“หูฟังไร้สาย” เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ประเภทหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ในโลกต้องการ ซึ่งการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของหูฟังไร้สายในปัจจุบัน (และเชื่อว่าในอนาคตต่อไป) จะอาศัยสมองกลที่เรียกว่า DSP เข้ามาใช้ในการพัฒนาฟังท์ชั่นพิเศษต่างๆ เสริมเข้ามา
Sony WH-1000XM4
– หูฟังไร้สายยอดฮิต เจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Sony
ต้นกำเนิดของ WH-1000XM4 คือหูฟัง Headset รุ่น MDR-1000X ที่ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2017 ซึ่งเป็นครั้งแรกของ Sony ที่มีเทคโนโลยี Active Noise Cancelling ติดตั้งมาด้วย และเนื่องจากเทคโนโลยี Noise Cancelling ที่ Sony คิดค้นขึ้นมาใช้กับ MDR-1000X มีประสิทธิภาพล้ำหน้าคู่แข่งในเวลานั้นที่มีอยู่ทั้งหมด นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ MDR-1000X ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้รับคำชมจากสื่อและผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ทำยอดการจำหน่ายได้ถล่มทลาย จากนั้นเป็นต้นมา ทาง Sony ก็เร่งพัฒนาหูฟังรุ่นนี้ต่อเนื่องมา โดยทำการเปลี่ยนรหัสนำชื่อรุ่นจาก “MDR” (Micro Dynamic Receiver) มาเป็น “WH” คือ “Wireless Headset” ในเจนเนอเรชั่นที่สอง เพื่อให้ตรงกับแคตากอรี่ของสินค้า ชื่อรุ่นจึงเปลี่ยนมาเป็น WH-1000XM2ในปี 2018 และ WH-1000XM3 เรื่อยมาจนมาถึง WH-1000XM4 เจนเนอเรชั่นล่าสุดที่ผมกำลังพูดถึงตัวนี้
รูปร่างหน้าตาภายนอกยังคงภาพลักษณ์เหมือนกับรุ่น MDR-1000X ซึ่งเป็นต้นกำเนิดเกือบทั้งหมด ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่มีในเจนเนอเรชั่นต่อๆ มาเกิดขึ้นในจุดเล็กจุดน้อยซะมากกว่า ตัว WH-1000XM4 ตัวนี้ก็เช่นกัน จากที่ผมดูในรูป พบว่ารุ่น WH-1000XM3 กับ WH-1000XM4 เหมือนกันมาก แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย
มาในกระเป๋าสวยหรู
บรรจุภัณฑ์ที่ใส่หูฟังตัวนี้เป็นกล่องกระดาษสองชั้น ชั้นนอกเป็นปลอกสีขาว ส่วนชั้นในเป็นกล่องสีดำทำด้วยกระดาษแข็งสอดซ้อนกันมา ในกล่องชั้นในสีดำนั้นบรรจุกล่องใส่หูฟังสำหรับพกพาพร้อมสมุดคู่มือการใช้งาน
ตัวหูฟัง WH-1000XM4 ถูกบรรจุมาในกล่องสำหรับพกพาอีกชั้นหนึ่ง ตัวกล่องพกพามีลักษณะกลมรี ตัวกล่องทำด้วยพลาสติกแข็งเย็บหุ้มด้วยผ้าสีโทนเดียวกับตัวหูฟัง ซึ่งตัวที่ผมได้รับมาทดสอบตัวนี้เป็นสีเทาอมน้ำตาลอ่อนๆ (อีกสีคือสีดำ) ขนาดกล่องมีความ กว้าง 17 ซ.ม. x ยาว 22 ซ.ม. และ หนา 6 ซ.ม. มีซิปสีทองพิมพ์ชื่อ Sony สำหรับรูดเปิด/ปิด มีหูหิ้วทำด้วยผ้าสำหรับหิ้วหรือร้อยเข้ากับเข็มขัด ดูหรูและมีราคา (สีนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงนะ)
บนตัวกล่องพกพาด้านหนึ่งมีผ้าตาข่ายเย็บเป็นถุงสำหรับใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วย อย่างเช่นสายชาร์จฯ
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
ที่ก้านหูฟังทั้งสองข้างมีกลไกที่ทำเป็นก้านพับมาให้ สามารถพับบอดี้ของหูฟังทั้งสองข้างให้งุ้มเข้าหากัน ช่วยลดขนาดให้เล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ สามารถพับแล้วบิดให้มีลักษณะลงตัวกับพื้นที่ภายในกล่องได้พอดี แถมยังมีช่องว่างเหลือให้ใส่อุปกรณ์เสริมอีก 2-3 รายการมาด้วย
ชาร์จไฟแบตเตอรี่
อันนี้เป็นสาย USB-C > USB-A สำหรับใช้เสียบชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวหูฟังที่แถมมาในกล่องพกพา สามารถชาร์จผ่านช่อง USB ของคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จผ่าน USB เอซี อะแด๊ปเตอร์ที่มีเอ๊าต์พุตตั้งแต่ 1.5A ขึ้นไปก็ได้ (ไม่มีแถมมาให้) ขณะชาร์จไฟ ฟังท์ชั่น Noise Cancelling กับการเชื่อมต่อ Bluetooth จะไม่สามารถใช้งานได้
ช่องเสียบ USB-C สำหรับชาร์จไฟฝังอยู่บนหูฟังข้างขวา และมีไฟ LED สีแดงอยู่ข้างๆ หนึ่งดวง เมื่อเริ่มชาร์จไฟดวงนี้จะสว่างเป็นสีแดง ใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมงจึงเต็ม เมื่อชาร์จเต็มแล้วไฟ LED จะดับลง ถ้าคุณชาร์จไฟไปด้วยฟังเพลงไปด้วย จะใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง (อาจจะถึง 5 ชั่วโมง) เมื่อชาร์จไฟแบตเตอรี่เต็มแล้ว คุณจะสามารถใช้ฟังเพลงได้นานถึง 30 ชั่วโมง โดยเปิดใช้ฟังท์ชั่น Noise Cancelling ไปด้วย (ถ้าไม่ใช้ฟังท์ชั่น NC จะใช้ฟังเพลงได้นานถึง 38 ชั่วโมง) แต่ถ้าฟังเพลงไปพร้อมเปิดใช้งานโหมด Ambient Sound จะใช้งานได้สูงสุด 22 ชั่วโมง
เมื่อแบตเตอรี่หมด คุณสามารถใช้งาน WH-1000XM4 ในลักษณะของ passive Headphone ได้ด้วยการใช้สายสัญญาณอะนาลอกที่แถมมาให้ (ยาวประมาณ 1.20 เมตร) เสียบเข้าที่ช่องหูฟังด้วยแจ็ค mini 3.5 mm ซึ่งการใช้งานตัว WH-1000XM4 ในลักษณะที่เป็นพาสซีฟแท้ๆ คือไม่กดสวิทช์เปิดตัวหูฟังไปด้วย อิมพีแดนซ์ของตัว WH-1000XM4 จะอยู่ที่ 16 โอห์ม แต่ถ้าใช้อินพุตจากสายหูฟังเข้าทางช่อง mini 3.5 mm แล้วกดสวิทช์เปิดตัวหูฟังเพื่อใช้งานฟังท์ชั่น NC และ Ambient Sound ไปด้วยขณะฟังเพลง อิมพีแดนซ์ของตัว WH-1000XM4 จะขยับขึ้นไปเป็น 40 โอห์ม กินกำลังเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ทดลองกับเครื่องเล่นไฟล์เพลงรุ่นเล็กๆ อย่าง A100TPS ก็ขับออกเหลือเฟือ เสียงดีด้วย โดยเฉพาะเมื่อเล่นไฟล์ DSD เพราะถ้าใช้งานหูฟังตัวนี้ในลักษณะที่เป็นพาสซีฟคือต่อด้วยสายสัญญาณ ตัวหูฟังจะให้ช่วงการตอบสนองความถี่ที่กว้างมากคือตั้งแต่ 4Hz – 40,000Hz (เปิดฟังท์ชั่น NC และ Ambient Sound) รองรับการเล่นไฟล์เพลงไฮเรซฯ ได้เต็มๆ สเปคฯ
อุปกรณ์เสริมชิ้นที่สามที่แถมมาให้ในกล่องก็คือ อะแด๊ปเตอร์สำหรับใช้กับระบบเสียงบนเครื่องบิน
ฟังท์ชั่นการใช้งานบนตัวหูฟัง
Sony คิดค้นฟังท์ชั่นใหม่ๆ ขึ้นมาใช้กับหูฟังรุ่น WH-1000XM4 เยอะมาก ซึ่งทั้งหมดนั้นอิงอยู่กับเทคโนโลยี “Active Noise Cancelling” กับ “Ambient Sound Control” ทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนๆ ไปดูกันว่าในตัว WH-1000XM4 มีฟังท์ชั่นอะไรเด่นๆ บ้าง
- Adaptive Sound Control with Location Recognition
โซนี่พัฒนาชิป DSP ที่ชื่อว่า HD Noise Cancelling Processor “QN1” ขึ้นมาเพื่อจัดการกับฟังท์ชั่นตัดเสียงรบกวนที่สามารถปรับการทำงานให้สอดคล้องไปกับสถานที่และลักษณะการเคลื่อนที่ของเราได้โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย อย่างเช่น ขณะที่เรานั่งอยู่กับที่ ระบบ AI ในตัวหูฟังจะทำการปิด Noise Cancelling และเปิดไมโครโฟนรับเสียงจากภายนอกเบาๆ, เมื่อเราลุกขึ้นเดิน ระบบก็จะยังคงปิดการทำงานของ Noise Cancelling และเปิดไมโครโฟนให้เราได้ยินเสียงจากภายนอกมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยขณะเดิน และเมื่อเราก้าวขึ้นบนรถโดยสาร ระบบจะทำการเปิด Noise Cancelling ขึ้นมาเพื่อลดเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ และปิดไมโครโฟนไม่รับเสียงจากภายนอกเข้ามา
เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ระบบ AI ในตัวหูฟังจะเริ่มเรียนรู้พฤติกรรมของเจ้าของผู้ใช้งานมัน และทำการปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานของตัวหูฟังไปตามพฤติกรรม และตำแหน่งของสถานที่ผู้ใช้งานหูฟังทำอยู่เป็นประจำโดยอัตโนมัติ นี่คือความสามารถที่น่าทึ่งของหูฟังตัวนี้
- Wearing Detection
ภายใน earcup ของหูข้างซ้ายจะมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับว่าเรากำลังใส่หูฟังอยู่บนศีรษะ หรือถอดหูฟังออก (เซ็นเซอร์ด้วยแสง) ขณะที่เรากำลังฟังเพลงผ่านหูฟังอยู่นั้น ถ้าระบบเซ็นเซอร์ตรวจพบว่า เราถอดหูฟังออก ระบบจะทำการหยุดเล่นเพลงอัตโนมัติ และเมื่อไรที่เราสวมหูฟังกลับเข้ามา เสียงเพลงก็จะถูกเล่นต่อจากตำแหน่งที่หยุดเล่นโดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องสั่งการใดๆ ที่ตัวหูฟังและไม่จำเป็นต้องแตะต้องที่ตัวสมาร์ทโฟนด้วย
- Speak-to-Chat & Quick Attention
ในรุ่น WH-1000XM3 นั้น ขณะใส่หูฟัง ถ้าเราต้องการสนทนากับคนอื่นโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก สามารถทำได้โดยการใช้มือแตะที่แป้นสัมผัสบนตัวหูฟังข้างซ้ายค้างไว้ ระบบออโต้บนตัวหูฟังจะทำการหยุดเล่นเพลงแล้วเปิดไมโครโฟนรับเสียงจากภายนอกโดยอัตโนมัติ และเมื่อเราสนทนาจบแล้ว เมื่อยกมือที่แตะบนบอดี้หูฟังข้างซ้ายออก เสียงเพลงก็จะกลับมาเล่นต่อจากตำแหน่งที่หยุดลงก่อนหน้า และระบบ Noise Cancelling ก็จะกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติ
แต่ในรุ่น WH-1000XM4 ฟังท์ชั่นนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นฟังท์ชั่นที่ชื่อว่า “Speak-to-Chat” ที่มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น คือขณะสวมหูฟังและเปิดเพลงฟังอยู่ เมื่อคุณต้องการสนทนากับใครแต่ไม่สามารถใช้มือแตะที่ตัวหูฟังเพื่อหยุดการเล่นเพลงได้ สำหรับรุ่น WH-1000XM4 คุณสามารถส่งเสียงพูดออกไปได้เลย โดยไม่ต้องใช้มือแตะที่บอดี้ของหูฟังข้างซ้าย ไมโครโฟนที่อยู่บนตัวหูฟังจะตรวจจับเสียงของคุณแล้วสั่งการให้หยุดเล่นเพลง > เปิดไมโครโฟนรับเสียงจากภายนอกเองโดยอัตโนมัติ และถ้าคุณต้องการโฟกัสกับการสนทนาที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอาจจะในสภาวะที่มีเสียงรบกวนรอบข้างเยอะ คุณสามารถใช้มือแตะบนตัวหูฟังเพื่อสั่งให้ตัวหูฟังปรับลดเสียงรอบข้างลงไปอีกได้ เรียกว่าฟังท์ชั่น Quick Attention ..!!!
- ระบบเสียง DSEE Extreme
ไดเวอร์ที่ใช้ในหูฟัง WH-1000XM4 เป็นไดเวอร์แบบไดนามิกที่ใช้ไดอะแฟรมขนาด 40 mm ที่อัดขึ้นรูปด้วยวัสดุโพลีเมอร์ LCP (Liquid Crystal Polymer) ส่วนตัว voice coil ที่รองรับพลังจากแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมในการขับดันไดอะแฟรมทำด้วยลวดทองแดงหุ้มอะลูมิเนียม (CCAW = Copper-Clad Aluminium Wire) สามารถทำความดังสูงสุดได้ถึง 105dB และมีเร้นจ์ในการตอบสนองความถี่เสียงได้กว้างมาก คือตั้งแต่ 4Hz – 40kHz กว้างสุดตามสเปคฯ ของมาตรฐาน Hi-Res Audio
และที่พิเศษสำหรับรุ่น WH-1000XM4 ตัวนี้ก็คือได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเสียง DSEE HX ในรุ่นก่อนขึ้นมาอีกขั้น กลายเป็น “DSEE Extreme” ซึ่งทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ Edge-AI โดยมีหน้าที่ในการชดเชยรายละเอียดของเสียงที่หายไปจากการบีบอัดและส่งผ่านทาง Bluetooth ให้กลับมาเป็นสัญญาณเสียง Hi-Res ที่มีความชัดเจนใกล้เคียงต้นฉบับไฮเรซฯ มากที่สุด โดยที่ Edge-AI จะทำการวิเคราะห์สัญญาณเสียงแบบเรียลไทม์ อ้างอิงกับเสียงเครื่องดนตรี, เสียงร้อง และท่วงทำนองไปพร้อมๆ กัน
นอกจากนั้น วิศวกรของ Sony ยังได้ทำการเพิ่มความชัดเจนในการรับสายสนทนาให้กับ WH-1000XM4 ด้วยการติดตั้งไมโครโฟนจำนวน 5 ตัว ไว้รับเสียงพูดของผู้สวมใส่ขณะสนทนาทางโทรศัพท์ เพื่อให้คู่สนทนาที่ปลายทางได้ยินเสียงของผู้สวมใส่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ข้อนี้ดีกว่ารุ่นเก่ามากจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้สวมใส่ไปอยู่ในสภาวะที่มีเสียงรอบข้างค่อนข้างดัง นอกจากนั้น WH-1000XM4 ยังถูกพัฒนาให้มีความสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้ 2 ตัวพร้อมกัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของ Google “Fast Pair” (สัมพันธ์กับแอพ Headphone Connect อาจต้องอัพเดตเฟิร์มแงร์ของแอพฯ ด้วย) และหูฟังตัวนี้ยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงตามมาตรฐานของ Alexa และ Google Assistant ได้ด้วย
ยังไม่หมด ความสามารถในการสั่งงานด้วยปลายนิ้วที่เรียกว่า Gesture Control ก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปลายนิ้วรูดเพื่อเลื่อนเพลงเดินหน้า/ถอยหลัง, รูดเพื่อเพิ่ม/ลดความดัง และเคาะที่แป้นสัมผัสเพื่อหยุดเพลงและรับสาย/โทรออก
ทำงานร่วมกับแอพลิเคชั่น
Sony “Headphone Connect”
นอกเหนือจากการควบคุมสั่งงานการเล่นเพลงและการโทรฯ เข้า/ออกด้วย Gesture Control ที่แตะบนตัวหูฟังแล้ว คุณยังสามารถควบคุมสั่งงานและปรับตั้งการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ และปรับตั้งเกี่ยวกับเสียงของหูฟัง WH-1000XM4 ตัวนี้ผ่านทางแอพลิเคชั่น “Headphone Connect” ที่ Sony พัฒนาไว้บนสมาร์ทโฟนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งแนะนำให้ทำการติดตั้งแอพฯ Headphone Connect ไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณด้วย เพราะฟังท์ชั่นพิเศษหลายๆ ฟังท์ชั่น ยกตัวอย่างเช่นฟังท์ชั่น “Adaptive Sound Control” ที่ปรับเปลี่ยนเสียงและการทำงานของระบบ Noise Cancelling ไปตามสถานที่ และฟังท์ชั่น “Speak-to-Chat” ที่พูดกับคนอื่นโดยไม่ต้องถอดหูฟังและไม่ต้องแตะบนหูฟังเพื่อหยุดเล่นเพลง จะอ้างอิงกับค่าที่คุณตั้งไว้บนแอพ Headphone Connect บนสมาร์ทโฟนนั่นเอง
ยกตัวอย่างการปรับตั้งการทำงานของฟังท์ชั่น “Speak-to-Chat” ของตัว WH-1000XM4 ซึ่งการปรับตั้งฟังท์ชั่นนี้จะถูกจัดเก็บไว้ในหัวข้อเมนูหลักที่ชื่อว่า “Sound” (ตำแหน่ง A บนภาพด้านบน) บนตัวแอพฯ เมื่อคุณต้องการใช้งานฟังท์ชั่นนี้ คุณต้องสั่งเปิดใช้งานโดยเลื่อนสวิทช์บนแอพฯ (B) ไปที่ตำแหน่งเปิดใช้งานตามภาพ จากนั้นก็ให้จิ้มเลือกไปที่ “Experience” (C) เพื่อทดสอบการใช้งานจริง
ขั้นตอนนี้ ตัวแอพฯ จะแนะนำให้คุณลองพูดอะไรบางอย่างออกไปเมื่อต้องการพูดคุยกับคนอื่นขณะยังสวมหูฟังอยู่ อย่างเช่น “สวัสดี” เมื่อไมโครโฟนบนตัวหูฟังจับเสียงพูดของคุณได้ มันจะสั่งงานให้หูฟังอยู่ในสถานะพร้อมสำหรับการสนทนาให้โดยอัตโนมัติ เมื่อพร้อมทดสอบให้กด “OK” (D) แล้วทดลองพูดอะไรออกไปก็ได้ จากการทดสอบของผม ผมทดลองฟังท์ชั่นนี้ขณะที่สวมหูฟังและเปิดเพลงฟังอยู่ พบว่า ตัวหูฟังจับเสียงพูดได้เร็วมาก ยังไม่ทันจบคำว่า “สวัสดี” เสียงเพลงก็หยุดลงแล้ว
setting ฟังท์ชั่น “Speak-to-Chat”
คุณสามารถปรับตั้งการทำงานของฟังท์ชั่น Speak-to-Chat ได้โดยจิ้มไปที่สัญลักษณ์ฟันเฟืองตามภาพด้านบน
มีหัวข้อให้ปรับตั้งการทำงานได้ 3 หัวข้อ คือ “Voice Detect Sensitivity” = ปรับความไวในการจับเสียงพูดของผู้ใช้หูฟัง, “Focus on Voice” = ถ้าเปิดใช้งานโหมดนี้ ขณะสนทนา ตัวหูฟังจะทำการลดเสียงรอบข้างลงไปเพื่อให้เสียงสนทนาชัดเจนมากขึ้น สามารถเลือกใช้หรือไม่ก็ได้ และสุดท้ายคือ “Time until the mode closes” = เป็นการปรับตั้งช่วงเวลาการทำงานของฟังท์ชั่น Speak-to-Chat ว่าหลังจากจบบทสนทนา (ไม่มีเสียงพูดติดต่อกัน) นานแค่ไหนจึงปิดฟังท์ชั่นนี้เพื่อกลับเข้าสู่โหมดการทำงานปกติ
การปรับตั้งความไวในการตรวจจับเสียงพูดของเราสามารถตั้งได้ 3 ระดับ คือ “Automatic” = ซึ่งตัวหูฟังจะปรับเปลี่ยนความไวในการตรวจจับไปตามสภาพของเสียงรอบข้างโดยอัตโนมัติ, “H Sensitivity” = เลือกอ๊อปชั่นนี้ถ้าต้องการให้การตรวจจับมีความรวดเร็วมากขึ้น เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมากๆ อย่างเช่นในรถโดยสาร และสุดท้ายคือ “L Sensitivity” คือปรับลดความไวลงเมื่อสภาพแวดล้อมไม่มีเสียงรบกวน หรือสนทนากับคู่สนทนาในระยะประชั้นชิด ซึ่งค่ากลางที่ตั้งมาตอนแรกคือ Automatic ก็ใช้งานได้ดี
เป็นการปรับตั้งระยะเวลา “ปิด” การทำงานของฟังท์ชั่น Speak-to-Chat หลังจากไม่มีเสียงสนทนาติดต่อกัน ซึ่งมีให้เลือกปรับตั้งได้ 4 อ๊อปชั่น คือ “Short” (ประมาณ 15 นาที), “Standard” (ประมาณ 30 วินาที), “Long” (ประมาณ 1 นาที) และ “Does not close automatically” = คือไม่ให้ปิดการทำงานของฟังท์ชั่นนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งหลังจบการสนทนาแล้ว คุณต้องเข้าไปสั่งปิดการทำงานของฟังท์ชั่น Speak-to-Chat ด้วยตัวเอง
ผมทดลองใช้งานฟังท์ชั่น Speak-to-Chat ดูแล้ว พบว่า ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเสียงรบกวนดังมาก ผมสามารถรับฟังเสียงของคู่สนทนาที่ยืนอยู่ไกลถึง 3 เมตรได้อย่างชัดเจน โดยที่คู่สนทนาพูดด้วยความดังปกติ (ตั้งความไวในการรับเสียงไว้ที่ Automatic) เมื่อสนทนาเสร็จ ผมก็แค่ใช้ปลายนิ้วเคาะที่ touch sensor บนหลังหูฟังข้างขวาสองครั้ง เพลงที่ฟังค้างอยู่ก็เริ่มเล่นอีกครั้ง สะดวกมาก!
นอกจากใช้ปรับตั้งการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ บนตัวหูฟังแล้ว ตัวแอพลิเคชั่น Headphone Connect ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่าง นั่นคือใช้อัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับตัวหูฟังอีกด้วย ซึ่งล่าสุด วันที่ 7 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมาเฟิร์มแวร์ของตัวหูฟัง WH-1000XM4 เวอร์ชั่น 7.1 ได้ถูกปล่อยมาให้อัพเดต ซึ่งมีผลทำให้การเชื่อมต่อหูฟังตัวนี้กับอุปกรณ์อื่นผ่านทาง Bluetooth ได้สองตัวพร้อมกันมีความเสถียรสูงขึ้น (แนะนำให้ทำการอัพเดตที่บ้าน และวางตัวหูฟังไว้ใกล้ๆ กับสมาร์ทโฟนที่ใช้อัพเดต)
ทดลองฟังเพลง
นี่คือกิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลินในการทดสอบมากที่สุด เมื่อสวมหูฟังปั๊บ กดปุ่มเพาเวอร์ On ปุ๊บ เสียงรอบข้างก็หายวับไปทันที! รู้สึกได้เลยว่า ฟังท์ชั่น Noise Cancelling ของ WH-1000XM4 มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่ารุ่นเก่าๆ มาก (ผมมีรุ่นแรกคือ MDR-1000X อยู่) โดยเฉพาะความเสถียรของฟังท์ชั่น ดีกว่ารุ่นเก่าๆ เยอะมาก หลังจากเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทางแอพ Headphone Connect ไปแล้ว ต่อจากนั้น ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดการทำงานของตัวหูฟังขึ้นมา มันจะทำการเชื่อมต่อกับ Bluetooth ของสมาร์ทโฟนให้เองโดยอัตโนมัติ และเปิดการทำงานของแอพฯ Headphone Connect ขึ้นมารอพร้อมใช้งานทันที
พอได้ลองฟังเพลงกับหูฟังตัวนี้ ผมงี้ขนแขนลุกซู่ขึ้นมาเลย ว้าวว.. เสียงมันออกมาดีมาก ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการฟังเพลงด้วยการสตรีมผ่าน Bluetooth
เบื้องต้น ผมทดลองฟังเพลงผ่านแอพฯ Onkyo HF Player ที่ผมใช้อยู่เป็นประจำ ลองเล่นไฟล์เพลง DSD64 (2.8MHz) ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ซึ่งตอนสตรีมฯ ไปที่หูฟัง WH-1000XM4 ผ่านทาง Bluetooth ตัวแอพฯ Onkyo HF Player จะทำการ down-convert สัญญาณ DSD 2.8MHz ให้ลงมาอยู่ที่ PCM 44.1kHz ก่อนจะส่งมาที่หูฟังผ่านบลูทูธ ผมเจตนาเล่นไฟล์ตัวนี้เพื่อดูว่า ระบบเสียง DSEE Extreme ของ WH-1000XM4 จะสามารถชดเชยเสียงของอัลบั้มนี้ให้กลับไปใกล้เคียงกับเสียง DSD 2.8MHz ตามต้นฉบับได้แค่ไหน.? ผมทดลอง “เปิด/ปิด” การทำงานของโหมด DSEE extreme ในการฟังเทียบ ปรากฏว่า เมื่อเปิดใช้งานโหมด DSEE Extreme ผมได้ยินเสียงแบ็คกราวนด์ที่เป็นเสียงพูดและเสียงหมาเห่าตอนขึ้นต้นในแทรคแรกเพลง “The Ballad of Bill Hubbard” ชัดขึ้น ทั้งเสียงเอ็ฟเฟ็คต์, เสียงร้อง และเสียงดนตรีมีความเป็นตัวตนมากขึ้น มีรายละเอียดให้ได้ยินมากขึ้น น้ำหนักเสียงดีขึ้น ไม่บางและลอยๆ เหมือนการฟังผ่านบลูทูธทั่วไป
แต่เมื่อผมทดลองฟังจากการสตรีมมาจาก TIDAL ผมกลับพบว่า ในบางอัลบั้ม โหมด DSEE Extreme ทำให้เสียงมีความแข็งกร้าวตรงปลายเสียงเกิดขึ้น ในกรณีนั้น เมื่อลองปิดจะได้ความนุ่มนวลมากกว่า แม้ว่าความคมชัดจะน้อยกว่าตอนเปิดใช้งานก็ตาม สำหรับผมมีความเห็นว่า การใช้หรือไม่ใช้โหมดเสียง DSEE Extreme จะขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคล และแต่ละเพลงด้วย (คงเป็นเหตุผลที่ทาง Sony ต้องมีอ๊อปชั่นให้เปิด/ปิดได้นั่นเอง)
นอกจากนั้น หูฟัง WH-1000XM4 ตัวนี้ยังรองรับการฟังเพลงที่เข้ารหัสมาเป็นฟอร์แม็ต “360 Reality Audio” ที่ Sony คิดค้นขึ้นมาด้วย มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก จากการทดลองฟังจากแอพ TIDAL ผมพบว่า ระบบเสียง “360 Reality Audio” ช่วยทำให้เพลงที่ฟังมีมิติเสียงที่น่าสนใจมากขึ้น ชิ้นดนตรีต่างๆ จะมีการจัดวางตำแหน่งเป็นสามมิติมากขึ้น คือแต่ละชิ้นเสียงจะมีการเว้นช่องไฟระหว่างกันทั้งในแนวกว้างและแนวลึก จึงทำให้เกิดเป็นสนามเสียงที่น่าสนใจ
เมื่อลองฟังเพลงเก่าๆ อย่างงานของ Miles Davis ชุดนี้ ผมพบว่า ฟอร์แม็ต 360 Reality Audio ทำให้เพลงเก่าๆ มีน้ำเสียงที่ “ฉ่ำ” มากขึ้นกว่าตอนฟังเป็นระบบเสียงสเตริโอ 2 แชนเนลธรรมดาด้วย จะว่าไปแล้ว ฟอร์แม็ต 360 Reality Audio ที่โซนี่คิดทำขึ้นมานี้ ก็ไม่ได้ทำให้เสียงวนรอบศีรษะเหมือนระบบเสียงเซอร์ราวนด์ของ Dolby Labs หรือ DTS โดยส่วนตัวผมชอบนะ..
ทาง Sony ไปร่วมกับผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง 3 เจ้า คือ DeeZer HiFi, Nugs.Net HiFi และ TIDAL ในการให้บริการสตรีมเพลงที่เป็นฟอร์แม็ต 360 Reality Audio ใครที่ยังไม่ได้ใช้บริการสตรีมมิ่งของผู้ให้บริการเจ้าใดในสามเจ้านี้ และอยากจะทดลองฟังฟอร์แม็ต 360 Reality Audio กับหูฟัง WH-1000XM4 ทาง Sony เขาให้คูปองสำหรับเข้าไปสมัครขอรับบริการสตรีมมิ่งจากเจ้าใดเจ้าหนึ่งในสามเจ้าได้ฟรีจนถึงสิ้นปีนี้
สรุป
Amazing มาก.!! หลังจากได้ทดสอบหูฟังตัวนี้แล้ว ผมบอกได้เลยว่า หูฟังตัวนี้เป็นประดิษฐกรรมที่ตอบโจทย์ของการฟังเพลงที่สอดคล้องไปกับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืนและทรงประสิทธิภาพมาก เป็นหูฟังที่ออกแบบได้ล้ำไปกว่าความหมายของ “หูฟัง” แบบเก่าก่อน ผมชอบตรงที่มันช่วยสร้างพื้นที่ที่เป็น “โลกส่วนตัวของผม” ให้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา มันช่วยเชื่อมต่อผมเข้ากับเพลงที่ฟัง “ได้อย่างลึกซึ้ง” ทุกที่ทุกเวลาที่ผมต้องการจริงๆ
อีกอย่างที่ชอบคือแบตฯ อึดมาก! ใช้กันลืมๆ ไปเลย ฟังท์ชั่น fast charge ก็เจ๋งมาก ไม่ต้องเป็นกังวลกันอีกต่อไป หลังจากได้ลองสัมผัสมาแล้วอย่างโชกโชน ผมต้องขอยอมรับโดยดุษฎีเลยว่า WH-1000XM4 เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้อิเล็กทรอนิคส์ชิ้นหนึ่งที่ผม “รัก” มากที่สุด.!!! /
**********************
ราคา : 13,990 บาท / ตัว
**********************
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อได้ที่
sony.co.th
หรือทดลองสัมผัสตัวจริงได้ที่ช๊อป Sony Store ทุกสาขา