ตอนที่ สตีฟ จ๊อบ เปิดตัวผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่ชื่อว่า “iPhone” ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก มีคนทำนายว่า ต่อไปสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับมนุษย์โลกอย่างแน่นอน หลังจากนั้นไม่ถึง 5 ปีทุกอย่างที่ทำนายไว้ก็เป็นจริง เมื่อกันยายนของปี 2015 ในงาน IFA Technology Show ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี Onkyo แบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นประกาศชัดเจนว่า หูฟังเอียร์บัดรุ่น W800BT ที่ออนเกียวนำมาโชว์ตัวในงาน IFA ครั้งนั้นคือ World’s First สำหรับหูฟังอินเอียร์ หรือเอียร์บัดที่มีคุณสมบัติ “ไร้สาย” สมบูรณ์แบบ “คู่แรกของโลก” ที่ไม่ต้องใช้สายต่อระหว่างหูฟังทั้งสองข้าง.!! จากวันนั้น สื่อหลายสำนักก็เริ่มพยากรณ์กันว่า อีกไม่นาน “หูฟังไร้สาย” จะต้องกลายเป็นปัจจัยที่ 6 สำหรับมวลมนุษยชาติต่อจากสมาร์ทโฟนอย่างแน่นอน.!!
W800BT ของ Onkyo ตั้งราคาไว้ที่ 299.99 ยูโร ณ ตอนนั้น (เท่ากับ 220 ปอนด์ ประมาณ 8,800 บาท) ซึ่งหูฟังไร้สายแท้ๆ แบบ Truly Wireless ที่ไม่มีสายต่อเชื่อมระหว่างหูทั้งสองข้างที่ออกมาหลังจากนั้นก็มีราคาใกล้เคียงกัน หลังจากนั้น แต่ละปีที่ผ่านมา ราคาของหูฟังเอียร์บัดหรืออินเอียร์แบบ Truly Wireless ก็เริ่มมีราคาลดต่ำลงเรื่อยๆ สวนทางกลับความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน คุณภาพของเสียงและประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อและฟังท์ชั่นใช้งานเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ตอบรับกับผู้บริโภคที่มีความต้องการแตกต่างกัน ซึ่ง “ราคา” ค่าตัวของหูฟังแต่ละรุ่นจะเป็นตัวกำหนดระดับคุณภาพ
SOUL S-Gear หูฟังเอียร์บัดราคาแค่พันกว่าบาท.?
แพ็คเกจของตัวผลิตภัณฑ์
เปิดฝากล่องออกมาจะเจอหูฟังกับกล่องชาร์จ แพ็คมาในโฟมอัดเนื้อแน่น
ภายในกล่อง นอกจากตัวหูฟังทั้งสองข้างและกล่องชาร์จแล้ว ในนั้นยังมีสายชาร์จ USB C, จุกยางโพลีเมอร์ กับห่วง (Carabiner) ไว้ห้อยกล่องหูฟังเท่ๆ อีกหนึ่งอัน
สถานะการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา หูฟังอินเอียร์หรือเอียร์บัดแบบไร้สายแท้ๆ แบบ Truly Wireless “ราคาต่ำสุด” ที่มีคุณภาพเสียงและประสิทธิภาพของฟังท์ชั่นใช้งานที่อยู่ในระดับดีน่าพอใจจะอยู่ในระดับราคา “ไม่ต่ำกว่า” สามพันบาทและกำลังจะทำราคาลงมาต่ำกว่า 3,000 บาทอยู่รอมร่อ วันนี้ SOUL ผู้ผลิตหูฟังแบรนด์ดังจากประเทศอเมริกาเปิดตัวหูฟังเอียร์บัดแบบไร้สาย Tryly Wireless รุ่นใหม่ล่าสุดออกสู่ตลาด โดยที่ตัวแทนจำหน่ายคือ บริษัท อัศวโสภณฯ นำเข้ามาจำหน่ายที่ราคา 1,399 บาทเท่านั้น.!!
ที่น่าสนใจก็คือ S-Gear ตัวนี้จะเป็นหูฟังที่ออกมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ของหูฟังไร้สาย Truly Wireless ที่มีราคาไม่ถึง 2,000 บาท ได้หรือไม่.?
รูปร่างหน้าตาของ S-Gear
แนวโน้มในการออกแบบหูฟังอินเอียร์ หรือเอียร์บัดแบบไร้สายแท้ๆ จะชี้ไปทางเดียวกัน นั่นคือนอกจากประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อและฟังท์ชั่นใช้งานแล้ว เรื่องของ “ขนาดเล็ก” และ “น้ำหนักเบา” ก็เป็นอีกสองคุณสมบัติเด่นที่ผู้ผลิตหูฟังให้ความสำคัญไม่แพ้กัน
ขนาดบอดี้ของตัวหูฟัง S-Gear ตัวนี้จัดอยู่ในพิกัด “เล็กจิ๋ว” อย่างแท้จริง ส่วนน้ำหนักก็เบาหวิวเพียงข้างละแค่ 4 กรัมเท่านั้นเอง ใส่เข้าไปที่หูแล้วแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามีน้ำหนักของหูฟังถ่วงอยู่ในหู
ส่วนที่เป็นท่อนำเสียงที่ยืดยาวออกมาจากตัวบอดี้ยื่นเข้าไปในรูหูมีความยาวครึ่งเซนติเมตร ส่วนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อนำเสียงอยู่ที่ 0.4 ซ.ม. ที่ด้านข้างของตัวบอดี้มีไฟ LED แจ้งสถานะการเชื่อมต่อและสถานะการชาร์จไฟข้างละหนึ่งดวง
ที่ด้านล่างของตัวหูฟังจะมีตุ่มโลหะตัวนำชุบทองอยู่ 3 ตุ่ม ซึ่งเป็นจุดสัมผัสกับแป้นตัวนำในกล่องชาร์จ ทำหน้าที่เป็นที่ชาร์จไฟเข้าสู่ตัวหูฟัง ที่ใต้ตุ่มโลหะตัวนำจะมีตัวอักษรปั๊มนูนปรากฏอยู่ตรงนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ระบุแชนเนล (ข้าง) ของหูฟังแต่ละตัว (L = ซ้าย, R = ขวา) ในภาพนี้จะเห็นว่าที่ปากท่อนำเสียงมีตะแกรงโลหะที่เจาะรูพรุนปิดไว้กันขี้หูเข้าไปอุดตันในท่อนำเสียง
กล่องชาร์จไฟ
ที่ผ่านๆ มา อุปสรรคสำคัญต่อความพยายามที่จะปรับลดขนาดและน้ำหนักของหูฟังไร้สายก็คือ “กล่องชาร์จไฟ” นี่แหละ เพราะตัวแปรมันอยู่ที่แบตเตอรี่ ถ้าทำให้ตัวกล่องมีขนาดเล็กมากๆ ก็จะทำให้บรรจุแบตเตอรี่ได้ไม่เยอะ ซึ่งปริมาณไฟที่เก็บในแบตเตอรี่ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ใช้แข่งขันอยู่ในตลาดหูฟังไร้สายทุกวันนี้
ด้วยประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาให้สูงขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ปริมาณของแบตเตอรี่จำนวนมากในการเก็บไฟให้ “พอใช้” สำหรับแต่ละวัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้กล่องชาร์จไฟขนาดเล็กจิ๋วของ S-Gear สามารถเก็บกักไฟได้มากและใช้ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ต่อเวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง ในการเก็บไฟลงกล่องชาร์จ
ภายในกล่องชาร์จ
ช่องเสียบ USB-C สำหรับสายชาร์จ (แถมมาให้) เพื่อชาร์จไฟเข้าที่ตัวกล่อง
ที่ตัวกล่องจะมีไฟ LED ดวงเล็กๆ อยู่หนึ่งดวง ขณะชาร์จไฟเข้ากล่อง ไฟดวงนี้จะติดสว่างสลับปิดดับสลับไปเป็นช่วง เมื่อชาร์จเต็มไฟจะดับ (ตัวกล่อง + หูฟังทั้งสองข้าง ใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง) หลังจากชาร์จไฟเต็มทั้งตัวกล่องและหูฟังแล้ว เมื่อนำหูฟังออกจากกล่องมาใช้งาน แบตเตอรี่บนตัวหูฟังจะใช้งานได้นานประมาณ 6 ชั่วโมง เมื่อใช้หมด คุณสามารถใส่ตัวหูฟังลงไปในกล่องเพื่อทำการชาร์จไฟจากกล่องได้อีก 3 รอบ รวมเวลาที่ใช้งานหูฟังในแต่ละครั้งสำหรับการชาร์จไฟจนเต็มจะใช้ต่อเนื่องนอกบ้านได้นานถึง 24 ชั่วโมง ครบทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม
ทดสอบ S-Gear
ก่อนจะเริ่มใช้งาน ขอย้ำอีกครั้งว่าให้คุณทดลองสวมจุกยางซิลิโคนที่ให้มาทั้งสามขนาดคือ S/M/L ดูก่อนว่าขนาดและลักษณะรูหูของคุณเหมาะกับจุกยางขนาดไหนมากที่สุด ซึ่งขนาดของจุกยางที่เหมาะสมจะทำให้ตัวหูฟังยึดตรึงอยู่ในรูหูได้มั่นคงไม่หลุดง่าย เนื่องจากหูฟังลักษณะนี้จะอาศัยจุดยางนี่แหละเป็นตัวจับยึดอยู่กับรูหูของเรา ถ้าเล็กเกินไปจะหลุดง่าย หรือถ้าใหญ่เกินไปจะทำให้เจ็บหูเพราะต้องยัดเข้าไป จะใช้ได้ไม่นาน อย่าลืมว่า ขนาดของจุกยางที่เหมาะสมกับรูหูของคุณมีความสำคัญมาก เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เจ็บหู ใส่ได้นานและไม่หลุดง่ายแล้ว ยังทำให้เสียงดีอีกด้วย เพราะจุกยางที่ปิดบล็อกรูหูพอดีจะช่วยกักเสียงทุ้มไม่ให้เล็ดลอดออกไป ทำให้เสียงอิ่มหนาไม่บอบบาง หูของผมจะพอดีกับจุกยางเบอร์ M
ผมใช้ iPhone 7 ในการทดสอบคุณภาพการรับสายโทรศัพท์ของ S-Gear และใช้ iPhone 7 + แอพ Onkyo HF Player ทดสอบคุณภาพเสียงของ S-Gear ที่ได้จากการฟังเพลง นอกจากนั้น ผมยังใช้โน๊ตบุ๊ค MacBook Pro ทดลองซิ้งค์กับ S-Gear ทาง Bluetooth เพื่อลองฟังคลิป YouTube ไปด้วย
การควบคุมสั่งงานบนตัวหูฟังถูกติดตั้งไว้ที่หูข้างขวาทั้งหมด ทั้งการควบคุมฟังท์ชั่นที่ใช้ฟังเพลงและรับสายโทรฯ ซึ่งก็ตอบสนองการใช้งานได้ดี ส่วนวอลลุ่มต้องไปปรับที่ตัวสมาร์ทโฟน
คุณภาพการรับสายโทรศัพท์ของ S-Gear
เสียงโทรเข้ามีความชัดเจนดี แต่จากการทดลองกับทีมงานพบว่า เสียงจากเราที่ส่งไปที่คู่สนทนาไม่ค่อยดัง เทียบกับการโทรฯ ผ่านไมโครโฟนของตัวสมาร์ทโฟนแล้วพบว่าไมโครโฟนของ S-Gear ให้เกนเสียงค่อนข้างเบา
ฟังเพลงกับ S-Gear
โทนเสียงของ S-Gear จะเด่นไปทางทุ้มมากกว่ากลางและแหลม เสียงเบสเกินตัวมากๆ ด้วยลักษณะของโทนัลบาลานซ์ที่เอียงไปทางทุ้มแบบนี้ กลับส่งผลดีต่อการฟังเพลง คือทำให้บุคลิกของเพลงที่ฟังผ่านหูฟัง S-Gear คู่นี้มีคัลเลอร์ออกไปทางหนานุ่ม เบสอิ่มๆ ซึ่งเป็นลักษณะเสียงที่คนทั่วไปชอบมากกว่าเสียงที่บอบบาง ขาดเบส
แม้ว่าตัวไดเวอร์จะมีขนาดที่เล็กมาก แต่เสียงเบสที่ได้ยินมันมีทั้งความหนักและแน่นเหลือเชื่อ.! เป็นอินเอียร์ที่ฟังอัลบั้ม The Greatest Basso Vol.1 ของ Jao Peng ได้อรรถรสมาก เสียงเบสในแทรคที่ 2 และแทรคที่ 6 มาครบทั้งความเร็วและความหนัก และในขณะที่เสียงทุ้มกำลังสำแดงความอหังการอยู่นั้น เสียงกลางและแหลมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก ยังคงวาดลวดลายออกมาได้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน เสียงร้อง รวมทั้งเสียงกีต้าร์, ไวโอลิน และเพอร์คัสชั่นแผ่กระจาย ลอยตัวออกมาได้อย่างโดดเด่น ผลคือรายละเอียดของเสียงที่มีความหนาแน่นครบทั้งย่านเสียง จะฟังเพลงช้าหรือเพลงเร็ว ก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีรายละเอียดส่วนไหนขาดหายไป ทุกเสียงมาครบ ไดนามิกจัดเต็มโดยมีความถี่ต่ำที่เด่นเกินหน้ากลางและแหลมขึ้นมาหน่อยๆ
เทียบกับราคาค่าตัวของหูฟังคู่นี้แล้วต้องขอบอกว่า คุณภาพเสียง “เกินตัว” ไปมาก.!!!
ลักษณะการเชื่อมต่อระหว่างหูฟังทั้งสองข้างที่มีเสถียรภาพสูง ไม่หลุดง่าย มีผลกับการฟังอยู่เหมือนกัน คือจะไม่รู้สึกรำคาญ และทำให้ฟังเพลงได้ต่อเนื่อง ไม่เสียอารมย์ ที่เพลินมากคือการใช้งานนอกบ้าน มันสะดวกมาก ไม่ว่าจะใช้สตรีมเพลงจาก TIDAL มาฟังกับหูฟังตัวนี้ ด้วยความเบาของตัวหูฟังทำให้ฟังได้นาน หรือจะฟังเสียงจากคลิป YouTube ก็เจ๋ง เสียงกว้างมาก เหมือนจะดีกว่าฟังเพลงซะอีก อีกอย่างที่ประทับใจคือใช้ฟังเสียงภาพยนตร์ที่สตรีมมาจาก Netflix ก็ออกมาดีมาก มิติเสียงกว้าง มันช่วยเสริมอารมณ์ในการดูหนังได้เป็นอย่างดี!
ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด และคุณภาพเสียงที่ดีเกินราคาค่าตัวของหูฟัง S-Gear ตัวนี้ ผมชอบที่จะเอาไปใช้ฟังเพลงบนเตียงก่อนนอน เป็นประจำ เหมาะมาก เพราะตัวมันเล็กและมีน้ำหนักเบา ใส่แล้วไม่รู้สึกอึดอัดเลย
สรุป
คุ้มมาก.!!! ไม่น่าเชื่อว่าหูฟังราคาแค่พันกว่าบาทจะให้เสียงออกมาได้ดีขนาดนี้.!!! บ้าไปแล้ว..!!! SOUL ทำหูฟังแบบนี้ออกมาขายในราคานี้ แล้วแบรนด์อื่นจะอยู่กันอย่างไร.???
ทีแรกที่เห็นราคาขาย ผมบอกตรงๆ ว่าไม่อยากลองฟังเลย เพราะยอมรับว่ามีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับหูฟังราคาถูกๆ มาก่อน เคยไปยืนลองฟังหูฟังที่มีให้ลองฟังตามห้าง ราคาประมาณนี้แหละ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์โนเนม มาจากจีนแทบจะทั้งนั้น บอกเลยว่าเสียงเลวร้ายมาก ฟังเพลงไม่ได้เลย.!!!
หลังจากได้ลองฟัง S-Gear คู่นี้แล้วต้องกลับมาตั้งหลักคิดกันใหม่ นี่แสดงว่า ถ้าคนออกแบบมีความตั้งใจจริง แม้จะเป็นหูฟังที่มีราคาถูกๆ แบบนี้ก็สามารถทำให้เสียงดีได้เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ถึงกับดีเลิศที่สุดในแผ่นดิน คือยังสู้ Sony รุ่น WF-1000X M3 ที่มีราคาแพงกว่ามันหลายเท่าไม่ได้ เพราะ S-Gear ไม่มีระบบ Noise Canceling ถ้าเจอกับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมากๆ ก็อาจจะถูกรบกวนได้ แต่ถ้าในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้มีเสียงดังมากก็ไม่มีปัญหาใดๆ แถม S-Gear ยังให้ความเสถียรในการซิ้งค์ระหว่างหูฟังทั้งสองข้างดีกว่า WF-1000X M3 ซะอีกนะจะบอกให้ (แทบจะไม่เจอออาการซิ้งค์หลุดเลย) สรุปแล้ว เมื่อเทียบกับราคาขายแค่นี้..
ต้องขอย้ำอีกทีว่า S-Gear ตัวนี้ ได้ปรับตั้งมาตรฐานให้กับหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่มีราคาไม่เกิน 2,000 บาท ไว้แล้ว จะมีใครแบรนด์ไหนทำได้ดีเท่า หรือดีกว่าก็ต้องรอดูกันไป.!!! /
********************
ราคา : 1,399 บาท / คู่
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. อัศวโสภณ
โทร. 02-266-8136-8
หรือ 02-234-6467-8
หาซื้อได้ที่ร้านอัศวโสภณ บนห้างชั้นนำทั้ง 7 สาขา
หรือสั่งซื้อผ่านออนไลน์ได้ที่
asavasopon.co.th