ใครที่ตั้งใจจะยึดเอา Network Audio Streaming เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณหลักสำหรับซิสเต็มของตัวเองก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับ “ทุกสิ่ง” ที่แวดล้อมอยู่กับระบบเน็ทเวิร์คที่ใช้ในการสตรีมไฟล์เพลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะว่าไปแล้ว ระบบ Network Audio Streaming ถือว่ายังใหม่สำหรับวงการเครื่องเสียง แม้ว่าเราจะเริ่มนำมันเข้ามาใช้ในวงการเครื่องเสียงนานเกินสิบปีแล้วก็ตาม ทว่า จนถึงบัดนี้ เรายังไม่รู้เลยว่า ยังมีอะไรในระบบเน็ทเวิร์คที่เกี่ยวกับ “คุณภาพเสียง” อีกบ้าง ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง Network Switch นี่ก็เพิ่งจะรู้กันปี–สองปีมานี้เองว่ามันมีผลต่อคุณภาพเสียงมาก
ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Network Switch อยู่หลายกลุ่ม เริ่มมีแตกแขนงแบ่งย่อยออกเป็นหลายระดับราคา เริ่มตั้งแต่ตัวละไม่ถึงหมื่นขึ้นไปจนถึงตัวละหลักแสนบาท ซึ่งคุณภาพที่ได้ออกมาก็ลดหลั่นกันไปตามราคา กลุ่มที่แข่งขันกันมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลุ่มที่มีราคาอยู่ระหว่าง 10,000 – 40,000 บาทต่อตัว ซึ่งเริ่มจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ผลิต Network Switch เริ่มจับทางได้แล้วว่า ประเด็นไหนบ้างของ Network Switch ที่ส่งผลกับเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ว่าอาจจะยังจัดเรียงลำดับไม่ได้ชัดเจนนักว่า ประเด็นไหน–จุดไหนส่งผลต่อเสียงมาก–น้อยกว่ากันอย่างไร นั่นจึงเป็นโอกาสที่เปิดไว้ให้ผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ประเภท Network Switch ระดับออดิโอเกรด (หมายถึงเน้นที่ “คุณภาพเสียง” เป็นสำคัญ) แต่ละเจ้าได้ทดลองออกแบบตามแนวทางที่ตัวเองคิดแล้วผลิตออกมาให้นักเล่นฯ ในตลาดเครื่องเสียงได้ซื้อหากันไปทดลองใช้กัน เจ้าไหนจับทางถูก ไปเน้นตรงจุดที่ส่งผลกับเสียงมากก็ดีไป ..
LHY Audio รุ่น SW-8
มาใหม่อีกเจ้ากับเนื้องานและราคาที่น่าสนใจ
LHY Audio เป็นแบรนด์ลูกของผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงเก่าแก่ของจีนนามว่า Jay’s Audio ซึ่งเหตุผลที่พวกเขาแยกออกมาตั้งแบรนด์ LHY Audio ก็เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่ดูแลผลิตภัณฑ์เสริมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่นพวกเพาเวอร์ซัพพลาย, ระบบ Clock สัญญาณ และสวิทชิ่งทั้งหลาย ซึ่งแบรนด์ LHY Audio จะไม่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เครื่องเสียงหลักๆ
เน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนี้ถูกปรุงโฉมมาจนหลุดพ้นจากความเป็นอุปกรณ์ IT โดยสมบูรณ์ เมนบอดี้ซึ่งทำหน้าที่ห่อหุ้มแผงวงจรอิเล็กทรอนิคทั้งหมดทำมาจากก้อนอะลูสิเนียมชิ้นเดียว ขุดด้วย CNC ออกมาเป็นบล็อกๆ สำหรับบรรตุแผงวงจรการทำงานแต่ละภาคไว้ภายใน ซึ่งแนวทางการใช้ตัวถังเครื่องแบบนี้ถอดแบบมาจากการออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงราคาแพงๆ ที่ผู้ออกแบบได้ทำการทดลองและทดสอบมาแล้วพบว่า ตัวถังเครื่องที่ทำด้วยโลหะอะลูมิเนียมทั้งแท่งแบบไร้รอยต่ออย่างนี้มีผลดีต่อเสียง อย่างน้อยก็ช่วยลดปริมาณแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจาก mechanical vibration ซึ่งเป็นต้นเหตุของ resonance ที่ไปกระเทือนแผงวงจรอิเล็กทรอนิคที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำและตัดกับสนามแม่เหล็กที่อยู่รอบๆ ตัวนำที่มีกระแสไฟไหลผ่าน และสนามแม่เหล็กที่แผ่ออกมาจากทรานฟอเมอร์ เกิดเป็นสัญญาณรบกวน (noise) รูปแบบหนึ่ง เดินทางไปกับสาย LAN และรั่วไหลไปถึงอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นอื่นๆ ในซิสเต็ม
หน้าตาของ SW-8 ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย มันเรียบง่ายมาก ทุกสิ่งอย่างถูกผนึกไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่องทั้งหมด ตรงกลางของแผงหน้าที่มีความสูงเพียงแค่ 4 ซ.ม. มีไฟ LED สีฟ้าดวงเล็กๆ อยู่แค่ดวงเดียวที่จะทำหน้าที่ติดสว่างขึ้นมาเพื่อบอกให้รู้ว่าเครื่องอยู่ในสภาวะพร้อมทำงานเมื่อคุณสับเมนสวิทช์ที่แผงด้านหลังไปที่ตำแหน่งเปิด (On = I) และไฟดวงนี้จะดับมืดลงเมื่อคุณสับสวิทช์ไปที่ตำแหน่ง Off (O)
ที่แผงด้านหลังคุณจะพบช่องเสียบสาย LAN (Ethernet) เรียงรายอยู่ทั้งหมด 8 ช่อง แยกเป็นสองแพ็คๆ ละ 4 ช่อง นอกนั้นก็มีาสวิทช์เพาเวอร์สำหรับกดเปิด (I) และปิด (O) เครื่อง ติดกันคือเต้ารับหัวปลั๊กขอสายไฟเอซี ซึ่งให้เป็นเต้ารับแบบสามขาแยกกราวนด์ตามมาตรฐาน IEC แนะนำว่าให้ใช้หัวปลั๊กสายไฟเอซีที่มีการต่อสายกราวนด์ไว้ครบ เพราะอุปกรณ์ตัวนี้ (รวมถึงทุกยี่ห้อ) ค่อนข้างอ่อนไหวกับ ground เป็นพิเศษ
ดีไซน์ภายใน : ภาคจ่ายไฟ
ตัวถังของ SW-8 มีขนาดใหญ่กว่าแผ่นซีดีเกือบๆ สองเท่า ซึ่งใหญ่กว่าตัวถังของ network switch 8 port ตัวเล็กๆ ที่ใช้ในวงการไอทีมาก สาเหตุก็เพราะว่าผู้ผลิตเขาเอาภาคจ่ายไฟแบบ Linear Power Supply เข้าไปฝังอยู่ในตัวถังเดียวกันนั่นเอง ไม่ได้ใช้ภาคจ่ายไฟแบบสวิทชิ่งที่แยกออกมาเป็นอะแด๊ปเตอร์ตัวเล็กๆ เหมือนเน็ทเวิร์ค สวิทช์ราคาถูกทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่า ทำไปแบบนั้นก็เพื่อคุณภาพเสียงล้วนๆ เพราะปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายมากขึ้นว่า ภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ฯ มีส่วนทำให้ได้เสียงที่ดีกว่าภาคจ่ายไฟแบบสวิทชิ่ง (ที่ออกแบบไม่ดี)
พวกเขาใช้ทรานฟอเมอร์ของ Talema ในภาคจ่ายไฟหลักสำหรับแปลงไฟ AC แรงดันสูงให้ลงมาอยู่ในระดับ 5.0VA ก่อนป้อนให้กับภาคเรคติฟายเพื่อแปลงไฟ AC ให้เป็น DC ซึ่งผู้ผลิตเลือกใช้ภาคเรคติฟายแบบไฮสปีด เพื่อให้ไฟดีซีที่ส่งไปเลี้ยงการทำงานของวงจรมีความไหลลื่นและต่อเนื่องมากที่สุด เนื่องจาก SW-8 ออกแบบภาคเรกูเลเตอร์ที่ใช้ควบคุมกระแสไฟ DC เป็นแบบ LDO Regulator หรือ ‘Low Drop Out’ Regulator เพื่อให้เป็นการจ่ายไฟเลี้ยงแบบลิเนียร์สมชื่อให้มากที่สุด
อ้อ… ลืมพูดถึงไปอย่างหนึ่ง ก่อนที่ไฟเอซีจากภายนอกจะผ่านเข้ามาถึงหม้อแปลง พวกเขายังได้ออกแบบ noise filter เข้ามาดักหน้าไว้ด้วย ซึ่งฟิลเตอร์ตัวนี้จะช่วยกรองคลื่น EMI ที่เป็นสาเหตุของสัญญาณรบกวนออกไปจากไฟเอซีก่อนจะผ่านเข้าสู่หม้อแปลง Talema เพื่อให้มั่นใจว่าไฟเอซีที่จะนำไปแปลงเป็นไฟดีซีใช้เลี้ยงวงจรมีความสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ
ดีไซน์ภายใน : ภาค Clock
LHY Audio เอาฮาร์ดแวร์ที่เป็นช่องเสียบสาย LAN (port Ethernet) ของยี่ห้อ Linksys รุ่น LGS108 ซึ่งเป็น gigabit switch ระดับ business portable network switch มาทำการโมดิฟาย ปรับปรุงในจุดที่พวกเขามองว่าส่งผลกับคุณภาพของสัญญาณเสียง นั่นคือ เปลี่ยนตัวถัง, เปลี่ยนระบบ Clock และเสริมด้วยภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ฯ เข้าไป
ภาค Clock ที่เปลี่ยนเข้าไปแทนตัวเดิมเป็นแบบ OCXO (Oven Controlled Crystal Oscillator) ที่มีความแม่นยำมากกว่า ใช้ไฟเลี้ยงจากภาคเรกูเลเตอร์ LDO ที่มีปริมาณ noise ต่ำมากๆ
ทดสอบฟังเสียง
ผมทำการเซ็ตอัพซิสเต็มที่ใช้ทดสอบ SW-8 ให้มีความเรียบง่ายมากที่สุด เริ่มด้วยใช้ Roon nucleus+ (REVIEW) ของผมเป็นตัวเล่นไฟล์เพลง จับคู่กับ all-in-one ของ Boulder รุ่น 866 ที่มีสตรีมเมอร์และ DAC ในตัว ทำหน้าที่เป็นทั้ง Source และแอมป์ โดยขับลำโพงตั้งพื้นของ Audio Physic รุ่น Classic 8 ผ่านสายลำโพง Kimber Kable รุ่น 12TC (REVIEW)
ตอนทดลองฟังเสียงของ SW-8 ผมทำการปลด network switch ตัวอื่นๆ ในระบบเล่นไฟล์ของผมออกไปทั้งหมด จากนั้นก็ลองฟังเพลงที่เตรียมไว้ทดสอบโดยไม่มีเน็ทเวิร์ค สวิทช์อยู่ในระบบเพลย์แบ็คเลย (ทุกชิ้นต่อตรงเข้าสู่ router)
ทดลองฟังรูปแบบที่ 1
การทดลองฟังขั้นตอนแรก ผมเอา SW-8 เข้าไปติดตั้งในระบบ โดยเสียบ NAS, Roon nucleus+ และ Boulder 866 เข้ากับ SW-8 ทั้งสามชิ้น แล้วเชื่อมต่อ SW-8 เข้ากับ router จากนั้นก็เริ่มต้นทดลองฟังเพลงที่เตรียมไว้ จดสิ่งที่ได้ยินไว้
ทดลองฟังรูปแบบที่ 2
ผมทดลองปลด NAS ออกจาก SW-8 ย้ายไปเสียบเข้า router ส่วน Roon nucleus+ และ Boulder 866 ยังคงเชื่อมต่อกับ SW-8 ทั้งสองชิ้น จากนั้นก็เริ่มต้นย้อนฟังเพลงที่เตรียมไว้อีกรอบ จดสิ่งที่ได้ยินไว้
ทดลองฟังรูปแบบที่ 3
ทดลองย้าย Roon nucleus+ จาก SW-8 ไปต่อเชื่อมเข้าที่ router อีกตัว เท่ากับว่าตอนนี้ ตัว NAS และ Roon nucleus+ เชื่อมต่ออยู่กับ router เหลือแต่ Boulder 866 ตัวเดียวที่เชื่อมต่ออยู่กับ SW-8 จากนั้นก็เริ่มต้นฟังเพลงที่เตรียมไว้อีกรอบ จดเก็บสิ่งที่ได้ยินเอาไว้
ทดลองฟังรูปแบบที่ 4
เงื่อนไขต่อไป ผมย้าย Roon nucleus+ กลับมาเสียบผ่าน SW-8 แล้วสลับเอา Boulder 866 ไปเสียบต่อเข้า router ให้ SW-8 รับมือกับ Roon nucleus+ ตัวเดียว จากนั้นก็เริ่มต้นฟังเพลงที่เตรียมไว้อีกรอบ จดสิ่งที่ได้ยินไว้
ทดลองฟังรูปแบบที่ 5
เงื่อนไขสุดท้าย ผมย้าย Roon nucleus+ ไปเสียบตรงเข้า router แล้วย้าย NAS จากที่ต่อกับ router มาต่อผ่าน SW-8 เพื่อให้ SW-8 รับภาระจัดการกับ NAS ตัวเดียวไปเลย ต่อเสร็จก็ลองฟังเพลงที่เตรียมไว้อีกรอบ จดสิ่งที่ได้ยินเอาไว้
* จากการทดลองเสียบสลับกันแบบนี้ ผมพบว่า ทุกครั้งที่ปรับเปลี่ยนการเชื่อมต่อกับตัว network switch และ router ต้องเปิดเพลงฟังไปสัก 4-5 นาที เสียงถึงจะเข้าที่ ช่วงนาทีแรกๆ เสียงจะยังไม่เข้าที่ เดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของ clock
สรุปเสียงของ SW-8
จากเงื่อนไขการทดลองใช้งาน SW-8 ในลักษณะต่างๆ ภายในซิสเต็มเล่นไฟล์ของผม ในเบื้องต้นผมพบว่า การเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายชิ้นเข้าไปที่ตัว SW-8 มันทำให้เสียงโดยรวมแย่ลง มีลักษณะที่อับทึบลง ความโปร่งโล่งแย่ลง เปอร์เซ็นต์อาจจะไม่มากนักแต่สามารถรับรู้ได้ไม่ยาก
ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ SW-8 เข้ากับซิสเต็มสตรีมมิ่งของผมในลักษณะไหนทั้ง 5 รูปแบบข้างต้น ผมพบว่า มันมีผลทำให้เสียงโดยรวมมีความสะอาดมากกว่าตอนที่ไม่มีอุปกรณ์ network switch อยู่ในระบบเลย แต่ในขณะเดียวกัน ผมพบด้วยว่า การเชื่อมต่อ SW-8 แต่ละรูปแบบในซิสเต็มของผม มันส่งผลต่อเสียงโดยรวมที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าผลที่เกิดขึ้นกับเสียงของซิสเต็มจะเป็นไปใน “ทิศทางเดียวกัน” ก็ตาม
ผมขออนุญาตใช้รูปภาพสองภาพด้านบนประกอบการอธิบายเกี่ยวกับผลของ SW-8 ที่เกิดขึ้นกับเสียงของซิสเต็มที่ใช้ทดสอบ โดยที่ภาพ A ด้านบนนั้นแทนลักษณะเสียงของซิสเต็มตอนที่ “ไม่มี” เน็ทเวิร์ค สวิทช์อยู่ในซิสเต็มเลย ส่วนภาพล่างแทนลักษณะเสียงของซิสเต็มหลังจากที่ติดตั้ง SW-8 เข้าไปในระบบ ซึ่งสิ่งที่เห็นในภาพ B อธิบายถึงสิ่งที่หูได้ยินหลังจากเอา SW-8 เข้าไปในระบบ นั่นคือผมรู้สึกว่า เสียงโดยรวมของซิสเต็ม “ลด” ความสว่างโพลนลงไปนิดนึง อารมณ์แรกคล้ายกับเสียง “ทึบลง” กว่าตอนไม่มีตัว SW-8 และรู้สึกว่าเสียงเบาลงนิดนึงด้วย แต่เมื่อลองฟังไปหลายๆ เพลงและสลับเอา SW-8 เข้าและออกจากซิสเต็ม ฟังสลับไป–มาจนเริ่มชิน ผมพบว่า เมื่อมีตัว SW-8 เข้าไปอยู่ในซิสเต็ม ผมสามารถโฟกัสเสียงโน๊ตดนตรีที่อยู่ในย่านแหลมได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงไวโอลิน, กีต้าร์, เพอร์คัสชั่นโลหะ ฯลฯ จะรับรู้ถึงความเป็นตัวตนมากกว่า โฟกัสของแต่ละชิ้นจะแยกออกจากกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะในขณะที่มีเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ในย่านเสียงแหลมเล่นพร้อมกันมากกว่าหนึ่งตัว
พอเริ่มชินหู ผมพบว่า เมื่อเสริม SW-8 เข้าไปในซิสเต็ม อาการที่รู้สึกว่าเหมือนเสียงจะทึบลงนั้น จริงๆ แล้วมันเกิดจากอาการ “เน้น” ที่ปลายเสียงแหลมมันลดลงไปมากกว่า อย่างเสียงเครื่องเคาะโลหะจะจับได้ชัดว่ามันมีตัวเสียงที่คมชัดมากกว่า ในขณะที่ปลายเสียงที่แผ่กังวานออกไปจากตัวเสียงมันลดอาการฟุ้งลงไป และลดอาการพร่าๆ ลงไปด้วย ซึ่งอาการแหลมฟุ้งๆ พร่าๆ นี่เองที่ทำให้โทนเสียงตอนไม่มีตัว SW-8 มันฟังดูว่าสว่างกว่า ทว่า จริงๆ แล้วมันโพลนขึ้นมาเกินไปมากกว่า
เมื่อเอา SW-8 เข้าไปติดตั้งในระบบ มันมีแนวโน้มที่ทำให้เสียงของระบบ (ชุดเครื่องเสียง) มีลักษณะที่หม่นลง ซึ่งปริมาณความหม่นของเสียงจะมาก–น้อยต่างกันไปตามจำนวนของอุปกรณ์ที่เสียบลงไปบนตัว SW-8 เมื่อทดลองเสียบทั้ง NAS, Roon nucleus+ และ Boulder 866 เข้าไปที่ SW-8 ทั้งสามชิ้น ผมพบว่า เสียงโดยรวมหม่นลงไปมากกว่าตอนเสียบแค่ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง คือเสียบสองชิ้นก็หม่นน้อยลง และเสียบชิ้นเดียวหม่นน้อยสุด จากการทดลองฟังเทียบ โดยส่วนตัวผมชอบเสียงตอนที่เสียบเฉพาะตัว Roon nucleus+ (รูปแบบที่ 4) กับตอนที่เสียบตัว Roon nucleus+ และตัว Boulder 866 พร้อมกัน (รูปแบบที่ 2) ผมว่ามันให้ค่าเฉลี่ยระหว่างความสะอาดของพื้นเสียงกับอาการหม่นของเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ที่ผมพอใจ ส่วนขั้นตอนแรกที่เสียบทั้งสามชิ้น (NAS, Roon nucleus+ และ Boulder 866) ผมไม่ชอบเสียงเลย ผมว่ามันหม่นไป ขาดความสดใส ปลายเสียงแหลมไม่เป็นประกาย ส่วนการลองฟัง รูปแบบที่ 5 ที่เสียบ NAS ผ่าน SW-8 ตัวเดียวก็ออกมาไม่ดีเลย ไทมิ่งแย่ เสียงแหลมฟุ้งๆ คือโดยรวมแล้วดีกว่าไม่ใช้ SW-8 นิดเดียวเอง
เทียบกับ Ediscreation รุ่น Silent Switch OCXO กับ Nordost รุ่น QNET
อดไม่ได้ที่จะลองฟังเทียบกับ network switch อีกสองตัวที่ผมเพิ่งจะทดสอบไปไม่นาน คือรุ่น Silent Switch OCXO ของแบรนด์ Ediscreation (REVIEW) กับรุ่น QNET ของแบรนด์ Nordost (REVIEW) หลังจากสลับฟังหลายรอบจนเริ่มมึน ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก กล่าวคือ ผบพบว่า network switch ทั้งสามตัวทำให้เสียงของซิสเต็มมีความสงัดและให้พื้นเสียงที่สะอาดไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะติดตั้งตัวใดตัวหนึ่งลงไปในซิสเต็มนี้ มันก็ทำให้เสียงสะอาดจนสามารถรับรู้ได้ถึงรายละเอียดเสียงที่ชัดเจนมากขึ้น แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เน็ทเวิร์ค สวิทช์ทั้งสามตัวนี้แสดงผลออกมาต่างกัน
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ผมขออนุญาตเอาภาพเทียนมาประกอบการอธิบายอีกที คราวนี้เพิ่มเป็นสามภาพคือ A, B และ C โดยที่ภาพ A นั้นแทนลักษณะเสียงของชุดเครื่องเสียงตอนที่ “ไม่มี” network switch ติดตั้งอยู่ในระบบเลย ส่วนภาพ B นั้นคือลักษณะเสียงของซิสเต็มตอนที่เอาตัว SW-8 เข้าไปติดตั้ง ส่วนภาพ C นั้นคือตอนที่เอาตัว QNET ของ Nordost เข้าไปติดตั้ง ซึ่งตอนเทียบ SW-8 กับ QNET ผมพบว่า QNET ช่วยทำให้พื้นเสียงมีลักษณะที่สะอาด ใสและทะลุลงไปถึงด้านหลังของเวทีเสียง โดยไม่ทำให้เสียงมีลักษณะหม่น ผมพบว่าเสียงในย่านแหลมยังคงใสและเปิดกระจ่าง ไม่อึมครึม ส่วนตัว Silent Switch OCXO ของ Ediscreation ให้ผลทางเสียงออกมาทางเดียวกับ QNET คือไม่ได้ทำให้เสียงแหลมหม่นเหมือนตัว SW-8 แต่ก็ไม่ได้เปิดกระจ่างมากเท่ากับ QNET
ถ้าคุณมองดูภาพ B เทียบกับ C จะพบว่า ทั้ง B และ C ควบคุมจุดสว่าง (เปลวเทียน) ไว้ได้ดีกว่าภาพ A ที่ไม่มี network switch อยู่ในระบบ ซึ่งตรงจุดพีคของภาพ (แทน “ความถี่สูง” ของเสียงในระบบ) จะมีลักษณะโพลนจนสูญเสียรายละเอียดไป ซึ่งอาการสว่างโพลน หรืออาการ clip ในย่านเสียงแหลม ก็คือผลที่เกิดจาก noise ในระบบเน็ทเวิร์คนั่นเอง นั่นแสดงว่า SW-8, Silent Switch OCXO และ QNET ต่างก็มีส่วนช่วยขจัด noise ออกไปจากระบบเน็ทเวิร์คได้ทั้งสามตัว ส่วนที่ต่างกันก็อยู่ที่ “ประสิทธิภาพ” กับ “ผลข้างเคียง” ในแง่ของโทนเสียงที่เกิดขึ้น
สรุป
ต้องยอมรับว่าน่าทึ่งมาก.. หลังจากเทียบกันแล้ว พบว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ทั้งสามตัวนี้ต่างก็มีประสิทธิภาพในการขจัดสัญญาณรบกวนออกไปจากระบบเน็ทเวิร์คอย่างได้ผล ซึ่งคงจะเป็นเพราะมันทั้งสามถูกออกแบบมาด้วยพื้นฐานที่ไปในทางเดียวกัน อย่างเช่น ใช้ตัวถังที่ดีกว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ทั่วไป, ใช้ระบบ clock ที่ดีกว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ทั่วไป, มีการใช้ภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ฯ (ตัว QNET ใช้ภาคจ่ายไฟจากตัว QSource ร่วมกับ Roon nucleus+) ส่วนจุดที่ทำให้เสียงของ SW-8 ไม่เปิดกระจ่างไปในทิศทางเดียวกับตัว Silent Switch OCXO และ QNET น่าจะเป็นเรื่องของช่องเสียบสาย Ethernet ที่ตัว Silent Switch OCXO กับ QNET ไม่ได้ใช้ฮาร์ดแวร์ของตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์มาตรฐานไอทีมาโมดิฟายเหมือนตัว SW-8 แต่ทั้งตัว Silent Switch OCXO และ QNET ใช้วิธีออกแบบขึ้นมาใหม่เลย โดยเฉพาะ QNET ที่มีเทคนิคพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายอย่าง จึงทำให้เสียงที่ได้จากตัว QNET มีความโดดเด่นมากที่สุด
อย่างไรก็ดี ตัวแปรที่ต้องนำมาพิจารณาไปด้วยก็คือ ราคาขาย ซึ่งตัว QNET นั้นเป็นตัวที่ให้เสียงดีที่สุดที่ผมเคยฟังอุปกรณ์ประเภทนี้มา แต่มันก็มีราคาสูงที่สุดในจำนวนสามตัวนี้เช่นกัน ในขณะที่ตัว Silent Switch OCXO ให้โทนเสียงออกไปทางเดียวกับ QNET คือให้เสียงที่เปิดกระจ่าง แต่ก็ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดในย่านสูงออกมาได้สุดๆ เหมือนกับตัว QNET ราคาของตัว Silent Switch OCXO สูงกว่า SW-8 อยู่พอสมควร ถือว่าทั้งสามตัวนี้จัดอยู่ในคนละระดับราคากัน ณ จุดนี้สามารถสรุปได้ว่า “คุณภาพ” กับ “ราคา” ยังสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนในแง่ของ “โทนเสียง” อันนี้ต้องแล้วแต่รสนิยม ถ้าชอบโทนเสียงที่ออกไปทางเปิดกระจ่าง สด กังวาน แนะนำให้มองไปทาง Ediscreation กับ Nordost แต่ถ้าชอบโทนเสียงออกไปทางนุ่มละมุน ติด dark นิดๆ ตัว LHY Audio SW-8 ตัวนี้จะเข้าทางที่สุด.!
จากการทดสอบครั้งนี้ทำให้ทราบว่า ตัวแปรอื่นๆ อาทิ สาย LAN และสายไฟเอซี รวมถึงภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ ล้วนส่งผลกับเสียงของตัว network switch ทั้งสิ้น สามารถใช้ร่วมกับตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์เพื่อปรับจูนเสียงได้ระดับหนึ่ง ใครที่ต้องการนำเอาอุปกรณ์ประเภท network switch ไปใช้ในระบบสตรีมมิ่งของคุณ แนะนำให้หาโอกาสทดลองฟังดูก่อนถ้าสามารถทำได้ และควรเลือกตัวที่มีราคาเหมาะสมกับซิสเต็มด้วย เพราะถึงแม้ว่าตัว network switch จะช่วยลด noise ให้กับระบบสตรีมมิ่งได้ก็จริง แต่มันก็อยู่ในกลุ่มของ accessories หรืออุปกรณ์เสริม ซึ่งเปอร์เซ็นต์ของผลลัพธ์ที่มันให้ออกมาจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของอุปกรณ์หลักในระบบสตรีมมิ่งที่เราใช้เป็นสำคัญ
เน็ทเวิร์ค สวิทช์ราคาสูงๆ ไม่ได้ช่วยทำให้สตรีมเมอร์ราคาถูกให้เสียงออกมาดีเท่ากับสตรีมเมอร์ราคาสูงๆ ควรพิจารณาลงทุนกับสตรีมเมอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่งบประมาณจะรับได้ก่อน จากนั้นค่อยมาพิจารณาหาตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่เหมาะสมกันไปใช้เสริมคุณภาพของระบบต่อไป /
**************************
ราคา : 24,000 บาท / เครื่อง
**************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
TAV Audio
โทร. 098-554-2561 (คุณวี)
facebook.com/tavaudio
LINE ID: @tavaudio