเสียงออกมามากขึ้น อารมณ์ของเพลงถูกย้ำเน้นออกมามากขึ้น ผ่านน้ำหนักของหัวเสียงที่เข้มข้นมากขึ้นและเบสที่กระชับเร็วมากขึ้น เป็นแนวทางเลยว่าถ้าอยากได้เสียงที่เข้าใกล้ “ของจริง” มากขึ้น แนะนำให้ใช้แอมป์ที่มีกำลังขับอย่างต่ำๆ 100W ต่อข้างที่ 8 โอห์มขึ้นไป (*แต่อย่าลืมดูราคาด้วย ขอให้เป็น 100W ต่อข้างที่มีราคาสูงๆ หน่อย)
อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSF64)
ศิลปิน : John Lanchbery & The Royal Opera House
สังกัด : Analogue Productions
แอมป์ที่ดีพอ (กำลังถึง+คุณภาพการออกแบบดี) ยังทำให้ลำโพงคู่นี้แสดงรายละเอียดของเสียงออกมาได้เยอะขึ้นด้วย จากตอนแรกที่ฟังด้วย i15 ที่ว่าดีอยู่แล้วกับงานเพลงที่บันทึกเสียงดีระดับไฮเอ็นด์ เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดแอมป์ที่ดีขึ้นไปอีกขั้น เสียงที่ดีอยู่แล้วก็ดีขึ้นไปอีก รู้สึกได้ว่า เวทีเสียงมันแผ่ขยายออกมามากขึ้น เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปเต็มที่ แม้กับเพลงที่มีรายละเอียดแผ่วๆ เบาๆ อย่างเพลงคลาสสิกก็ฟังดีขึ้นมาก เสียงแผ่วๆ เบาๆ ซึ่งส่วนหนึ่งคือแอมเบี้ยนต์ในฮอลล์ที่ใช้บันทึกก็ถูกเปิดเผยออกมาให้ได้ยินมากขึ้น พร้อมๆ กับได้อัตราสวิงของไดนามิกที่เปิดกว้างมากขึ้น ส่งเสริมให้รายละเอียดหยุมหยิมปรากฏออกมามากขึ้น
เมื่อได้แอมป์ที่ดีคู่ควรกับลำโพง เสียงโดยรวมของ Passif 50 คู่นี้จะแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของเสียงที่เกิดจากการ “จัดการ” กับเสียงทุ้มที่ได้ผลจริง คือเมื่อคุมให้ได้เสียงทุ้มออกมาดี กระชับและเก็บตัวได้สนิทจริงๆ นอกจากเสียงเบสจะได้คุณภาพที่ดีแล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงเสียงกลางและแหลมที่ดีมากด้วย เพราะไม่มีปัญหาเสียงทุ้มขึ้นมารบกวน
ในตอนท้ายของการทดสอบ ก่อนปิดการทดสอบและรื้อซิสเต็มเพื่อเซ็ตอัพไว้สำหรับการทดสอบอุปกรณ์อื่น ผมมักจะอาศัยช่วงเวลานี้ในการทดลองเพื่อพิสูจน์หาคำตอบกับบางอย่างที่คาใจเสมอ เรื่องหนึ่งที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเอง นั่นคือ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราใช้แอมป์ที่มีราคาสูงกว่าลำโพงขึ้นไปมากๆ ถึงระดับ 5-6 เท่าของราคาลำโพง.? ซึ่งจากที่ผ่านมา ผมพบว่า ลำโพงบางคู่มันจะแสดง “ข้อจำกัด” ของมันออกมาเมื่อเจอกับแอมป์ที่มีราคาสูงกว่าหลายเท่า ในขณะที่ลำโพงบางคู่มันแทบจะแสดงให้เห็นว่าไร้ข้อจำกัด ยิ่งอัดแอมป์ดีเข้าไป เสียงที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นไปได้เรื่อยๆ นั่นทำให้ผมอยากรู้ว่า Passif 50 คู่นี้อยู่ในกลุ่มไหน จะให้เสียงออกไปทางไหนถ้าใช้แอมป์ที่แพงกว่าราคาค่าตัวของมันหลายเท่ามาลองขับ
จังหวะเหมาะพอดี ผมมีออล–อิน–วันของ Boulder รุ่น 866 ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเบิร์นฯ และรอทดสอบอยู่ ผมจึงทดลองเอา 866 ขับ Passif 50 ดูหน่อย ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอะไรที่น่าสนใจ เมื่อจับคู่กับ 866 เสียงของ Passif 50 มีลักษณะที่ต่างไปจากตอนขับด้วยชุดปรีแอมป์ Denafrips รุ่น Athena + เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo อย่างชัดเจน ประเด็นที่ต่างกันคือแต่ละเสียงจะมี “รายละเอียด” ที่เจาะลึกลงไปมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะพื้นเสียงที่ใสสะอาดมากขึ้น ทำให้ผมรับรู้ถึงองค์ประกอบย่อยที่กอปรเป็นเสียงเหล่านั้นขึ้นมาได้ชัดมาก รับรู้ถึงลักษณะการเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงได้ชัดขึ้น แม้กับเสียงที่เบามากๆ ก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมัน แสดงว่า 866 เข้าไปกระตุ้นคุณสมบัติทางด้านไมโครไดนามิกของ Passif 50 ให้เริ่มทำงาน รู้สึกได้ความระยิบระยับของรายละเอียดที่พรั่งพรูออกมา
กำลังขับที่ 8 โอห์มของ Boulder 866 อยู่ที่ 200W ต่อข้าง ซึ่งเท่ากับกำลังขับสูงสุดที่ Passif 50 ระบุไว้ (ถ้าคำนวนทดลงไปที่ 6 โอห์มก็น่าจะมากกว่า 200W) นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่รู้สึกว่าเสียงมีลักษณะที่ถูกดุนดันด้วยกำลังขับที่สูงเกินไป เวทีเสียงที่ออกมาไม่มีอาการเดินหน้า ยังคงรูปทรงความกว้างและลึกไว้ได้ การสวิงของไดนามิกเร้นจ์ก็ไม่มีอาการอั้นตื้อชนเพดาน เหตุก็เพราะว่ากำลังขับของ 866 ไม่ได้สูงเกินกว่าที่ Passif 50 แนะนำไว้นั่นเอง อีกอย่าง ผู้ผลิตก็แจ้งไว้ชัดเจนว่าลำโพงรุ่น Passif 50 คู่นี้แค่ “อาศัย” รูปร่างหน้าตามาจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมเท่านั้นเพื่อทำให้มันดูวินเทจ แต่นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นไดเวอร์รวมถึงการจัดเลเอ๊าต์ของไดเวอร์ไปจนถึงการปรับจูนเสียง เขาใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานการฟังในยุคปัจจุบันทั้งหมดในการปรับจูนลำโพงคู่นี้
อย่างไรก็ดี เมื่อจับกับ Boulder 866 โทนเสียงที่ออกมาจะมีลักษณะบางลงกว่าตอนขับด้วยคู่ปรีแอมป์ Denafrips รุ่น Athena + เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo นิดนึง แสดงว่าถ้าจะใช้ 866 ขับ Passif 50 จริงๆ คงต้องทำการปรับจูนโทนัลบาลานซ์ใหม่สำหรับรสนิยมของผม (แต่บางคนอาจจะชอบโทนเสียงที่ 866 ขับ Passif 50 ตอนนี้แล้ว) คือพยายามจัดสมดุลระหว่าง “ความอิ่มของมวล” กับ “รายละเอียด” ที่ 866 ถ่ายทอดออกมาจากภาค DAC ในตัว (ผมใช้ภาคสตรีมเมอร์+DAC ในตัว 866) ซึ่งไม่น่าจะยาก เพราะเป็นแค่การปรับจูนโทนัลบาลานซ์เท่านั้น คิดว่าสามารถไฟน์จูนได้จากการทดลองเปลี่ยนจำพวกเส้นสายต่างๆ อีกนิดหน่อยเท่านั้น
สรุป
ถ้าถามว่าผมชอบลำโพงวินเทจรึเปล่า.? ผมชอบดีไซน์สไตล์ retro ของมันครับ ผมว่าของทุกอย่างที่มีดีไซน์ของรูปร่างหน้าตาแนวย้อนยุคมันดูมีเสน่ห์ บนความเชยๆ ของมันกลับมีความเท่แฝงอยู่ เป็นมนต์เสน่ห์แบบย้อนแย้งที่ดีไซน์สมัยใหม่ไม่มี แต่อีกด้านนึง ผมก็เป็นคนที่ต้องการ “คุณภาพเสียง” ที่ตอบสนองความเป็นดนตรีในระดับสูงสุดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พอเป็นลำโพง ซึ่งใช้เปิดเพลงฟัง และใช้ตามองรูปร่างหน้าตาของมัน ผมจึงชอบลำโพงที่มีหน้าตาแนววินเทจ แต่เสียงต้องออกมาแนวสมัยใหม่ที่เข้าใกล้เสียงจริงของเพลงที่มาจากสตูดิโอมากที่สุดเท่านั้น
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานเกือบสองเดือน ผมพบว่า PSB Passif 50 เป็นตัวเลือกที่ทำคะแนนได้สูงมากเมื่อคำนึงถึงโจทย์ที่ผมตั้งไว้ ยอมรับเลยว่า รูปร่างหน้าตาของลำโพงคู่นี้ “โดนใจ” มาก.! ตัวตู้ก็ไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ขนาดของมันกำลังพอดีๆ กับห้องขนาดกลางลงไปถึงห้องขนาดเล็กก็ยังอยู่ได้ และที่ผมประทับใจมากคือ “คุณภาพ” กับ “สไตล์” ของเสียงที่จัดตัวเองอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างความเป็น “มิวสิคเลิฟเวอร์” กับ “ความเป็นไฮไฟเดลิตี้” ได้อย่างลงตัวมาก..!!!
ถ้าผมจะหยุดเล่นเครื่องเสียง กับงบประมาณแสนกลางๆ ผมบอกเลยว่า ลำโพงคู่นี้คือหนึ่งตัวเลือกสำหรับ end-game system ของผมเลย..! ใครที่วาดภาพไว้ในใจว่าลำโพงวินเทจคงจะเสียงย้วยๆ บวมๆ เบอะๆ ไปทั้งหมด ขอให้หาเวลาไปฟัง Passif 50 สักครั้ง เชื่อว่า คุณจะรู้สึกประหลาดใจเหมือนผม และเชื่อว่าคุณต้องปรับความเข้าใจใหม่ทันที..!!! /
***********************
ราคา : 115,000 บาท / คู่
***********************
สนใจติดต่อ/สอบถามได้ที่
บ. โคไน้ซ์ อีเล็คโทรนิค
โทร: 02-276-9644
อีเมล: conice@conice.co.th
ติดต่อทาง
ติดต่อทาง Facebook